Dormitory boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 10 – หมอกควันสีเทา“รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
เป็นคำอธิบายสั้น ๆ สำหรับอาการกะปลกกะเปลี้ยของอุ่นใจในเช้าวันที่อากาศขมุกขมัว...
“พี่เอมรู้รึยัง?”
น้องเล็กผงกศีรษะอ่อนแรง หลังจากที่ตื่นเช้ามาพบว่าตัวเองทั้งไข้ทั้งหนาว ขยับแต่ละครั้งเล่นเอาปวดร้าวไปหมดทั้งตัว แค่ถ่อสังขารทั้งชุดนอนลงมาหาเอมจิตเพื่อขอยาลดไข้ก็ทำเอาเขาแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้น
“ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม”
ปิ่นหยกขยับเข้าไปใกล้ ความวิตกกังวลฉายชัดบนใบหน้าและน้ำเสียง แต่อุ่นใจกลับโบกมือเบา ๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องควันสีเทาจาง ๆ ที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นกำลังวนเวียนอยู่รอบตัวอีกฝ่าย...
....เอาอีกแล้ว........ไม่สบายที่ไรต้อง
‘เห็น’ เข้าทุกทีสิน่า......
แถมครั้งนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่เสียด้วย“วันนี้จะทำอะไรต้องระวังตัวนะพี่ปิ่น”
ปิ่นหยกเลิกคิ้วให้กับคำเตือนแปลก ๆ ที่ได้ยิน... นั่นควรจะเป็นคำพูดของเขากับอีกฝ่ายที่กำลังป่วยมากกว่า แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา... ประโยคนั้นก็ทำให้เขาตัวเย็นวาบตลอดแนวสันหลังไปจนถึงปลายเท้า.. เด็กหนุ่มหัวเราะหวังจะไล่ความรู้สึกประหลาดนั้นออกไป แต่เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมานอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังชวนให้วิตกจริตกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่ดันรู้สึกได้ทั้งที่ไม่อยากเลยสักนิด
“อุ่นต่างหากทีต้องระวังตัว กำลังไม่สบายอยู่ไม่ใช่รึไง”
อุ่นใจพยักหน้าอีกครั้งแล้วมองมาทางเขาแต่ก็ไม่ได้จ้องมาที่ใบหน้าเสียทีเดียว นัยน์ตาสีน้ำผึ้งนั้นดูราวกับจะเพ่งไปที่อะไรบางอย่างข้าง ๆ ศีรษะของเขา
ที่น่ากลัวคือปิ่นหยกไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย“อุ่นไม่เป็นไร หยุดพักเดี๋ยวก็หาย...อยากโดดเรียนอยู่แล้ว” เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบาพร้อมกับยักไหล่แบบไม่เจียมสังขาร สายตาไม่ได้ละจากที่ว่างตรงนั้นแม้แต่น้อย “ถึงจะเจ็บใจนิดหน่อย แต่ฝากดูพี่ปิ่นด้วย อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วนล่ะ”
น้องชายคนเล็กยกมือขึ้นกอดอก จะป่วยยังไงก็ไม่ยอมทิ้งมาดกวน ๆ ประโยคหลังนั้นเหมือนจะบอกกับอีกคนที่ยืนเป็นแพ็คคู่กับปิ่นหยกแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาครู่ใหญ่ อาทิตย์พยักหน้ารับแม้จะไม่แน่ใจนักว่านั่นได้พูดกับเขาหรือเปล่า
“แค่เทา ๆ ไม่น่ามีอะไรมาก...แต่ถ้าไม่ไหวก็พากลับมา”
ปิ่นหยกเริ่มไม่รู้จะตอบสนองแบบไหน ความไม่ชอบมาพากลในบทสนทนาชวนให้เขาหวั่นอยู่ลึก ๆ อุ่นใจพูดอย่างกับเขาจะดวงซวยหัวกุดชะตาขาดวันนี้อย่างไรอย่างนั้น
และที่แย่คืออดีตที่ผ่านมา สิ่งที่อุ่นใจทักโดยเฉพาะเวลาเจ้าตัวกำลังป่วยมักจะเป็นจริงอย่างที่บอกไว้เสียด้วยเสียง
‘เฮือก’ เบา ๆ ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หันไปมองก็เห็นอุ่นใจยืนทำหน้าผะอืดผะอมเหมือนอยากจะคายน้ำย่อยในกระเพาะอาหารอันว่างเปล่าออกมา เด็กหนุ่มร่างเล็กยกมือขึ้นปิดปาก โบกมือลาปิ่นหยกแล้วถลาไปทางห้องน้ำ ทิ้งให้คนที่เหลือมองตามสีหน้าเป็นห่วง
ไม่นานเลยก่อนที่เจ้าลูกเจี๊ยบอาทิตย์จะเอื้อมมากุมมือเขาไว้มั่นในมือใหญ่ ๆ ของตัวเอง
ปิ่นหยกสะดุ้ง ก้มลงไปมองมือของที่ถูกจับไว้แล้วเงยหน้าขึ้นตะคอกด้วยสายตาว่าทำเบื๊อกอะไรอีก ซึ่งแน่นอนว่าวิธีนี้ไม่เคยใช้ได้ผลกับอาทิตย์ อีกฝ่ายยักไหล่อย่างน่าเตะพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ
“กังวลเหรอครับ....งั้นวันนี้ผมเป็นบอดี้การ์ดให้ดีไหม”
ทำเป็นเรียกแทนตัวเองว่า
‘ผม’ น่าหมั่นไส้จริง ๆ
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ” เป็นประโยคค่อนขอดที่ตอบรับความปรารถนาดีซึ่งดูมีเบื้องลึกเบื้องหลัง
“อันนั้นแปลว่าตกลงนะ”
เขาอยากจะถามนักว่าประโยคแบบนั้นชาติไหนแปลว่าตกลง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้บ่นเมื่ออาทิตย์คลี่ยิ้มพร้อมกับกึ่งลากกึ่งจูงเขาออกจากร้านสู่ถนนที่ทอดยาวอยู่ข้างหน้าแบบไม่ทิ้งช่วงให้ได้คัดค้าน
ทางที่ผ่านชุมชนนั้นมีรถสวนไปมา มองเห็นเด็กวัยรุ่นในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกันบ้างประปรายแต่ไม่ใช่คนรู้จัก ไอน้ำที่กลั่นตัวเป็นหยดจากฝนซึ่งตกลงมาเมื่อคืนนี้ยังเกาะอยู่ตามกระจกตู้โชว์ตามร้านรวงสองข้างทาง บนพื้นมีแอ่งน้ำเป็นหย่อมที่คอยจะกระเซ็นขึ้นมาใส่รองเท้าผ้าใบเวลาเดินไม่ระวัง และมือของอีกฝ่ายซึ่งเปลี่ยนที่จากมือกุมของเขามาวางพาดเอาไว้บนไหล่แทนก็ไม่ได้ช่วยให้เดินคล่องตัวขึ้นสักนิด แต่เขาเองก็เริ่มเหนื่อยจะโวยวาย
ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่เช้าของฤดูฝนที่ท้องฟ้าอึมครึมอีกวันเท่านั้นเอง... ปิ่นหยกกลอกตา เด็กผู้ชายวัยรุ่นสองคนเดินโอบตัวติดกันจะเป็นปาท่องโก๋อย่างนี้ถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็คงไม่มีอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประสาทเสียกับสายตาแปลก ๆ(ที่เขาอาจจะคิดไปเอง)ของผู้คนที่มองมา แต่ก็นั่นแหละ... รูปร่างหน้าตาของคนที่เดินข้างกันนี้มันดึงดูดน้อยเสียเมื่อไหร่กัน
เขานึกถึงคำพูดของอุ่นใจ... การมีหมอนี่อยู่ข้าง ๆ คงเป็นเรื่องซวยอย่างถึงที่สุดแล้ว
ไม่น่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้นะ...?
เขามองไปรอบตัว อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวงขึ้นมา อย่างมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งขวักไขว่ผ่านไปมาอยู่ไม่ไกลนี่คงไม่อยู่ ๆ ก็พุ่งตรงเข้ามาทางนี้หรอกใช่มั้—!?
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!คำตอบคือ ‘ไม่ใช่’แต่ไม่มีใครทันได้ตอบเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นทะลวงโสตประสาท ชัดเจนมากเหมือนหล่อนมาแหกปากอยู่ข้างหูเขา กลบเสียงพาหนะเหล็กสองล้อที่พุ่งกระแทกเข้ากับอะไรแข็ง ๆ ไปเสียสิ้น จนเมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ...หรืออาจจะเรียกว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะตระหนกจนพูดอะไรไม่ออกในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ความเจ็บร้าวที่ข้อมือขวาก็แล่นปราดเข้าสู่สมอง ก่อนที่เสียงอื้ออึงของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง
เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว....
“ปิ่นหยก!”คำแรกที่อาทิตย์ตะโกนออกไป ทั้งที่ในสมองยังไม่ทันจะได้แปลผลเหตุการณ์ตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
เขาไม่แน่ใจว่านักว่ากระชากตัวคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เมื่อครู่นี้หลบออกจากวิถีของวัตถุสีดำขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามาตอนไหน รู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นแฉะ ๆ มีปิ่นหยกทำหน้าซีดเป็นกระดาษนอนเกยอยู่ก่อนเจ้าตัวจะลุกพรวดพราดขึ้นมาขยับตัวออกห่างเท่าที่สภาพซึ่งถูกเขาโอบเอวไว้แน่นจะเอื้ออำนวย ซึ่งแน่นอนว่ามัน
‘ไม่เอื้ออำนวย’ เอาเสียเลย
และเขาก็แอบรู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ ที่เป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อบวกเข้ากับสีหน้าของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนจากซีดขาวเป็นสีแดงจัดจนชวนให้เชื่อว่าระบบสูบฉีดเลือดเขาคงต้องดีมากแน่ถึงทำให้ผิวหน้าเปลี่ยนสีได้ไวขนาดนี้
ข้างกันนั้นเป็นมอเตอร์ไซค์ดูคาติสีดำซึ่งล้มไม่เป็นท่าอยู่บนพื้นหลังจากชนเสาไฟประดับริมถนนเข้าไปจัง ๆ แม้ความเร็วจะไม่มากสมกับที่เป็นถึงสปอร์ตไบค์แต่ก็ทำเอาเสาเหล็กบุบเบี้ยว ล้อหน้ายังปั่นอยู่ไม่หยุด ส่วนเจ้าของรถคันโตที่ไม่น่าเอามาขี่เล่นในเขตชุมชนอย่างนี้เลยสักนิดหลังจากตั้งตัวได้และพบว่าแทบจะไม่บาดเจ็บอะไรเลยนอกจากรอยถลอกตามตัวเล็กน้อยก็กำลังเดินตรงเข้ามา ใบหน้าเข้มนั้นคุ้นตาทีเดียว
“เป็นอะไรรึเปล่า”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหมือนจะบอกให้คนที่กอดยื้อกันไปมาบนพื้นรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเราสอง
“เมื่อกี้หักหลบหมา โชคดีที่เพิ่งออกจากซอยเลยขี่ไม่เร็ว”
ความคิดแรกของปิ่นหยกคือ
‘โชคดีกับผีน่ะสิ’ ดูยังไงก็เข้าข่ายพยายามฆ่าชัด ๆ
“กริช” เขาส่งเสียงเรียกออกมาเบา ๆ ประโยคถัดไปที่ไม่ได้พูดออกมาคือ
‘เมิงอีกแล้วเรอะ!’ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นพอเห็นว่าผู้ประสบเหตุไม่เป็นอะไรและไม่มีทีท่าว่าจะมีปัญหาก็เริ่มแยกย้าย ไม่มีใครเอะอะโวยวาย ไม่มีใครโทรแจ้งตำรวจ เป็นมนุษย์จืดจางก็ดีไปอย่าง
หลังจากควบดูคาติพุ่งออกจากซอยแล้วหักหลบหมาที่วิ่งตัดหน้าจนพุ่งเข้าใส่เพื่อนตัวเอง (ถึงตรงนี้พูดถึงอีกครั้งปิ่นหยกก็อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะว่าระหว่างหมากับชีวิตเพื่อนร่วมชั้นสองคน...มันเลือกหมา?) นับว่ายังพอมีดวงอยู่บ้างที่ไม่ได้ขี่ด้วยความเร็วสูงเพราะเพิ่งเข้าสู่แหล่งชุมชน ผลจึงเป็นเพียงแค่เสาไฟประดับริมถนนหงิกงอ สปอร์ตไบค์แสนแพงนอนหงายหมดท่าบนพื้น ส่วนน้องหมาต้นเหตุเดินเชิด ๆ ไปขอหมูปิ้งจากแม่ค้ารถเข็น ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเพิ่งถูกยกให้มีความสำคัญเหนือชีวิตนักเรียนมัธยมปลายผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกสองคนตรงนี้
“เห็นหมาดีกว่าเพื่อนเรอะ”
เขาอดไม่ได้ที่จะงุบงิบออกมาแม้จะไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากรู้สึกแปลบ ๆ ตรงแขนขวา ยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรง แต่แล้วก็เป็นอันต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเมื่อหันไปเห็นของเหลวสีแดงสดซึ่งไหลผ่านหว่างคิ้วของท่านชายที่ชีวิตนี้ไม่น่าจะเคยหัวแตกมาก่อน..
“หัวนาย!”/”แขนนาย!”/”แขนกับหัวพวกนาย”น่าตลกที่ทั้งสามคนเกิดจะนึกอยากพูดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน กลายเป็นมหกรรมประสานเสียงจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
กริชมองดูรอยแตกบนหน้าผากอาทิตย์ซึ่งส่วนหนึ่งถูกปอยผมด้านหน้าบังไว้สลับกับข้อมือขวาบวม ๆ และมีแผลเลือดหยดติ๋ง ๆ ลงพื้นของปิ่นหยกแล้วก็อดจะรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าเพื่อนสองคนนี้เส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บใช้การไม่ได้กันไปหมดแล้วหรืออย่างไร
“พวกนายมีแผล เดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล” เขาสรุปห้วน ๆ แล้วเดินไปยกมอเตอร์ไซค์ต้นเหตุขึ้นมา “แต่ขอเอารถนี่ไปเก็บก่อน สามคนนั่งไม่หมด เดี๋ยวเอารถกระบะไป”
พอได้ยินคำว่าโรงพยาบาลปิ่นหยกก็เตรียมจะออกอาการค้านเต็มสูบ
“ไม่ต้องไปก็ได้ แผลแค่นี้เอง”
เขาเหลือบมองข้อมือตัวเอง พอเห็นเลือดก็เหมือนความปวดหนึบจะเริ่มตามมาทั้งที่เมื่อกี้ยังแค่แปลบ ๆ เท่านั้น ส่วนฝั่งคุณชายอาทิตย์ก็ยังนั่งนิ่งปล่อยให้เลือดไหลหยดมาถึงปลายคางดูน่าอนาถจนเขาต้องเอามือไปเช็ดออกให้ หรือควรจะพาหมอนี่ไปโรงพยาบาล แผลก็ใหญ่อยู่เหมือนกันแถมมาโดนตรงหน้าผาก แม้จะหมั่นไส้อยู่ลึก ๆ แต่ก็อดเสียดายผิวหน้าเกลี้ยง ๆ ที่หลังจากนี้อาจมีรอยแผลเป็นไม่ได้ พ่อมันรู้เข้าจะมาเรียกร้องอะไรกับเขาไหม โทษฐานดูแลลูกชายคนเดียว(ที่เสนอหน้ามาขออยู่ด้วยเอง)ไม่ดี
“จะไปเป็นประเอกหนังผีรึไง ปล่อยเลือดไหลอาบหน้าอยู่ได้”
“ถ้ายอมมาเป็นนางเอกให้ล่ะก็นะ” อีกฝ่ายยักไหล่ เห็นได้ชัดว่านับวันทักษะต่อปากต่อคำยิ่งพัฒนาแบบก้าวกระโดด
“ปากดี...เอาอีกแผลซะดีมั้ง!”
กริชกระแอม...ไม่รู้ตั้งใจหรือแค่บังเอิญแต่ก็ทำเอาอีกสองคนชะงักกึก ปิ่นหยกกัดปากตัวเอง นึกขอบอกขอบใจเพื่อนร่างใหญ่อยู่ลึก ๆ ที่ขัดจังหวะขึ้นมาแม้จะรู้สึกขายหน้าอยู่ไม่น้อย... ไอ้บทสนทนาอย่างกับละครหลังข่าวเมื่อกี้มันอะไรกัน!
“โรง’บาลรัฐไม่เสียเงินอยู่แล้ว แถมเป็นอุบัติเหตุแบบนี้ได้สิทธิฉุกเฉินด้วย” กริชพูดดักทางเหมือนจะรู้ความในใจอีกฝ่าย “พวกนายรอตรงนี้แหละ บ้านอยู่ในซอยนี่เอง เดี๋ยวเอารถมารับ”
.........................................................
..................................
ผ่านไปครู่ใหญ่ กริชก็กลับออกมาพร้อมกับรถกระบะตอนเดียวสนิมเขรอะซึ่งน่าจะเคยเป็นสีขาวมาก่อน สภาพของมันทรุดโทรมจนเดาว่าคงเป็นสมบัติตกทอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาที่สิบสามยังเรืองอำนาจ
‘มันยังวิ่งได้เหรอ’ คำถามฉายชัดเจนในแววตาอาทิตย์แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาสักคำ... ในความเห็นเขา สิ่งนี้ควรจะลงทะเบียนเป็นวัตถุโบราณแล้วเอาไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ให้ลูกหลานได้ศึกษามากกว่าจะเอามาวิ่งบนถนน กระจกประตูฝั่งคนนั่งถูกเปิดค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่งให้เสียงจากคนในรถดังออกมาถึงคนที่ยืนอยู่ข้างนอกได้
“ขึ้นมาเลย คันนี้จะเอาไปชนยังไงก็ได้”
ปิ่นหยกทำสีหน้าสะพรึง พี่แกยังคิดจะเอาไปชนอะไรอีกเรอะ!?
“ขึ้นรถสิ รออะไรอยู่”
อีกฝ่ายย้ำเสียงเข้ม ไม่เห็นจะมีทีท่าตะกุกตะกักเหมือนตอนเจอกันที่ร้านวันก่อนเลยสักนิด
ผู้ถูกเชื้อเชิญชะเง้อมองในรถ... นับว่าจริงใจดี ไม่มีสภาพแบบผ้าขี้ริ้วห่อทอง รูปลักษณ์ภายนอกโทรมอย่างไรข้างในก็อย่างนั้น และด้วยความที่เป็นรถกระบะตอนเดียว ที่นั่งในรถจึงมีเพียงสองที่คือสำหรับคนขับและที่นั่งข้างคนขับอีกหนึ่งตำแหน่ง นั่นหมายความว่าไม่เขาก็อาทิตย์จะต้องระเห็จไปนั่งดมฝุ่นที่เกาะอยู่หนาเตอะบนกระบะด้านหลัง ยังไม่นับพื้นกระบะที่เป็นรูโหว่ซึ่งไม่รู้ว่าเหยียบไปแล้วจะทะลุหล่นตุบไปกลิ้งเล่นอยู่ใต้ท้องรถเมื่อไหร่นั่นอีก
เขาถอนหายใจเฮือก แต่เอาเถอะ..จะปล่อยท่านชายลูกเจี๊ยบไปนั่งโต้ลมอยู่คนเดียวข้างหลังก็ใช่ที่ เรื่องแบบนี้เขาดูเหมาะกว่าอยู่แล้ว ยังไงก็ดีกว่าเดิน ถึงโรงพยาบาลจะอยู่ใกล้ๆ นี่เอง หรือถ้าจะระบุพิกัดชัดเจนก็คือหอพักเขาตั้งอยู่หน้าโรงพยาบาล การไปโรงพยาพยาบาลครั้งนี้ก็เหมือนกลับหอกลาย ๆ
“เข้าไปนั่งในรถสิ”
เขาพยักพเยิดไปทางที่นั่งข้างคนขับ และอาทิตย์ก็ทำหน้าเหมือนน้องฉงายในรายการเจ้าขุนทอง
“แล้วนายล่ะ?”
“เดี๋ยวไปนั่งข้างหลัง”
“ไม่เอา”
โดยไม่รอคำตอบ ประตูรถถูกดึงเปิดออก ชั่วพริบตาหลังจากนั้นเขาก็ถูกจับเหวี่ยงมานั่งแอ้งแม้งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ จังหวะที่เพิ่งหายจากอาการตกใจและนึกทึ่งเล็กน้อยว่าตกลงอีกฝ่ายจะยอมไปนั่งที่กระบะข้างหลังเอง เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าความคิดจะชื่นชมเจ้าลูกเจี๊ยบพลังช้างสารนั้นผิดเต็ม ๆ
"...."
“แล้วจะตามมานั่งเบียดด้วยทำไมเนี่ย”
“ไม่อยากนั่งข้างหลัง”
อาทิตย์ขยับตัวเข้าชิดกับอีกฝ่ายมากขึ้นอีกหลังจากความพยายามในการปิดประตูรถครั้งแรกไม่สำเร็จ แม้แต่เด็กอนุบาลก็ดูออกว่าเบาะนั่งข้างคนขับของรถกระบะตอนเดียวคันนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เด็กหนุ่มมัธยมปลายสองคนมานั่งคู่กัน
“ก็บอกตั้งแต่เมื่อกี้ว่าเดี๋ยวไปเอง”
“ก็ไม่อยากให้นายไปนั่งตรงนั้นเหมือนกันนี่นา”
ไอ้เวรนี่เรื่องมากฉิบหาย! “ไม่เอาแล้ว...ลง ไม่ต้องไปก็ได้โรงพยาบาล”
“ไม่ได้นะ”
“จะลงแล้ว”
“เลือดที่แขนยังไหลอยู่เลย ถ้าโดนเส้นเลือดจะว่ายังไง”
เจ้ากี้เจ้าการจริงเว้ย!
เขาเตรียมตัวจะคลานหนีออกจากรถ แต่กริชกลับกระชากคันเร่งจนรถพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าทั้งที่ประตูรถยังปิดไม่สนิท เสียงเครื่องยนต์ครางโหยหวนฟังดูแทบขาดใจ ไม่รู้ว่ามีอะไหล่ชิ้นไหนหลุดจากตัวเครื่องออกมาหรือเปล่า
ปิ่นหยกหันไปมองหน้าคนขับอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เขาโวยว่าจะลง ๆ อยู่ขนาดนี้ คุณหมีกลับเหยียบคันเร่งแบบที่ไม่น่าเชื่อว่ารถเก่าบุโรทั่งนี่จะทำได้ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรออกไปก็ได้รับคำตอบที่เหมือนอีกฝ่ายจะอ่านคำถามจากสีหน้าเขาออก
“ดูจากสายตาทะมึนกับรังสีอำมหิตของคุณชายแล้ว ถ้าไม่พานายไปหาหมอดี ๆ มันคงจ้างมือปืนมาฆ่าล้างโคตรบ้านฉัน”
“....?”
ปิ่นหยกหันไปมองตาม.. แต่กลับไม่รู้สึกถึงอะไรอย่างที่กริชว่า
“ไม่เห็นมีสายตาทะมึน...เห็นแต่หน้ามึน ๆ”
เขาเถียง และอาทิตย์ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ได้หันมาสบตา สิ่งที่เขาคิดว่าทะมึนของจริงคือรังสีกดดันอะไรบางอย่างที่ชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องซึ่งแผ่ออกมาจากตัวคนขับต่างหาก
“นั่งดี ๆ ถ้ามีหมาตัดหน้าอีกคราวนี้อาจจะหงุดหงิดจนเผลอหักคอผู้โดยสารที่ใกล้มือที่สุด” กริชเอ่ยขึ้นลอย ๆ สีหน้าเป็นปกติราวกับกำลังบอกเรื่องธรรมดาสามัญอย่างเมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร ทำเอาคนฟังในตำแหน่งเสี่ยงเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เด็กมัธยมเดี๋ยวนี้มาจากแก๊งมาเฟียกันรึไงวะ!?หลังจากประเมินแล้วว่าเพื่อนหมีร่างหนาท่าทางเอาจริง และมือใหญ่ ๆ ที่แม้จะไม่มีอุ้งเล็บนั่นก็น่าจะตบเขาหัวหลุดได้ในการสะบัดเพียงครั้งเดียวหากพ่อคุณเกิดหงุดหงิดขึ้นมา ปิ่นหยกก็ค่อยทำตัวให้สมกับเป็นคนเจ็บด้วยการนั่งสงบปากสงบคำไปตลอดทางและภาวนาไม่ให้มีหมาตัวไหนมาตัดหน้ารถอีก
ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่เช้าของฤดูฝนที่ท้องฟ้าอึมครึมอีกวัน...ก็แค่นั้น
เขายังพยายามบอกตัวเองอยู่เช่นเดิม เริ่มคิดถึงอุ่นใจขึ้นมาตงิด ๆ ป่านนี้ไม่รู้นอนซมอยู่ที่ห้องรึเปล่า บางทีหลังจัดการเรื่องอาการบาดเจ็บทั้งหลายนี่เรียบร้อยเขาอาจจะตัดสินใจโดดเรียนสักวันแล้วกลับไปดูแลน้องเล็กที่หอ กบดานมันทั้งวันเผื่อจะได้ยุติเรื่องซวย ๆ นี่เสียที
ปิ่นหยกไม่มีทางรู้ได้เลย ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่เช้าของฤดูฝนที่ท้องฟ้าอึมครึมธรรมดา
ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง...วันนี้ยังอีกยาวไกลนัก
และความซวยเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเองTo be continued…========================================
คุยกันท้ายเรื่องหายไปหลายวันเลยค่ะ มัวแต่เชียร์บอลอยู่ แฮ่ ๆ
อุ่นใจทำตัวเหมือนจะมีอะไรแปลก ๆ ตามคอนเซปต์เรื่องนี้ไม่มีคนปกติ (ฮา) ซึ่งก็จะยังไม่เฉลยทั้งหมดเช่นเคย
//คนเขียนโดนเตะปลิว
แปะรูปมอเตอร์ไซค์ดูคาติที่กริชเอามาชนเสาไฟตอนนี้(ความจริงคือแอบจิ๊กของพ่อมาขี่) เหมาะกับหมีตัวใหญ่ ๆ ดีนะคะ 555
ตอนนี้เป็นบรรยายซะมาก ฉากหวาน ๆ ก็ไม่ค่อยมี อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ ^^