คุณครูพี่มิน 15
เป็นเวลาเกือบเย็นกว่าแพทจะออกมาจากตึกวิศวะ
“แพทไม่ไปด้วยกันจริงๆ เหรอ” ส้มโอชวนอีกครั้งและแน่นอนเป็นอีกครั้งที่แพทปฏิเสธให้หญิงสาวชักสีหน้าใส่ก่อนจะเดินตามเพื่อนคนอื่นๆ ไปอย่างอ้อยอิ่ง
แพทไม่ได้มองตามเพื่อนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัย เขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วมุ่งหน้าไปยังตึกคณะสังคมศาสตร์
รู้ทั้งรู้ว่าถึงแม้จะถ่อมาหาถึงที่ดอกเตอร์เมฆก็คงไม่ให้เขาช่วยอะไรทั้งนั้นแต่ก็ยังมากับความคิดที่ว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก แต่เอาเข้าใจทุกอย่างกลับไม่เป็นดังหวัง
นอกจากไม่ยอมให้ช่วยตรวจข้อสอบแล้ว ยังไล่กลับบ้านด้วยท่าทีเฉยชาสุดๆ ให้แพทต้องกลับมานั่งหงอยเป็นหมาเหงาที่อู่ของต๊อดครึ่งค่อนวัน
“ต๊อดๆ พี่มินเคยปรึกษาต๊อดเรื่องความรักบ้างมั้ย” เจ้าของอู่ซ่อมรถที่วันนี้ค่อนข้างว่างละมือจากโทรศัพท์มือถือแล้วหุบยิ้มก่อนจะหันมาคุยกัน
“ไปรู้ไปเห็นอะไรมาอีกล่ะ”
“เมื่อคืนพี่มินออกไปกับผู้ชายคนนึง บอกว่าชื่อพิพัฒน์ พี่มินเคยเล่าเรื่องเขาให้ต๊อดฟังบ้างมั้ย”
“ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อ” ความจริงก็คือมินไม่ค่อยเอาเรื่องที่มหาวิทยาลัยมาเล่าให้ต๊อดฟังเท่าไหร่หรอก
พอได้ยินอย่างนั้นแล้วแพทก็ค่อยโล่งอกหน่อย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...
“พี่มินชอบผู้ชายแบบไหนเหรอต๊อด”
“มันอาจจะชอบผู้หญิงก็ได้นะ”
“แบบนั้นก็ดีสิ”
“หืม” ต๊อดแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำของแพท ให้อีกฝ่ายต้องรีบอธิบาย
“ก็ถ้าพี่มินชอบผู้หญิง อย่างน้อยผู้ชายคนเมื่อคืนก็ไม่ใช่คู่แข่งของแพทไง อีกอย่างช่วงนี้แพทก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้หญิงที่ไหนป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ พี่มินเลย”
“ไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีซักหน่อย”
“ต๊อดพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“เปล่า กูก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ อย่าใส่ใจเลย” พูดออกมาขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่มาบอกให้ไม่ต้องใส่ใจเนี่ยนะ ใครจะไปคิดน้อยได้อย่างต๊อดล่ะ
“พูดมาขนาดนี้แล้วอะต๊อด มีอะไรก็บอกกันสิ”
“จะให้กูบอกอะไรล่ะ มันไม่มีอะไรให้บอก”
“ตาล้อกแลกขนาดนี้จะไม่มีอะไรได้ยังไง”
“กูไม่รู้หรอกนะว่ามินมันชอบคนแบบไหน แต่คนที่มันไม่ชอบมากๆ เลยคือคนนิสัยแบบมึงเนี่ย” แพทสตั๊นไปเลยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“คนแบบแพทมันเป็นยังไงอะต๊อด”
“ทำตัวให้มันเป็นผู้ใหญ่กว่านี้หน่อย” แพทมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ที่ยังทำตัวเป็นเด็กๆ ก็แค่เวลาอยู่กับพวกผู้ใหญ่ที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น แน่นอนว่าหนึ่งในผู้ใหญ่เหล่านั้นมีพี่มินอยู่ด้วย
ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่เวลาอยู่ต่อหน้าพี่มินอย่างนั้นเหรอ
ก็คงไม่ยากเกินไป
ตลอดชั่วโมงเรียนวันนี้แพททำให้มินประหลาดใจไม่น้อย
จะว่าอย่างไรดี ปกติเจ้าเด็กนั่นต้องเอาแต่นั่งเท้าคางมองเขาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่วันนี้กลับตั้งใจเรียนโดยไม่วอกแวกเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าก็เคร่งขรึมกว่าครั้งไหนๆ
ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้แพทเปลี่ยนไป แต่ตั้งใจเรียนก็ดี
“ทุกคนเช็คคะแนนสอบแล้วใช่มั้ยครับ”
เสียงตอบว่า ‘ใช่’ ดังอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย
“พอใจรึเปล่าครับ”
คราวนี้เสียงแตกเป็นสองฝ่าย และดังอื้ออึงหนักกว่าเมื่อครู่อีก
“ผมยังไม่ค่อยพอใจเลย คิดว่าทุกคนจะทำคะแนนได้ดีกว่านี้ซะอีก อาจจะพลาดที่ตัวผมเอง ยังไงฝากทุกคนช่วยประเมิณกันหน่อยได้มั้ยว่ามีตรงไหนที่ผมต้องปรับปรุงบ้าง เดี๋ยวชั่วโมงหน้าจะมีกล่องมาวาง ทุกคนหย่อนกระดาษลงกล่องได้เลย”
“อาจารย์น่าจะบอกแนวข้อสอบก่อนสอบนะคะ” นักศึกษาหญิงคนนึงยกมือขึ้นก่อนว่า
แพทหันไปมองด้วยความสนใจ เธอคนนั้นหน้าตาสะสวยมากทีเดียว มากจนคิดว่าหนุ่มๆ อาจจะตกหลุมรักทันทีที่ได้สบกับดวงตากลมโตของเธอ
“ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าพวกคุณเรียนเพื่อสอบเฉยๆ โดยที่ไม่สามารถนำไปใช้จริงได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนครับ”
เธอหน้าจ๋อยไปเลย เห็นอย่างนั้นแล้วแพทก็ได้แต่นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
“แทนที่จะหวังให้ผมบอกแนวข้อสอบ เรามาช่วยกันหาวิธีการสอนที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจบทเรียนได้ง่ายไม่ดีกว่าเหรอ หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกคนนะครับ”
สิ้นประโยค อาจารย์เจ้าของวิชาก็เก็บเอกสารมากมายของตนมาถือไว้แล้วเดินออกจากห้องก่อนใครเพื่อน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องปกติของดอกเตอร์เมฆ เพราะทุกครั้งเขาจะรอจนกว่านักศึกษาออกจากห้องหมดแล้วค่อยเก็บของออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย
พูดถึงคะแนนสอบแล้วแพทก็เศร้า
อีกแค่นิดเดียวคะแนนก็จะถึง 80% แล้วแท้ๆ
“ดอกเตอร์ครับ” คนถูกเรียกหยุดฝีเท้าที่โถงบันได เมื่อเอี้ยวตัวไปมองก็พบกับแพท ในมือของนักศึกษาหนุ่มมีกล่องไม้ใบเล็กอยู่
“ว่าไง”
“ผมดูคะแนนสอบแล้ว”
“อ่อ ไม่ถึง 80%”
“ครับ ผมมาทำตามสัญญา”
“น่าเสียดายนะ อีกแค่ไม่ถึง 0.5% แท้ๆ”
“ดอกเตอร์ปัดขึ้นให้หน่อยไม่ได้เหรอครับ”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหน”
อยากจะงอแงขอร้องอ้อนวอนแทบขาดใจ แต่คำของต๊อดที่บอกว่าพี่มินชอบคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ก็ฉุดรั้งเอาไว้ กระนั้นสีหน้าก็แสดงออกชัดเจนว่าเสียดายมากแค่ไหน
กล่องไม้ถูกยื่นมาตรงหน้าอย่างอ้อยอิ่ง พอมินยื่นมือไปรับแพทกลับไปยอมปล่อย กลายเป็นว่ายื้อกันอยู่อย่างนั้น
“ร่ำลากันพอรึยัง”
“พอก็ได้ครับ” แม้จะไม่อยากปล่อยมือแต่อย่างไรก็ต้องตัดใจยอมปล่อยอยู่ดี
“ฝากถือหน่อยสิ” เอกสารต่างๆ ถูกยื่นมาให้แพทรับมาถือไว้ ขณะที่สายตาจับจ้องกล่องนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์
มินเปิดกล่องออก เขาแทบไม่เชื่อสายตา คูปองสะสมความดีในกล่องนี่มันเยอะเกินกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้ เขาละสายตาจากของในมือเงยหน้ามองเจ้าของมันด้วยสายตาอ่านยาก
“อึ้งไปเลยล่ะสิ” อย่างน้อยถ้าหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีก แพทก็อยากให้พี่มินรู้ว่าเขาพยายามเพื่อมันมากแค่ไหน
“โกงรึเปล่า”
“ไปถามแม่ได้เลย แพทไม่เคยโกง แม่บอกว่าคนขี้โกงเป็นคนเลว”
“ทั้งที่ตอนเป็นเด็กดูเหมือนจะเป็นเด็กดีแท้ๆ”
“อะไรอีกล่ะ ตอนนี้แพทก็...” ไม่กล้าพูดว่าเป็นคนดีเต็มเสียง เพราะแพทรู้ว่าเส้นทางระหว่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ขาวสะอาดขนาดนั้น
ทั้งไปแว้นซ์ ทั้งทะเลาะวิวาท ดื่มเหล้าตั้งแต่อยู่ม.ต้น แถมยังโดดเรียนเป็นว่าเล่น
“อันนี้พี่คืนให้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นนะ”
คูปองสะสมความดีจำนวน 5 ใบถูกส่งคืนมาแลกกับเอกสารที่ฝากไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเทียบกับคูปองมากมายในกล่องนั้น ที่อยู่ในมือแพทตอนนี้ถือว่าน้อยนิดจนแทบจะไร้ความหมาย แต่สำหรับแพทพวกมันเปรียบเสมือนโอกาสที่พี่มินหยิบยื่นให้เพื่อเขาจะได้ใช้มันเพื่อเอาแต่ใจตัวเองในซักวัน
“เย็นนี้พี่มินไปไหนไหมครับ”
“ไม่นะ”
“ไปฟังไอ้เซียนร้องเพลงด้วยกันมั้ย”
“อันนี้ใช้คูปองสะสมความดีรึเปล่า”
“ไม่ครับ”
“ขอคิดดูก่อน เดี๋ยวเย็นๆ บอก”
“งั้นแพทไปส่งที่ตึก”
“ไม่เป็นไรหรอก มีเรียนต่อไม่ใช่เหรอ”
“งั้นเจอกันเย็นนี้”
“ไม่แน่นะ ผมอาจจะปฏิเสธก็ได้”
พี่มินไม่ปฏิเสธหรอก แพทมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นด้วยซ้ำ ถ้าตั้งใจจะปฏิเสธจริงๆ พี่มินไม่ใช้เวลาคิดเยอะหรอก เผลอๆ อาจจะพูดออกมาตรงๆ ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“เซียนร้องเพลงเพราะดี”
เห็นไหมล่ะบอกแล้วว่าพี่มินไม่มีทางปฏิเสธแพท แต่มาร้านเหล้าทั้งทีกลับไม่ยอมดื่มเหล้าแม้แต่นิดเดียว น่าเสียดายชะมัด ทั้งที่แพทอยากเห็นพี่มินตอนเมามากขนาดนั้นแท้ๆ
“แต่เซียนชอบเล่นกีตาร์มากกว่าครับ”
“ก็ดีนะที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วแพทล่ะ”
“วกมานี่ได้ไงอะ” คนที่ทั้งชีวิตนี้ไม่รู้ว่าความฝันของตนคืออะไรทำเป็นมองไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม
“คนเรามันต้องมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตนะ”
“แพทก็มีนะเป้าหมายชีวิต”
“อะไรล่ะ”
“พี่มินไง”
“พระเอกลิเกสัดๆ” คำพูดเลี่ยนๆ ของเพื่อนตนที่ไม่ได้ยินบ่อยๆ ทำเอาเซียนแทบจะขย่อนมื้อเย็นออกมา เห็นอย่างนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ถึงตนจะสนิทกับแพทแค่ไหน ก็มีมุมอื่นที่เพื่อนสนิทไม่มีทางได้เห็น แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เห็น
“ถ้ากูเป็นพระเอกลิเกก็คงดังระดับไชยา มิตรชัยแหละ”
“รู้จักไชยา มิตรชัยด้วยเหรอเรา”
“คุณยายเป็นแม่ยก นี่แพทก็กลัวอยู่นะว่าคุณแม่อาจจะเจริญรอยตามคุณยาย”
“ถ้าท่านทำแล้วมีความสุขก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แพทน่ะเคยห้ามคุณแม่ได้ที่ไหน”
“ดราม่าเฉยไอ้เวร” เซียนว่าพร้อมตบหัวเพื่อนฉาดนึงให้แพทลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ เกือบจะหันไปอ้อนพี่มินแล้วแต่ก็คิดได้ก่อนว่าต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าไว้
ทั้งหมดพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยระหว่างทางเดินสู่ลานจอดรถ วันนี้มินอาสาไปส่งทุกคนเองแต่แผนที่คิดเอาไว้ก็พังไม่เป็นท่าเมื่อพบว่ารถที่จอดไว้เฉยๆ ถูกชน
“ไอ้เวรตัวไหนวะ”
หนุ่มนักศึกษาทั้งคู่มองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อคนที่สุภาพตลอดเวลาอย่างมินสบถอย่างหัวเสีย เท้าในรองเท้าหนังเงาวับเตะเข้าที่ล้อรถเพื่อระบายอารมณ์ทีนึง ท่าทางพวกนั้นทำให้แพทนึกได้ว่าพี่มินน่ะก็เป็นมนุษย์คนนึง มีความรู้สึกเหมือนพวกเขานี่แหละ ไม่ใช่ผู้วิเศษมาจากไหนเลย
“พี่มินดูกล้องหน้ารถสิครับ เซียนว่ามันน่าจะบันทึกภาพตอนนั้นไว้ได้”
และก็จริงอย่างเซียนว่า ภาพในกล้องหน้ารถปรากฏทะเบียนรถคันที่ชนชัดเจนทีเดียว
“ซวยซ้ำซวยซากจริงๆ” มินยังบ่นไม่เลิกขณะรอประกัน
“นั่นสิ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งชนมา” แพทสำทับ
“ควรจะไปทำบุญบ้างนะผมว่า” คราวนี้เซียนเสนอ
“ทำบุญก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ในเมื่อคนเรายังทำอะไรด้วยความประมาทอยู่แบบนี้”
“สาธุ” สองหนุ่มประนมมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงก่อนจะหัวเราะออกมาให้คนที่หัวเสียมีรอยยิ้มขึ้นมาหน่อย
มินนึกขอบคุณทั้งคู่จากใจจริง ถ้าตอนนี้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวคงเอาแต่โกรธและหัวร้อน ไม่มีทางที่จะยิ้มได้แบบนี้อย่างแน่นอน
นั่นก็เป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าการที่เขาเลือกกลับมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแต่อย่างใด
เพราะอุบัติเหตุคืนนั้นทำให้มินต้องกลับมาใช้บริการรถสาธารณะอีกครั้ง
ช่วงนี้มินใช้บริการแอปพลิเคชั่นเรียกรถแท๊กซี่จนกลายเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว
วันนี้หลังจากสอนเสร็จ ระหว่างที่กำลังกดปุ่มเพื่อเรียกรถอย่างทุกวัน พิพัฒน์ก็เดินเข้ามาหา
“กำลังจะกลับบ้านเหรอครับดอกเตอร์” มินหยุดนิ้วที่กำลังแตะลงบนหน้าจอแล้วเงยหน้าขึ้นทักทาย
“คุณพิพัฒน์ก็กำลังจะกลับเหรอครับ”
“ใช่ครับ อ่อ เมื่อกี้ก่อนที่ผมจะออกมาเห็นนักศึกษาที่เคยปรึกษาเรื่องงานวิจัยกับดอกเตอร์มารออยู่”
“จริงด้วย เกือบลืมไปเลย ขอบคุณครับถ้าไม่เจอคุณพิพัฒน์ป่านนี้ผมคงกลับถึงบ้านแล้ว”
“ดีใจที่เจอผมงั้นเหรอครับ” คำที่ไม่คิดอะไรของดอกเตอร์เมฆแต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะถ้าไม่เจอคุณพิพัฒน์ผมต้องแย่แน่ๆ เลย”
“ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นตึกด้วยกันเลยมั้ยครับ”
“อ้าว เมื่อกี้คุณพิพัฒน์บอกจะกลับบ้านแล้ว”
“พอดีเพิ่งนึกได้ว่าลืมของ ว่าจะกลับไปเอาซักหน่อย เอกสารในมือนั่นให้ผมช่วยถือมั้ย ท่าทางหนักน่าดูเลย” พิพัฒน์ยื่นมือมาแต่ก็ถูกปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ ผมถือจนชินแล้ว”
“ดอกเตอร์ไม่คิดจะให้โอกาสผมบ้างเหรอครับ”
กล้าดียังไงมาใช้สายตาออดอ้อนมองพี่มินของแพท เด็กหนุ่มที่ตั้งใจมารับคนไม่มีรถขับกลับบ้านแต่ดันมาเจอภาพบาดใจจังๆ กำมือแน่นขณะซ่อนตัวหลังเสามองภาพนั้นอย่างไม่ค่อยพอใจ
แพทจำได้ว่าคุณคนนี้คือคนที่พี่มินออกไปด้วยในคืนนั้น ชื่ออะไรนะ พิพัฒน์หรืออะไรซักอย่างที่แพทไม่อยากจำให้เปลืองสมอง
ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูเหนือกว่าแพทจนนึกหวั่นใจ
ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ยินหรอกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ดูจากสายตาคุณคนนั้น ดูจากท่าทางลังเลของพี่มิน คงถึงเวลาที่แพทต้องทำอะไรซักอย่าง
“ดอกเตอร์ครับ” ทั้งคนถูกเรียกว่าดอกเตอร์ทั้งคนไม่คุ้นหน้าต่างหันมายังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทันทีที่ก้าวเข้ามาใกล้แพทก็ถือโอกาสฉวยเอกสารในมือมินมาถือเอาไว้เอง คนที่อยู่ๆ ก็ถูกแย่งเอกสารไปทำหน้าเลิกลั่ก เลิกคิ้วสูงมองแพทเพื่อขอคำตอบ
“กลับกันเลยมั้ยครับ”
“หืม เรานัดกันไว้เหรอ” คำถามของดอกเตอร์เมฆทำแพทเสียหน้ามาก และยิ่งตอนที่มองไปยังบุคคลที่ 3 ซึ่งยกยิ้มเยาะนิดๆ ก็ยิ่งคิดว่าครั้งนี้ต้องเอาชนะให้ได้
“ผมก็มารับดอกเตอร์ทุกวันนี่ครับ” แต่ดอกเตอร์ไม่ยอมกลับด้วยซักวัน อุตส่าห์ไปหาหมวกกันน็อคมาให้ก็แล้วยังไม่ยอมใจอ่อนเลย จงเกลียดจงชังมอเตอร์ไซค์อะไรนักหนาก็ไม่รู้
ที่จริงแพทจะหงายคูปองสะสมความดีก็ได้ แต่อย่างที่รู้ว่ามันมีน้อย เพราะงั้นก็เลยคิดว่าเก็บไว้ใช้สอยอย่างประหยัดน่าจะดีกว่า
“แต่น่าเสียดายจังเลยนะครับที่วันนี้ดอกเตอร์ต้องไปกับผม” พิพัฒน์ที่เงียบมาซักพักเอ่ยขึ้นพลางยื่นมือมาตรงหน้า “ส่งเอกสารพวกนั้นคืนมาเถอะครับ”
แพทไม่ส่งเอกสารคืนทันที เขามองไปยังมินคล้ายกำลังปรึกษาแต่คนเป็นดอกเตอร์กลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
ผิดหวังชะมัด ทั้งที่คิดตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้วว่าต้องถูกปฏิเสธอีกแน่ แต่พอมาพบว่าตนถูกปฏิเสธเพราะเขาจะไปกับคนอื่นก็รู้สึกผิวหวังมากๆ เลย
ท้ายที่สุดแล้วแพทก็จำต้องส่งเอกสารคืน ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกมาอย่างคนขี้แพ้
มินมองตามแผ่นหลังกว้างที่ห่อลงจนลับสายตา
พักหลักมานี้แพทไม่ค่อยมาวอแวนัก วันนึงเจอกันแค่ตอนที่น้องมารับพอถูกปฏิเสธก็กลับบ้านไปโดยไม่ตื๊ออะไร ท่าทางที่แสดงออกก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น โดยรวมแล้วก็ดีแต่มินกลับไม่รู้สึกดีเลยซักนิด ถ้าตื๊ออีกซักหน่อยก็จะยอมกลับด้วยแล้วแท้ๆ เด็กโง่
“ญาติดอกเตอร์เหรอครับ”
“ญาติ?” มินหันไปมองพลางทวนคำถามก่อนตอบ “เปล่าครับ”
“เป็นนักศึกษามอเรารึเปล่า”
“ใช่ครับ ปี 3 แล้วแต่ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่เลย”
“เขาดูผิดหวังมากเลยตอนที่ถูกดอกเตอร์ปฏิเสธ สงสัยจังว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน” มินตกใจนิดหน่อยกับคำถามตรงไปตรงมาของพิพัฒน์ ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบดั่งเช่นปกติ
“เคยเป็นเด็กในปกครองครับ แต่ตอนนี้ก็คงอยู่ในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ล่ะมั้ง”
“ค่อยโล่งอกหน่อย” พิพัฒน์ยิ้มด้วยใบหน้าคลายกังวล
“เรื่องอะไรครับ”
“อย่างน้อยเด็กนั่นก็ไม่ใช่คู่แข่งของผม” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่สายตาที่ทั้งคู่มองกันมันชวนให้หวั่นใจอยู่ไม่น้อย อย่างไรซะก็ต้องจับตาดูเด็กนั่นเอาไว้ให้ดี
“แข่งเรื่องอะไรกันล่ะครับ”
ถามออกไปแล้วจึงคิดได้ว่าพิพัฒน์หมายถึงคู่แข่งในแง่ไหน
มินหยุดเดินเมื่อพวกเขาก้าวผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามาในตึก หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนข้างกาย มองอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“ถ้าคุณพิพัฒน์หมายถึงคู่แข่งในแง่นั้นล่ะก็ อย่าคิดจะแข่งเลยครับ”
คนที่อยู่ๆ ก็ถูกปฏิเสธทั้งที่ยังไม่ได้สารภาพความในใจหยุดเดินแล้วมองดอกเตอร์เมฆด้วยสีหน้าที่สลดลงนิดหน่อย หัวใจในอกซ้ายที่พองโตมาจนถึงเมื่อครู่ก็ห่อเหี่ยวลงในทันที
“คุณพิพัฒน์เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีครับ ถ้าพูดแบบเห็นแก่ตัว ผมก็จะบอกว่าผมไม่อยากเสียเพื่อนร่วมงานดีๆ ไปเพราะเรื่องแบบนั้น”
“แต่ว่าผม ผมไม่ได้รู้สึกกับดอกเตอร์แค่เพื่อนร่วมงาน”
“ครับ” ดอกเตอร์เมฆตอบรับเต็มเสียง “ถึงจะไม่มีกฏข้อไหนห้ามแต่ผมคิดว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะและไม่มีทางเป็นไปได้ครับ”
พิพัฒน์กำมือแน่น มีคำมากมายที่อยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่สามารถพูดมันอย่างตรงไปตรงมาได้
เขาจ้องมองใบหน้าจริงจังของดอกเตอร์เมฆด้วยสายตารักใคร่อยากไม่ปิดบังเป็นครั้งแรก หากอีกฝ่ายกลับไม่มีวี่แววหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ถ้าจะให้ตัดใจตอนนี้ล่ะก็...พูดง่ายเหลือเกิน ถ้าปฏิบัติง่ายอย่างปากว่าก็คงดี
“ดอกเตอร์ใจร้ายจังเลยครับ” คนถูกหาว่าใจร้ายน้อมรับคำแต่โดยดี “ผมยังไม่ได้เริ่มจีบดอกเตอร์ด้วยซ้ำ ยังไม่ได้บอกความในใจ ยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าผมชอบดอกเตอร์มากแค่ไหน ไม่คิดจะให้โอกาสกันบ้างเลยเหรอครับ”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะให้โอกาส เพราะไม่ว่าอย่างไรผมก็คิดกับคุณพิพัฒน์เกินกว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้”
“เพราะอะไรครับ เพราะดอกเตอร์มีคนที่ชอบอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องบอกเหตุผล”
“ถ้าดอกเตอร์ไม่บอก ผมก็จะไม่หยุด”
“อย่าดื้อรั้นให้มันมากเลยครับคุณพิพัฒน์ เพราะความดื้อรั้นของคุณอาจจะพาความเดือดร้อนมาให้พวกเราในซักวัน”
“ผมไม่กลัว” พิพัฒน์ยังคงแสดงความดื้อรั้นอย่างตรงไปตรงมาไม่เหมือนคนที่ดอกเตอร์เมฆเคยรู้จักแม้แต่นิดเดียว
ความรู้สึกรักทำให้คนๆ นึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในเสี้ยววินาทีได้จริงๆ
ดอกเตอร์เมฆถอนหายใจ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยพิพัฒน์ก็เคยเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี อย่างน้อยก็มีความรู้สึกดีๆ ให้กันถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้ก็ตาม
หากบอกความจริงไป ทุกอย่างก็จะจบแค่ตรงนี้ใช่หรือเปล่า
ดอกเตอร์เมฆชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบคำถามที่เจ้าตัวคิดว่าจะทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
“ถ้าคุณพิพัฒน์จะแข่ง ผมก็จะบอกว่าเด็กนั่นเป็นคู่แข่งที่หน้ากลัวมากครับเพราะเขาเป็นเหตุผลที่ผมกลับมาที่นี่”
ใช่อย่างที่คิดไม่มีผิด คู่แข่งเป็นแค่เด็กมหา’ลัย ไม่มีอะไรน่ากลัวแม้แต่นิดเดียว แต่คำพูดของดอกเตอร์เมฆกลับทำให้เด็กนั่นเหนือกว่าเขาทุกประการ
“คุณปฏิเสธผมเพราะว่าผมเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่กลับคิดจะสานต่อกับเด็กนั่นทั้งที่มันเป็นนักศึกษาของตัวเอง ไม่คิดว่ามันย้อนแย้งไปหน่อยเหรอ”
“นั่นสินะครับ ย้อนแย้งจริงๆ แต่เพราะผมรักเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร ผมก็ยังรักอยู่ดี”
“มีอะไรที่ผมสู้เด็กนั่นไม่ได้”
ในเมื่อพิพัฒน์เอาความจริงทุกข้อในใจมาคุยกันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดอกเตอร์เมฆต้องปิดบังความในใจอีกแล้ว
“เขาเป็นรักแรกของผม เป็นคนที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ เป็นคนที่รอคอยแม้ว่าจะไม่รู้เลยว่าผมจะกลับมารึเปล่า ผมคือทุกอย่างของเขา เช่นเดียวกัน เขาเองก็เป็นทุกๆ อย่างของผม”
พิพัฒน์นิ่งฟังพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ
รอคอยอย่างนั้นเหรอ
“ผมเองก็รอดอกเตอร์มานานแล้วเหมือนกัน ผมเองก็ควรจะได้รับสิ่งตอบแทนที่ว่านั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” พิพัฒน์สวนขึ้นทันควันพร้อมกับความจริงที่พรั่งพรูออกมา
ดอกเตอร์เมฆมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ จำได้ว่าพิพัฒน์เคยบอกว่าพวกเขาเคยเจอกันมาก่อน แต่นั่นก็เป็นความทรงจำของพิพัฒน์เพียงคนเดียวเพราะเขาจำอะไรไม้ได้เลย
“ที่ร้านอาหารไทยในวันที่หิมะตกหนักมาก ผมคือคนไทยที่มินชวนเข้าไปในร้านแล้วหาชาให้ดื่ม”
ดอกเตอร์เมฆครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่พิพัฒน์เล่า
ที่ร้านอาหารไทย พวกเราพนักงานทุกคนถูกเจ้าของร้านสั่งสอนให้มีน้ำใจ ทุกวันที่หิมะตกหนักหากเจอใครที่ดูเหมือนจะทนกับสภาพอากาศอันย่ำแย่ไม่ไหวก็สามารถเปิดประตูต้อนรับพวกเขาถึงแม้จะไม่ใช่ลูกค้าก็ตาม ส่วนเรื่องชา แน่นอนว่าเจ้าของร้านก็สั่งเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่พิพัฒน์คนเดียวทีได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น วันๆ นึงในวันที่หิมะตกมีคนมากๆ ถูกช่วยเหลือ ทั้งมินและเพื่อนพนักงานเสิร์ฟจำไม่ได้หรอกว่าเคยช่วยใครไว้บ้าง
เขาควรจะบอกความจริงให้พิพัฒน์ได้รู้ ถึงแม้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายผิดหวังก็ตาม
“ขอบคุณคุณพิพัฒน์ที่จำผมได้ แต่ขอโทษจริงๆ ที่ผมจำคุณไม่ได้เลย”
[-TBC-]
ฮ็อตเหลือเกินค่ะดอกเตอร์ แต่คุณผู้อ่านไม่ต้องห่วงนะคะ
พี่มินบอกแล้วเนอะว่ารักแพท แต่ตาแพทเนี่ยสิ ยังไม่รู้อะไรเลย สงสารเขานะคะ
แวบมาคุยกันได้ที่ #คุณครูพี่มิน เด้อ