ปรสิต | 05
ร้านข้าวต้มติงลี่ คือสิ่งที่ทั้งคู่เลือกจะจอดรถและลงไปนั่งกินด้วยกัน แพทย์หนุ่มอมยิ้มเล็ก ๆ กับท่าทางที่เหมือนไปอดอยากมาจากไหนของชนกันต์ เขาแค่ลองเชิงถามไปว่าอยากกินอะไรบ้าง แล้วสั่งมาให้ ถึงอีกฝ่ายจะปฏิเสธด้วยสีหน้าเกรงใจ สุดท้ายแล้วกัยข้าวหลายอย่างก็วางอยู่เต็มโต๊ะจนเลือกกินไม่ถูก
“ผมชอบร้านนี้มาก รสชาติถูกปากคุณใช่ไหม”
“อร่อยมากเลยหมอ” พูดเสร็จก็ตักข้าวต้มใส่ปากคำโต นานแค่ไหนแล้วที่เด็กคนนี้อยู่กับความหวาดระแวงจนกินอะไรไม่ลง พอเห็นชนกันต์ดูผ่อนคลายขึ้น เขาก็รู้สึกดีไปด้วย
“งั้นก็กินเยอะ ๆ” อธิศพูดแค่นั้น บางทีเขาควรจะเริ่มบรรลุวัตถุประสงค์ในตอนที่ทั้งคู่อิ่มท้องดีแล้ว เพราะรู้ดีว่าพอถึงตอนนั้น ชนกันต์คงไม่ยิ้มและคีบเอาอาหารใส่ปากอย่างมีความสุขแบบนี้อีก
ครึ่งชั่วโมงสำหรับความสุขประจำวันของว่าที่เภสัชกรน้องใหม่ ตาเรียวรีเสมองต้นเหตุของเสียงฝนก้องจากทางนอกร้าน ขอบคุณที่มีแค่ถนนคอนกรีตและรถยนต์สีซ้ำ ๆ กันบนถนนที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรไปมากกว่าการอยากมากินอาหารร้านนี้ทุกวัน ชนกันต์คีบยำปลาสลิดคำสุดท้ายใส่ปาก ก่อนจะวางรวบตะเกียบไว้ในชามอย่างเรียบร้อย คนตรงข้ามกินเสร็จก่อนเขาไม่นานนัก แล้วตอนนี้หมออธิศก็ประสานสองมือไว้บนโต๊ะแล้วปล่อยให้แผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้ในท่าทีสบาย ๆ อย่างที่ชอบทำ
“เราจะกลับกันเลยหรือเปล่าครับ” คนตัวเล็กถาม เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งอีกฝ่ายแย้มรอยยิ้มออกมานั่นแหละ
“จริง ๆ แล้วผมแค่อยากจะคุยกับคุณสักหน่อย” อธิศเปิดบท เป็นอย่างที่คาดว่าชนกันต์ยกแก้วน้ำปากขึ้นกระดกลงคอแล้วมีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นพิเศษหลังจากนั้น “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
พออีกฝ่ายไม่ได้มองคนไข้ผ่านเลนส์แว่นอย่างทุกทีแล้ว ชนกันต์ก็คิดว่าบรรยากาศระหว่างเขากับชายหนุ่มตรงหน้าดูผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด สายตาที่มองมานั้นไม่ได้คาดคั้น มันกำลังรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น แล้วก็ทำให้เขารู้สึกเสียไม่ได้หากจะเลี่ยงการซักถามในครั้งนี้
“หมออยากให้ผมตอบว่าอะไรล่ะ” คนถูกถามกวนประสาทตอบในประโยคแรก แต่แล้วเขาก็เริ่มพูดในสิ่งที่สมองค่อย ๆ นึกออกอย่างช้า ๆ “ผมก็ยังอยู่คนเดียวไม่ได้ ไอ้เสียงฝีเท้าที่เกินมาหรือว่าความรู้สึกที่เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวก็เหมือนเดิม”
“ครับ” อธิศตอบรับ มันเบาพอที่จะไม่ขัดการบอกเล่าใด ๆ
“ผมยังไม่ได้เล่าให้หมอฟังว่าทำไมวันนั้นผมถึงได้โกรธหมอขนาดนั้น”
ถึงตรงนี้ ชนกันต์ก็เหมือนจะรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าหมออธิศจะเรียกให้มาหาเพื่อนั่งเฝ้าเขานอนหลับแบบนั้น แล้วยังเรื่องที่หันไปเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลอบมองเขามากกว่าสองครั้งในรอบสัปดาห์นี้ด้วย ถึงได้พอรู้ว่าถูกจับตามอง
อธิศโน้มตัวมาข้างหน้าและไม่ได้ตอบรับอะไรอีก นั่นเป็นกิริยาบ่งบอกว่าพร้อมจะตั้งใจฟังข้อมูลใหม่ ๆ แล้ว
“ตอนนั้นผมกลัวที่จะต้องนอนในห้องหมอ แต่ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร แค่งีบสักตื่นก็ได้ยานอนหลับแล้ว ยิ่งหมอบอกว่าจะนั่งเฝ้าผมแบบนั้น...”
“….”
“ไม่รู้ว่าหมอออกไปตอนไหน บอกตรง ๆ ว่าผมง่วงเต็มแก่ แต่พอเริ่มคล้อยจะหลับก็มีเศษผม -- ผมหมายความว่ามีเส้นผมมาระ ๆ หน้าผมอยู่แบบนี้” ทำมือเป็นท่าทางปัด ๆ บนใบหน้า ในตอนนั้นเองที่ชนกันต์กระแอมเล็กน้อยเหมือนตอนที่พยายามขับเส้นผมออกจากปากอีกครั้ง “แล้วพอลืมตา ผมก็เห็นผู้หญิง... เป็นผู้หญิงตัวซีด ๆ ใส่ชุดสีขาว กำลังมองมาที่ผมแล้วก็อ้วกโคลนออกมาเต็มไปหมด”
ร่างเล็กไม่กล้าเสสายตาไปทางอื่นนอกจากมองกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนตรงหน้า เขาแค่กลัวว่าจะต้องเจอใครสักคนกำลังหันมายิ้มให้แล้วอาเจียนดินโคลนใส่แบบภาพในความคิด
“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”
“ผมก็ได้แต่หลับตาปี๋ มันทั้งกลัว ทั้งขยะแขยง รู้สึกเหมือนตัวเองเปียกไปทั้งตัวแต่ก็ไม่กล้าลืมตามองอยู่ดี” ชนกันต์จิกเท้าซ้ายภายใต้รองเท้าผ้าใบเล็กน้อย เขาขยับมันเข้าหาตัว “ขาซ้ายผมโดนจับไว้”
“....”
“ตอนนั้นผมไม่กล้ามองหรอก แต่ก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเลยลืมตา”
“....”
“ผู้หญิงคนนั้นข่วนขาผม จากนั้นหมอก็เข้ามาพอดี”
“....”
“ผมกลัวมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่เคยเจอมันแบบชัดเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าขาตัวเองจะมีแผลจริง ๆ ด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นผมก็โมโหด้วย พอคิดว่าหมอคงหาว่าผมข่วนขาตัวเองแน่ ๆ”
“....”
“ใครมันจะบ้าทำร้ายตัวเองแบบนั้น ผมน่ะรักตัวเองยิ่งกว่าอะไรดี”
มือแกร่งของอธิศขยับน้อย ๆ แทนความคิดที่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งตีความอย่างรุนแรงได้สองทาง ในทุก ๆ ห้าวินาที อธิศจะเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง แต่ในห้าวินาทีต่อมาก็รู้สึกกลับไปทางอีกฝั่ง
“หมอพูดอะไรบ้างสิ” ถ้าร่างสูงยังไม่พูดอะไรออกมา ชนกันต์คิดว่าเขาอาจจะร้องไห้ ในตอนนี้เขาขอแค่คำว่า
แบบนี้นี่เอง หรือ
ผมเข้าใจแล้ว อะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่รอจนแล้วจนรอดเขาก็ยังอยู่กับความผิดหวัง เมื่อหมออธิศไม่ตอบอะไรกลับมาสักที
ท้ายสุดชนกันต์ได้ยินเสียงกุญแจกระทบกันและเสียงดัง
ครืดจากการเคลื่อนเก้าอี้ อธิศหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอยากรู้สึกร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ เพราะคนตรงหน้าเดินผ่านเขาไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ทุกอย่างมันดูแย่สิ้นดีเพียงคิดว่าเก้าอี้ว่าง ๆ ตรงหน้าจะมีผู้หญิงคนนั้นนั่งหัวเราะเยาะแล้วสบถคำว่าไม่มีใครเชื่อชนกันต์ออกมา
ความรู้สึกที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกมันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ไปกันเถอะ”
“ครับ”
ได้ยินเสียงผ่านเข้าหูก็ได้แต่ยืนขึ้นตาม ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังมีท่าทีแบบไหน อธิศอาจจะแค่กำลังเก็บเงินทอนใส่กระเป๋าและนึกอยากพาเขากลับไปส่งที่โรงพยาบาลให้จบเรื่อง หรือกำลังชั่งใจว่าชนกันต์ดูเหมือนคนเสพยาเกินขนาดหรือเปล่า
หลังจากปิดประตูรถก็ได้แต่แปลกใจ เมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับเพียงแค่สตาร์ทรถทิ้งไว้ อธิศเหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปมา
“กันต์”
“ครับ?”
“ช่วยบอกทางไปแมนชั่นของคุณด้วยครับ”
ชนกันต์คิดว่าเขาต้องได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ผิดไปแน่ ๆ นี่น่ะมันงี่เง่าสิ้นดี “หมอหมายความว่าไง”
“ผมจะพาคุณกลับไปส่งที่นั่น”
“หมอ...” แผ่นหลังเหยียดตรงขึ้นจนดูลุกลี้ลุกลน อีกครั้งที่ชนกันต์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาควรจะวางมือไว้ตรงไหน หรือการเปิดประตูรถลงไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เป็นสิ่งที่สมควรทำหรือเปล่า “ไม่... ไม่เอาแน่ ๆ”
“การที่คุณนอนโรงพยาบาลก็ไม่ได้ทำให้คุณนอนเต็มอิ่มขึ้น” นี่อาจจะเป็นสิ่งที่อธิศคิดดีแล้ว ถึงแม้เห็นความตื่นตระหนกของคนตรงหน้าแค่ไหน แต่นายแพทย์หนุ่มก็คิดว่ามันยังไม่มากพอให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนความคิด “เก็บของที่คุณคิดว่าจำเป็น แล้วเราจะกลับไปคอนโด ฯ ผมด้วยกัน”
“....” ชนกันต์รู้สึกเหมือนตัวเองคงเป็นไอ้งั่งถ้าเลือกถามออกไปอีกครั้ง “หมอหมายถึง... ให้ผมไปค้างด้วย? กับหมอ?”
อธิศคิดเรื่องนี้นับตั้งแต่ที่ฟังคำบอกเล่าของชนกันต์จบ เขาให้คำตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าควรเชื่อหรือทำอย่างไรกับความเชื่อของเด็กคนนี้ดี มันคงเลวร้ายมากหากจะด่วนตัดสินว่านี่คือการคิดไปเองอย่างเช่นโรคไฮโปคอนดริเอซิส ยิ่งแสดงออกไปอย่างนั้นก็รังแต่จะส่งผลในทางลบ แต่ด้วยความเป็นคนของวิทยาศาสตร์ทำให้เขาทำใจเชื่อคนไข้คนนี้ได้ยากเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นบทสรุปอันคาดเดาไม่ได้นั่นแหละที่ปลุกนิสัยชอบความท้าทายอย่างช่วยไม่ได้
“มันอาจจะฟังดูน่าโมโหสักหน่อย” ดวงตาคมปราดมองเขาจากที่นั่งฝั่งคนขับ นี่อาจเป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดหรือส่งผลใด ๆ ก็ตามแต่ “แต่ผมกำลังพยายามเข้าใจคุณอยู่”
“หมอไม่เชื่อผม...”
“ไม่ใช่” ตาของอธิศเป็นสีดำวาว มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสายตาของปราชญ์ “ขอพูดอีกครั้ง ว่าผมกำลังพยายามที่จะเข้าใจคุณอยู่”
รถยนต์สีขาวถอยออกจากที่จอดในขณะที่ชนกันต์มองเห็นแค่หมอนกั้น แสงไฟสีเหลืองสาดผ่านรถคันข้าง ๆ แต่แค่ครู่เดียว การจราจรของกรุงเทพ ฯ ในตอนกลางคืนก็พากันยัดเยียดเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา ถนนเบื้องหน้าดูเหมือนโถงทางเดินสีขาวของโรงพยาบาล และเบาะรถนุ่ม ๆ นี่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากรถเข็นคนไข้เลยสักนิดเดียว
‘ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่คนเดียว’เหมือนหมออธิศจะบอกเขาอย่างนั้น ทั้งที่ปากไม่ได้ขยับและสายตายังทอดมองไปอีกทาง
------------------------------------------------------
ศรัณย์ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าคอนโดมิเนียมของเขาจะชวนให้รู้สึกวังเวงได้เท่านี้ หลังจากจอดรถเข้าที่จนล้อแตะกับหมอนกั้นเรียบร้อยแล้ว ร่างผอมโปร่งก็เอื้อมแขนไปหยิบกระเป๋าส่วนตัวจากเบาะนั่งข้าง ๆ แล้วเปิดประตูรถ ยามคนใหม่ไม่ได้มีนิสัยช่างคุยเหมือนคนเก่าที่พร้อมเอ่ยทักทายว่า
คุณหมอทุกครั้งที่เจอหน้า ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้เขาเพลียเกินกว่าจะมานั่งร่ายชีวิตประจำวันให้ใครสักคนฟัง
ลิฟท์สองตัวตั้งอยู่คู่กันและมีบันไดอยู่ทางซ้ายมือ ห้องของเขาอยู่ชั้นเจ็ด แน่นอนว่าศรัณย์ไม่มีทางใช้บันไดแน่ตราบใดที่เขายังจ่ายค่าส่วนกลางครบตามกำหนดและมีสิทธิ์รับสวัสดิการทุกอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ รอไม่ถึงครึ่งนาทีลิฟท์ก็เลื่อนลงมาจากชั้นหกและส่งเสียงดังเรียกให้เขาก้าวเท้าขวาไปยืนรอหน้าลิฟท์ตัวที่สอง กดเลขเจ็ดอย่างลวก ๆ และเดินเข้าไปยืนพิงผนังลิฟท์ทางด้านในสุด หากแต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเส้นผมสีดำขลับยาวระกลางหลังยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับประตูลิฟท์ซึ่งปิดลง หยัดตัวขึ้นตรงเล็กน้อยเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ใช้ลิฟท์เพียงคนเดียว หญิงสาวไม่กดปุ่มที่ชั้นไหน และนั่นหมายความว่าตัวเลือกในการคาดเดานี้มีเพียงทางเดียวว่าเธอคงเป็นเพื่อนบ้านชั้นเดียวกันไม่ผิดแน่
ภาพสะท้อนบนบานประตูไม่ได้ชัดเจนนัก มันบิดเบี้ยวตามรอยเจียโลหะและช่วยเรื่องที่พยายามนึกการมีอยู่ของเธอได้แค่รูปพรรณคร่าว ๆ เพราะไม่ได้อยู่ติดห้องนัก ศรัณย์จึงไม่แปลกใจหากว่าเขาจะจำผู้อาศัยไม่ได้ครบทุกคน
ทันทีที่พื้นชั้นเจ็ดปรากฏแก่สายตา นายแพทย์หนุ่มยืนรอจนอีกฝ่ายเดินออกจากลิฟท์ไปก่อนแล้วเขาค่อยเดินตาม หากแต่เสียงดังจากพวงกุญแจรถที่ตกบนพื้นนั้นกลับเรียกฝีเท้าให้หยุดลงเพื่อก้มเก็บ ศรัณย์ไม่คิดว่าการทำงานเป็นผู้เสียสละจะทำให้เหน็ดเหนื่อยจนมือไม้อ่อนขนาดนี้
หากทันทีที่ช้อนระดับสายตาสูงขึ้นก็ยิ่งเบิกโพลง เมื่อเห็นชายกระโปรงสีขาวของหญิงสาวในลิฟท์หยุดอยู่หน้าห้องของเขา น่าเวียนหัวเล็กน้อยสำหรับการหยัดตัวขึ้นในระยะเวลาเสี้ยววินาที เขาคิดว่าตัวเองมองผิด แต่ความไม่แน่ใจกลับยิ่งเด่นชัดเมื่อมองในระดับสายตาปกติแล้วเห็นร่างไว ๆ ของเธอเปิดประตูเข้าไปในห้องเขาก่อนจะปิดลงเฉกเช่นเจ้าของห้อง
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ยังจุดที่ผู้หญิงคนเมื่อครู่ยืนอยู่ เลือกเอาลูกกุญแจที่จำได้ขึ้นใจแล้วใส่ไปในรูลูกบิดนั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่น เพ่งมองเลขห้องแล้วไม่ผิด แต่ศรัณย์กลับไขประตูไม่ออก “เก้า” ร้องเรียกคนในห้องเมื่อจิตใจรู้สึกผิดปกติขึ้นมา ใช้แรงกระแทกประตูเล็กน้อยตอนที่พยายามหมุนลูกกุญแจเพื่อเปิดให้ออก หลังรู้ว่ามันไม่ได้ผล ศรัณย์ก็ส่งเสียงเคาะแล้วร้องเรียกคนข้างในซ้ำ ๆ “เก้า ได้ยินไหม”
ศรัณย์ไม่ใช่คนช่างหึงหวงที่จะคิดไปถึงเรื่องพรรค์นั้นเป็นอันดับแรก เขาแทบยังไม่มีความคิดใด ๆ ในหัวด้วยซ้ำนอกจากความต้องการที่จะเข้าไปในห้องซึ่งตนเป็นเจ้าของ อย่างน้อยรามิลก็ควรขานตอบมาบ้าง หรือถ้านานกว่านี้ ศรัณย์อาจจะต้องลงไปเรียกยามประจำตึกมาช่วยดู
“เก้า! เปิดประตู ได้ยินพี่ไหม” ร้อยวันพันปีกุญแจไม่เคยมีปัญหา แล้วศรัณย์ก็ไม่คิดว่าไอ้การที่พวงกุญแจตกจากมือเขาเมื่อครู่มันแรงมากพอให้สร้างรอยบิ่นใด ๆ นี่มันดึกเกินไปสำหรับการที่เขาจะกระแทกกระทั้นให้เกิดเสียงดังโครมครามรบกวนห้องอื่น ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าไม่ควรจัดการเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองในกลางดึก อย่างน้อยยามรักษาความปลอดภัยก็อาจมีกุญแจสำรอง และนั่นทำให้เขาหมุนตัวกลับไปทางลิฟท์ซึ่งเพิ่งเดินออกมาทันที
“....!!”ร่างทั้งร่างผงะถอยเมื่อเห็นคนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้า รามิลในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสามส่วนดูแปลกใจอย่างคนที่เจอสิ่งผิดปกติ มือข้างหนึ่งถือถุงร้านสะดวกซื้อ ส่วนอีกมือเป็นพวงกุญแจส่วนตัวห้อยสัญลักษณ์ฮีโร่อย่างที่เจ้าตัวชอบ
“เก้า?”
“มีอะไรเหรอครับ” เจ้าของชื่อถามกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน รองเท้าแตะของรามิลยังมีคราบเปรอะ ๆ จากพื้นแฉะฝนภายนอก แล้วศรัณย์ก็ถามสิ่งที่ไม่น่าถามออกมา
“หายไปไหนมา”
รามิลดูงงงวยยิ่งกว่าเก่า เด็กหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ แล้วชูถุงร้านสะดวกซื้อขึ้นให้คนตรงหน้าดู “ผมไปหาอะไรกินที่เซเว่นมา ไม่คิดว่าพี่จะกลับเร็ว ไม่งั้นคงรอชวนไปหาอะไรกินด้วยกันแล้ว”
น่าแปลกใจที่ศรัณย์ไม่เปิดประตูห้องเข้าไปเพื่อพูดคุยกันข้างในห้องอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่กุญแจก็คาอยู่ตรงลูกบิด เอื้อมตัวผ่านคุณหมอรุ่นพี่เล็กน้อย รามิลก็ไขกุญแจนั้นจนเกิดเสียงปลดล็อก นั่นยิ่งสร้างความแปลกใจให้ศรัณย์เมื่อประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย คนอ่อนวัยเดินนำเข้าไปในห้อง ทุกอย่างปกติดีเหมือนตอนที่เขาเพิ่งล็อกและออกไปเมื่อสิบนาทีก่อนไม่มีผิด แท็บเล็ตยังคงวางไว้บนเตียงที่เดิม ไฟก็ถูกเปิดทิ้งไว้ ที่แปลกไปก็คงมีแต่คนรักซึ่งได้แต่ยืนอยู่ตรงประตูโดยที่ไม่ยอมเข้ามาถอดรองเท้าให้เรียบร้อยเสียที
“พี่เสือ”
ในห้องไม่มีความผิดปกติใด ๆ ไม่มีคนแปลกหน้า ไม่มีผู้หญิงผมยาวที่เขาเห็นกับตาว่าเธอเดินเข้ามาในห้องนี้ ศรัณย์เดินเข้ามาทั้งที่ไม่ถอดรองเท้าหนังดำขลับ เขาวางกระเป๋าไว้บนเตียงอย่างลวก ๆ เดินไปเปิดประตูห้องน้ำดูและผละไปที่ระเบียง ตรวจดูจนแน่ใจแม้แต่การชะโงกหน้าลงไปมองลานจอดรถทางด้านล่าง ห้องนี้ไม่มีที่ให้หลบซ่อนอีกแล้ว
มันเป็นไปได้ยังไง
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า” สัมผัสอุ่น ๆ ของรามิลแตะลงบนบ่า ดวงหน้าขาวนั้นไม่ได้ส่อพิรุธว่ามีสิ่งแปลกปลอมใด ๆ เกิดขึ้น ศรัณย์ได้ตรวจดูจนแน่ใจกับตาตัวเองแล้ว เขาไม่รู้ว่าอาการตาฝาดมันน่าโมโหขนาดนี้
“ไม่มีอะไร” ตอบกลับปัด ๆ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นเก้ ๆ กัง ๆ เมื่อคิดขึ้นได้ว่าได้เผลอทำห้องเปื้อนรอยดินไปจนทั่ว “เอ้อ... ’โทษทีนะ”
รามิลหัวเราะ “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมถูพื้นเอง พี่ดูเหนื่อย ๆ นะ”
พูดจบก็เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเอาน้ำเปล่าขวดเล็กขึ้นมาแกะพลาสติกหุ้มฝาออกแล้วยื่นให้อีกฝ่าย รามิลรู้ว่าศรัณย์ทำงานหนัก อายุรแพทย์มักจะขาดแคลนเสมอสำหรับโลกที่คนยังป่วยออด ๆ แอด ๆ แบบนี้
“ขอบใจ” รับขวดน้ำเย็นที่ถูกเปิดฝาแล้วกระดกใส่ปาก อย่างน้อยถ้าเขาสดชื่นขึ้นก็อาจจะมีสติกว่านี้บ้าง
“แค่ก ๆๆ”“พี่เสือ!”
เด็กหนุ่มรีบเข้ามาดูอาการพลางลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วง สีหน้าศรัณย์เหยเก นายแพทย์ลดระดับมือลงจ้องฉลากบนขวดน้ำแล้วพูดทั้งที่คิ้วยังไม่คลายปม “ทำไมน้ำถึงเหม็นแบบนี้”
คนฟังเลิกคิ้ว รามิลรับขวดน้ำจากมือคนตรงหน้ามาดม ๆ ดูแต่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาดไปกว่าน้ำเปล่าปกติยังไง เลยลองยกดื่มดูเสียสองสามอึก
“ก็ปกตินี่ครับ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ศรัณย์ก็รู้เลยว่าเขาคิดไปเองคนเดียวอีกแล้ว
------------------------------------------------------
( มีต่อ )