คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 27 {Up.270119} - จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 27 {Up.270119} - จบแล้ว  (อ่าน 31530 ครั้ง)

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 7 {Up.100718}
«ตอบ #30 เมื่อ12-07-2018 07:17:33 »

ไอเป็น.. คุก.... คุก... คุก.. นะคุงคูงพี่มิง

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 8 {Up.030818}
«ตอบ #31 เมื่อ03-08-2018 21:32:55 »

คุณครูพี่มิน 8



“มินอาจารย์พริ้งเรียกให้ไปพบที่ห้องแนะแนวน่ะ เดี๋ยวนี้เลยนะ”

“อื้อ ขอบใจ” มินหันไปขอบคุณเพื่อนที่อุตส่าห์เดินมาบอก

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าวะ” เห็นอย่างนั้นต๊อดที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงเอ่ยถาม

“น่าจะเรื่องทุนที่เคยเล่าให้ฟัง”

“อ่อ อเมริกา จะไปจริงๆ เหรอวะ”

“ถ้าได้ก็ดี”

“ไม่อยากให้ไปเลยว่ะ”

“ต๊อด ดราม่าอะไรของมึง กูยังไม่ทันได้ทุนเลยนะ”

“ยังไงมึงก็ได้อยู่แล้วล่ะ”

“สมพรปากครับ” มินไม่เคยนึกอยากไปเรียนต่างประเทศ เพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยเอื้ออำนวย เขาจึงมองว่าเรื่องนั้นช่างไกลตัวเหลือเกิน กระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนขณะเข้าไปช่วยงานที่ห้องแนะแนว อาจารย์พริ้งซึ่งประจำอยู่ที่นั่นก็พูดเรื่องทุนขึ้นมา มันน่าสนใจจนมินต้องละมือจากเอกสารที่กำลังจัดชุดเพื่อตั้งใจฟัง

“ถ้าสนใจก็เอานี่ไปอ่านดูนะ” อาจารย์พริ้งว่าอย่างนั้นพร้อมกับยื่นเอกสารมาให้ชุดนึง และยังบอกอีกว่าไม่มีใครได้ทุนนี้มานานแล้ว และเธอก็หวังว่ามินจะเป็นหนึ่งคนที่รอมานาน

“ขออนุญาตครับ” ประตูห้องแนะแนวถูกเปิดออกและปิดลงอย่างเบามือ อาจารย์พริ้งละสายตาจากเอกสารก่อนส่งยิ้มมาให้

“นั่งก่อนสิ” มินนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามตามคำบอก “ตัดสินใจเรื่องทุนนั้นรึยัง”

“คุยกับคุณแม่แล้วครับ ท่านบอกว่าถ้าได้ทุนก็ดีเลย” มินก็คิดว่ามันต้องดีมากแน่ๆ นอกจากเรื่องอนาคตของตนแล้วยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แม่ได้อีกมากโข

“ครูลองดูผลการเรียนของเธอแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ หลังจากนี้คงต้องทุ่มเวลาให้กับการเตรียมตัวสอบหลายๆ อย่างเพื่อเอาไปยื่นขอทุน แต่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวครูจัดการให้”

“ขอบคุณครับ” มินเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ

“ถ้าเธอได้ทุนนี้ครูก็จะได้หน้าเหมือนกันนะ”

“งั้นเหรอครับ”

“อะไรกัน ไม่รู้สึกหมั่นไส้ครูหน่อยเหรอ”

“อาจารย์พูดตรงดีนี่ครับ ไม่มีอะไรให้หมั่นไส้ซักหน่อย”

“ครูเตรียมเอกสารนี่ไว้ให้ ลองเอาไปอ่านดูจะได้เตรียมตัวถูก” มินรับเอกสารนั้นมา ไล่สายตาอ่านนิดหน่อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์พริ้งที่ไม่ละสายตาจากตน

“ขอบคุณนะครับอาจารย์”

“จ้ะ ไปเข้าเรียนเถอะ”

มินเดินออกจากห้องแนะแนวมาพร้อมกับความคิดมากมายในหัว ถ้าพูดถึงทุนให้เปล่าเต็มจำนวน ก็พอรู้อยู่หรอกว่ามันคงไม่ง่ายที่จะได้มา แต่ถ้าได้จริงๆ ก็คงแบ่งเบาภาระแม่ได้หมดเลย แม่อาจจะสบายขึ้นไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแลกกับเงินเดือนครูอันน้อยนิด

ต้องพยายามให้มากกว่าเดิมซักเท่าตัวล่ะนะ ถึงแม้จะมุ่งมั่นเพียงนั้นแต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอยู่

พี่แพท













“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ มินเก่งอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องได้ทุนแน่ๆ จ้ะ” ไม่รู้ว่าคุณแม่น้องแพทไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนแต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย

หลังจากส่งน้องแพทเข้านอนเมื่อตอนสี่ทุ่มอย่างยากลำบากเมื่อน้องเอาแต่งอแงขอให้นอนด้วยกัน กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้นอนได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเลย มินออกมานั่งรอคุณแม่ที่เหมือนจะกลับบ้านดึกกว่าปกติที่ห้องรับแขก ท่านขอโทษขอโพยยกใหญ่เมื่อพบว่าการกระทำของตนได้ส่งผลกับเด็กเตรียมสอบอย่างมินเช่นไร

“มินจะช่วยดูแลน้องจนกว่าจะหาพี่เลี้ยงคนใหม่ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าแม่จะเลิกตามคุณพ่อแล้วมาดูแลน้องแพทเอง”

“จริงเหรอครับ” เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก บางทีการที่เขาตัดสินใจถอนตัวก็เป็นเรื่องที่เหมือนจะดี

“เพิ่งมารู้ตัวว่าไม่ค่อยใส่ใจน้องเอาตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะสายเกินไปรึเปล่า”

“ไม่หรอกครับ น้องแพทต้องดีใจมากแน่ที่จะได้อยู่กับคุณแม่”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี แล้วมินบอกเรื่องนี้กับแพทหรือยังจ๊ะ”

“ไม่รู้จะเริ่มยังไงครับ มินเองก็ทำใจลำบาก” แค่นึกว่าต้องบอกน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาแล้ว ไม่รู้เลยว่าถ้าต้องบอกจริงๆ สภาพมินจะเป็นอย่างไร

“ต้องบอกลาด้วยตัวเองนะจ๊ะ”

มินรับปากคุณแม่ด้วยเสียงอันแผ่วเบาไร้ความหนักแน่นมั่นคง อ่อนไหวราวกับดอกหญ้าที่พร้อมจะปลิดปลิวเมื่อลมพัดผ่านมา













มินยังคงทำหน้าที่พี่เลี้ยงอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตลอดทั้งสัปดาห์ ถึงแม้พยายามจะทำตัวให้ร่าเริงเป็นปกติแต่ก็ถูกน้องจับได้อยู่บ่อยครั้ง

“มึงโอเคแน่เหรอวะ”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยักหน้าตอบในทันทีแต่ต๊อดที่เดินมาเป็นเพื่อนตั้งแต่โรงเรียนก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามินไม่โอเคเลยซักนิด

“ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกซักหน่อย เหงาๆ ก็แวะไปเล่นด้วยบ้างก็ได้นี่หว่า”

“นั่นสินะ” ตอบรับเหมือนเข้าใจแต่ไม่กระฉับกระเฉงแม้แต่น้อย ทั้งที่เรื่องเรียนออกจะเก่งขั้นเทพแต่กับเรื่องแบบนี้กลับจัดการไม่ได้เลยเนี่ยนะ เก่งสู้ต๊อดไม่ได้เลยซักนิด

“มึงนี่นาะ กูส่งแค่นี้ละกัน”

“ขอบใจนะต๊อด” ทั้งคู่บอกลากันก่อนต๊อดจะหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิม ในขณะที่มินไม่กล้าแม้แต่จะก้าวไปข้างหน้าราวกับว่ามีหินหนักๆ มาถ่วงขาเอาไว้ มันหนักอึ้งจนก้าวไม่ไหว

ทั้งที่เมื่อวานยังเดินบนถนนเส้นนี้ได้อย่างปกติอยู่แท้ๆ

ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อเช้าซึ่งเป็นเช้าของวันสุดท้ายในฐานะพี่เลี้ยงน้องแพท

อยากให้เส้นทางนี้ยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด มินก้มมองมือที่จับจูงกันเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้เลยว่าตนออกแรงบีบมือน้อยนั้นจนน้องเริ่มเจ็บนิดหน่อยจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“คุงคูพี่มิง เราจะเดิงไปไหนกัง”

“ครับ พี่แพทว่าไงนะ” ทั้งคู่หยุดเดิน มินนั่งยองๆ ลงตรงหน้าคนตัวเล็ก ใช้ดวงตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังแสดงความสงสัยอย่างชัดเจน

“เราเดิงเลยป้ายรถเมล์มาแล้วนะ” น้องว่าพลางชี้ไปยังป้ายรถเมล์ที่เคยนั่งรถรถด้วยกันประจำ

ใช่จริงๆ ด้วย เผลอเดินผ่านมาจนได้

“คุงคูพี่มิงยังไม่หายดีเหรอ ทำไมไม่ร่าเริงเลยล่ะ ถ้าไม่ไหวให้ต๊อดมารับพี่แพทก็ได้นะ” ยิ่งน้องแสดงความห่วงใยกล้ามเนื้อหัวใจก็ยิ่งบีบรัดจนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบ

คงถึงเวลาที่ต้องบอกลากันแล้วล่ะมั้ง

“พี่แพทฟังพี่มินนะ” เมื่อคนเป็นพี่เลี้ยงว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังเด็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นยืนตัวตรงเพื่อตั้งใจฟังเช่นเดียวกัน “พรุ่งนี้พี่มินมารับพี่แพทที่โรงเรียนไม่ได้แล้วนะครับ”

“เอ๋ แล้ววันมะรืนล่ะ”

“มะรืนก็มาไม่ได้ครับ”

“แล้ววันต่อจากมะรืนล่ะ คุงคูพี่มินจะมารับพี่แพทเหมืองเดิมใช่มั้ย” ไม่มีอะไรเหมือนเดินอีกแล้ว

คำพูดที่เตรียมมาถูกทำหล่นหายระหว่างทางและไม่ว่าจะพยายามค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เขาไม่รู้เลยว่าต้องบอกอย่างไรที่จะทำให้น้องเศร้าน้อยที่สุด

“พี่มินทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว”

“ทำไมล่ะ ไม่รักพี่แพทแล้วเหรอ”

“รักสิครับ แต่พี่มินมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”

“สำคัญกว่าพี่แพทเหรอ”

“เทียบกันไม่ได้ครับ”

“พี่แพทไม่เข้าใจอะ พี่แพทอยากเจอคุงคูพี่มิงทุกวังเลย คุงคูพี่มิงไม่อยากเจอพี่แพทแล้วเหรอ”

อยากเจอสิ อยากเจอทุกวันเลย มินอยากเอ่ยทุกความรู้สึกในใจออกไปแต่ก็ทำได้เพียงเก็บคำเหล่านั้นเอาไว้ พลางย้ำกับตัวเองในใจว่า โตแล้วทำอะไรก็ต้องคิดให้มากๆ

“พี่แพทครับ” หัวใจของมินกระตุกวูบและจำต้องหยุดมือที่ยื่นไปตรงหน้าหวังสัมผัสเจ้าตัวเล็กเมื่อน้องก้าวถอยออกไป

“คุงคูพี่มิงก็จะทิ้งพี่แพทไปเหมืองคงอื่งๆ ใช่มั้ย ไหนเคยบอกว่าจะอยู่ด้วยกังไง” น้ำตาหยดแหมะลงบนแก้มใสและในตอนนั้นเองที่มินก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป

เขาหันหลังให้น้องทั้งที่ยังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น แผ่นหลังกว้างงองุ้ม ใบหน้าที่เคยมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลาบัดนี้กลับก้มมองพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลรินอย่างสุดจะกลั้น ร่างทั้งร่างสะท้านไหวตามแรงสะอื้น ทั้งที่ไม่อยากเผยด้านอ่อนแอออกมาแท้ๆ ทั้งที่ตั้งใจจะบอกลากันด้วยรอยยิ้มแท้ๆ

มินรู้ว่าการจากลาเป็นเรื่องที่เจ็บปวด ขนาดตัวเขาที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้บ่อยๆ ยังเศร้าขนาดนี้ แล้วน้องแพทล่ะ เด็กน้อยที่ถูกพี่เลี้ยงทิ้งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่คิดว่าน้องจะต้องพบเจอกับความเจ็บนั้นอีกครั้งมินก็นึกโกรธตัวเองมากแล้ว สุดท้ายเขาเองก็ไม่ต่างจากพี่เลี้ยงเหล่านั้นเลยซักนิด

คุณครูพี่มินก็กำลังจะทิ้งพี่แพทไปเหมือนคนอื่นๆ

ทั้งที่ชอบมากแท้ๆ แต่พอคิดว่ากำลังจะถูกทิ้งก็รู้สึกโกรธมาก

ไม่มีใครรักพี่แพทซักคน

เด็กน้อยตัดพ้อขณะมองผ่านน้ำตาไปยังเจ้าของแผ่นหลังอบอุ่นที่กำลังสั่นไหวน้อยๆ

คุณครูพี่มินกำลังร้องไห้ ทั้งที่เป็นฝ่ายทิ้งกันแท้ๆ แต่กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก

ทั้งที่โกรธจนสั่นไปทั้งตัวแต่เมื่อเห็นคุณครูที่ตนรักมากกำลังอ่อนแอก็รู้สึกว่าควรทำอะไรซักอย่าง สิ่งเดียวที่เด็กอย่างพี่แพทคิดและทำได้มีเพียง...กอด

มินสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อถูกแขนเล็กโอบกอดแผ่นหลัง ความชื้นของน้ำตาซึมผ่านเสื้อเข้ามาที่ผิวยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเหน็บภายในกาย

ทั้งที่คิดว่าจะได้รับคำปลอบโยนอันใสซื่อบริสุทธิ์จากน้องแต่กลับไม่มี ระหว่างพวกเขาในยามนี้มีเพียงเสียงของบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบเหงากับเสียงเครื่องยนต์ของรถที่วิ่งอยู่บนถนน

ภาพสองข้างทางที่รถเมล์วิ่งผ่านยังคงเหมือนเดิมเช่นทุกวัน แต่ดูเหมือนวันนี้มันจะได้รับความสนใจจากน้องแพทเป็นพิเศษ พิเศษกว่ามินเสียอีก

“จะไม่มองหน้ากันหน่อยเหรอ” มินนั่งลงเมื่อทั้งคู่ก้าวเข้ามาหยุดที่หน้าประตูบ้าน

ทั้งที่จับมือกันไว้ตลอดทางแต่กลับไม่ยอมมองหน้ากันเลย และเมื่อได้ยินคำถามน้องแพทก็ยิ่งทำเมิน เห็นอย่างนั้นหัวใจที่ห่อเหี่ยวก็ยิ่งลีบแบนจนไร้รูปทรง

“พี่แพทครับ พี่มินขอโทษนะที่ทำตามสัญญาไม่ได้” ทั้งที่อยากบอกอะไรหลายๆ อย่าง อยากอธิบายให้เข้าใจแต่กับเด็กอายุเท่านี้ มินไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรน้องถึงจะเข้าใจเหตุผลของการละทิ้งสัญญาในครั้งนี้

ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อโตขึ้น ซักวันน้องอาจจะเข้าใจกันบ้าง เมื่อถึงวันนั้นก็คิดว่าถ้ากลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิมคงดี

มินกวาดสายตามองใบหน้าด้านข้างของเด็กที่เอาแต่เมินเขาอีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์

คงไม่มีโอกาสได้สบตากันอีกแล้ว

มินกลืนก้อนสะอื้นที่รื้นขึ้นมาจุกที่คอก่อนลุกขึ้นเพื่อกดกริ่งให้คนในบ้านเปิดประตู

ประตูเปิดออกเมื่อไร หน้าที่ของเขาก็จบเมื่อนั้น

อยากต่อเวลาอีกหน่อยจัง

ประตูเปิดออกพร้อมกับสองมือที่กุมกันแน่นค่อยๆ คลายออกเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว

ลาก่อนครับพี่แพท













มินละสายตาจากหนังสือบนโต๊ะเมื่อได้ยินชื่อตนจากเสียงตามสายในโรงเรียนให้ไปพบใครบางคนที่ห้องประชาสัมพันธ์ มินแปลกใจนิดหน่อยเพราะเรียนที่นี่มาเกือบ 6 ปีแล้วไม่เคยมีใครมาหาเขาเลย

และก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่มาหาคือคุณแม่น้องแพท

มินยกมือไหว้ก่อนนั่งลงบนโซฟา สีหน้าคุณแม่ดูไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนจะผอมลงนิดหน่อยทั้งที่ไม่ได้เจอกันแค่สัปดาห์เดียวแท้ๆ

จะว่าไปเขาไม่ได้เจอน้องแพทมา 1 สัปดาห์เองเหรอเนี่ย ยามที่เรามีความทุกข์เวลาผ่านไปช้าจังเลยแฮะ

“ขอโทษที่มารบกวนนะจ๊ะ”

“เรื่องพี่แพทเหรอครับ” เพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วมินจึงเข้าเรื่องทันที

“จะเรื่องใครซะอีกล่ะจ๊ะ” บนใบหน้าสวยเปื้อนยิ้มก็จริงหากสายตากลับเต็มไปด้วยความกังวล “เจ้าเด็กคนนั้นตั้งแต่มินกลับไปก็ไม่ยอมออกจากห้อง ไม่ยอมออกจากบ้าน ไม่ยอมดื่มนม แล้วก็เอาแต่นั่งจ้องสมุดภาพ แม่พยายามแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”

“เย็นนี้มินขอแวะไปหาน้องได้มั้ยครับ อาจจะดึกหน่อยเพราะกว่าจะติวหนังสือเสร็จ”

“ได้สิจ๊ะ ที่แม่มาหามินก็เพราะเรื่องนี้แหละ ถ้าเป็นมิน น้องแพทอาจจะเชื่อ”

“คุณแม่คิดอย่างนั้นเหรอครับ”

“จ้ะ”

“ถ้าอย่างนั้นมินไม่ไปดีกว่าครับ”

“ทำไมล่ะจ๊ะ”

“น้องแพทควรจะเชื่อฟังคุณแม่มากกว่ามินครับ”

“นั่นสินะ ในฐานะแม่มันก็รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนน้องแพทก็ไม่ยอมเชื่อฟังกันเลย เพราะเป็นแบบนั้นก็เลยเอาแต่คิดจะพึ่งมิน แม่เป็นแม่ที่แย่จังเลยเนอะ”

“ไม่หรอกครับ มินเชื่อว่าน้องแพทต้องเห็นความพยายามของคุณแม่แน่นอน”

“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ” เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ แต่ถึงอย่างนั้นมินก็เชื่อว่าเด็กฉลาดอย่างน้องแพทต้องเข้าใจอะไรได้อย่างง่ายดายแน่นอน

แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอน้องแพทอีก แต่ในระหว่างที่คุณแม่กับน้องแพทพยายามผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ไปให้ได้ มินเองก็จะพยายามเรื่องสอบเหมือนกัน

เอาไว้วันที่ต่างคนต่างเข้มแข็งมากพอ วันนั้นค่อยมาเจอกันก็คงไม่สายเกินไป













เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกับการนอนหลับแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงแต่สุดท้ายมินก็ผ่านมันมาได้

การทำเรื่องขอทุนเสร็จสิ้นลงแล้ว ที่เหลือก็แค่รอผล ถึงแม้ว่าจะมั่นใจมากแต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง

“ทำเรื่องเสร็จแล้ว งี้ก็ไปเที่ยวกับพวกกูได้แล้วดิ” ต๊อดเข้ามากอดคอหลังจากมินกลับจากห้องแนะแนว ต๊อดน่ะเอะอะชวนเที่ยวตลอด ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าอยากให้ผ่านคลายแต่ตอนนี้สิ่งที่มินต้องการคือการนอนหลับพักผ่อน

“เอาไว้หลังสอบปลายภาคมั้ยต๊อด”

“พูดถึงปลายภาคแล้วเพลียว่ะแม่งเอ้ย อ่านหนังสือไม่ทัน” อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ฤดูกาลสอบปลายภาคแล้ว และหลังจากนั้นชีวิตเด็กมัธยมก็สิ้นสุดลง

“อ่านไม่ทันหรือไม่อ่าน กูว่ามึงไม่อ่านมากกว่า”

“รู้ใจเพื่อนไปซะทุกเรื่องเลย” ของมันแน่อยู่แล้ว “ปลายภาคเทอมสุดท้ายนี้ต๊อดก็ขอฝากตัวไว้กับคุณครูพี่มินด้วยนะครับ”

คุณครูพี่มินอย่างนั้นเหรอ

อยู่ๆ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของน้องกับคำพูดในวันนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว

ไม่ได้เจอกันนานแล้วสินะ เพราะเอาแต่จัดการเรื่องของตัวเองจนไม่ได้คิดถึงน้องเลย ถ้าวันนี้ไปหาจะได้รับรอยยิ้มสดใสอย่างเมื่อก่อนหรือเปล่านะ น้องจะวิ่งเข้ามากอดแล้วบอกว่าคิดถึงคุณครูพี่มินอย่างที่ชอบทำมั้ย หรือว่าจะเมินกันเพราะยังโกรธอยู่

“เมื่อวันก่อนกูแวะไปหาพี่แพทที่โรงเรียนมาด้วยนะ เด็กนั่นร่าเริงขึ้นมากแล้วแหละ มึงไม่ต้องห่วง”

“งั้นเหรอ” ก็ไม่คิดว่าน้องแพทต้องเสียใจเรื่องที่พวกเราจากกันตลอดไป ทั้งที่ควรดีใจที่น้องร่าเริงแต่กลับคิดเรื่องบั่นทอนจิตใจอย่างว่าน้องลืมตนไปแล้ว “น้องถามถึงกูบ้างมั้ย”

“ไม่เลย คงเบื่อที่จะถามมั้ง เพราะถามทีไรกูก็บอกว่ามึงไม่ว่างทุกที”

เบื่ออย่างนั้นเหรอ แย่จัง แย่ที่แค่คิดว่าน้องเบื่อตนมินก็รู้สึกกระวนกระวายจนต้องลุกออกจากห้องเรียนไป ต๊อดมองตามเพื่อนตนอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก คงคิดถึงน้องมากล่ะมั้ง และถ้าคิดถึงขนาดนั้นก็ไปหาซะก็สิ้นเรื่อง ทำไมต้องทำอะไรให้มันซับซ้อนด้วยก็ไม่รู้

มินคิดเรื่องน้องแพทซ้ำไปซ้ำมา น้องร่าเริงได้เพราะเบื่อที่จะคิดถึงกันแล้วสินะ ทั้งที่นั่งรถเมล์มาถึงหน้าหมู่บ้านแล้วด้วยซ้ำ แต่มินก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปเจอกัน

บางทีน้องอาจจะไม่อยากเจอกันแล้วก็ได้













“อิจฉามึงว่ะ แบบนี้ก็ไม่ต้องสอบเข้ามหาลัยแล้วใช่ป่ะ”

ผลการขอทุนถูกประกาศเมื่อวาน เพราะได้รับข่าวดีต๊อดจึงนัดรวมพลเพื่อนๆ เพื่อฉลองให้กับความสำเร็จของนักเรียนอันดับ 1 ของห้อง

“มึงก็เลิกขี้เกียจได้แล้วต๊อด”

“กูพยายามอยู่น่าบอกแล้วไงว่าต้องหาแฟนให้ได้ตอนเรียนมหาลัย”

“ก่อนคิดเรื่องหาแฟนกูว่ามึงคิดเรื่องสอบเข้าก่อนมั้ยครับ ถ้าสอบเข้าไม่ได้ก็อดหาแฟนนะเว้ย” เพื่อคนนึงเอ่ยดักฝันให้ต๊อดแสร้งเบะหน้าทำเหมือนจะร้องไห้

ต๊อดก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่เคยจริงจังกับอะไรทั้งสิ้นแถมยังไม่ค่อยมีความพยายามอีกด้วย เพราะเป็นแบบนั้นมินจึงรู้สึกเป็นห่วงต๊อดกว่าเพื่อนคนอื่นๆ

“ไปโยนโบกันเถอะว่ะ”

“เอาดิ”

“ไข่มุกขอตัวมินซักครู่ได้มั้ย” ขณะที่กำลังเฮฮาตามประสาเด็กหนุ่ม เจ้าของใบหน้าน่ารักแบบที่ตกหนุ่มๆ ได้ด้วยรอยยิ้มสดใสก็เอ่ยขึ้น

“ตามสบายเลย” ต๊อดเป็นคนอนุญาตก่อนจะเกณฑ์เพื่อนให้เดินตามกันไปยังลานโบลิ่งเพื่อเปิดโอกาสให้ไข่มุกได้อยู่กับมินลำพัง

ถึงแม้ว่าจะถูกปฏิเสธทางอ้อมมาแล้วบ่อยครั้งแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดมันออกมาตรงๆ ไข่มุกก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้

“ไปหาอะไรดื่มตรงนั้นกัน”

ไข่มุกเลือกร้านชานมไข่มุกที่ไม่ค่อยมีคนนัก ทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มโดยที่มินขอเป็นฝ่ายเลี้ยงเอง

“มินเก่งจังเลยเนอะ”

“อื้อ”

“ถ่อมตัวบ้างก็ได้”

“ก็เก่งจริงๆ นี่นา แต่กว่าจะเก่งได้ขนาดนี้ก็พยายามจนเหนื่อยเหมือนกัน”

“ไข่มุกมีเรื่องจะบอกแหละ”

“อื้อ” มินตอบรับทันที เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ไข่มุกชวนปลีกตัวออกมาว่าอีกฝ่ายคงอยากบอกความในใจ

“ไข่มุกเสียใจมากเลยตอนที่รู้ว่ามินได้ทุนและต้องไปเรียนต่างประเทศ”

“ใจร้ายจัง”

“นั่นสิ ไข่มุกก็คิดเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงใจร้ายได้ขนาดนี้” เด็กสาวยิ้มแห้งๆ กวาดสายตามองมินตรงๆ พร้อมแสดงความรู้สึกผ่านดวงตาคู่สวยอย่างชัดเจน “มินรู้ใช่มั้ยว่าไข่มุกคิดยังไงกับมิน”

“ครับ” อย่าตอบรับด้วยคำพูดและน้ำเสียงสุภาพขนาดนี้สิ มันตัดใจลำบากนะรู้บ้างมั้ย

“แอบคิดมาตลอดเลยว่าถ้าบอกชอบมินแล้วมินรับ เราอาจจะได้ใช้เวลาในมหาลัยด้วยกัน แต่พอรู้ว่ามันเป็นไปได้ก็เลยรู้สึกเจ็บใจมาก”

“มินขอบคุณไข่มุกมากเลยนะ”

ในตอนนั้นเองที่เครื่องดื่มที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟ

“มินไม่ชอบไข่มุกเหรอ” เด็กสาวเอ่ยถามหากแต่กลับเอาแต่มองแก้วเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย

ทั้งที่เป็นร้านชานมไข่มุกแต่กลับไม่สั่งไข่มุก

“ชอบสิ หมายถึงไข่มุกนะไม่ใช่ไข่มุกในแก้ว” นาทีนั้นหัวใจของเด็กสาวเต้นแรงคล้ายจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอก รู้สึกดีจนเก็บงำรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ “ไข่มุกเป็นเด็กผู้หญิงที่ยิ้มสวยที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาเลยนะ มินอยากให้ไข่มุกยิ้มเยอะๆ อยากให้ไม่ว่าเราจะห่างกันไปไกลแค่ไหน ถ้าวันนึงกลับมาเจอกันก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

“ชอบแบบเพื่อนเหรอ”

“การที่มินชอบไข่มุกแบบนั้นมันทำให้ไข่มุกรู้สึกไม่สบายใจรึเปล่า”

“แน่นอนสิ ไข่มุกกำลังถูกมินปฏิเสธนะ”

“ขอโทษนะ ขอโทษที่เป็นคนนั้นให้ไข่มุกไม่ได้”

“ถ้าสมมติว่ามินไม่ไปเรียนต่างประเทศ มินจะเป็นคนนั้นให้ไข่มุกได้มั้ย”

มินส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ไหน หัวใจของเขาก็ไม่สามารถฝากไว้ที่ไข่มุกได้ในเมื่อไม่เคยคิดกับอีกฝ่ายเกินเพื่อนเลย

“เข้าใจแล้วล่ะ ฝากบอกพวกต๊อดด้วยว่าไข่มุกขอกลับก่อน”

“เราไปส่ง”

“ไข่มุกไม่อยากเห็นหน้ามินน่ะ ขอเวลาหน่อยได้มั้ย”

ขอโทษ...

เรื่องของความรู้สึกนั้น ไม่ใช่แค่คนถูกปฏิเสธหรอกที่รู้สึกเจ็บปวด คนปฏิเสธเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่อยากทำอะไรซักอย่างให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นซักหน่อยแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่มองส่งจนแผ่นหลังเล็กๆ ที่กำลังสั่นไหวนั้นลับตาไป

“คงใจร้าย” เสียงดังมาจากด้านหลังแต่ไม่ได้อยู่ในระดับสายตา

มินดึงตัวเองที่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกผิดกลับมาได้เพราะเสียงเล็กๆ อันคุ้นเคยและเมื่อก้มหน้าลงก็พบว่าน้องแพทกำลังเท้าเอวมองมาด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว

ทั้งที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้วแท้ๆ พอมาเจอกันอีกทีกลับทำหน้าแบบนี้ใส่กัน แต่ก็สมเป็นน้องแพทแล้ว

มินนั่งลงตรงหน้าน้องแล้วส่งยิ้มให้ ชั่ววินาทีนั้นที่ได้เจอน้องเขาเผลอลืมความรู้สึกผิดที่มีต่อไข่มุกไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องมายิ้มเลยคงใจร้าย”

“พี่แพทมากับคุณแม่เหรอครับ”

“ไม่คุยกับคงใจร้ายหรอก”

“แล้วต้องทำยังไงถึงจะยอมคุย”

“ไม่คุยหรอก”

“พี่แพทพูดอย่างนี้พี่มินเสียใจนะ”

“พี่แพทเสียใจมากกว่าอีก พี่แพทนองร้องไห้คิดถึงคุงคูทุกคืงเลย” ทั้งที่อยากเลี่ยงคำว่า ‘ขอโทษ’ แท้ๆ แต่ก็ไม่มีคำไหนมาทดแทนมันได้

“ขอโทษครับ”

“ไม่อยากให้อภัยซักนิด แต่คุงแม่บอกว่าเด็กดีต้องให้อภัยคนอื่งถ้าเค้าขอโทษ แต่ไม่หายโกรธหรอกนะจงกว่าคุงคูพี่มิงจะกลับมาอยู่กับพี่แพทเหมืองเดิม” คนเป็นผู้ใหญ่ยิ้มเจื่อน

ให้กลับมาอยู่ด้วยกันก่อนถึงจะหายโกรธอย่างนั้นเหรอ แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ อาจจะต้องโกรธกันไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

“แล้วนี่พี่แพทมากับใครครับ” ถามว่ามากับคุณแม่ก็ไม่ยอมตอบ มินจึงถามซ้ำ

“ก็ต้องมากับคุงแม่อยู่แล้วซี่”

“แล้วคุณแม่...” กำลังจะถามหาแต่คุณแม่ก็โผล่มาซะก่อนด้วยท่าทางร้อนรน

“น้องแพทหนีคุณแม่ออกมาอย่างนี้ได้ยังไงคะ” หนีออกมาอย่างนั้นเหรอ

คนถูกดุหน้าเจื่อนไปนิดต่างจากคุณแม่ที่ถึงแม้จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัดแต่ก็ดูเบาใจขึ้นมากเมื่อพบว่าลูกชายตัวน้อยปลอดภัยดี

“พี่แพทไม่ได้หนีออกมาซะหน่อย”

“ไม่ต้องมาเถียงเลย แอบเดินตามคุณครูพี่มินมาใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่ใช่นะ พี่แพทไม่เห็งคุงคูพี่มิงนั่งอยู่ตรงนั้นกับพี่ไข่มุก ไม่เห็นเลยจริงๆ นะ” เชื่อแล้วจ้าว่าไม่เห็น

ผู้ใหญ่ทั้งคู่หันมายิ้มให้กันอย่างนึกเอ็นดู

ก็ดีแล้วล่ะ น้องแพทกลับมาร่าเริงและสนิทกับคุณแม่ได้แบบนี้ก็ดีมากแล้ว เห็นอย่างนี้มินก็เบาใจ

“แม่ได้ยินเรื่องทุนแล้ว ดีใจด้วยนะจ๊ะ”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วจะบินเมื่อไหร่เหรอ”

“ตามกำหนดการณ์ก็เดือนหน้าครับ แต่ระหว่างนี้ก็ต้องเตรียมตัวอีกหลายอย่างเลย”

“ถ้าว่างก็แวะมาหาน้องบ้างนะจ๊ะ ถึงปากจะบ่นว่าไม่รักไม่คิดถึงแต่ก็เผลอพูดถึงคุณครูพี่มินบ่อยเลยล่ะ”

“พี่แพทไม่เคยพูดซักหน่อย คุงแม่ใส่ร้าย” เด็กน้อยรีบออกตัวปฏิเสธให้คนเป็นแม่ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างนึกหน่ายใจกับความฟอร์มจัดของเจ้าตัวเล็ก

“วันนี้มินว่าง ขอยืมตัวน้องแพทเลยได้มั้ยครับ”

“เอาสิจ๊ะ เอาไปเลย”

“พี่แพทไม่ไปด้วยหรอก”

“งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง” ถึงแม้จะอยากตื๊ออีกหน่อยแต่ในเมื่อน้องว่าอย่างนั้นก็คงต้องยอมแพ้ มินทำหน้าผิดหวังก่อนบอกลา

“เดี๋ยวเซ่คุงคูพี่มิง” พอก้าวออกมาก็ถูกน้องรั้งเอาไว้พร้อมกับมือน้อยที่เอื้อมมาจับชายเสื้อ “ไปด้วยก็ได้”

มือที่จับชายเสื้อเปลี่ยนเป็นจับมือกันเหมือนเมื่อก่อน

มือคุณครูพี่มินยังนุ่มและให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รอยยิ้มอบอุ่นนั้นก็ทำให้อุ่นใจ พี่แพทมองเห็นคุณครูพี่มินผ่านกระจกร้านเสื้อที่คุณแม่กำลังเลือกด้วยใจจดจ่อ พอเห็นพี่ ขาทั้งสองข้างก็ก้าวตามออกมาด้วยความเผลอไผล กระทั่งทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มและพูดคุยกันก็ยังยืนแอบมองอยู่ห่างๆ ตลอดเวลา

“ต่างประเทศอยู่ที่ไหนเหรอคุงคูพี่มิง”

“อยู่ไกลครับ”

“ไกลแค่ไหน ไกลเท่าสวนสัตว์ที่เราไปด้วยกันรึเปล่า”

“ไกลกว่านั้นครับ”

“ไกลเท่าทะเลมั้ย”

“อยู่อีกฝั่งของทะเลเลยครับ”

“โหไกลจัง งี้ก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วสิ” แค่คิดความเศร้าก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจ

“อาจจะเป็นอย่างนั้นครับ”

“ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้นล่ะ เพราะพี่แพทเป็นเด็กไม่ดีเหรอ คุงคูพี่มินไม่รักพี่แพทแล้วเหรอ”

“อืม ถ้าอย่างนั้นน้องแพทเป็นเด็กดีเพื่อพี่มินได้มั้ยครับ”

“เด็กดีต้องเชื่อฟังคุงแม่”

“ต้องตั้งใจเรียน ไม่ดื้อ ไม่ซน”

“โห เยอะจัง ต้องทำมากแค่ไหนคุงคูพี่มิงถึงจะกลับมาหาพี่แพทล่ะ”

“ก็...” มากแค่ไหนดีนะ เท่านี้ก็แล้วกัน มินล้วงหยิบคูปองสะสมสติ๊กเกอร์ที่ได้จากร้านชานมออกมา “สะสมสติ๊กเกอร์ครบ 1 แผ่น พี่มินก็จะกลับมาหา 1 ครั้ง”

“ครั้งเดียวเองเหรอ”

“ถ้าอยากเจอบ่อยๆ ก็ต้องทำเยอะๆ สิครับ เป็นเด็กดีไม่ยากหรอกน่า ตอนนี้พี่แพทก็เป็นเด็กดีแล้วนะ”

“งั้นก็อย่าไปสิ อยู่กับพี่แพทตลอดไปเลยไม่ได้เหรอ” ทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ

มินไม่ตอบอะไร เขากุมมือน้องเอาไว้คล้ายกับว่าอาจจะไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นอันแสนบริสุทธิ์นี้อีก หากครั้งนี้ต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เที่ยวเล่นด้วยกันก็ขอให้มันเป็นการเที่ยวเล่นที่สนุกที่สุด

มินก้มมองน้องแล้วยิ้มกว้างที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนชักชวนให้น้องทำให้สิ่งที่ตนคิด

“พี่แพทครับวันนี้เรามาสนุกกันให้สุดๆ ไปเลยดีมั้ย” และน้องก็พยักหน้ารับทันทีทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคูปองสะสมสติ๊กเกอร์ในมือด้วยซ้ำ

ถ้าทำความดีแล้วเก็บสะสมสติ๊กเกอร์เต็มคูปองนี้แล้วจะได้เจอพี่มิน 1 ครั้ง พี่แพทจะเป็นเด็กดีทุกๆ วันเลย





[-T B C-]



ตอนหน้าน้องแพทจะโตแล้วนะคะ
น้องแพทเลี้ยงง่ายนะคะ ป้อนกำลังใจเยอะๆ น้องจะได้โตเร็วๆ เนอะ
ฝากน้องด้วยน๊า
#คุณครูพี่มิน :)
 :hao5:



ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 7 {Up.030818}
«ตอบ #32 เมื่อ03-08-2018 22:26:43 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ....น่าสงสารนุ้งแพท

ตอนหน้านุ้งแพทโตแล้ว  นั่นก็หมายความว่า พี่มินเรียนจบ (ป.เอก) แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง ณ ที่ไหนสักแห่ง ใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 7 {Up.030818}
«ตอบ #33 เมื่อ04-08-2018 02:58:07 »

รอ ๆ รอพี่แพทมาเจอกับครูพี่มินอีกครั้ง  :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 7 {Up.030818}
«ตอบ #34 เมื่อ04-08-2018 10:12:51 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 9 {Up.130918}
«ตอบ #35 เมื่อ13-09-2018 22:21:05 »

คุณครูพี่มิน 9



ชั่วโมงเรียนเริ่มแล้ว หากเจ้าของขายาวยังคงก้าวย่ำอยู่บนบันได

เสียงหอบดังสะท้อนในโถงบันไดบนอาคารเรียนที่เงียบเหงาเนื่องจากชั่วโมงเรียนตอนเช้าเริ่มไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีระเรื่อ เขาใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตรงไรผม ก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ

เมื่อคืนไม่น่าดื่มหนัก

ภัทรดนัยนึกโทษตัวเองพร้อมกับนึกโทษเพื่อนสนิทอย่างเซียนไปด้วย

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีเซียนก็ยังเป็นเพื่อนที่ทำตัวเหลวไหลไปด้วยกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

สองเท้าในรองเท้าผ้าใบที่อดีตเคยเป็นสีขาวออกวิ่งอีกครั้งเมื่ออาการหอบทุเลาลง หากการวิ่งต้านแรงโน้มถ่วง นั้นทำให้เขาเหนื่อยมากกว่าปกติ

กว่าจะถึงหน้าห้องเรียนก็เล่นเอาแทบหมดลมหายใจ

เจ้าของร่างสูงยืนเท้าเข่าลำพังอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ปล่อยเสียงหอบดังประสานไปกับเสียงอาจารย์เจ้าของวิชาเรียนที่กำลังบรรยายอยู่ในห้อง

จนจังหวะหายใจเป็นปกติ เขาจึงยืนขึ้นเต็มความสูง

มือหนาจัดผมตัวเองให้เป็นทรงอย่างลวกๆ กระชับกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมสภาพเก่าของตน ก่อนยื่นมือข้างนั้นไปยังบานประตู

เขาตั้งใจจะเดินเข้าห้องเงียบๆ หากประตูที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมกลับดังขึ้นเรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่

เสียงบรรยายเงียบลง ภัทรดนัยรู้สึกเหมือนตัวเขาค่อยๆ หดเล็กลงเรื่อยๆ พร้อมกับอากาศที่คล้ายจะเบาบางลงทุกทีจนหายใจไม่ออก

“ขะ ขอ...”

ทุกคำพูดที่ตั้งใจเอ่ยถูกลบออกไปจากสมองเมื่อเผลอสบตาเข้ากับคนที่ยืนอย่างโดดเด่นอยู่หน้าห้อง ร่างกายของภัทรดนัยชาวาบจนไร้ความรู้สึก เขาได้แต่ยืนนิ่งมองคนๆ นั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เขาจดจำดวงตาคู่นี้ได้ดี ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม

“จะเรียนมั้ยครับนักศึกษา” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นให้ภัทรดนัยตื่นจากภวังค์

ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานในชุดสูทสุดเนี้ยบเจ้าของใบหน้าสะอาดหมดจดทว่าเคร่งขรึมที่ยืนอยู่หน้าห้องใช่พี่มินไม่ผิดแน่

เมื่อได้สติภัทรดนัยซึ่งควรเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนกลับเลือกที่จะมุ่งตรงไปหาคนที่มองเขาไม่ละสายตา กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ากัน

ดวงตาคมจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา กระทั่งตอนนี้พี่มินก็ไม่เปลี่ยนไปเหมือนกับความรู้สึกของเขา

“ถ้าจะเรียนก็เชิญนั่งครับ”

“อาจารย์เช็คชื่อไปรึยังครับ”

“แน่นอน ผมคงไม่รอคุณหรอก”

“แต่ผมรอคุณมาตลอดเลย” ภัทรดนัยโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินแค่พวกเขา “ใจร้ายจังนะครับคุณครูพี่มิน”

มันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาและไม่รู้สึกอะไรแล้วสำหรับคนเป็นอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สอนนักศึกษานับร้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการถูกแพทนั่งเท้าคางจ้องมองจากโต๊ะหน้าสุดของห้องเรียนนั้นทำให้ดอกเตอร์เมฆเสียสมาธิไม่น้อย

คนเป็นอาจารย์เลือกที่จะเลี่ยงการสบตา กระนั้นก็เหมือนกับมีแรงดึงดูดให้มองไปตรงนั้นเสมอ

ภัทรดนัยไม่ใช่นักศึกษาคนเดียวที่มาไม่ทันเช็คชื่อในวันนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเขาเป็นคนเดียวที่ดอกเตอร์เมฆจดจำได้ขึ้นใจ

ดอกเตอร์เมฆใช้เวลา 3 ชั่วโมงอย่างคุ้มค่า แม้นักศึกษาจะออกจากห้องเรียนไปเกือบหมดแล้วกระนั้นคนเป็นเจ้าของวิชาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คล้ายกับกำลังรอบางคน

แน่นอนว่าบางคนนั้นคือคนที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้กันทุกขณะ

ภัทรดนัย...

“ทีนี้จะยอมเช็คชื่อให้ผมได้รึยังครับอาจารย์”

“คุณเข้าห้องเรียนสายเกินครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ”

“แต่ผมก็อยู่เรียนจนหมดชั่วโมง”

“นั่นมันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ” คำพูดของดอกเตอร์เมฆแม้ไม่ได้บอกออกมาตรงๆ แต่ก็เดาได้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเช็คชื่อย้อนหลังอย่างแน่นอน

“แล้วทำไมอาจารย์ไม่บอกผมตั้งแต่แรก”

“จำได้ว่าผมให้คุณเลือกนะภัทรดนัย”

“แหม เรียกชื่อจริงซะด้วย อาจารย์คงลืมเรื่องคืนนั้นของเราไปแล้วแน่ๆ” คืนนั้นเมื่อ 4 ปีก่อนยังเป็นความทรงจำที่ดีของแพทเสมอ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว เพียงแค่คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ในคืนนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้รับพลังอันมากมายมหาศาล

ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้พี่มินก็ยังเป็นโลกทั้งใบของแพทเหมือนเดิม

ไม่แน่ใจว่าพี่มินคิดเหมือนแพทหรือเปล่า

“ไม่มีเรื่องคืนนั้นหรือคืนไหนทั้งนั้นแหละ สายก็คือสาย ถ้ารู้ว่ามีเรียนเช้าเมื่อคืนก็อย่าไปเถลไถลที่ไหนสิ” ดูเหมือนว่าพี่มินจะไม่คิดอะไรเลย เผลอๆ อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พวกผู้ใหญ่ลืมง่ายกันขนาดนี้เชียวเหรอ

เอาเถอะ ดูเหมือนว่าเวลา 4 ปีที่ไม่ได้เจอกัน และไม่ยอมทำตามสัญญาที่ว่าจะติดต่อกลับมาพี่มินจะเปลี่ยนไปมากกว่าที่คิดซะอีก กระนั้นแพทก็ไม่คิดยอมแพ้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดแพทจะไม่ยอมปล่อยโลกทั้งใบของตนให้หลุดมือไปอีกแน่

คนที่อยู่ในฐานะนักศึกษาของดอกเตอร์เมฆเท้ามือทั้งสองข้างกับโต๊ะ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้คนเป็นอาจารย์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งแล้วยิ้ม

“นี่สอนในฐานะดอกเตอร์เมฆหรือคุณครูพี่มินล่ะครับ”

“ถ้าตอนนี้ก็คงในฐานะดอกเตอร์เมฆล่ะมั้ง”

“จำเป็นต้องห่างเหินกันขนาดนี้เลยเหรอครับพี่มิน”

ใบหน้าเรียบนิ่งปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ให้คนมองพอชื่นใจ ทั้งที่อยากได้ยินคำอื่น อย่างเช่น ล้อเล่นน่า พี่ก็คิดถึงแพท หรืออะไรที่มันเป็นเชิงบวก แต่นอกจากยิ้มเล็กๆ นั่นเขาก็ไม่คิดจะตอบโต้อะไรเลย

“ผิดหวังชะมัด พี่มินเนี่ยเป็นคนยังไงกันแน่” แพทมั่นใจว่าอีกฝ่ายได้ยินประโยคนั้นของเขาแต่ทำเป็นเมินแล้วเดินออกจากห้องไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ให้ตายเถอะพี่มิน จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย

ตอนนี้เองที่แพทตระหนักว่าเขาไม่รู้จักพี่มินซักนิดเดียว นิสัยใจคอจริงๆ เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าเคยเป็นคนที่ใจดีกับน้องแพทมาก พร้อมจะปกป้องน้องแพทเสมอ ทุกอย่างที่เขารู้คือสิ่งที่พี่มินเคยแสดงออกต่อหน้าเท่านั้น ที่จริงเขาจะไม่สนใจด้านอื่นๆ ของพี่มินก็ได้ และถ้าเป็นเมื่อก่อนแพทก็คงปล่อยผ่าน แต่ในยามที่พี่มินเปลี่ยนไปขนาดนี้ ทำตัวห่างเหินกันขนาดนี้ เขาไม่สามารถมองผ่านไปได้จริงๆ

ถ้าหลอกล่อด้วยความน่ารัก น่าเอ็นดูอย่างเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ก็คงต้องใช่อย่างอื่น

พวกผู้ใหญ่หัวดื้อน่ะเห็นทีต้องใช้ไม้แข็งซะแล้วล่ะมั้ง















เสียงดนตรีโฟล์คซองดังมาจากสนามหน้าตึกศิลปกรรมศาสตร์ในเวลาบ่าย 2 โมง ก่อนเสียงจะเงียบไปหลังจากนั้น 5 นาที

เซียนวางกีตาร์โปร่งตัวโปรดของตนลงก่อนเดินตรงเข้ามาหาเพื่อนสนิทที่นานทีปีหนจะมาหาถึงคณะ งานนี้สาวๆ คงอึ้งกันน่าดู และก็ไม่ผิดไปจากที่คาดเลย แทบจะทุกสายตาในบริเวณนั้นมองมายังพวกเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้จะถูกถ่ายรูปแต่พ่อคนฮ๊อตกลับไม่แสดงท่าทีสนใจแม้แต่น้อย

“ลมอะไรหอบมาวะ”

“พี่มินอยู่ที่นี่ว่ะ”

“มิน” เซียนทวนคำพลางครุ่นคิด นานแล้วที่ชื่อนี้ไม่ได้ยินชื่อนี้ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานานหน่อย

“พี่มินไง รักแรกของกูอะ”

หลังจากพี่มินบินกลับต่างประเทศ แพทก็ตกอยู่ในอาการเศร้าอย่างหนัก เพราะไม่อาจแบกเรื่องราวทั้งหมดไว้ลำพังเขาจึงเล่าทุกอย่างให้เซียนฟังด้วยความเชื่อใจ และเซียนก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ความลับ แต่เซียนก็ไม่เคยเปิดเผยมันกับใคร

“อ๋อ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ หรือมึงไม่ได้รักเขาแล้ว”

“ไม่รู้สิ พี่มินแม่งเปลี่ยนไปมากเลยว่ะ”

“งั้นก็แปลว่ามึงไม่ได้รักเขาจริงหรอก”

“ทำไมวะ”

“ก็มึงลังเล ถ้ายังรักก็แค่บอกว่ารัก จะคิดเยอะทำไมวะ” สมแล้วที่เคยแต่งเพลงรักให้ศิลปินในค่ายเพลงที่ถึงแม้จะไม่ใหญ่แต่เพลงก็สามารถเกาะท๊อป 10 ได้เกือบ 2 เดือน

“ถึงกูจะมั่นใจว่ารัก มันก็ไม่ง่ายอยู่ดีว่ะ”

“ถ้าเราได้อะไรมาง่ายๆ เราก็ไม่เห็นค่ามันดิวะ พระเจ้าอาจจะกำลังทดสอบมึงอยู่ก็ได้”

“ด้วยการส่งพี่มินมาเป็นอาจารย์สอนกูเนี่ยนะ”

“หมายความว่า...”

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เซียนไม่รู้เลยว่าต้องแสดงความยินดีหรือเสียใจกับเพื่อนตน จะบอกว่าโชคดีมันก็ดีไม่สุด หากบอกว่าร้ายมันก็ไม่ใช่อยู่ดี สุดท้ายก็คงขึ้นอยู่กับแพทว่ามันจะคิดว่าสิ่งทีเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่

“แล้วมึงคิดว่าไง”

“กูนั่งมองเขาในห้องแล้วคิดอยู่ตลอดแต่แม่งคิดไม่ออกเลย เขาเป็นอาจารย์ กูเป็นนักศึกษานะเว้ย กูจีบเขาได้เหรอวะ กูแม่งกลัวพี่มินจะมีปัญหาน่ะสิ”

“แคร์กันขนาดนั้นเชียว”

“ก็ต้องแคร์ดิ กูแม่งรอเขามากี่ปี”

“ยืมนิ้วกูมั้ย”

“ไอ้เหี้ย” อดไม่ได้ที่จะด่าเพื่อนตัวเองหยาบๆ

“ตอนที่มึงเจอเขาล่าสุดเมื่อ 4 ปีก่อน เขามีท่าทีจะชอบมึงบ้างมั้ย”

ตอนนั้นเหรอ?

ไม่ว่าจะตอนที่แพทยังเป็นเด็ก หรือเมื่อ 4 ปีก่อนพี่มินก็ยังคงเป็นคุณครูพี่มินที่แสนดีไม่เปลี่ยนแปลง ดีเกินไปด้วยซ้ำ และกับคำถามที่ว่าดูชอบพอกันเกินเด็กในปกครองบ้างมั้ย แพทไม่กล้าฟันธงเรื่องนี้ด้วยตัวเองนักหรอก

“มึงไม่ต้องตอบกูก็ได้ กลับไปคิดดูดีๆ ถ้ามึงได้คำตอบแล้วอยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าจะให้กูพูดชี้นำล่ะก็นะ ถ้าเป็นกู ทั้งที่ตัวเองดูเหมือนจะไปได้ดีที่ต่างประเทศ ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ กูก็คงไม่กลับมาไทยหรอก”

“เหตุผลดีๆ อย่างเช่นอะไรวะ”

“ก็มีคนรออยู่ที่นี่ อะไรแบบนี้ล่ะมั้ง”

“หมายถึงกูเหรอ”

“ยิ้มกว้างเชียวไอ้แพท มึงนี่นะ พอเป็นเรื่องความรักก็กลายเป็นเด็กน้อยเลย”

“ก็กูเป็นเด็กขาดความอบอุ่น”

“มีสาวๆ เรียงคิวมาให้ความอบอุ่นมึงตั้งเยอะ แต่เสือกเล่นตัว”

“ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวแฟนเขามากระทืบ” พอนึกถึงเรื่องตอนมัธยมทั้งคู่ก็พร้อมใจกันหัวเราะออกมา ถึงแม้ว่าพักหลังมานี้จะไม่ค่อยถูกเข้าใจผิดเรื่องแย่งแฟนคนอื่นจนโดนกระทืบเหมือนก่อนแล้ว แต่แพทก็ยังรู้สึกระแวงและระวังตัวเป็นอย่างดี

อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากพาพี่มินไปตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

 













สิ่งของถูกรื้อกระจัดกระจายเต็มพื้น แม้แต่ผ้าปูที่นอนยังถูกดึงออกมา ไม่ใช่เหตุด่วนเหตุร้ายแต่เหตุเกิดจากเจ้าของห้องกำลังหาบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ

แพทนั่งลงบนที่ว่างอันน้อยนิดบนพื้นห้องอย่างอ่อนแรง

บัตรสะสมความดีที่เขาเพียรพยายามสะสมเพราะพี่มินเคยให้สัญญาไว้ว่าบัตร 1 ใบเท่ากับการกลับมาเจอกัน 1 ครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้ใช้มัน เขาหวังว่าครั้งนี้จะได้ใช้ความพยายามนั้นให้เป็นประโยชน์ซักที

ถึงแม้จะมุ่งมั่นขนาดนั้น แต่เขาก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าเห็นมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

แพทพยายามติดต่อคุณแม่แต่เช้าด้วยการส่งข้อความไปก่อน รอจนสายก็ไม่มีแววว่าฝ่ายนั้นจะติดต่อกลับมาเขาจึงโทรไปอีก ทว่าคุณแม่ที่รับโทรศัพท์อย่างเชื่องช้าก็ตอบกลับมาสั้นๆ ว่ากำลังยุ่งมาก

คนกำลังจะแต่งงาน แพทก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ช่วยสละเวลาให้ลูกชายคนเดียวซักนาทีไม่ได้รึไง

แพทไม่ได้น้อยใจคุณแม่หรอก ตอนที่ได้ยินว่าท่านจะแต่งงานใหม่ก็ยอมรับอย่างลูกผู้ชายแหละว่าไม่ชอบใจแม้แต่น้อย กระทั่งได้มีโอกาสเจอและพูดคุยกับว่าที่สามีใหม่ของท่าน

ระหว่างมื้ออาหารแพทได้เห็นคุณแม่ในแบบที่เขาไม่ได้เห็นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ดวงตาคู่สวยเป็นประกาย รอยยิ้มราวกับสาวน้อยปรากฏอยู่บนใบหน้าอิ่มเอมของท่านตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนั้นทำให้คุณแม่มีความสุขได้จริงๆ

‘แต่งก็แต่ง แต่แพทอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวไม่ได้หรอกนะ’ แพทตอบคุณแม่ไปอย่างนั้นในตอนดึกหลังจากว่าที่สามีใหม่ของท่านกลับไปแล้ว

คุณแม่มองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่อยู่ๆ ก็มีท่าทีเจ้าเล่ห์ราวกับมีเงาของคุณพ่อซ้อนทับอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันฉันพ่อลูกมากนัก แต่บางส่วนในตัวของแพทก็เหมือนคุณพ่อราวกับแกะ

ทั้งคู่ตัดสินใจขายบ้านที่เป็นดั่งความทรงจำหลังนี้ แล้วเอาเงินส่วนนึงมาซื้อบ้านหลังใหม่ตามคำขอของแพท บ้านหลังที่อยู่สุดซอยบ้านต๊อด

มันคือบ้านเช่าที่พี่มินเคยอาศัยอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง

แพทไม่รู้เหมือนกันว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

ในชีวิตนี้มีเพียง 2 สิ่งเท่านั้นที่แพทรักสุดหัวใจ

อันดับ 1 คือครอบครัวที่แพทซึ่งยังเด็กมากไม่สามารถรักษาความเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเอาไว้อีกต่อไป สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงเก็บความทรงจำที่ดีในอดีตที่เมื่อนึกถึงก็ทำให้ยิ้มได้ในบางครั้ง ร้องไห้ในบางทีนั้นเอาไว้

อันดับ 2 คือพี่มินซึ่งเป็นเสมือนโลกทั้งใบของเขา เป็นสิ่งที่แพทจะไม่มีทางปล่อยมือและทิ้งให้เรื่องของพวกเขาเป็นเพียงความทรงจำอย่างเด็ดขาด

หรือว่าจะอยู่ที่นั่น

ห้องเล็กๆ ใต้บันไดที่ไม่ได้เปิดเลยตั้งแต่แพทย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ถูกเปิดอีกครั้ง ข้างในมืดมากจนต้องเอาไฟฉายมาส่อง

ขอให้อยู่ในนี้เถอะ แพทภาวนาอย่างมีความหวัง

รื้ออยู่นานทีเดียวกว่าจะเจอกับกล่องต้องสงสัยใบนึง

กล่องกระดาษสภาพดีถูกยกออกมา ฝุ่นที่จับอยู่บนฝาทำให้เจ้าของร่างสูงไอออกมานิดหน่อย เมื่อเปิดออกคนที่เอาแต่มุ่นคิ้วมาตั้งแต่เมื่อเช้าก็เผยรอยยิ้ม ข้างในปรากฏสิ่งของต่างๆ ที่ทำให้นึกถึงความทรงจำวัยเยาว์ แม้แต่สมุดภาพระบายสีสวนสัตว์และสมุดไดอารี่ของพี่แพทก็อยู่ในนี้ แพทหยิบมันออกมาเปิดดู ความทรงจำวัยเยาว์หลั่งไหลออกมาราวกับว่าเขาถูกดึดกลับไปในอดีตอีกหน











ประตูห้องเปิดออก พี่มินปรากฏตัวพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดิม แพทเงยหน้าจากสมุดภาพที่กำลังระบายสีอย่างตั้งอกตั้งใจ เจ้าตัวเล็กกระโดดลงจากเตียงวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายคนดีแล้วแอบหอมแก้มไปทีอย่างเคยตัว

ทั้งคู่นั่งลงบนเตียงด้วยกัน สมุดภาพที่ระบายสีถึงหน้าสุดท้ายถูกคนเป็นพี่หยิบมาดู

“ระบายสีใกล้เสร็จแล้วนี่”

“สวยมั้ยคุงคูพี่มิง”

“สวยครับ”

“สวยแล้วมีรางวังมั้ย”

“ก็หอมแก้มไปแล้วนี่เมื่อกี้”

“อังนั้งไม่นับเพราะพี่แพทแอบหอมงาย” เจ้าเด็กนี่น้า มินมองเจ้าเด็กช่างอ้อนอย่างอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยมอบมันให้ใครมาก่อนแล้วก้มลงไปหอมแก้มนิ่มแรงๆ 1 ทีให้คนได้รางวัลยิ้มแฉ่งเต็มแก้ม

“เนี่ยๆ พี่แพทมีอะไรให้ดูด้วยน้า” เด็กน้อยว่าอย่างอารมณ์ดีพลางยื่นมือเล็กไปฉวยเอาสมุดมาถือไว้เอง

มินมองน้องที่กำลังพลิกกระดาษไปยังหน้าสุดท้าย

“อันนี้พี่แพทวาดเองเลยน้า”

มันเป็นภาพวาดด้วยเส้นยึกยักแบบฉบับเด็ก 5 ขวบแต่ก็ยังพอมองออกว่านั่นคือคน ด้านหลังคือภูเขาและทะเล

“อันนี้คือพี่มินเหรอครับ” นิ้วเรียวชี้ไปยังภาพคนที่ยืนอยู่ข้างเด็กตัวเล็ก

“ช่ายๆ พี่แพทวาดสุดฝีมือเลยน้า สวยมั้ย”

“สวยครับ แต่พี่มินตัวจริงหล่อกว่านี้”

“ไม่ใช่ซักหน่อย พี่มินตัวจริงน่ารักต่างหาก”

“น่ารักยังไงครับ”

“ก็น่ารักอย่างนี้งาย” น้องขยับยืนด้วยเข่าแล้วยื่นมือมาจับแก้มมินเบาๆ ลูกแก้วใสสะท้อนใบหน้าคนน่ารักก่อนจะโถมทั้งตัวเข้ามากอด

เสียงหัวเราะสะท้อนในห้องนอน นานทีเดียวก่อนเสียงจะเงียบลง

ช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปด้วยกันทำให้บ้านที่เงียบเหงากลับมาครึกครื้นอีกครั้ง












รอยยิ้มอบอุ่นแบบคุณครูพี่มิน แพทจะยังมีโอกาสได้รับมันจากดอกเตอร์เมฆรึเปล่านะ

สมุดภาพถูกวางลงก่อนแพทจะหยิบกล่องใบเล็กออกมา เขาแทบกรี้ดเมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ภายในคือของที่ตนค้นหามาตั้งแต่เช้า

สำเร็จแล้ว สุดท้ายก็หาเจอจนได้

แพทกอดกล่องนั้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม รอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว

เมื่อทุกความกังวลคลายออก ท้องก็ร้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็ใช่น่ะสิ แพทน่ะ ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว















ร้านโจ๊กหน้าปากซอยแถวๆ บ้านต๊อดอร่อยมากจนคนขี้เกียจหาข้าวเย็นกินเองต้องปั่นจักรยานออกมาในตอนเย็น

“ต๊อด!!” แน่นอนว่าตอนปั่นจักรยานผ่านบ้านต๊อดแพทไม่พลาดที่จะจอดแล้วเข้าไปเอาเรื่องอีกฝ่ายซักหน่อย

“อะไรของมึง” น้ำเสียงต๊อดไม่ดีนัก หน้าตาก็ไม่ดีเหมือนกัน

“ไม่บอกกันบ้างเลย”

“บอกอะไร”

“เรื่องพี่มินไง”

“อ่อ กูก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันนี่เอง นึกว่ามึงรู้แล้วซะอีก”

“เพิ่งรู้เมื่อเช้าเนี่ย”

“อ้าว แปลว่ามันไม่ได้บอกใครเลยดิเนี่ย”

“แล้วทำไมอยู่ๆ กลับมา”

“พูดเหมือนไม่อยากให้กลับมา”

“ก็แหม ถ้ากลับมาแบบปกติก็คงดีใจกว่านี้” ไม่ใช่ว่าการที่พี่มินกลับมาในฐานะดอกเตอร์เมฆแพทจะไม่ดีใจ แต่ด้วยสถานะของทั้งคู่มันทำให้ดีใจได้ไม่สุดจริงๆ

“เมื่อกี้เพิ่งคุยกัน มันบอกว่าเดี๋ยวเข้ามา”

“จริงเหรอ”

“กูเพื่อนเล่นมึงเหรอแพท”

“บางที”

“ไอ้เด็กเหี้ย” คนถูกด่าหัวเราะชอบใจให้ต๊อดยกขามาเตะทีนึง ในตอนที่ทั้งคู่กำลังทะเลาะกันเป็นเด็กๆ นั่นเองรถแท็กซี่ก็เข้ามาจอด

มินในชุดแบบเดียวกับเมื่อเช้าเปิดประตูออกมาหลังจากจ่ายค่าโดยสารแล้ว เพราะไม่ได้เตรียมใจว่าจะได้เจอแพทอีกที่นี่เขาจึงชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่นานนักสัญชาติญาณดอกเตอร์เมฆก็เข้าร่าง

“ไหนมึงบอกจะมาค่ำๆ”

“นี่ยังค่ำไม่พออีกเหรอ หรือต้องให้กูกลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่”

“กูแค่ทักทายมั้ยล่ะดอกเตอร์” แพทแอบเบ้ปากเมื่อได้ยินต๊อดเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างนั้น

“โลกกลมจังเลย อาจารย์เป็นเพื่อนกับต๊อดด้วย” คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อแพทเรียกเพื่อนตนว่าอาจารย์

“ก็ไม่คิดว่าจะเจอนักศึกษาที่นี่เหมือนกัน”

ถึงแม้จะไม่ใช่คนหัวไวแต่ต๊อดก็พอจะเดาออกว่าทั้งคู่กำลังเขม่นกันด้วยเรื่องบางอย่างในฐานะนักศึกษากับอาจารย์ผู้สอนอย่างนั้นเหรอ

ไอ้แพทเอ้ย รอเขามาตั้งนานแต่กลับต้องมาเจอกันอีกครั้งในฐานะนักศึกษากับอาจารย์เนี่ยนะ

ต๊อดอยากจะหัวเราะ







[T B C]



เพราะว่าคุณครูพี่มินผ่านพิจารณากับสำนักพิมพ์
ด้วยความเกรงใจเราจึงจำต้องเก็บบางส่วนเอาไว้ในเล่มค่ะ
อ่านช่วงแรกๆ ของตอนคงจะงงใช่มั้ยคะ ว่าอะไรคือ 4 ปี พี่มินทิ้งน้องไปตั้งแต่ตอนเป็นเด็กไม่ใช่เหรอ
ถ้าหมายถึงส่วนแรกก็ใช่ค่ะ
แต่ในเล่มที่จะตีพิมพ์เราเพิ่มช่วงที่พี่แพทเรียนมัธยมและได้เจอกับพี่มินอีกครั้งเข้าไป เป็นเรื่องราวน่ารักๆ ใสๆ ฉบับเด็กวัยรุ่น เราจะเรียกส่วนนี้ว่าส่วนที่ 2 นะ
เรื่องราวตอนนี้ต่อจากส่วนที่ 2 นั่นเอง ระยะเวลาห่างกัน 4 ปี
พี่มินกลับมาคราวนี้รับรองว่าพี่แพทไม่ปล่อยไปอีกแน่
ฝากติดตามด้วยนะคะ :)

พูดคุยกันต่อที่ #คุณครูพี่มิน





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 9 {Up.130918}
«ตอบ #36 เมื่อ14-09-2018 02:13:45 »

ตกลงส่วนที่ขาดหายไปช่วงที่พี่แพทเรียนมัธยม จะได้อ่านก็ต่อเมื่อซื้อหนังสือแม่นก่อ เริ่มเก็บเงินได้แล้วเรา  :กอด1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 9 {Up.130918}
«ตอบ #37 เมื่อ14-09-2018 09:21:59 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

หายไปนาน  กลับมาแทบต่อไม่ติด

มิหนำซ้ำ  ยังมีห้วงเวลาหนึ่งหายไปอยู่ในเล่มอีกต่างหาก

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
«ตอบ #38 เมื่อ15-09-2018 18:23:28 »

คุณครูพี่มิน 10



“พวกมึงทำให้กูกินข้าวไม่อร่อย” คนเป็นเจ้าของบ้านวางช้อนลงพลางกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์

ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันต๊อดก็อยากกินข้าวอร่อยๆ แล้วก็พักผ่อน แต่ดันมาเจอคนนั่งเขม่นกันที่โต๊ะอาหารซะงั้น

โคตรเซ็งเลย

“จ้องกันอยู่นั่นแหละไอ้ห่า ถ้าเป็นปลาทองแม่งท้องไปแล้ว มีอะไรก็ไปเคลียร์กันกูจะแดกข้าว”

“แพทก็จะกินข้าวเหมือนกัน”

“กินจริงจังมากไอ้สัดเอ้ย ข้าวมึงจะหมดจานแล้ว” ต๊อดประชดพลางจ้องเขม็งไปยังจานข้าวของคนอายุน้อยที่สุดซึ่งข้าวยังไม่พร่องไปแม้แต่นิดเดียว

“ต๊อดพูดกับน้องไม่เพราะเลยอะ”

“ฟ้องพี่มินของมึงซะสิ” ต๊อดตอบกลับพลางตักอาหารใส่จานข้าวตัวเองจนอยู่ในสภาพเหมือนอาหารร้านข้าวราดแกง

“ไม่มีแล้วมั้งพี่มินของแพท ที่นี่มีแต่ดอกเตอร์เมฆ”

“กูถึงบอกไงว่าให้พวกมึงเคลียร์กันซะ” ว่าจบต๊อดก็ถือจานข้าวลุกขึ้น เดินออกจากตรงนั้นเพื่อเปิดโอกาสให้คนทั้งคู่ได้เคลียร์ปัญหาคาใจกันเสีย

เขาในฐานะคนกลาง บอกเลยว่าสถานการณ์แบบนี้มันอึดอัดเหมือนคนไม่ได้ปลดทุกข์หนักมาเป็นเวลานาน

คล้อยหลังต๊อดคนที่นั่งอยู่กันคนละฝั่งของโต๊ะก็ยังไม่ละสายตาจากกันแม้แต่วินาทีเดียว

“พี่มินมีอะไรจะพูดรึเปล่า”

“เรื่องอะไรล่ะ”

น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ของคนตรงหน้าทำให้แพทไม่พอใจ ชายหนุ่มแอบเบ้ปากก่อนเอ่ยถามเรื่องที่คาใจตนเสียเอง “มาเป็นอาจารย์ที่มหา’ลัยได้ยังไง”

“ขั้นตอนมั่นยุ่งยาก ถ้าจะให้เล่าตอนนี้ก็ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่”

“ยาวแพทก็จะฟัง” แพทว่าอย่างดื้อรั้น หากมินก็ไม่คิดจะเล่า เขาตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวทำอย่างนั้นซ้ำๆ จนคนรอเริ่มหงุดหงิด

ตามใจตัวเองเข้าไปเถอะ เพราะอีกเดี๋ยวคงไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว

แพทมองหน้าคุณครูพี่มินของตนแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้มินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างประหลาด คล้ายกับว่ากำลังจะมีภัยคุกคาม

ทั้งคู่ทานมื้อเย็นกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่จนแพททนต่อความเงียบไม่ไหว

แพทตักไก่จ๊อทอดใส่จานให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแล้วว่า “กินเยอะๆ พี่มินรู้มั้ยว่าตัวเองเองผอมลงมากเลย”

มินมองหน้าแพทอย่างนึกขอบคุณก่อนตักไก่จ๊อเข้าปาก

คงเพราะการมารับตำแหน่งที่มหา’ลัยมีขั้นตอนมากมายและยังต้องดำเนินการในระยะเวลาอันกระชั้นชิดมินจึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปเพื่อการนั้นโดยไม่หลับไม่นอน ไม่สนใจแม้กระทั่งอาหาร

ตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศเขาใช้ชีวิตอย่างนั้นราวกับเป็นเรื่องปกติ

การใช้ชีวิตลำพัง ไม่มีใครดูแล ทำให้ลืมห่วงตัวเองไปในบางที

“ก่อนจะกลับมาก็น่าจะบอกกันบ้างนะ แพทจะได้ไปรับ”

“ไม่อยากรบกวน”

“รบกวนอะไรล่ะ ถ้าเป็นพี่มิน ไม่ว่าจะขอให้ทำอะไรแพทก็เต็มใจทำให้หมดเลยนะ”

“ขออะไรก็ทำให้ได้หมดเลยจริงๆ เหรอ”

“อื้อ หมดเลย” ทันทีที่แพทรับปากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้าคนเป็นดอกเตอร์ให้คนมองรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“ตั้งใจเรียนให้ดูหน่อยสิ”

“ตั้งใจอยู่แล้วน่า”

“แต่วันนี้คุณไม่ตั้งใจเลย”

“เพราะใครกันล่ะ” แน่นอนว่าเพราะเขาเองใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว แพทเล่นนั่งจ้องกันทั้งชั่วโมงเรียนขนาดนั้น

“ถ้าผมทำให้ไม่มีสมาธิก็ทำเรื่องถอนวิชานี้ซะสิ”

“ไม่เอาหรอกวิชาที่พี่มินสอนลงโคตรยากเลย” พี่มินไม่รู้หรอกว่ากว่าแพทจะลงเรียนวิชานี้ได้หมดกาแฟเซเว่นไปกี่แก้วกและต้องนอนตาแข็งไปกี่คืน ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางถอนหรอก

“ยิ่งรู้แบบนี้ก็ยิ่งต้องตั้งใจเรียน”

“รู้แล้วน่า อาจารย์ก็ช่วยลดเสน่ห์ลงบ้างก็แล้วกัน ผมจะได้มีสมาธิ”

“ถึงได้บอกไงว่าถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหวก็อย่าฝืน”

“ทำไมพี่มินต้องมาสอนวิชานี้ด้วยก็ไม่รู้” แพทตัดพ้อโชคชะตา กลับมาเจอกันในรอบ 4 ปีทั้งทีแต่ดันตกอยู่ในสถานะที่ยากต่อการสานสัมพันธ์

“บ่นไปก็ไม่เกิดประโยชน์หรอกน่า”

“พวกเราต้องแย่แน่ๆ เลย” ไม่แน่ใจว่าแย่ในแง่ไหนแต่แพทก็ดูเป็นกังวลมากจนคนเป็นอาจารย์ผู้สอนต้องปลอบใจ

“มันไม่ได้ยากขนาดนั้นซักหน่อย”

“แพทไม่ได้กังวลเรื่องเรียนนะ”

“อ้าว แล้ว...”

“แพทกังวลเรื่องของเราต่างหาก”

นั่นสินะ พวกเขาต้องแย่แน่ๆ เลย















แพทบอกว่าจะไปส่ง ก่อนเจ้าตัวจะหายไปแล้วกลับมาพร้อมมอเตอร์ไซค์ภายในเวลา 10 นาที เห็นอย่างนั้นแล้วคนรอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปเอารถมาจากที่ไหน

“สวมหมวกกันน็อคด้วยนะ แพทไม่อยากถูกตำรวจจับ” ว่าพร้อมกับช่วยสวมหมวกกันน็อคอย่างคล่องแคล่ว

“จะขี่นี่ไปส่งเหรอ”

“ใช่ ทำไม พี่มินไม่ไว้ใจแพทเหรอ”

“ไม่รู้สิ ก็ไม่เคยซ้อน”

“เดี๋ยวก็จะได้ซ้อนบ่อยๆ แล้ว”

“ใครเขาจะไปไหนด้วยบ่อยๆ ล่ะ”

“พี่มินนั่นแหละ”

มั่นใจเหลือเกินแฮะ แต่เพราะเป็นเวลาดึกแล้วมินจึงเลือกที่จะก้าวขึ้นคร่อมรถแทนการตอบโต้ และเหมือนกับแกล้งกัน พอมินไม่ยอมกอดเอวแพทก็เบรคบ่อยๆ จนสุดท้ายคนกลัวตกรถจำต้องยอมกอดเอวไว้หลวมๆ

“พี่มินพักที่ไหน”

“คอนโดที่เดิมแหละ จำไม่ได้แล้วเหรอ”

ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ แพทไปที่นั่นบ่อยกว่าไปหาพ่อซะอีก ไม่ว่าจะยามเศร้าหรือมีความสุขที่แห่งนั้นมักจะเป็นที่แรกที่อยากไปเสมอ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีใครรออยู่ที่นั่นก็ตาม

แต่ตอนนี้พี่มินกลับมาแล้ว นั่นคือความจริงที่ทำให้แพททั้งทุกข์และสุขในเวลาเดียวกัน

“อยากเข้าห้องน้ำจัง” แพททำเป็นเปรยเมื่อจอดมอเตอร์ไซค์แล้ว

“ตามมาสิที่ล็อบบี้มีห้องน้ำ”

“แค่ขอเข้าห้องน้ำเองทำไมงกจัง”

“เข้าห้องน้ำล็อบบี้ไม่ได้เหรอ” มินแสร้งถามเหมือนไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย

“ขอแพทขึ้นห้องได้มั้ยครับ”

“ก็แค่นั้นแหละ” มินส่ายหน้าให้คนอ้อมค้อม ถ้าบอกอย่างนี้ตั้งแต่แรกป่านนี้คงนั่งสบายอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว

ภายในคอนโดพี่มินไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 4 ปีก่อนมากนัก และทั้งที่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน หากตอนนี้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาซะดื้อๆ

“แพทมาที่นี่บ่อยมาก”

“มาก็เข้าคอนโดไม่ได้ ว่างมากเหรอ”

“ก็ไม่หรอก ไม่ว่างแต่คิดถึง พี่มินน่ะหายไปอีกแล้ว”

หลังจากมินกลับต่างประเทศไป ในช่วงเดือนแรกๆ สถานการณ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะดี พวกเขายังคงติดต่อกันบ้าง อาจจะนานๆ ครั้งแต่ก็ยังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบให้รู้ว่ายังมีกันและกันอยู่ กระทั่งช่วงที่แพทต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะเขาเอาแต่จดจ่อกับเรื่องเรียนจากที่คุยกันบ้างก็ห่างหายกันไป

พอแพทไม่ติดต่อไป มินก็ไม่ติดต่อมา กลายเป็นว่าต่างคนต่างเงียบ กระทั่งแพทเคลียร์เรื่องเรียนเสร็จสิ้นแล้วจึงพยายามติดต่อมินอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก

เพราะว่ามินยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาทั้งเรียนและทำงานควบคู่กันไปด้วย กลับถึงบ้านหัวถึงหมอนก็หลับไป ชีวิตวนอยู่เช่นนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าควรหาความสุขใส่ตัวบ้างแต่ข้ออ้างเรื่องเวลาก็ถูกยกมาใช้เสมอ ทำให้ถึงแม้ตอนนี้อายุจะปาเข้าไปสามสิบกว่าปีแล้วแต่ประสบการณ์ชีวิตของมินช่างน้อยนิดจนน่าใจหาย

กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่เคยเผยด้านนี้ให้ใครเห็น

“ใครหายไปก่อนกันแน่” พอถูกใส่ร้ายก็อดเถียงไม่ได้

“แพท ก็ต้องสอบเข้ามหา’ลัยนี่นา”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้สึกดีซะอีกที่แพทเลือกอนาคตตัวเอง”

“พี่มินก็เป็นอนาคตของแพทนะ” คนที่เดินนำเข้าห้องไปก่อนหันกลับมาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทว่าแฝงไปด้วยความจริงจัง

มินละมือจากประตูที่เพิ่งปิดลง มองหน้าคนที่ตอนนี้อยู่ใกล้จนเห็นได้ชัดว่าแพทตัวสูงใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนมากเพียงใด

“จำที่แพทเคยพูดไม่ได้เหรอ”

“พูดหลายอย่างเลยนี่”

“ที่บอกว่าอยากเป็นแฟน” แพทก้าวเข้ามาใกล้อีกแล้วใช้มือทั้งสองข้างยันบานประตูกักตัวเจ้าของห้องเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน “แพทโตแล้วนะ ปีนี้อายุ 20 แล้วด้วย เป็นแฟนกันได้ยัง”

ถ้าหากว่าในคำพูดจริงจังนั้นจะมีแววล้อเล่นซักนิดมินคงจะหัวเราะกลบเกลื่อนได้ แต่นี่ไม่มีเลย แพทจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยคุยกัน

เรื่องขอเป็นแฟน ทำไมมินจะจำไม่ได้ อ้อมกอดอุ่นๆ ในคืนนั้นยังช่วยให้มินนอนหลับฝันดีทุกคืน สร้อยข้อมือที่แพทซื้อให้เขาก็ยังเก็บมันไว้กับตัวเสมอ

แน่นอนว่าความรู้สึกพิเศษมันมีอยู่แล้ว แต่ด้วยสถานะของพวกเขาตอนนี้มันไม่เอื้ออำนวยเลยแม้แต่นิดเดียว

“ผมเป็นอาจารย์คุณนะภัทรดนัย”

“ก็เป็นแค่ในห้องเรียนไปสิ” แพทว่าอย่างเอาแต่ใจ เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางถอนวิชาเรียนของดอกเตอร์เมฆเด็ดขาด เพราะถ้าเก็บตัวนี้ไม่ได้ในเทอมนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลงเรียนได้อีก

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน”

“แต่ถ้าพี่มินชอบการเป็นดอกเตอร์เมฆมากล่ะก็ แพทไม่เกี่ยงหรอกนะ ความสัมพันธ์อันตรายแบบนั้น...” แผ่นหลังของมินแนบไปกับบานประตูเพื่อรักษาระยะห่างจากคนที่โน้มใบหน้าเขามาใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าหล่อเหลายิ่งทำให้สถานการณ์ตอนนี้ดูอันตรายจนแทบจะหายใจไม่ออก “ตื่นเต้นดีออก ใช่มั้ยล่ะ”

เสียงพร่ากระซิบข้างหู ไม่ปฏิเสธว่าความสัมพันธ์แบบนั้นมันตื่นเต้นและทำให้ชีวิตมีสีสันดี แต่ถ้าเป็นไปได้มินก็ไม่อยากเสี่ยง

ทั้งที่ตั้งใจกลับมาหาแพทแท้ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าต้องมาเจอกับเรื่องราวไม่คาดฝันแบบนี้

ใครจะอยากเป็นแค่อาจารย์ผู้สอนกับนักศึกษากันล่ะ เจ้าบ้าเอ้ย

“ตอนนี้ดอกเตอร์ก็กำลังตื่นเต้นอยู่ใช่มั้ยล่ะ” ลมหายใจอุ่นรินรดข้างแก้ม มินรับรู้ได้ถึงปลายจมูกที่คลอเคลียอยู่ ไม่ปฏิเสธว่ากำลังตื่นเต้นจริงๆ ร่างกายของเขาสั่นไปหมดแต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเขาจะแสดงความอ่อนหัดไม่ได้เด็ดขาด

คิดอย่างนั้นแล้วคนอายุมากกว่าก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง จ้องมองเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายอย่างท้าทายโดยไม่รู้เลยว่าแววตาของตนนั้นสั่นไหวเพียงใด

ไม่รู้ด้วยแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นดอกเตอร์เมฆหรือคุณครูพี่มินก็น่ารักซะจนแพทหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเลย  และยิ่งทำเป็นเก่งก็ยิ่งน่าแกล้งจนอดใจไว้ไม่ไหว

แอบหอมแก้มซักทีดีมั้ยนะ ถึงแม้จะอยากหอมแต่แพทก็ไม่ทำหรอก มันเด็กไป ผู้ใหญ่นะเขาต้อง...

มินชาวาบไปทั้งกายเมื่ออยู่ๆ แพทก็ก้มลงมางับเข้าที่ลำคอเบาๆ แล้วกดจูบลงมา

ร่างกายร้อนฉ่าเช่นเดียวกับใบหน้าที่เห่อร้อน

แพทกลับมายืนตัวตรง เขาใช้ดวงตากรุ้มกริ่มกวาดมองคนตรงหน้า และเพียงกระตุกข้อมือเบาๆ ร่างเพรียวก็ถลาเข้ามาให้กอดแล้ว

ร้ายจริงๆ ร้ายที่สุด มินคิดขณะที่ปล่อยให้อีกฝ่ายกระชับกอด แขนเรียวยกขึ้นแล้วปล่อยลงคล้ายกำลังชั่งใจว่าควรกอดตอบดีมั้ย หากสุดท้ายก็ตัดใจทิ้งแขนเรียวลงข้างลำตัว

“อาจารย์หนีผมไม่พ้นหรอก” เสียงพร่ากระซิบขณะยัดบางอย่างใส่กระเป๋ากางเกงของมิน

ถึงแม้ว่าแพทจะออกจากห้องไปแล้ว แต่คนเป็นเจ้าของห้องกลับยังยืนอยู่ที่เดิมกับสติที่ยังเรียกกลับมาได้ไม่หมด

มินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพียงแค่สัมผัสกระดาษแข็งขนาดเท่านามบัตรก็รู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร

คูปองสะสมความดี เครื่องที่ช่วยย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งเขาเคยหลอกลวงเด็กไร้เดียงสาให้เฝ้ารออย่างไร้จุดหมาย เป็นเครื่องย้ำว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร เขาก็แค่คนธรรมดาคนนึงเท่านั้น

มินยิ้มให้สติกเกอร์คุณพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง คงจะถึงเวลาที่เขาต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วจริงๆ















ถึงแม้จะบอกว่า ‘อาจารย์หนีผมไม่พ้นหรอก’ แต่เอาเข้าจริงมินยังไม่ทันหนีไปไหนเลย เป็นเจ้าเด็กนั่นซะอีกที่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว

มินทอดสายตาผ่านห้องกระจกของโชว์รูมรถขณะกำลังรอต๊อด เจ้าบ้านั่นไม่เคยตรงเวลาเลยซักครั้ง และคงเป็นนิสัยที่ไม่มีทางแก้ได้

ตั้งใจโทรหาเพื่อนตนอีกครั้ง แต่สายตาดันไปสะดุดเข้ากับร่างสูงในชุดนักศึกษาที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามา รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อทันทีเมื่อสบตากัน

ต๊อดส่งตัวแทนมาแน่ๆ

“รอนานมั้ยครับอาจารย์” แพททักทายด้วยเสียงหอบเหนื่อย

“ต๊อดขอให้มาเหรอ”

“ผมเต็มใจนะ กลับกันเลยมั้ย กุญแจรถอยู่ไหนล่ะ” กุญแจรถอยู่ในกระเป๋ามินนี่แหละ แต่เขากำลังลังเลว่าจะให้แพทขับรถคันใหม่ของตนจริงๆ เหรอ

“มีใบขับขี่รึเปล่า”

“มีสิ จะดูมั้ยล่ะ”

“ก็เอามาสิ”

“ถ้าไม่มีหลักฐานก็จะไม่เชื่อเหรอ”

“อือ”

“ก็ได้ครับอาจารย์ รอซักครู่นะ” กระเป๋าสตางค์ถูกล้วงออกมา ก่อนเจ้าของมันจะหยิบใบขับขี่แล้วยื่นมาให้คนขอดู ในตอนนั้นเองที่มินสังเกตุเห็นสร้อยข้อมือ

“ยังใส่อยู่อีกเหรอ”

“หมายถึง...” แพทนิ่งแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนมองไปยังข้อมือตน “อ๋อ ใส่ทุกวันแหละ แล้วอาจารย์ล่ะ ทิ้งไปแล้วเหรอ”

“น่าจะอยู่ที่ห้อง” ซะเมื่อไหร่ล่ะ เพราะมินสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเป็นหลักจึงไม่มีใครเห็นว่าบนข้อมือข้างขวานั้นถูกประดับด้วยกำไลเก่าๆ อยู่ตลอดเวลา

“งั้นเหรอ ผิดหวังจัง นึกว่าใส่ไว้ตลอดซะอีก”

“มันเก่าแล้ว ใส่แล้วเสียบุคลิก”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย แพทไม่คิดมากเหมือนอาจารย์หรอก”

“ขับรถบ่อยมั้ย” มินเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับคืนใบขับขี่ให้พร้อมกุญแจรถ

“ไม่อะ ปกติขี่มอเตอร์ไซค์”

“มันอันตราย”

“แพทระวังน่า นี่ก็ขี่มาหลายปีแล้วไม่เคยเป็นอะไรเลย แต่ก็ดีใจนะที่อาจารย์เป็นห่วง”

“ยังไม่ได้บอกว่าเป็นห่วงซักคำเลย”

“รู้น่า โตแล้ว”

มินอดคิดไม่ได้ว่าแพทเถียงเก่งเหมือนใคร แน่นอนว่าคนแรกที่แว้บเข้ามาในหัวคือต๊อด เหมือนมากราวกับจับวาง เห็นต้องเก็บไว้แซวต๊อดซักหน่อยแล้ว

ถึงแม้จะไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน แต่รถบนถนนของเมืองหลวงก็ยังคงจอดกันทำเหมือนกับตรงนี้คือลานจอดรถ แพทเชื่อมต่อมือถือตนเข้ากับรถแล้วเปิดเพลงด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเป็นรถตนเอง พอได้ฟังเพลงที่ชอบแล้วค่อยหันมาชวนเจ้าของรถตัวจริงคุย

“ทำไมพี่มินไม่ขับกลับเองล่ะ รถตัวเองแท้ๆ”

“ผมนึกว่าคุณลืมไปแล้วซะอีกว่านี่รถผม” เห็นท่าทางก่อนหน้านี้ของแพทแล้วก็อดแซวไม่ได้จริงๆ

“อีกเดี๋ยวก็ต้องมาเป็นพลขับให้พี่มินบ่อยๆ”

“ถามผมซักคำรึยัง”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องถาม” แพทว่าราวกับตัวเองมีใบเหนือกว่า แต่ก็ถูกต้องแล้วในเมื่อแพทมีการ์ดความดีเป็นร้อยใบ

“เอาแต่ใจเหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเลย”

“ใช่ แพทเอาแต่ใจมาก พี่มินเตรียมตัวไว้เลย”

ไม่รู้หรอกว่าแพทคิดจะทำอะไร แต่เขื่อเถอะว่ามินรอคอยที่จะทำตามใจอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ

“ไหนๆ ก็ซื้อรถใหม่แล้ว เสาร์อาทิตย์นี้เราขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกันมั้ย

“ไม่ล่ะ ผมไม่ว่าง”

แพทแอบยู่หน้าเมื่ออีกฝ่ายตอบคำถามทันทีอย่างไม่ต้องคิด “ทำไมไม่ว่างล่ะ เสาร์อาทิตย์แท้ๆ”

“ต้องเตรียมการสอนให้พวกคุณไง” ได้ยินคำตอบแล้วแพทก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่ว่าจะผานไปนานแค่ไหนความขยันของพี่มินก็ไม่เคยลดลงเลยมีแต่จะเพิ่มขึ้น ถ้าความรักความเอ็นดูที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้นแบบนี้บ้างก็คงดี

“ขยันจังเลยครับอาจารย์ ว่าแต่คนขยันจะกลับห้องเลยจริงๆ เหรอ ไปที่นึงด้วยกันก่อนสิ” ยังไม่ทันปฏิเสธการ์ดใบหนึ่งก็ถูกวางลงบนคอนโซลรถอย่างใจเย็น

ได้เวลาหงายการ์ดแล้วสินะ

“ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนะครับ”

“จะเอาอย่างนี้เหรอ”

“พี่มินเป็นคนทำข้อตกลงนี้เอง และบอกไว้เลยว่าตอนเด็กแพทเป็นเด็กดีมาก การ์ดความดีน่ะ ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก”

“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เด็กดีแล้ว”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายจะดีกับเราแค่ไหน”

“ผมไม่ดีกับคุณเหรอ”

“ก่อนถามผม อาจารย์ถามตัวเองก่อนดีกว่า” ก็อยากจะดีด้วยอยู่หรอก แต่แพททำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย ทั้งเข้าเรียนสาย ทั้งทำตัวรุ่มร่าม เจ้าเล่ห์อีกต่างหาก แพทตอนนี้น่ะเหมือนคนละคนกับเด็กคนนั้นเลย

ถึงแม้จะรู้สึกขัดใจในบางครั้งแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเสน่ห์แบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้มินยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับมา

“อาจารย์ช่วยรับโทรศัพท์ให้หน่อยสิ” ระหว่างขับรถไม่ควรโทรใช่มั้ยล่ะ และใครกันนะช่างโทรมาได้เวลาเสียจริงๆ

คนถูกขอร้องลังเลนิดหน่อยแต่ก็ยอมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของพลขับจำเป็นแต่โดยดี

“อย่าล้วงลึกนะครับ”

“จะล้วงลงไปทำอะไรลึกๆ ล่ะ”

“ก็ไม่รู้สิ แต่ถ้าอาจารย์อยากล้วงผมก็เต็มใจนะ”

“เธอนี่มัน จริงๆ เลย” ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับความร้ายกาจนี้อย่างไรดี มินจึงเลี่ยงบทสนทนาด้วยการกดรับสายแล้วเอามือถือไปแนบหน้าอีกฝ่าย

คนที่โทรเข้ามาคือเซียน มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่เซียนจะโทรมาหา 1.ชวนไปเป็นหน้าม้าเวลามันไปเล่นดนตรี 2.ดื่มเหล้าเล่นเกมส์อะไรก็ว่าไป และทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น

“กูไม่ว่าง”

“อะไรวะ กับเพื่อนกับฝูง ให้ความสำคัญกันหน่อยไม่ได้เหรอ” เสียงปลายสายโวยวายดังลอดลำโพงออกมาให้บุคคลที่สามได้ยินชัดเจน

“ขอโทษว่ะ พอดีว่าคนที่นั่งข้างกูตอนนี้สำคัญกว่ามึงเยอะ แค่นี้...” ไม่รอให้อีกฝ่ายอุทธรณ์แพทก็ชิงตัดสายไปเลย โชคดีหน่อยที่รถติดไฟแดงพอดี

ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องโกหก การได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าตนสำคัญนั้นทำให้คนที่ไม่เคยเอาตัวไปเฉียดใกล้ความรู้สึกรักใคร่หวั่นไหวมากทีเดียว แต่ความเป็นผู้ใหญ่กว่ามันค้ำคอให้ไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา

แพทน่ะ ร้ายจะตาย ถ้าเกิดว่าแสดงจุดอ่อนให้เห็นล่ะก็ต้องโดนเล่นงานแน่ๆ

“อาจารย์ชอบรถติดมั้ย”

“ใครจะชอบล่ะ”

“เมื่อก่อนผมก็ไม่ชอบหรอก แต่ตอนนี้โคตรชอบเลย”

ไม่ต้องพูดต่อก็รู้ว่าแพทต้องการจะสื่ออะไร คนหยอดเก่งยอมปล่อยมือมินก่อนจะโน้มลำตัวเข้าไปกอดพวงมาลัยเอาไว้ แล้วมองมายังคนข้างๆ ด้วยสายตาหวานเชื่อมสื่อความหมาย

การรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอ และทุกครั้งที่รอไฟแดงไม่มีซักครั้งที่จะไม่หัวเสีย เพราะสัญญาณไฟเขียวนั้นช่างแสนสั้น รอแล้วรอเล่าก็ไม่ถึงคิวรถตัวเองซักที แต่วันนี้นอกจากจะไม่หัวเสียแล้วแพทยังอยากติดไฟแดงไปเรื่อยๆ อยากมองหน้าพี่มินยามเขินเช่นนี้ไปอีกนานๆ

เจ้าตัวคงไม่รู้แน่เลยว่าตอนนี้ใบหน้าใสขึ้นสีแดงเด่นชัดแค่ไหน

ทำไมคนอายุ 30 กว่าแถมยังเป็นถึงดอกเตอร์ต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้















ถึงแม้ว่ารสสัมผัสจะหายไปตามกาลเวลา หากความทรงจำของจุมพิตแรกยังคงชัดเจนเสมอ

มินตกใจนิดหน่อยตอนที่แพทเลี้ยวรถเข้ามาในสวนสาธารณะที่ซึ่งเป็นครั้งแรกของพวกเขาในหลายๆ เรื่อง พอพาเดินมายังจุดเกิดเหตุแล้วเจ้าตัวก็ทิ้งกันเอาไว้ โดยไม่พูดไม่จาซักคำ

ชิงช้าเล็กเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ ถึงแม้จะตระหนักดีแต่มินก็ดันทุรังที่จะนั่งมัน

และเพียงหย่อนก้นลงบนชิงช้าความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาให้คิดถึง

เจ้าตัวเล็กช่างเจรจาหายไปแล้วเหลือเพียงชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมไอศกรีมโคนรสวนิลากับช๊อคโกแล๊ตอย่างละอัน

“อาจารย์เอาอันไหนครับ”

“อันไหนก็ได้”

“ผมเลือกไม่ได้อะ อาจารย์เลือกหน่อยสิ”

“วนิลาก็ได้”

“ที่จริงแพทก็อยากกินรสวนิลาเหมือนกันนะ”

“งั้นเอาช๊อคโกแล็ตมา”

“อยากกินช๊อคโกแล็ตด้วยอะ”

“งั้นก็กินหมดทั้ง 2 อันเลยสิ”

“กินไม่หมดหรอก”

“เรื่องเยอะจัง มัวแต่เรื่องเยอะไอศครีมละลายหมดแล้ว”

“งั้นเอาอันนี้ไปแล้วกันเนอะ” กว่าจะยอมยื่นไอศครีมรสวนิลามาให้มันก็ละลายและไหลลงมาเลอะมือแล้ว และแทนที่จะเช็ดมือดีๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าที่มินส่งให้แต่แพทกลับเลือกที่จะทำความสะอาดมันด้วยลิ้น

“ไปล้างมือดีๆ สิ”

“วนิลาก็อร่อยดีอะ ขอกินอีกได้มั้ย” แพทไม่สนใจคำพูดของมินด้วยซ้ำ พอเลียไอศครีมที่เลอะมือตัวเองหมดก็มองมายังไอศครีมรสวนิลาในมือมินด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์

ทั้งที่บอกเองว่าตัวเองโตแล้วแต่การกระทำตอนนี้ไม่ต่างจากเด็ก 5 ขวบเลย

“กินช๊อคโกแล็ตในมือให้หมดก่อนมั้ยแล้วค่อยมาขอ”

“ถ้ากินนี่หมดแล้วจะให้กินด้วยเหรอ”

“ก็รีบกินของตัวเองให้หมดซะสิ” สิ้นคำแพทก็นั่งลงบนโต๊ะไม้หันหน้าเข้าหามินที่นั่งอยู่บนชิงช้า พยายามกินไอศครีมที่ค่อยๆ ละลายด้วยความเร็ว แต่เพราะมันเย็นมากจึงทำได้เพียงค่อยๆ เลีย ต่างจากมินที่ค่อยๆ ใช้ริมฝีปากงับทีละนิด ไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่า แต่ท่าทางแบบนั้นของพี่มินทำให้แพทรู้สึกเขินขึ้นมานิดหน่อย

แอบคิดทะลึ่งว่า...

ไม่เอาดีกว่า เหตุการณ์ยามนี้มันควรจะโรแมนติกสิ

มินไม่แน่ใจว่าไอศครีมรสวนิลาที่กำลังกินกับสายตาแพทที่มองมาอันไหนหวานกว่ากัน

“พี่มินชอบมั้ย” แพทเอ่ยถามเมื่อส่งส่วนปลายของไอศครีมโคนเข้าปากไปเป็นชิ้นสุดท้าย

“ก็อร่อยดีนี่”

“แพทอร่อยกว่าอีก ลองชิมมั้ย”

“เคยชิมแล้วไง เค็ม” จริงด้วย พี่มินเคยชิมแพทไปเต็มคำเมื่อ 4 ปีก่อน

“ลองชิมใหม่สิ ตอนนั้นพี่มินชิมที่ไหล่ใช่มั้ยล่ะ ตอนนี้ชิมที่ปากสิรับรองหวานจนติดใจเลยล่ะ” คนฟังได้แต่ส่ายหน้าให้กับความทะลึ่งตึงตังที่ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับความเป็นผู้ใหญ่ของแพท

“ใช้มุกนี้บ่อยล่ะสิ”

“นอกจากพี่มินแล้ว แพทก็ไม่เคยคิดจะพูดแบบนี้กับใคร” ถึงแม้แพทจะพูดทีเล่นทีจริงแต่ในดวงตาเขาไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว

มินไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่ก็ปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าแพทจะพูดอะไร ดูเหมือนว่าพี่มินคนนี้จะพร้อมเชื่อทุกอย่างเลย อ่อนหัดซะไม่มี

“สรุปแล้วคือจะไม่ชิมแพทใช่มั้ย”

“ใครจะอยากชิม”

“งั้นแพทขอชิมพี่มินหน่อยสิ”





[T B C]



เพื่อความสุนทรีในการอ่านเราจะพยายามมาอัพให้บ่อยเท่าที่จะทำได้นะคะ
และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ไม่สามารถอัพช่วงพี่แพทเป็นเด็กวัยรุ่นให้อ่านในเว็บได้ด้วย
หวังว่าจะยังอยู่ด้วยกันไปจนกว่าพี่แพทกับพี่มินจะแฮปปี้เอนดิ้งนะ

ไม่สะดวกคอมเมนต์ก็แวะมาที่แฮชแท้ก #คุณครูพี่มิน นะ



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
«ตอบ #39 เมื่อ15-09-2018 18:37:45 »

ตกลงพี่มินหวานไหมอ่ะ  :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
« ตอบ #39 เมื่อ: 15-09-2018 18:37:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
«ตอบ #40 เมื่อ15-09-2018 18:57:29 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน  ใครเป็นคนเริ่มอ่ะ?

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
«ตอบ #41 เมื่อ15-09-2018 20:40:06 »

นานแล้วเพิ่งได้อ่านต่อ

ออฟไลน์ TheBig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
«ตอบ #42 เมื่อ18-09-2018 15:29:09 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 10 {Up.150918}
«ตอบ #43 เมื่อ19-09-2018 00:35:15 »

แพท  พี่มิน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 11 {Up.190918}
«ตอบ #44 เมื่อ19-09-2018 19:52:54 »

คุณครูพี่มิน 11



ความรู้สึกตอนที่ถูกเจ้าคนอายุน้อยกว่าโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วเลียไอศครีมรสวนิลาที่ไหลลงมาที่มือยังคงชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ทั้งที่ผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม และเมื่อนึกถึงทีไรใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกครั้งไป

มินไม่เคยไม่ชอบตัวเองเลย เขาถูกจัดให้เป็นผู้ชายประเภทที่เรียกว่าเพอร์เฟคเลยก็ว่าได้ หน้าตาดี รูปร่างดี แต่งตัวดี มีมารยาท จบการศึกษาจากต่างประเทศ เป็นนักบรรยายเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ถูกนับหน้าถือตาในวงกว้างถึงแม้จะอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น ทั้งยังมีเป็นถึงดอกเตอร์ มินภาคภูมิใจกับทุกอย่างที่เขาเป็น

กระทั่งเจอแพทอีกครั้ง

เจ้าเด็กนั่นทำเขาปั่นป่วนไปหมด

ก่อนบอกลากันเมื่อ 4 ปีก่อน มินมั่นใจแหละว่าแพทชอบเขาแบบไหน และก่อนที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งเขาก็เตรียมใจมาแล้วถ้าหากความสัมพันธ์จะพัฒนา แต่ก็ไม่คิดว่าแพทจะร้ายขนาดนี้

ทุกการกระทำของแพทตั้งแต่พบกันทำให้มินรู้สึกว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย เป็นอันตรายที่ไม่ได้ทำให้ถึงตายแต่ส่งผลให้หัวใจอ่อนแอและร่างกายอ่อนปวกเปียก

“ให้โอไปเป็นเพื่อนมั้ย”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวคุณยายหาว่าเธอเป็นแฟนเรา”

“ก็เป็นซะสิ”

“ไม่เอาด้วยหรอก”

ที่จริงมันก็ไม่ใช่บทสนทนาที่น่าสนใจเท่าไหร่ ถ้าหากคนในวงสนทนาไม่ใช่คนที่ทำให้มินนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว

คนซึ่งอยู่ในสถานะอาจารย์หยุดเดินก่อนปรายตามองไปยังต้นเสียง

แพทกำลังนั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่แพทก็ยังโดดเด่นสะดุดตา เด็กๆ กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เห็นอย่างนั้นก็อดอิจฉาไม่ได้ มินน่ะไปเรียนต่างประเทศก็จริง แต่เขาก็อุทิศเวลาว่างแทบจะทั้งหมดไปกับการทำงานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารไทย นานๆ จะได้เที่ยวเล่นกับเพื่อนซักที พอเริ่มทำงานมีเงินเดือนก็ทุ่มเทมันให้กับการเรียนอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยมาตลอดหลายปี

ถ้าวันนั้นเขาเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ไทย ตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ คิดไปก็เปล่าประโยชน์

มินละสายตาจากกลุ่มนักศึกษาก่อนออกเดินอีกครั้ง แต่เดินยังไม่ทันพ้นตึกใครบางคนก็วิ่งเข้ามาเดินข้างๆ กัน

ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก แพทนั่นเอง

“วันนี้ก็มีสอนเหรอ”

“มีสอนทุกวันแหละ”

“แบบนี้ก็เหนื่อยแย่เลยสิ”

“คุยกับคุณเหนื่อยกว่าอีก”

“เอาพี่มินคนที่ใจดีๆ คืนมาเลยนะ”

“งั้นคุณก็เอาพี่แพทคนที่น่ารักๆ คืนผมมาก่อนสิ”

“แล้วตอนนี้ไม่น่ารักยังไง”

“ยังจะถามอีก”

“ก็ไม่รู้ไงก็เลยถาม”

“พี่แพทน่ะตัวเล็กเท่านี้” มินทิ้งมือลงข้างตัวบริเวณแถวๆ เอวเพื่อบอกความสูงของพี่แพทเมื่อครั้งแรกที่เจอกัน เห็นอย่างนั้นคนฟังก็อดที่จะเบะปากหมั่นไส้ไม่ได้เลย

“จะไม่ให้พี่แพทโตเลยรึไงครับ”

“ถ้าตัดเรื่องความเป็นเด็กความเป็นผู้ใหญ่ออกไป พี่แพทน่ะเป็นเด็กที่น่าเอ็นดูมากๆ เลย”

“น่าเอ็นดู” แพททวนคำก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มร้าย “แพทคนนี้น่าเอ็นดูกว่าพี่แพทของอาจารย์อีก เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดูวันหลัง เพราะวันนี้แพทไม่ว่าง กลับตึกดีๆ นะ ไว้เจอกัน”

มินงงนิดหน่อยที่คนขี้ตื๊อบอกลากันง่ายๆ แบบนี้ เขามองเด็กหนุ่มที่วิ่งห่างออกไปจนลับตา นึกสงสัยอยู่ว่ารีบอะไรของเขานักหนา กระนั้นก็ไม่ได้เอาความสงสัยมาใส่ใจมากนัก















แพทกำลังอารมณ์ไม่ดีมากๆ เขาเดินทอดน่องมาจากร้านทำผมด้วยความหงุดหงิดสุดขีดหลังจากวางสายคุณพ่อไป

พ่อนะพ่อ สัญญากันไว้แล้วแท้ๆ

“ไงสุดหล่อ ใส่สูทซะด้วยไปไหนมาเนี่ย” ต๊อดร้องทักอย่างคนอารมณ์ดีโดยไม่ดูสีหน้าแพทเลย มันน่าโมโหมั้ยเนี่ย

“แพทกำลังอารมณ์ไม่ดีนะต๊อด”

“แต่งตัวอย่างหล่อแต่เสือกอารมณ์ไม่ดี เสียของหมด”

“มีกฏหมายข้อไหนห้ามคนหล่ออารมณ์เสีย”

“มึงใจเย็นเหอะว่ะ เกิดไรขึ้น ไหนเล่าดิ๊”

“ก็พ่ออะดิ…” ทั้งที่สัญญากับแพทแล้วแท้ๆ ว่าจะไปงานแต่งคุณแม่ด้วยกัน นัดกันไว้ซะดิบดี สุดท้ายก็เทกันกลางอากาศ

“พ่อมึงเขาก็มีธุระของเขา ไปคนเดียวก็ไม่เห็นเป็นไร”

“ทำไมจะไม่เป็นล่ะ ต๊อดไม่ใช่แพทต๊อดไม่รู้หรอก ที่จริงแพทก็เข้าใจพ่อนะ ไม่ได้โกรธอะไร”

“แล้วมึงอารมณ์เสียเรื่องอะไรล่ะถ้างั้น”

“ก็คุณยายน่ะสิ ถ้าแพทไปงานแต่ง แพทต้องเจอคุณยายแน่ๆ คุณยายน่ะชอบถามเรื่องส่วนตัว แล้วก็บ่น แค่คิดว่าต้องรับมือคุณยายคนเดียวก็สยองแล้ว”

“แค่มีเพื่อนไปก็พอสิ ใช่มั้ย”

“ต๊อดจะไปด้วยเหรอ”

“มึงแหกตาดูรถที่รอการซ่อมในร้านกูด้วยครับ” ต๊อดผายมือไปยังมเตอร์ไซค์มากมายที่จอดอยู่ เห็นแล้วก็อดคิดไมได้ว่าร้ายๆ อย่างต๊อดเนี่ยแอบเอาตะปูเรือใบไปโยนไว้แถวๆ นี้หรือเปล่ารถถึงได้เข้ามาให้ซ่อมมากขนาดนี้

“แล้วต๊อดจะให้แพทไปกับใคร ชวนเพื่อนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”

“น้องส้มโอไงจ๊ะ เห็นเทียวไล้เทียวขื่อมึงมานานแล้วนี่”

“ถ้าให้ไปกับยัยนั่นไปคนเดียวยังจะดีกว่า ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแพทไม่ชอบ”

ทำไมแพทจะไม่รู้ว่าส้มโอคิดอย่างไรกับตน ตอนแรกที่เจอกันเมื่อเรียนพิเศษแพทก็ไม่คิดไรมากหรอก กระทั่งคบกันมาเรื่อยๆ การแสดงออกหลายอย่างของส้มโอก็ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดกับตนแค่เพื่อน แรกๆ ก็อึดอัดแต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเผชิญหน้า อีกอย่างส้มโอเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ดีมากคนนึง ทั้งยังดูบอบบางจนอดสงสัยไม่ได้ว่าคิดอย่างไรถึงมาเรียนในดงผู้ชายที่วิศวะ เพราะเป็นเช่นนั้นจึงคิดว่าต้องคอยดูแลกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเรียนจบ

“เรื่องมากฉิบหาย”

แพทน้อมรับคำติพลางเอ่ยออกมาอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก “จะไม่ไปก็ไม่ได้ซะด้วยสิ”

“กูว่ามึงรอดแล้วล่ะไอ้แพทเอ้ย”

“หือ หมายความว่าไงอะต๊อด”

“นู่นไง คนที่จะไปกับมึง”

มินที่เพิ่งลงจากรถคันสวยของตนมุ่นคิ้วนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเพื่อนตนกำลังคุยกับใครบางคน คนที่มองจากด้านหลังก็รู้สึกได้ถึงออร่าบางอย่างที่เปล่งประกายออกมา

ชายหนุ่มในชุดสุภาพตามแบบฉบับอาจารย์ก้าวเข้าไปหยุดด้านหลังคนในชุดสูทก่อนเอ่ยถาม

“มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“มี แต่ไม่ใช่กูนะ” ต๊อดว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกคนหันมามอง

มินขยับปากเป็นชื่อแพทแต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา

“วันนี้แต่งตัวหล่อเชียว”

“ผมก็หล่อทุกวันแหละอาจารย์”

“อย่างนั้นเหรอ” คนถูกเรียกว่าอาจารย์มองคนหล่อตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าแพทจัดอยู่ในประเภทหนุ่มหล่อและค่อนข้างป๊อบปูลาร์ ถึงแม้จะไม่ค่อยสนใจใครนัก แต่มินก็ได้ยินชื่อแพทในวงสนทนาของนักศึกษาที่เขาสอนบ่อยๆ นั่นก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่าอดีตเด็กในปกครองเขาเสน่ห์แรงใช่เล่น

“แล้วที่บอกว่ามีปัญหา…”

“ไอ้เด็กแถวนี้น่ะสิไม่อยากไปงานแต่งคนเดียว” ต๊อดว่า

“งานแต่ง?” วันนี้มินพูดไม่เป็นประโยคเท่าไร คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัยนิดหน่อยก่อนมองไปยังคนที่วันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ ที่แท้ก็จะไปงานนี่เอง

“งานแต่งแม่ไอ้แพทมัน”

“หืม” มินค่อนข้างช๊อคกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ เขาเลิกคิ้วมองแพทด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ไม่แน่ใจว่าน้องทำใจกับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว

“มันไม่มีเพื่อนไปงานแม่มัน มึงช่วยไปเป็นเพื่อนมันหน่อย”

“กูเหรอ” คนถูกไหว้วานชี้นิ้วเข้าหาตัวพลางถามย้ำ

“ก็มึงแหละ แต่งตัวหล่อพร้อมเลย อีกอย่างมึงก็รู้จักแม่มัน”

“มึงพูดเองเออเองรึเปล่า คนที่มึงอยากให้กูช่วย เขายังไม่พูดอะไรซักคำ”

“อยากให้ไปสิครับ” แพทล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาก่อนยื่นคูปองสะสมความดีมาตรงหน้ามินเพื่อบอกเป็นนัยว่าไม่ได้ขอร้องแต่บังคับให้ไป

ที่จริงแพทไม่ต้องบังคับเลย แค่ขอร้องกันดีๆ ก็พร้อมจะไปด้วยอยู่แล้วเพราะมินเองก็รู้จักกับคุณแม่แพท ถ้าให้ไปร่วมยินดีก็ยินดีจะไป

ถึงแม้จะคิดอย่างนั้นแต่มินก็รับคูปองใบนั้นมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ

ต๊อดคนไม่รู้เรื่องอะไรได้แต่ยืนงง อยากถามเหลือเกินว่าพวกมึงเล่นอะไรกัน แต่สีหน้ามินที่แสดงออกตอนนี้ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เป็นเช่นนั้นต๊อดก็ไม่อยากเสี่ยง

“พวกมึงรีบไปเถอะว่ะเดี๋ยวรถติด”

ว่าอย่างนั้นแล้วต๊อดก็หนีเข้าบ้านไปเลยปล่อยให้คนที่เหลือยืนเงียบอยู่อย่างนั้น กระทั่งมินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบ “คิดว่าถ้าไม่ใช้คูปองนี่แล้วผมจะไม่ไปด้วยเหรอ”

“ไม่รู้สิ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”

“อยากให้ไปด้วยจริงๆ รึเปล่า”

“อยากสิ”

“งั้นก็ขอดีๆ”

แพทลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจทำในสิ่งที่พี่มินต้องการ เขาเงยหน้าขึ้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังก่อนว่า “ไปงานแต่งงานคุณแม่เป็นเพื่อนแพทหน่อยได้มั้ยครับ”

“ขอเซ็ตผมก่อน” คำตอบของพี่มินคลายความกังวลทั้งหมดออก เป็นครั้งแรกในระยะเวลาหลายชั่วโมงที่แพทยิ้มได้

ที่จริงสภาพมินวันนี้ก็ไม่แย่ แต่ไปงานแต่งทั้งทีจะไปทั้งผมเรียบแปร้แบบนี้ก็เหมือนจะดูไม่ดีนัก

มินตกใจนิดหน่อยตอนที่แพทบอกทางมาบ้าน มันไม่ใช่บ้านที่แพทเคยอยู่แต่เป็นบ้านท้ายซอยที่เขาเคยอาศัยอยู่กับแม่ต่างหาก

“มันเป็นบ้านแพทแล้วนะ”

“ไม่เปลี่ยนไปเลยแฮะ”

“แพทก็ไม่เปลี่ยนนะ”

“หืม ว่าไงนะ”

“เปล่า รีบเถอะ เดี๋ยวสาย”

มินพยักหน้ารับ ถอดรองเท้าแล้วเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน ห้องนอนของแพทคืออดีตห้องนอนของมิน ความคุ้นเคยทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่นิดเดียวกับการที่ต้องอยู่ในห้องแคบๆ นี้ลำพังกับเจ้าของบ้าน

ลืมไปเลยว่าครั้งก่อนตอนที่อยู่กับแพทตามลำพังในห้องตนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“พี่มินจะอาบน้ำก่อนมั้ย แต่...” เจ้าของบ้านก้าวเข้ามาใกล้แล้วก้มลงมาดมที่คอให้มินตัวแข็งทื่อ “หอมแล้วไม่ต้องอาบหรอก”

เหมือนกับว่าแพทจะถนัดเรื่องการทำให้คนอื่นใจเต้นแรง พอเล่นงานมินเสร็จก็ถอยหลังกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากมินที่กำลังรู้สึกว่าร่างกายไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป มือไม้ดูเกะกะไปหมด ต้องรวบรวมสมาธิอยู่นานทีเดียวกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

แต่ก็ปกติได้ไม่เท่าไหร่หรอกเพราะเจ้าของห้องเอาแต่นั่งจ้องกันไม่วางตาเลย

มินสบตากับแพทผ่านกระจกขณะแต่งผมด้วยความระมัดระวัง สายตาของแพททำให้รู้สึกร้อนรน ใบหน้าร้อนผ่าวทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ทำงานปกติ

“จ้องขนาดนั้นกลัวผมขโมยของรึไง”

“กลัวสิ”

“หืม” มินเลิกคิ้วสูงจ้องอีกฝ่ายเมื่อได้รับคำตอบไม่คาดฝัน

“ขนาดหัวใจแพทพี่มินยังขโมยไปเลย” ว่าจบก็ส่งสายตาเจ้าชู้มาพร้อมกับรอยยิ้มที่เจ้าตัวคงคิดว่าทรงเสน่ห์ที่สุด อืม ไม่ปฏิเสธหรอกว่ารอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจสั่นได้จริงๆ

“แพท”

“ครับ”

“โอเคใช่มั้ย”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ก็เรื่องที่คุณแม่แต่งงาน”

“ไม่โอเคก็ต้องโอเคแหละ ได้บ้านหลังนี้มาแล้วนี่นา” เป็นอีกครั้งที่มินไม่เข้าใจสิ่งที่แพทต้องการจะสื่อ และเพราะเครื่องหมายคำถามปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของอาจารย์หนุ่มแพทจึงลุกขึ้นแล้วก้าวเข้าไปหา

เจ้าของร่างสูงย่อตัวนั่งลงให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือเรียวยื่นไปจัดเนคไท ขณะไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคนอายุมากกว่าแม้แต่วินาทีเดียว

“ทำข้อตกลงกับคุณแม่น่ะว่าถ้ายอมให้แต่งงานต้องซื้อบ้านหลังนี้ให้”

“แล้วคุณแม่ก็ยอมเหรอ”

“คุณแม่อยากแต่งงานก็เลยยอมมั้ง”

“ไม่หรอก เพราะคุณแม่รักแพทต่างหากถึงยอมตามใจ”

“แล้วพี่มินล่ะ รักแพทรึยัง”

คนถูกถามครางในลำคออย่างคนคิดหนักก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ไปกันเถอะ”

“ขี้โกงนี่ยังไม่ตอบคำถามแพทเลย”

“ถ้าอยากให้รักก็ทำให้รักสิ”

“พี่มินพูดเองนะ ถ้าเกิดแพททำอะไรตามใจขึ้นมาล่ะก็จะมาว่ากันไม่ได้นะ”

“ทำตามใจตัวเองยังไง”

“สาธิตให้ดูตอนนี้ไม่ได้หรอกเดี๋ยวชุดยับ” เห็นสายตากรุ้มกริ่มก็รู้เลยว่าต้องไม่ใช่วิธีที่ดีแน่ๆ

เจ้าเด็กนี่มัน...ร้ายชะมัด















วันนี้คุณแม่สวยเป็นพิเศษ

แพทยืนมองคุณแม่ที่อยู่ในชุดแต่งงานสีขาวเหมือนเจ้าหญิง ถึงแม้จะอายุมากแล้วแต่ใบหน้าคุณแม่ก็ยังอ่อนเยาว์กว่าอายุมาก รอยยิ้มสวยถูกแจกจ่ายให้กับแขกเหรื่อที่เข้ามาแสดงความยินดีและถ่ายรูปร่วมกันตรงซุ้มทางเข้า

“พร้อมมั้ยเนี่ย”

“หืม แพทเหรอ พร้อมเสมอแหละ”

“งั้นก็เข้าไปหาคุณแม่ได้แล้ว” มินดันหลังคนเป็นลูกชายเจ้าสาวให้เดินนำไปก่อน คุณแม่หันมายิ้มหวานพร้อมกับเจ้าบ่าวเองก็หันมาทักทายแพทเช่นกัน

“เป็นแขกรึไงเรา มาช้าชะมัด”

“แพทจะมากี่โมงคุณแม่ก็เข้าพิธีอยู่ดี”

“เราคุยกันแล้วนะ” ถึงแม้ใบหน้าสวยจะยังคงถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหากในน้ำเสียงกลับถูกเจอด้วยความกังวล

“แพทก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วนี่คุณยายอยู่ไหนอะ”

“ถามหาทำไม อยากเจอคุณยายขนาดนั้นเชียว”

“ไม่นะ ใครจะอยากเจอล่ะ แพทถามไว้เผื่อจะได้หลบ”

“แสบนักนะเรา แล้วนั่น...” เอ็ดลูกชายเสร็จคุณแม่ก็เหลือบมามองมิน คิ้วเรียวขมวดนิดหน่อยขณะกำลังใช้ความคิด ก่อนดวงตาคู่สวยจะเปล่งประกายความปิติพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ “มินเหรอ”

“เซอร์ไพร์สมั้ยล่ะ” แพทว่า

“มากเลย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”

“เอาไว้ค่อยคุยมั้ยคุณแม่ แขกรอถ่ายรูปเยอะเลย”

“จริงด้วย งั้นมาถ่ายรูปกันเถอะ” มินถูกดึงให้เข้าไปยืนข้างแพทที่ยืนข้างคุณแม่อีกที

ช่างภาพนับ 1-3 แล้วกดชัตเตอร์เป็นอันเสร็จพิธีถ่ายภาพ

แพทเก็บสีหน้าเบื่อหน่ายไม่ได้เลย เมื่อญาติฝ่ายแม่คนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เข้ามาทักทายแล้วถามว่ารู้สึกอย่างไรที่คุณแม่แต่งงานใหม่ อยากตอบว่าโคตรไม่เห็นด้วย อยากพังงานแต่งงานให้มันรู้แล้วรู้รอดก็ดูเหมือนจะฮาร์ดคอร์เกินไปจึงได้แต่ส่งยิ้มไปแล้วตอบอย่างสุภาพว่ายินดีมากๆ เลยครับ คุณแม่มีความสุขแพทก็มีความสุขครับ

จนคนที่มาด้วยอดแซวไม่ได้ “เสแสร้งสุดๆ”

“ใช่มั้ยล่ะ แพทโคตรเบื่อเลย”

“ไม่เห็นด้วยเรื่องคุณแม่แต่งงานใหม่เหรอ”

“ไม่รู้สิ แพทเคารพการตัดสินใจของคุณแม่นะ แต่ลึกๆ มันก็รู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนถูกทิ้ง”

“พี่เคยรู้สึกแบบนั้นตอนที่แม่โทรมาบอกว่าจะแต่งงานใหม่ มันจุกไปหมด อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้เพราะต้องทำงาน”

“พี่มินเข้มแข็งจัง”

“งั้นเหรอ” แววตามินวูบไหวเมื่อได้ยินคำว่าเข้มแข็ง เพราะทุกคนเอาแต่พูดแบบนั้นทำให้บางครั้งไม่ว่าจะอยากอ่อนแอมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาได้

พิธีการบนเวทีดึงความสนใจของทั้งคู่ไป

ภาพวิดีโอพรีเซนต์งานแต่งเริ่มขึ้นเมื่อไฟทั้งห้องถูกปิดลง

แพทมองมันอยู่ไม่ถึง 3 วินาทีเขาก็ก้มหน้าลงเพราะไม่สามารถทำใจมองภาพความรักอันหวานชื่นของคุณแม่ได้ ในตอนที่น้ำตากำลังจะไหลออกมา มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวก็สัมผัสกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่สอดเข้ามากุมกันไว้

มินไม่ได้เอ่ยคำใด เขาทำเพียงบีบมืออีกฝ่ายไว้ บอกผ่านการกระทำว่าแพทไม่ได้อยู่ที่นี่ลำพัง

ไฟทั้งห้องสว่างขึ้นแล้ว แพทเองก็เงยหน้าขึ้นแล้วเช่นกัน หากมือที่กอบกุมกันไว้กลับไม่มีท่าทีว่าจะถูกปล่อย

ทั้งคู่เหลือบมองหน้ากัน เป็นมินที่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาช่วยให้บรรยากาศรอบกายแพทผ่อนคลายขึ้น

คุณแม่ในชุดเจ้าสาวสุดสวยกับเจ้าบ่าวปรากฏตัวบนเวที เอ่ยอะไรมากมายเรียกเสียงปรบมือจากแขกผู้มีเกียรติเป็นระยะ

แพทรู้สึกว่าการแสดงออกเหล่านั้นมันโอเวอร์เกินไป และถึงแม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างไร คนเป็นลูกชายเจ้าสาวก็ยังคงรักษาสีหน้ายินดีเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

“คนที่บอกว่าการเห็นคนที่เรามีความสุขเราก็มีความสุขแล้วต้องใจกว้างแค่ไหน”

“นั่นสินะ อยากรู้เหมือนกัน”

“พี่มินก็ไม่รู้เหรอ”

“จะรู้ได้ยังไง”

“แพทนึกว่าพี่มินเป็นคนแบบนั้นซะอีก”

“คนใจกว้างน่ะเหรอ”

“อื้อ”

“นั่นก็แสดงว่าคุณไม่รู้จักผมเลย ภัทรดนัย”

“แล้วทำยังไงถึงจะได้รู้จักครับ”

“เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะตัดเค้กแล้ว” แพทถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันมองตามสายตาคนข้างๆ

รอยยิ้มของคุณแม่ยามเดินมาตามทางที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ โดยมีเจ้าบ่าวคอยประครองอยู่ข้างๆ ดูมีความสุขเสียจนแพทนึกโกรธตัวเอง ทั้งที่ท่านกำลังมีความสุขขนาดนั้นแท้ๆ แต่เขากลับไม่รู้สึกดีด้วยเลย คิดว่าถ้าหากตนใจกว้างได้กว่านี้อีกนิดก็คงดี

งานวิวาห์เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว

บรรดาสาวๆ พากันไปยืนออที่หน้าเวทีเมื่อเจ้าสาวกำลังจะโยนช่อดอกไม้ เสียงวี๊ดว้ายดังตามมาอีกระยะหนึ่งก่อนจะเงียบไป

จากที่ตอนแรกตั้งใจจะอยู่แค่มาแป๊บๆ แล้วก็กลับ กลายเป็นว่าแพทอยู่ร่วมงานแต่งคุณแม่จนเลิกเลย

แต่อย่างไรแพทก็ไม่ร่วมพิธีส่งบ่าวสาวเข้าหอหรอกนะ

“แพทมานี่สิลูก” ข้างๆ คุณแม่คือคุณยาย เห็นเช่นนั้นแล้วไม่อยากเดินเข้าไปหาเลย แต่ไม่มีทางเลี่ยง

แพทเดินนำมินเข้าไปหาคนในครอบครัวตน ถึงจะบอกว่าเป็นครอบครัวหากแพทก็ไม่รู้สึกซักนิดว่านี่คือครอบครัวจริงๆ เพราะเขาเติบโตมากับแม่และไม่ค่อยสุงสิงกับบรรดาญาติๆ เท่าไหร่ล่ะมั้ง

“อันนี้แม่ให้มินนะจ๊ะ” ดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกดึงออกมาจากช่อดอกไม้เจ้าสาวถูกส่งมา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักแต่มินก็ยอมรับมาพร้อมกับคำขอบคุณ

“วันนี้คุณแม่สวยมาก ยินดีด้วยนะครับ”

“ฝากมินดูแลเจ้าแพทด้วยนะ”

“แพทโตแล้วนะครับคุณแม่”

“แม่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี แต่พอเห็นว่าอยู่กับมินแม่ก็เบาใจนะจ๊ะ” มินได้แต่ยิ้มเจื่อน แต่ไหนแต่ไรแล้วที่ไม่กล้าปฏิเสธคำร้องขอของพวกผู้ใหญ่จนติดเป็นนิสัยในปัจจุบัน

แม้จะไม่ได้รับปากในทีเดียว แต่การที่พี่มินยิ้มรับก็ทำให้แพทมีความสุขที่สุดแล้วในการมาร่วมงานวิวาห์วันนี้















“บอกแล้วไงว่าไม่ให้รับดอกไม้จากคนอื่น” แพทที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับเหลือบมองดอกไม้ในมือเจ้าของรถแล้วเอ่ย

มินมุ่นคิ้วเล็กๆ แอบสงสัยว่าตอนนั้นแพทเพิ่ง 5 ขวบเอง จำเรื่องดอกไม้ได้ยังไง

“แพทจำเรื่องพี่มินได้หมดแหละ” เพราะไดอารี่อย่างไรล่ะ

“น่ากลัวจัง”

“เรื่องที่คุณแม่พูดไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้”

“ทำไมล่ะ ไม่อยากให้พี่มินดูแลแล้วเหรอ”

“ไม่ล่ะ” แพทส่ายหน้า และท่าทางแบบนั้นก็ทำให้คนมองใจแป้ว “ต่อไปนี้แพทอยากเป็นฝ่ายดูแลพี่มินนะ”

“ก่อนที่คิดจะดูแลคนอื่น เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ครั้งหน้าเข้าเรียนให้ทันด้วย”

“โหย ‘จารย์นี่มันนอกเวลาราชการนะครับ”

“ถ้าเทอมนี้เก็บเกรดวิชานี้ไม่ได้ก็จะไม่จบพร้อมเพื่อนใช่มั้ย”

“รู้ได้ไงอะ ต๊อดเหรอ”

“เหมือนต๊อดเป๊ะ แล้วจะไม่ให้ห่วงได้ไง”

“แพทเอาตัวรอดได้น่า สัญญาว่าชั่วโมงหน้าจะเข้าห้องเรียนคนแรกเลย”

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก” แค่เข้าเรียนทันเวลาก็พอ

“ต้องขนาดนั้นแหละ พี่มินจะได้เห็นว่าแพทตั้งใจมากแค่ไหน แล้วอีกอย่างแพทก็อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าแพทไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”

“จะคอยดู”

“เข้ามาดูใกล้ๆ ก็ได้นะ ใกล้แบบลมหายใจรดต้นคอเลยก็ได้”

“คุณแม่รู้มั้ยว่าลูกชายท่านทะลึ่งมากขนาดนี้”

“ไม่มีใครรู้หรอก นอกจากพี่มิน” แพทเอียงตัวเข้ามายิ้มทะเล้น มินไม่แน่ใจแม้แต่นิดเดียวว่าเขาควรดีใจกับความพิเศษที่อีกฝ่ายมอบให้รึเปล่า กระนั้นเขาก็ไม่สามารถห้ามความเห่อร้อนบนใบหน้าได้เลย

บ้าจริง ทุกประโยคของแพทแฝงความนัยที่ชวนให้รู้สึกวูบโหวงและหวั่นไหวจนต้องแสร้งหลับ

ตั้งใจว่าแค่จะพักสายตาแต่กลายเป็นว่าหลับไปจริงๆ ซะงั้น

มินลืมตาขึ้นมาในรถที่คนขับหายไปไหนก็ไม่รู้ทิ้งไว้เพียงเสื้อสูทที่คลุมร่างเขาเอาไว้กันหนาว เบาะนั่งก็ถูกปรับให้เอนลงเพื่อจะได้นอนสบาย ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ทำให้รู้สึกดีจนต้องยิ้มออกมา

มินเลิกเสื้อออกพลางปรับเบาะให้กลับมาเป็นเช่นเดิม เมื่อมองออกไปข้างนอกก็พบว่าพวกเขาจอดรถอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำ

เจ้าของร่างสูงที่ควรจะขับรถกลับบ้านกำลังยืนกอดราวสะพานทอดสายตาไปยังความมืดมิดด้านหน้าอย่างเหม่อลอย ปล่อยให้สายลมพัดเอาความทุกข์ใจที่เก็บเอาไว้ลำพังออกไปเสีย

แต่มันไม่ง่ายเลย และถ้ามันง่ายขนาดนั้นแพทคงปล่อยวางเรื่องคุณแม่ไปได้ตั้งนานแล้ว

“จะโดดลงไปเหรอ” แพทเอี้ยวตัวมามองต้นเสียงก็พบว่ามินกำลังเดินตรงเข้ามาหา

“แพทไม่คิดสั้นขนาดนั้นหรอกน่า อีกอย่างถ้ายังไม่ได้กอดพี่มินแพทก็ยังตายไม่ได้หรอก”

“งั้นผมคงไม่ให้คุณกอดตลอดชีวิต”

“หืม” แพทมุ่นคิ้วให้กับคำพูดนั้น ใจนึงก็นึกเสียดาย แต่อีกใจก็กำลังมีความสุข คำนั้นของพี่มินหมายความว่าไม่อยากให้เขาตายจากไปรึเปล่านะ “ถ้าชาตินี้ไม่ได้กอดพี่มินก็คงแห้งเหี่ยวตายพอดี”

“ย้อนแย้งชะมัด”

“ขอกอดหน่อยสิ” แพทอ้าแขนออกพร้อมเอ่ยขออย่างหน้าด้านๆ

“กอดเสร็จแล้วก็จะโดดลงไปเหรอ”

“พูดอย่างกับอยากให้โดดลงไปจริงๆ งั้นแหละ”

“พี่รู้ว่าแพทไม่มีทางโดดลงไปหรอก เพราะถ้าแพทโดดลงไปคนที่อยู่ข้างหลังอย่างพี่ คุณพ่อ คุณแม่ ต๊อด และคนอื่นๆ ที่รักแพทคงต้องเสียใจมาก แพทไม่มีทางทำให้คนที่ตัวเองรักเสียใจหรอก ใช่มั้ยล่ะ”

“รู้ดีอย่างกับมานั่งอยู่ในใจ”

“แล้วพี่ไม่ได้อยู่ในใจแพทเหรอ” แพทอึ้งไปกับคำที่ได้ยินแต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น

“อยู่สิ พี่มินอยู่ในนี้มาตลอดเลย”

มือข้างขวาถูกจับไปวางไว้บนอกซ้าย ดวงตาของทั้งครู่ประสานกันอยู่อย่างนั้นราวกับจ้องมองกันเพื่อชดเชยช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

“แล้วแพทล่ะ อยู่ในใจพี่มินบ้างหรือเปล่า”

คนถูกถามเลือกที่จะไม่ตอบ มินดึงมือออกเปลี่ยนเป็นยืนพิงสะโพกกับราวสะพาน หันมองคนที่มองมายังตนเช่นกันแล้วส่งยิ้มให้

“ยิ้มแบบนี้แพทก็ละลายสิ”

“ถามอะไรหน่อยสิ”

“พี่มินยังไม่ตอบคำถามแพทเลย”

“ตอบคำถามพี่ก่อน” ดวงตาคู่สวยที่สะท้อนในความมืดเปล่งประกายขึ้นมาคล้ายอีกฝ่ายกำลังพบเรื่องสนุก เมื่อแพทพยักหน้ารับมินจึงถาม “ความสุขของแพทเกิดจากอะไร”

“ก็...” เหมือนจะไม่ใช่คำถามที่ยากแต่เอาเข้าจริงแพทกลับไม่สามารถตอบออกมาได้ในทันที เขานิ่งเงียบอยู่นานทีเดียวก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก “ก็หลายอย่าง”

“อย่างเช่น...”

“ได้กินของอร่อย ได้เล่นเกมส์ ได้เที่ยว ได้เจอพี่มิน” แพทตั้งใจหยอดด้วยคำตอบสุดท้าย

“ก็ธรรมดาเนอะ”

“แพทก็คนธรรมดานะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็มีความสุขให้ได้แบบคนธรรมดาซะสิ อย่าเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหา ครอบครัวไม่อบอุ่น ถ้าเรามัวแต่คิดแบบนั้นทั้งชาตินี้ก็ไม่ต้องถามหาความสุขหรอก”

“ดุจัง”

“พี่พูดผิดรึไงล่ะ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขซะ”

“นี่สอนหรือสั่ง”

“สั่ง”

“ได้ งั้นแพทจะทำเดี๋ยวนี้” สิ้นคำร่างเพรียวก็จมดิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของคนสูงกว่า แพทกอดมินไว้แน่นด้วยเรียวแขนแกร่ง สูดดมกลิ่นหอมที่เขาเฝ้าคิดถึงตลอดมา

มีความสุขให้ได้อย่างคนธรรมดาอย่างนั้นเหรอ ได้เลย พี่มินเตรียมตัวมาเป็นความสุขของแพทได้เลย



[T B C]

 :mew1: :mew1: :mew1:






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 11 {Up.190918}
«ตอบ #45 เมื่อ19-09-2018 21:53:50 »

 :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 11 {Up.190918}
«ตอบ #46 เมื่อ20-09-2018 04:20:14 »

พี่แพทก็ยังอ้อนพี่มินเหมือนเคย  :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 11 {Up.190918}
«ตอบ #47 เมื่อ20-09-2018 07:24:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่แพทรีบเลยนะ  เด๋วมีใครมาคว้าพี่มินไป  แล้วน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #48 เมื่อ23-09-2018 19:23:35 »

คุณครูพี่มิน 12

 

 “ดอกเตอร์มีสอนเช้าเหรอครับ” ดอกเตอร์เมฆหยุดเดินเมื่อคนที่เพิ่งเดินเข้าตึกคณะสังคมร้องทัก ชายร่างสูงรูปร่างกำยำสมชายชาตรีตรงหน้าคือคุณพิพัฒน์ อาจารย์หนุ่มหล่อประจำภาควิชา

 “คุณพิพัฒน์ก็มีสอนเช้าเหมือนกันเหรอครับ”

 “สอนเช้าทุกวันเลยล่ะ”

 “แต่ก็ยังดูสดชื่อดีนะครับ”

 “ดอกเตอร์ก็เหมือนกัน ว่าแต่นี่จะไปตึกกลางรึเปล่า”

 “ใช่ครับ”

 “ไกลเลย ให้ผมไปส่งมั้ย”

 “ไม่เป็นไร ขอบคุณคุณพิพัฒน์มาก”

 “ว่าแต่เที่ยงนี้ดอกเตอร์มีนัดทานข้าวกับใครรึยัง”

 “ไม่แน่ใจเลยครับ”

 “งั้นไปกินข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวผมโทรจองร้าน เด็ดมาก รับรองดอกเตอร์ต้องชอบ” โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ พอประตูลิฟต์เปิดก็หันมาลา

 คนถูกมัดมือชกถึงกับงง แต่ก็ปล่อยตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกนั้นไม่นานก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตึกเรียนกลางเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าแพททำตามที่รับปากกันไว้ได้จริงไหม

 และก็พบว่าไม่จริง

 เจ้าเด็กนั่นเข้าเรียนทันก็จริงแต่เข้ามาคนสุดท้าย

 มินตีหน้าขรึมจัดพร้อมมองมาด้วยสายตาขุ่นๆ หากแพทก็ไม่ได้สนใจทั้งยังทำตาหวานฉ่ำและส่งยิ้มยียวนกวนประสาทกลับมา และตลอดทั้งชั่วโมงเรียนนั้น อาจารย์ผู้สอนก็ไม่มั่นใจว่าลูกศิษย์คนนี้ได้ความรู้อะไรไปบ้างหรือเปล่า จดอะไรก็ไม่จดเอาแต่เท้าคางมองหน้ากัน

 แพทรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในภวังค์

 พี่มินในฐานะอาจารย์สวมเสื้อผ้าชุดสุภาพสมเป็นผู้ใหญ่ ทั้งที่ร่างกายถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้าไปทุกส่วนแต่เขากลับรู้สึกว่ายามที่อีกฝ่ายยืนสอนอยู่หน้าห้องนั้นช่างเซ็กซี่เหนือจินตนาการ ไม่ว่าจะยามขยับปากพูด ยามที่ลูกกระเดือกบนลำคอระหงขยับ ยามมือตวัดเขียน ทุกย่างก้าวของอีกฝ่ายสะกดแพทเอาไว้จนอยู่หมัด

 “ขออนุญาตหงายการ์ด” คูปองสะสมความดีถูกวางลงบนโต๊ะทันทีที่อยู่กันเพียงลำพัง

 “ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ”

 “อะไรครับอาจารย์”

 “ใครบอกจะเข้าเรียนคนแรก”

 “แพทตื่นสายอะ แต่ก็เข้าเรียนทันนะ”

 “แต่ไม่ตั้งใจเรียนเลย”

 “อาจารย์แหละ” คนที่อยู่ๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตัวเองไปทำเรื่องแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่จนต้องถาม

 “ผมทำไม”

 “น่ามอง” และคำตอบก็ทำเอาคนฟังถึงกับร้อนฉ่าไปทั้งใบหน้าจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย

 “หงายการ์ดทำไม”

 “ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน”

 “มีนัดแล้ว”

 “งั้นตอนเย็น บ่ายนี้มีสอนมั้ย”

 “ไม่มี”

 “ให้แพทมารับกี่โมงดี”

 “มารับทำไม”

 “ก็จะได้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไง” ยังไม่ได้รับปากเลยด้วยซ้ำแต่ก็คิดเองเออเองไปซะหมด กระนั้นหากแพทไม่หงายการ์ดมินก็ไม่คิดจะปฏิเสธ เขาน่ะกินข้าวเย็นคนเดียวมานานเกินพอแล้ว

 “งั้นไว้เจอกัน” มินชิงเดินออกมาไม่รับฟังเสียงอีกฝ่ายที่พยายามคะยั้นคะยอขอไปส่งที่ตึก แต่ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังหากแพทก็ไม่ละความพยายาม

 คำว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นน่ะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยเก่าเลย

 “อาจารย์มีนัดกับใคร คงไม่ใช่สาวๆ หรอกใช่มั้ย”

 “ถ้านัดกับสาวๆ แล้วจะทำไม”

 “ผมไม่ยอมนะ อาจารย์เป็นของผม” ท้ายประโยคเจ้าคนขี้ตู่ก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนก่อนจะผละออก “ไม่ยอมยกให้ใครง่ายๆ หรอก”

 นอกจากเขินนิดหน่อยแล้ว มินยังแอบสงสัยว่าเขาไปเป็นของแพทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

 

 

 

 

 

 

 “หน้าบานเท่าจานดาวเทียวบ้านกูแล้วมึง” คล้อยหลังรถดอกเตอร์เมฆที่วิ่งออกไป เซียนก็เข้ามาตีไหล่ทักทายให้แพทรีบเอามือที่โบกลาอีกคนลงแล้วหันไปมองเพื่อนด้วยสายตาฉงน

 “ลมอะไรหอบมึงมานี่”

 “ไม่ต้องพึ่งลมหรอกว่ะ กูแวะมากินข้าว”

 “ตึกมึงไม่มีข้าวกินว่างั้น”

 “แวะมาแดกข้าวกับมึงเนี่ย มีเรื่องอยากปรึกษาว่ะ”

 “กูว่าแล้วเชียว ถ้าไม่มีเรื่องคงไม่มาหากู”

 “ก็เหมือนมึงแหละ” ก็ว่าไปนั่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องจริง ถึงแม้จะยังสนิทกันอยู่แต่ต่างคนก็ต่างมีสังคมของตน ไม่ค่อยมีเวลาได้ไปเที่ยวเล่นด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้ามีเรื่องให้ช่วยเหลือก็ยังคงนึกถึงกันเสมอ มันไม่ใช่ว่านึกถึงเพื่อนแค่ยามทุกข์ แต่ระหว่างเซียนกับแพทมันเป็นเพื่อนที่สามารถแชร์ความทุกข์กันได้อย่างไม่อาย

 “เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอวะ” หลังจากได้ยินว่าเพื่อนได้รับการติดต่อจากค่ายเพลงแพทก็เอ่ยออกไปเช่นนั้นด้วยความยินดีทั้งสงสัยว่ามันจะกังวลเพื่ออะไรในเมื่อความฝันเข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว คว้าเอาไว้ก็จบ

 “กูไม่ได้อยากเป็นนักแต่งเพลงนี่หว่า กูอยากเป็นนักดนตรี”

 “แล้วมันต่างกันยังไง”

 “ก็ต้องต่างกันอยู่แล้วป่าววะ” ไม่แน่ใจว่าเพื่อนคิดดีแล้วหรือที่ตัดสินใจมาปรึกษาตน ถึงแม้แพทจะเป็นเด็กหัวดีแต่ก็ใช่ว่าเขาจะรอบรู้ขนาดนั้น

 “แต่มึงก็เคยแต่งเพลงจนดังมากมาแล้ว ที่จริงทางนั้นอาจจะดีสำหรับมึงก็ได้นะ”

 “กูยอมรับเว้ยว่ากูแต่งเพลงได้ดีมาก แต่กูก็รักมันไม่เท่ากีตาร์ว่ะ”

 “กูว่ามึงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วเซียน ที่มึงมาหากูก็แค่อยากได้พวกใช่มั้ย”

 “แต่มึงเสือกไม่ใช่พวกกูนี่สิ”

 “มีไม่กี่คนหรอกที่จะได้รับโอกาสดีๆ อย่างมึง ตอนนี้มีโอกาสได้แต่งเพลงก็ทำไปก่อนสิวะ ทำไปพร้อมๆ กับเล่นกีตาร์ก็ไม่เสียหายนี่”

 “กูอยากโฟกัส...”

 “แล้วมึงจะไม่เสียดายโอกาสนี้ใช่มั้ย”

 “เสียดาย”

 “เย็นนี้ไปหาพี่มินกับกูสิ”

 “ไปทำไม”

 “กูคิดว่าพี่มินน่าจะให้คำปรึกษาที่ดีกับมึงได้”

 แพทเอ่ยชื่อพี่มินด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุขจนเซียนต้องนับเวลารอเพื่อจะเจออีกฝ่าย อยากรู้นักว่ามีอะไรดีถึงได้ทำให้เพื่อนตนตกหลุมรักได้อย่างหัวปักหัวปำเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้

 

 

 

 

 

 

 

 “ไม่แน่ใจว่าอาหารถูกปากดอกเตอร์รึเปล่า”

 “อาหารอร่อยมากครับ” คนเป็นดอกเตอร์ตอบพลางเช็ดปากด้วยผ้าสีขาวที่ทางร้านเตรียมเอาไว้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกท่าทางของดอกเตอร์หนุ่มตรงหน้าสะกดสายตาของพิพัฒน์ได้อย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูน่ามองไปเสียหมด

 “แต่ผมว่าต้มยำกุ้งเผ็ดไปหน่อย” พิพัฒน์กระซิบเสียงเบาขณะรอเช็คบิล

 “สำหรับผมเผ็ดเท่านี้กำลังดีเลยครับ”

 “ไปอยู่ต่างประเทศตั้งนานผมคิดว่าดอกเตอร์จะไม่ชินรสอาหารไทยซะอีก”

 “ผมทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทยหลายปีเลยครับ”

 “เพราะแบบนี้ก็เลยยังชินกับรสอาหารไทย ที่จริงผมเคยเจอดอกเตอร์นะครับ” คนถูกเรียกว่าดอกเตอร์นนึกฉงนเล็กน้อยกับความรู้ใหม่ แต่ก็ไม่แปลกที่พวกเขาอาจจะเคยพบกัน เพราะร้านอาหารไทยที่มินเคยทำงานพิเศษก็มีคนไทยแวะเวียนเข้ามาเป็นลูกค้าอยู่ทุกวี่วัน

 “ต้องขอโทษคุณพิพัฒน์ด้วยครับ ผมจำไม่ได้เลย”

 “แต่ผมจำดอกเตอร์ได้ขึ้นใจเลยนะ”

 “ผมทำอะไรให้คุณพิพัฒน์ไม่พอใจรึเปล่า” มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้เราจดจำคนๆ นึงได้ขึ้นใจ ก็หวังว่าคงจะเป็นเรื่องดีเพราะมินไม่อยากมีปัญหากับใคร

 “เปล่าครับ ตรงข้ามเลยต่างหาก”

 วันนั้นเป็นวันที่หิมะตก พื้นที่ภายนอกร้านถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีขาว เพราะไปที่นั่นอย่างเร่งด่วนทำให้คนที่อยู่เมืองร้อนมาทั้งชีวิตไม่ได้เตรียมตัวมากนัก พิพัฒน์รู้สึกหนาวมาก หนาวจนสั่นไปทั้งตัว ฟันกระทบกันดังกึกๆ ทั้งที่ทั้งสวมเสื้อโค้ท ผูกผ้าพันคอ สวมหมวก ใส่ถุงมือ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ

 ขณะที่กำลังยืนกอดอกบรรเทาความนาวเหน็บรอใครบางคนอยู่ที่หน้าร้านอาหารไทยซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายนั้น พนักงานหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านก็เปิดประตูออกมาถามไถ่เขาก่อนจะเชื้อเชิญเข้าไปนั่งรอในร้านแถมยังยกชามาเสิร์ฟโดยไม่คิดเงินอีกต่างหาก

 ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ความใจดีของเขาคนนั้นยังคงตราตรึงในความทรงจำ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก

 “ว่าแต่งานที่มหา’ลัยไม่หนักเกินไปใช่มั้ยครับ ไหนจะเป็นที่ปรึกษาเรื่องงานวิจัย ไหนจะต้องสอน”

 “คุณพิพัฒน์ไม่ไว้ใจผมเหรอครับ”

 “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมไม่อยากให้ดอกเตอร์รู้สึกเหนื่อย”

 “ไม่มีงานที่ทำแล้วไม่เหนื่อยหรอกครับ แต่ถ้าเป็นงานที่เราชอบเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่หวั่นหรอก”

 “แล้วงานที่ทำอยู่ตอนนี้ดอกเตอร์ชอบหรือเปล่าครับ”

 “จะว่าอย่างไรดีล่ะครับ” มินทำเพียงหัวเราะอย่างสงวนท่าที ไม่คิดจะตอบคำถาม ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบงานที่กำลังทำแต่ก็ไม่ได้ชอบมากขนาดที่ว่ายอมทิ้งทุกอย่างได้เพื่อมัน

 “ดอกเตอร์ชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ”

 “หมายถึงงานเหรอครับ”

 “อืม ไม่ตอบเรื่องงานก็ได้ครับ” พิพัฒน์รอคอยคำตอบอย่างมีความหวัง ถ้าหากดอกเตอร์เมฆเปิดใจให้เขาสักนิดก็คงดี

 น้ำใจของดอกเตอร์เมฆที่มอบให้กันยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำลึกๆ และการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะเพื่อนร่วมงานที่เพอร์เฟ็คน่าชื่นชมยิ่งทำความรู้สึกของพิพัฒน์ค่อยๆ พัฒนาขึ้น รู้อยู่เต็มอกว่าการเลื่อนสถานะจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นคนรักไม่ใช่เรื่องที่ควรทำแต่ไม่ว่าจะพยายามหักห้ามใจเพียงใดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองถลำลึกกับความรู้สึกนี้มากขึ้นเท่านั้น

 ตลอดเวลาที่ผ่านมาพิพัฒน์พยายามแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนหลายต่อหลายครั้งหากดอกเตอร์เมฆก็ปฏิเสธมันอย่างละมุนละม่อมเสมอมา ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พิพัฒน์ไม่คิดจะยอมแพ้หรอก

 อะไรก็ตามที่หมายตาไว้แล้วไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 ในร้านอาหารที่ไม่ได้ถูกตกแต่งให้สวยเป็นพิเศษแต่รสชาติพิเศษจนต้องบอกต่อ แพทก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือตนเป็นระยะก่อนชะเง้อมองไปยังทางเข้าร้านอย่างรอคอย

 “พี่มินของมึงเขาไม่เบี้ยวหรอกน่า”

 “กูรู้ว่ายังไงพี่มินก็ไม่เบี้ยว แต่เขามาสาย กูเป็นห่วง”

 “ห่วงอะไรนักหนา เขาก็เป็นผู้ชายเหมือนเรา ไม่ใช่สาวๆ บอบบางซักหน่อย”

 “ถ้าเป็นคนที่รัก จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ตัวบางหรือร่างหนาก็เป็นห่วงอยู่ดีป่ะวะ”

 “โคตรเฉียบ” เซียนว่าและในตอนนั้นเองที่คนซึ่งแพทชะเง้อคอรอคอยปรากฏตัว

 มินไม่ได้สวมสูทอย่างตอนอยู่มหาวิทยาลัย เสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่สวมอยู่ถูกปลดกระดุมออก 1 เม็ด แขนเสื้อก็ถูกพับขึ้น ผมที่เซ็ตเป็นทรงบัดนี้ก็เริ่มเสียทรงแล้ว

 เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มมาตอนที่แพทโบกมือเรียกจากที่โต๊ะ

 “กูเกร็งเลยว่ะ” เซียนกระซิบในระหว่างที่มินเดินเข้าใกล้เรื่อยๆ

 “ทำไมวะ”

 “ก็พี่เขาเป็นถึงดอกเตอร์แล้วยังสอนที่มหาลัยเราอีก”

 “ก็คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเราสิวะ เหมือนต๊อดไง”

 “คนละระดับกับต๊อดเลยมึง กูคิดงั้นไม่ได้หรอก”

 “เซียนเหรอ ไม่ได้เจอกันนานเลย” คำทักทายทำให้เซียนที่นั่งเกร็งจนหลังตรงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

 “พี่มินจำเซียนได้ด้วย” คนถูกทักยิ้มอาย

 “พี่จำคนเก่งนะ เห็นแพทบอกว่าเซียนมีเรื่องจะปรึกษาพี่”

 “เอาเลยเหรอพี่ ไม่รอกินข้าวก่อนเหรอ”

 “ไงก็ได้ แล้วแต่เซียนเลย”

 “กูว่ามึงรีบปรึกษาแล้วรีบไปเหอะ” แพทออกความเห็น และเพื่อนกันก็รู้ทันกันในทันทีว่าแพทอยากอยู่กับพี่มินของมันตามลำพัง

 “เอางั้นก็ได้แหละ”

 มินฟังปัญหาหนักใจของเซียนอย่างตั้งอกตั้งใจ รู้สึกยินดีไม่น้อยที่อีกฝ่ายเลือกที่จะปรึกษาเขาทั้งที่ไม่ได้สนิทสนมกันมาก่อนเลย

 “เซียนหนักใจตรงไหนล่ะ” พอฟังปัญหาจบก็เลือกที่จะยิงคำถามทันที

 “ก็เซียนเลือกไม่ได้นี่พี่มิน”

 “ทำไมต้องเลือกด้วยล่ะ”

 “การได้ร่วมแต่งเพลงกับทีมงานมืออาชีพที่เก่งมากมันเป็นโอกาสที่ดีใช่มั้ยล่ะ แต่เซียนมุ่งมั่นจะเอาดีด้านดนตรีนี่นา”

 “แล้วเพลงกับดนตรีมันไปด้วยกันไม่ได้เหรอ พี่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำไปควบคู่กันซะอีก”

 “ก็จริง แต่ว่า...”

 “เซียนกำลังไม่มั่นใจในตัวเองใช่มั้ยล่ะ ไม่คิดว่าตัวเองจะทำทั้งสองอย่างนั้นไปพร้อมๆ กันได้”

 ทุกคำพูดของคนอายุมากกว่าแทงใจดำของเซียนเข้าอย่างจัง

 “เซียนไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรเลย สิ่งที่เซียนต้องทำคือมั่นใจในศักยภาพของตัวเองและทำมันทั้งหมดนั่นแหละ”

 “แต่เซียน...”

 “ถ้าคุณเอาแต่หาข้ออ้างแบบนี้ ไม่ว่าจะปรึกษาใครคุณก็ไม่มีทางได้คำตอบหรอก และถ้าเอาแต่ลังเลสุดท้ายโอกาสดีๆ ที่ควรจะเป็นของคุณก็คงกลายเป็นของคนอื่น ตอนนั้นจะไม่รู้สึกเสียใจกว่าเหรอ”

 “ต้องเสียใจมากแน่ๆ ครับ”

 “ผมรอฟังเพลงของเซียนนะ”

 “พี่มินคิดว่าเซียนจะทำได้มั้ยครับ”

 “ไม่รู้สิ ขึ้นอยู่กับว่าเซียนจะทุ่มเทและตั้งใจกับมันมากแค่ไหน อีกอย่างถ้าเรามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำมัน  ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี”

 “เพราะแบบนี้เอง...”

 “หืม”

 “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้แพทถึงชอบพี่มินมากขนาดนี้”

 เซียนทิ้งระเบิดเอาไว้ก่อนเอ่ยขอบคุณแล้วบอกลา

 พี่มินน่ะทั้งเป็นผู้ใหญ่ ทั้งใจดี ภายนอกก็ดูดีไม่มีที่ติ จัดว่าเป็นบุคคลประเภทเพอร์เฟ็คอย่างหาตัวจับยาก เพราะดีเยี่ยมไปเสียหมดอย่างนี้ล่ะมั้ง แพทถึงไปไหนไม่รอดเลย

 แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าพี่มินจะเป็นอย่างไร แพทก็ยังคงชอบพี่มินอยู่ดี

 “พี่มินให้กำลังใจเก่งจัง ให้กำลังใจแพทบ้างสิ”

 “อยากได้กำลังใจเรื่องอะไรล่ะ”

 “เรื่องพี่มินไง บอกว่าแพทเก่งอยู่แล้ว ยังไงก็จีบพี่มินติดแน่นอน”

 “อย่างนี้เค้าไม่เรียกมั่นใจ เค้าเรียกมั่นหน้า”

 “โห ทำไมร้าย ท้าทายเหรอ อย่าคิดว่าจะรอดนะ ไม่ว่ายังไงพี่มินก็ต้องเป็นของแพทอยู่ดี”

 “เริ่มน่ากลัวแล้ว พูดถึงแพทกับเซียนคบกันนานเนอะ”

 “ยังน้อยกว่าพี่มินกับต๊อด”

 “ก็จริง แต่ก็ดีแล้วที่มีเพื่อนดีๆ”

 “ไอ้เซียนก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก”

 “ศีลเสมอกันล่ะสิ”

 “ก็จริงมั้ง นอกจากพี่มินก็มีเซียนนี่แหละที่คอยรับฟังแพททุกเรื่องเลย”

 “เจอเพื่อนดีๆ แล้วก็รักษาไว้ล่ะ”

 “พี่มินก็เหมือนกัน เจอคนดีๆ อย่างแพทแล้วก็รักษาไว้นะ” มั่นใจให้ 5 มั่นหน้าให้ 10 ไปเลย

 บรรยากาศผ่อนคลายทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยกว่ามื้อไหนๆ อาหารที่สั่งมามากมายเกินกว่าชายหนุ่ม 2 คนจะกินหมด ค่อยๆ เกลี้ยงไปทีละจาน ข้าวในโถก็แทบจะหมด

 นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศครึกครื้นบนโต๊ะอาหารแบบนี้ หากแพทก็ไม่ได้นึกถึงอดีต เพราะเขากำลังคิดถึงเรื่องของอนาคต ถ้าได้กินข้าวเย็นกับพี่มินที่บ้านทุกมื้อต้องมีความสุขมากแน่ๆ

 “อยากกินข้าวเย็นกับพี่มินทุกวันจัง” มินหยุดมือที่กำลังเอื้อมไปเปิดประตูรถแล้วเอี้ยวตัวมามอง

 “วันจัง” เขาทวนคำแล้วมุ่นคิ้วทำหน้าสงสัย “หมายถึงวันจันทร์รึเปล่า”

 “พี่มิน แพทพูดชัดแล้ว”

 “ตอนพูดไม่ชัดน่ารักดีออก”

 “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

 “เป็นคนแบบนี้แล้วยังไง”

 “แล้วก็ยังชอบอยู่ดี” เอาเข้าไป แพทเนี่ยอย่าให้ได้มีโอกาสเลย หยอดตลอด และถึงแม้จะโดนหยอดอยู่บ่อยๆ แต่มินก็ไม่เคยชินซักที ได้ยินทีไรก็หวั่นไหวเป็นสาวน้อยจนนึกรำคาญตัวเองอยู่กรายๆ “พี่มินเองก็ชอบแพทเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”

 ไม่รู้ว่าแพทเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน และเมื่อหันไปมองหน้าตรงๆ ก็พบว่าอีกฝายกำลังจ้องมองมายังข้อมือ

 จริงด้วย เพราะวันนี้มินพับแขนเสื้อขึ้นทำให้เห็นว่าเขาสวมกำไลถักไว้ ทั้งที่เคยบอกอีกฝ่ายว่ามันเก่าจนไม่กล้าใส่แท้ๆ

 “ดีจังที่พี่มินยังใส่มัน” แพทเห็นมันตั้งแต่พี่มินเดินเข้ามาในร้านอาหารแล้วแต่ไม่มีโอกาสทักซักทีกระทั่งตอนนี้ยามที่อยู่กันลำพังในรถ

 แอร์ค่อนข้างเย็นแต่สายตาของแพททำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวจนเหงื่อซึมออกมาที่ไรผม

 นิ้วเรียวสัมผัสข้อมือมินแผ่วเบาพลางทอดสายตามองอย่างสื่อความหมายพิเศษ

 ตอนที่พี่มินบอกว่าอายที่จะใส่มันแพทใจแป้วไปเลย กระทั่งวันนี้ความไม่สบายใจหลายๆ อย่างเหมือนถูกยกออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังใส่ของแทนตัวเขาเอาไว้ตลอดเวลา

 บางทีพี่มินเองก็อาจจะใจตรงกัน

 แพทคิดเข้าข้างตัวเองก่อนจะเปลี่ยนจากลูบไล้เป็นจับข้อมือบางเอาไว้แล้วบรรจงจุมพิตลงบนผิวของอีกฝ่าย นุ่มนวล แฝงความหมายพิเศษที่ทำให้เจ้าของมันรู้สึกวูบวาบที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ชินแม้แต่ครั้งเดียว

 

 

 [T B C]


 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 17:01:35 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #49 เมื่อ23-09-2018 19:42:18 »

ใจละลายแล้ว พี่แพท  :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-09-2018 19:42:18 »





ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #50 เมื่อ23-09-2018 19:52:01 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว.....ครูพี่มินเป็นสาวน้อยเหรอเนี่ย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #51 เมื่อ23-09-2018 20:04:56 »

 :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #52 เมื่อ23-09-2018 20:20:23 »

มิน ก็มีคนมาชอบ  :เฮ้อ:
แพท ก็มีคนที่มาชอบ  :เฮ้อ:
คนหล่อ คนมีเสน่ห์ก็อย่างนี้แหละ

แพท มิน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #53 เมื่อ24-09-2018 13:09:10 »

หวานกันจริงๆ ขอให้น้องแพทจีบคุณครูพี่มินติดเร็วๆนะจ๊ะ

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 12 {Up.230918}
«ตอบ #54 เมื่อ24-09-2018 16:33:33 »

 :katai2-1: :mew1:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 13 {Up.031018}
«ตอบ #55 เมื่อ03-10-2018 17:03:33 »


คุณครูพี่มิน 13



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ดอกเตอร์เมฆมองไปยังนักศึกษาที่เข้ามาขอคำปรึกษาเรื่องงานวิจัยพลางเอ่ยขอโทษแล้วเดินเลี่ยงออกมาเพื่อรับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทตน

“ไงต๊อด”

“มึงว่างมั้ยมากินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อย”

“แต่หัววันเลยต๊อด มึงมีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“มาหากูดิ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”

มินมองโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายตัดสายไปแล้วอย่างนึกฉงน ต๊อดชอบดื่มก็จริง แต่ปกติมันจะไม่ดื่มแต่หัววันแบบนี้ อีกอย่างน้ำเสียงที่ดังผ่านสัญญาณมือถือมาเมื่อครู่ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

นึกห่วงเพื่อนตนอยู่มาก แต่งานที่ปรึกษาเรื่องงานวิจัยก็ยังค้างอยู่

แน่นอนว่าคนเป็นดอกเตอร์ต้องเลือกงานก่อนอยู่แล้ว

กระทั่งพระอาทิตย์ตกดินนั่นแหละดอกเตอร์เมฆจึงปลีกตัวออกมาได้ เขาบึ่งรถไปยังบ้านต๊อดทันทีแต่การจราจรก็ไม่ค่อยเป็นใจซักเท่าไหร่ กว่าจะมาถึงต๊อดก็นั่งคอพับคออ่อนแล้ว

“คุณมินมาพอดีเลยครับ” ช่างคนเก่าคนแก่ในร้านเอ่ยทักทายก่อนจะขอตัวกลับบ้านไปด้วยท่าทางร้อนรน

ต๊อดเนี่ยจะเมาทั้งทีทำเขาเดือดร้อนไปหมด

“ต๊อดมึงไหวป่ะเนี่ย”

“มินเหรอ ทำไมมึงมาช้าจังเลยวะ”

“ติดงานที่มหา’ลัยว่ะ นี่อย่าบอกนะว่ามึงดื่มตั้งแต่โทรหากู” ผ่านมาเกือบ 5 ชั่วโมงแล้วมั้ง มองขวดเหล้าสีที่พร่องไปเยอะแล้วและขวดโซดาที่วางระเกะระกะก็พอเดาได้ว่าดื่มไปมากน้อยแค่ไหน

“ไอ้เมี่ยงแม่ง ไอ้ห่าเอ้ย”

“พี่เมี่ยงทำไม” นานทีต๊อดจะทะเลาะกับพี่เมี่ยงที ครั้งนี้คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“มันชวนกูไปดูหนังวันนี้ แต่แม่งเบี้ยว”

“ติดเคสด่วนรึเปล่า ที่โรงบาลนั่นมีพี่เมี่ยงเป็นหมอคนเดียวไม่ใช่เหรอ”

“คนเดียวเหี้ยไรอะ มึงตกข่าวมากมิน เอ้าดื่มเป็นเพื่อนกูก่อน” ถึงแม้จะเมาจนคอพับคออ่อนแต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงชงเหล้าแล้วยื่นมาให้ เห็นแก่น้ำใจเพื่อนมินจึงรับมาจิบ

มินไม่ใช่คนคอแข็งนัก เขาดื่มไม่เก่งแต่มีวิธีทำให้ตัวเองนั่งร่วมวงเหล้าได้นานเท่ากับคนที่ดื่มเก่งๆ

“ดื่มเซ่ดื่มให้หมดแก้ว” และต๊อดก็สนิทสนมกันจนรู้หมดว่ามินแค่จิบเหล้านิดหน่อยแล้วถือเอาไว้พอเป็นพิธีดังนั้นจึงคะยั้นคะยอให้ดื่ม ถ้าไม่ดื่มเขาก็จะไม่เล่าต่อ

“อะไรของมึงนักหนา” ดังนั้นมินจึงต้องดื่มเหล้ารวดเดียวหมดแก้วตามคำขอของเพื่อน

แก้วถูกกระแทกวางลงบนโต๊ะ มินใช้หลังมือเช็ดปากตนแล้วจ้องเพื่อนอย่างรอคอย

“ที่โรงบาลเมี่ยงมีคุณหมอสาวย้ายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”

“มึงคิดว่าเขานอกใจมึงงั้นสิ”

“ดื่มก่อน” แก้วตรงหน้าถูกหยิบไปแล้วส่งกลับมาพร้อมกับเหล้าเต็มแก้ว

ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ อย่างไรพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ ถ้าขับรถกลับบ้านไม่ไหวก็นอนบ้านต๊อดละกัน

“ตอบคำถามกูได้ยัง”

“มันไม่เคยเป็นแบบนี้”

กว่าจะคุยกันรู้เรื่องมินก็สลบเหมือดเพราะเหล้าที่ถูกเติมในทุกๆ คำถามที่ส่งไป

แพทที่วันนี้แวะเล่นเกมส์ที่ร้านใกล้ๆ มหา’ลัยรีบบึ่งรถกลับมาหลังจากได้รับสายจากพี่เมี่ยงว่าพี่มินเมาหมดสภาพอยู่บ้านต๊อด ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอก จนพี่หมอถ่ายรูปส่งมานั่นแหละ

“ทำไมสภาพเป็นแบบนี้ครับพี่หมอ”

“โดนไอ้แสบมอมเหล้ามั้ง” ไอ้แสบที่ว่าก็สภาพไม่ต่างกันเลย ถูกพี่เมี่ยงประครองไว้แท้ๆ แต่ก็ยังทำตัวร้ายกาจด้วยการตีเขาดังตุ๊บๆ

“ไม่เจ็บเหรอพี่หมอ”

“เจ็บดิ เดี๋ยวฝากแพทดูมินนะ พี่ไม่ไหวแล้ว” สีหน้าพี่หมอดูเหนื่อยอย่างปากว่า แพทจึงเลือกที่จะทำตามคำสั่ง

มองส่งจนสองคนนั้นปิดประตูบ้านจึงค่อยนั่งลงบนม้านั่งข้างพี่มินของตน

คนเมานั่งก้มหน้า มือถือแก้ววางไว้บนโต๊ะ ไม่แน่ใจว่าหลับไปแล้วรึยัง

“พี่มิน นี่แพทนะ” แพทดึงแก้วเหล้าออกจากมืออีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง

“อือ” พอได้ยินว่าเป็นแพทคนเมาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพยักหน้ารับ

“คืนนี้นอนบ้านแพทนะ”

“อื้อ” เมาแล้วว่าง่ายจังเลยแฮะ

“เดินไหวมั้ย”

“ไหวสิ” ดอกเตอร์ตอบเสียงอ้อแอ้ แพทไม่มั่นใจในคำตอบมากนักหรอก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายว่าอย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้เขาเดินเองไปก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยว่ากัน

คนเมาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เขาเท้าแขนที่โต๊ะ ตั้งท่าทรงตัวอยู่สักพักใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ละมือจากที่ยึดเหนี่ยวอย่างระมัดระวัง ขาเรียวค่อยๆ ก้าวไปตามทางเดินเท้ามุ่งหน้าสู่บ้านท้ายซอย

แพทเดินเคียงข้างกัน สาบานเลยว่าวันนี้เป็นวันที่เขาเดินช้าที่สุดในชีวิตหากไม่นับรวมตอนหัดเดินเตาะแตะอะนะ จะว่าไป พี่มินตอนนี้สภาพเหมือนเด็กหัดเดินไม่ผิดเพี้ยน เดินอย่างไรก็ไม่ตรงแม้แต่นิดเดียว เป๋ไปเป๋มาบ้างก็เดินเซเข้าข้างทางซึ่งเป็นพุ่มไม้ให้แพทรีบเข้าไปช่วยพยุง

เอวพี่มินบางอย่างที่คาด แพทกระชอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ กลิ่นแอลกอร์ฮอล์ทำให้คนที่มีสติสัมปชัญญะครบดีเริ่มวิงเวียนนิดหน่อยแล้ว

“พี่มินขี่หลังแพทเถอะ”

“เดินไหว” เดินไหวก็แย่แล้ว หมายถึงแพทเนี่ย เดินช้าก็จริงแต่ก็ต้องคอยอยู่ใกล้ๆ ระวังไม่ให้คนเมาล้มลงไป แบบนี้น่ะมันเหนื่อยชะมัด

“พี่มินครับ” แพทบังคับให้คนอายุมากกว่าหยุดเดินแล้วจับไหล่ให้นั่งลงบนม้านั่งข้างทาง ขณะที่ตัวเขาเองนั่งคุกเข่าด้วยท่าเจ้าชายลงตรงหน้า

ภาพแผ่นหลังกว้างที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเลือนลางด้วยฤทธิ์แอลกอร์ฮอลที่กำลังเล่นงาน หากเชื่อเถอะว่าหัวใจของมินยังคงทำงานปกติดีทุกประการ มันกำลังสั่นไหวบอกเป็นนัยยะว่าคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงดอกเตอร์กำลังหวั่นไหวกับความอ่อนโยนที่ได้รับ

ยังไม่ได้ย้ำ มือเรียวก็วางลงบนไหล่กว้าง แพทอมยิ้มเอี้ยวมองคนที่ทิ้งตัวลงบนหลังตน

การแบกชายหนุ่มที่รูปร่างเกือบจะเท่ากันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ทั้งหนักและเหนื่อยขนาดนั้นแต่แพทกลับเอาแต่ยิ้ม หัวใจของเขาพองโตจนคับอก ใบหน้าพี่มินซุกอยู่ที่คอ กลิ่นแอลกอร์ฮอล์โอบล้อมพวกเขาเอาไว้ตลอดทาง

แม่งเอ้ย แทนที่จะโรแมนติก แต่กลับดูเป็นฉากรักของคนขี้เหล้าไปซะงั้น และแม้จะบ่นกระนั้นขาเรียวทั้งสองข้างก็ยังคงเดินต่อไป

ต้นไม้ข้างทางพัดไหว วันนี้พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า แต่แพทกลับมองไม่เห็นดาวเลยซักดวง ไม่สิ ดาวนำทางของแพทอยู่บนหลังนี่ต่างหาก

คนเมาถูกวางลงบนเตียงในห้องนอน

พี่มินหลับไปแล้ว

แพทเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนใบหน้าด้วยหลังมือก่อนปลดกระดุมเสื้อออกอีก พาลโกรธเครื่องปรับอากาศที่ไม่ให้ความเย็นทันทีที่เปิด

เจ้าของห้องนั่งลงบนที่ว่างริมเตียง ทอดสายตามองเจ้าของใบหน้าสะอาดสะอ้านที่กำลังหลับพริ้มครู่หนึ่งก่อนช่วยถอดรองเท้ากับถุงเท้าออกให้แล้ววางมันไว้ที่พื้นตรงปลายเตียง

ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่กำลังลูบไล้เท้าเปลือยเปล่าปลุกให้คนเมารู้สึกตัวขึ้นมา

มินรู้สึกว่าใครบางคนกำลังวุ่นวายอยู่กับกระดุมเสื้อของเขาจึงคว้ามือข้างหนึ่งเอาไว้

“พี่มิน เปลี่ยนเสื้อก่อนแล้วค่อยนอน” จำได้ทันทีว่านี่คือเสียงแพท และจำได้อีกว่าแพทเป็นคนแบกตนขึ้นหลังมาที่นี่

“ไม่เปลี่ยนได้มั้ย” คนเมาส่งสายตาออดอ้อนมา คนถูกอ้อนชะงักไป รู้อยู่เต็มอกว่าที่พี่มินเป็นเช่นนี้เพราะฤทธิ์แอลกอร์ฮอล์แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเป็นถึงดอกเตอร์มันต้องน่ารักขนาดนี้เลยเหรอ

“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวจะไม่สบายตัวนะ”

“ไม่เอา ตัวไม่เหม็นซักหน่อย” แม้จะบอกเหตุผลไปแล้วแต่คนเมาก็ยังคงดื้อรั้นจับมือแพทเอาไว้แน่นบอกเจตนาว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนเสื้ออย่างแน่นอน

“เหม็นครับ”

“ดมแล้วเหรอถึงรู้ว่าเหม็น” พี่มินเมาแล้วเหมือนกับว่าจะเด็กลงไปเป็นสิบยี่สิบปีเลย

“งั้นแพทดมเดี๋ยวนี้เลย” ว่าจบก็โน้มใบหน้าเข้าไปหาแต่กลับถูกเจ้าของร่างกายอ่อนเปลี้ยบนเตียงกุมแก้มเอาไว้ซะก่อน

“ไม่ให้ดมง่ายๆ หรอกนะ”

“แล้วทำยังไงถึงจะยอมให้ดมครับ” พี่มินตอนนี้น่ะถึงไม่ดมกลิ่นเหล้าก็โชยมาเตะจมูก แต่ในเมื่อโอกาสใกล้ชิดมาถึงแล้วมีหรือที่แพทจะปล่อยให้มันหลุดมือไปง่ายๆ

“เป็นเด็กเป็นเล็กมาขอดมผู้ใหญ่ได้ยังไง”

“แพทไม่เด็กแล้ว”

“ไม่เด็กอะไรกัน ตัวเท่าเอว”

“นั่นมันเมื่อ 10 กว่าปีก่อนต่างหากครับ พี่มินจำแต่พี่แพทรึไง” รู้สึกงอนขึ้นมานิดๆ เลยแฮะ “มองแพทดีๆ สิครับ แพทโตเป็นหนุ่มแล้วนะ”

สายตาพี่มินที่มองแพทอ่อนโยนเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เขาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กน้อยที่เติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวโดยไม่กระพริบตา ไม่รู้ว่าคนมองรู้สึกอย่างไร แต่คนถูกมองกำลังจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ยิ่งในยามที่นิ้วเรียวเลื่อนมาสัมผัสที่คิ้ว ไล้ลงมาที่สันจมูกแล้วค่อยๆ ไต่มายังริมฝีปาก แพทก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเขาอาจจะระเบิดออกมาเพราะความร้อนรุ่มเร็วๆ นี้

“พี่มิน” แพทว่าด้วยเสียงออดอ้อนติดเลื่อนลอยพร้อมกับกอบกุมมือคนบนเตียงให้เลื่อนมาจับที่อกแน่นๆ ของตน “เชื่อรึยังว่าแพทโตเป็นหนุ่มแล้ว”

“ดมตรงนี้”

หัวใจของชายหนุ่มเต้นตึกตักเมื่อคนที่ตนเฝ้ารักมานานหลายปีถลกคอเสื้อเชิ้ตลงแล้วบอกให้ดมที่บริเวณไหปลาร้าพลางเอียงคออย่างเชิญชวนแบบที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวแน่ว่ากำลังทำอะไรอยู่

พี่มินยามนี้ถึงแม้จะยังสวมเสื้อผ้าครบทุกชิ้นแต่ก็ยั่วยวนเสียจนชายหนุ่มวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านอย่างแพทเริ่มร้อนรน ตรงนั้นที่เคยเฝ้าโอ๋ด้วยตัวเองตลอดหลายปีก็พลันปึ๋งปั๋งขึ้นมา

ไอ้บ้าเอ้ย ขายขี้หน้าชะมัด

มินนอนมุ่นคิ้วมองแพทที่กำลังทึ้งหัวตัวเองจนผมยุ่งเหยิง ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยื่นมือไปจับผมแพทเบาๆ

“เดี๋ยวก็ไม่หล่อหรอก” คนที่กำลังข่มอารมณ์ตัวเองอย่างถึงที่สุดถึงกับพรูลมหายใจออกมา

พี่มินไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ดอกเตอร์อะไรวะไร้เดียงสาชะมัด

“เดี๋ยวแพทไปห้องน้ำแป๊บนึง”

“ไม่ดมแล้วเหรอ” แกล้งกันหรือไงวะ แพทเพ่งมองคนที่ไม่ยอมปล่อยแขนตนทั้งยังมองมาด้วยสายตาชวนฝัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เมาล่ะก็ แพทคงคิดว่าพี่มินกำลังพิสูจน์ความเป็นสุภาพบุรุษของเขาแน่ๆ

“เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ครับ” ซะที่ไหนกันล่ะ พี่มินแม่งแย่ทำให้แพทต้องไปโอ๋ลูกชาย

“ยังไม่ดมเลย” ย้ำเข้าไป ถ้าเกิดแพททนไม่ได้แล้วจับแก้ผ้าอย่าหาว่าไม่เตือนนะโว้ย

แพทอยากจะทึ้งหัวตัวเองอีกรอบเมื่ออยู่ๆ พี่มินก็ช้อนสายตามองกัน ขณะริมฝีปากอิ่มก็เบะคว่ำลง มือที่ถูกจับเฉยๆ ในคราแรกกำลังถูกหยอกเย้าด้วยนิ้วเรียวที่คลึงหลังมือ

ให้ตายเถอะโว้ย พี่มินทำตัวเองทั้งนั้นเลยนะ

ใบหน้าหล่อเหลาของคนเป็นเจ้าของห้องฉกเข้าไปใกล้จนคนเมาขยับห่างจนศีรษะจมลงไปกับหมอนที่หนุนอยู่

สายตาเร่าร้อนของแพทกวาดมองเจ้าของดวงหน้าสีระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอร์ฮอลย์อย่างเชื่องช้าคล้ายราชสีห์จ้องมองเหยื่อ มือที่ถูกกอบกุมพลิกมาเป็นฝ่ายจับบ้าง หน้าผากของทั้งคู่แนบกันส่งผ่านอุณหภูมิร่างกายให้ร้อนขึ้นเป็นเท่าตัว

มินรู้สึกเหมือนกำลังสร่างเมาหน่อยๆ แล้ว

“ให้ดมตรงไหนก่อนดีครับ” ลมหายใจอุ่นๆ รินรดปลายจมูกพร้อมกับเสียงพร่าที่ถูกเปล่งออกมา

แพทไม่คิดว่าสัญชาติญาณดิบของตนมันจะน่ากลัวขนาดนี้ มือหนาเลื่อนผ่านชายเสื้อที่ถูกดึงออกนอกกางเกงตั้งแต่ที่บ้านต๊อด ลูบไล้หน้าท้องอีกฝ่ายด้วยปลายนิ้วให้ขนอ่อนของคนถูกสัมผัสพร้อมใจกันลุกชัน

ปลายจมูกโด่งคลอเคลียบริเวณไหปลาร้าก่อนเจ้าของมันจะร้องโอ้ยเมื่อเขี้ยวถูกฝังลงมา

“พี่มิน ขอจูบได้มั้ย” เสียงพร่าเอ่ยขอร้องขณะปลอบประโลมบริเวณที่โดนขบกัดด้วยริมฝีปากที่กดย้ำๆ อย่างแผ่วเบา

หากก็ไร้ซึ่งสัญญาณตอบรับใดๆ ให้ต้องผละออกเพื่อมองหน้ากันตรงๆ

ให้ตายเถอะ คนเมาหลับไปแล้วขณะที่ลูกชายแพทตื่นเต็มตา

เจ้าของห้องถอยกรูดออกมา อยากจะกรีดร้องที่ถูกทิ้งเอาไว้กับสภาพที่กำลังย่ำแย่ แพทกระโดดโลดเต้นมือแกร่งกำแน่นอย่างคนไม่รู้ว่าจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเรื่องนี้อย่างไร

พี่มินแม่งจะใจร้ายไปถึงไหนวะ















ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุบๆ มินก็รู้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช้ห้องนอนเขาอย่างแน่นอน

จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มกับต๊อดไปเยอะมาก มากจนเมาแล้วหลังจากนั้นแพทก็มา อ่อ ไม่สิ พี่เมี่ยงมาถึงก่อน สักพักแพทก็ตามมา

ถ้าอย่างนั้นที่นี่ก็คงจะเป็นบ้านแพทล่ะมั้ง

ไม่ต้องคิดมากให้เมื่อยสมองเพียงพลิกร่างนอนตะแคงก็พบเจ้าของห้องนอนหลับอยู่ข้างๆ กันในสภาพเปลือยท่อนบน

มินตกใจนิดหน่อยก่อนก้มมองสภาพตัวเองแล้วค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เสื้อผ้ายังคงอยู่ครบ ถึงแม้ว่าเสื้อที่สวมอยู่จะไม่ใช่เสื้อเชิ้ตตัวเมื่อวานก็ตาม

ก็คงเป็นแพทนั่นแหละที่ช่วยเปลี่ยนเสื้อให้

เจ้าของห้องยังคงหลับพริ้มไม่มีวี่แววจะตื่นขึ้นมาได้ง่ายๆ มินจึงถลกผ้าห่มฝั่งตนออกแล้วลุกจากเตียง

อาการปวดหัวนี่คงเป็นผลจากการดื่มหนักแน่ๆ

ไม่รู้ว่าต๊อดเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าโดนพี่เมี่ยงลงโทษจนเดี๊ยงไปแล้วหรอกนะ

มินคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่บนราวอย่างถือวิสาสะก่อนเดินไปยังห้องน้ำ เขากวาดสายตามองห้องแคบอย่างพิจารณา สภาพเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นชวนให้นึกถึงอดีต แต่ก็คิดไม่นานหรอกเพราะคนเราน่ะต้องเดินไปข้างหน้า

กระจกเหนืออ่างล้างจานสะท้อนภาพชายหนุ่มวัย 32 ในสภาพหัวกระเซิง ใบหน้าอ่อนล้า ขอบตาดำ ดวงตาแดงก่ำ เรียกโดยรวมว่าสภาพแย่มาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่สะดุดตาและทำให้ตกใจที่สุดคือรอยช้ำบริเวณไหปลาร้า ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งพบว่าไม่ใช่แค่ช้ำแต่มีรอยเขี้ยวเหมือนถูกกัดมา

แพท!!

ไม่ได้อยากใส่ร้ายใครเลย แต่คนเดียวที่แว้บเข้ามาในหัวคือคนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงในห้องนอนนั่น

ประตูห้องน้ำถูกกระชากออก เสียงดังตึงๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระนั้นคนเป็นเจ้าของห้องก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนผ้าห่มถูกกระชากออกแพทจึงงัวเงียลืมตาขึ้นมา

“พี่มิน” พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ทักทายด้วยรอยยิ้มโดยไม่รู้เลยว่าพายุหมุนกำลังประชิดตัวผู้เคราะห์ร้ายแล้ว

“ไม่ต้องมายิ้ม” โกรธอะไรแต่เช้า แพทนึกสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยถาม เขาลุกขึ้นมานั่งแล้วขยี้หัวยุ่งๆ ของตัวเอง สภาพดูไม่ได้ยิ่งกว่ามินซะอีก

“ต้องทำหน้าโกรธเหมือนพี่มินเหรอ”

“คุณแม่งโคตรฉวยโอกาสเลยว่ะ”

ฉวยโอกาส? แพทตกอยู่ในอาการงุนงงนิดหน่อย อ่อคงหมายถึงรอยที่ไหปลาร้านั้นแน่ๆ คนเมาก็อย่างนี้แหละน๊า ตัวเองเชิญชวนเองแท้ๆ ยังจะมาโยนความผิดให้กันอีก

“พี่มินถลกเสื้อให้แพทเองเลยนะ ฉวยโอกาสอะไรกันล่ะ”

“ผมเนี่ยนะ ไม่มีทาง” มินปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงแม้จะเมาแค่ไหนเขาก็ไม่เคยปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“คิดอยู่แล้วว่าพี่มินต้องไม่เชื่อแพทแน่ๆ รู้งี้น่าจะถ่ายคลิปไว้ พี่มินจะได้รู้ว่าตอนเมาตัวเองเป็นยังไง”

“เป็นยังไง” เพราะสีหน้ากรุ้มกริ่มของอีกฝ่ายทำให้นึกสงสัยขึ้นมา

“บอกไปก็ไม่เชื่ออยู่ดี”

“ผมจะทำยังไงกับคุณดีวะแพท”

“กัดคืนมั้ยล่ะ ตรงไหนก็ได้นะ แพทยอมหมดเลย” คนที่นั่งอยู่บนเตียงกางแขนออกโชว์สรีระช่วงบนให้อีกฝ่ายมองและเลือกตามสบาย

“อะไรกันล่ะ ใครจะอยากทำแบบนั้น ไม่ใช่เด็กซักหน่อย”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า มาสิครับ” ข้อมือของมินถูกคว้าเอาไว้ก่อนแพทจะออกแรงดึงให้คนที่ยืนห่างจากเตียงไปนิดหน่อยขยับเข้ามาใกล้จนเข่าชนกับขอบเตียงเบาๆ

มินไม่ได้พยายามทำให้ข้อมือรอดพ้นจากการเกาะกุม เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ในสภาพเกือบเปลือย เพิ่งสังเกตุตอนนี้เองว่าท่อนล่างเด็กนั่นมีแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว

“ไม่ต้องมาเล่นเลยแพท”

“อะไรล่ะ แพทกำลังสำนึกผิดนะเนี่ย” ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายรู้สึกผิดจริงๆ ก็เถอะ แต่มินก็เชื่อไม่ลงอยู่ดี เด็กนี่เจ้าเล่ห์จะตาย เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วยซ้ำ

“เชื่อก็โง่แล้ว”

“ยอมโง่หน่อยไม่ได้เหรอครับดอกเตอร์”

“ทำไมต้องทำเป็นโง่ทั้งที่ผมฉลาดขนาดนี้”

“พี่มินรู้ป่ะ” คนที่นั่งอยู่บนเตียงเปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนด้วยเข่าให้ใบหน้าของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน “เวลาแพทเรียกพี่มินว่าดอกเตอร์เอย อาจารย์เอยมันโคตรตื่นเต้นเลยอะ”

ไม่ต้องถามก็รู้ได้ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ในทันทีเลยว่าตื่นเต้นในแง่ไหน

ท้ายที่สุดคนเป็นดอกเตอร์ก็จำต้องล่าถอย

แพ้อีกแล้วแฮะ















นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์แล้วที่พี่มินไม่ยอมพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับแพท เอาเป็นว่าแม้แต่สบตากันยังไม่ทำเลย

เพราะเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีแม้แต่โอกาสจะหงายคูปองสะสมความดี

เสียงถอนหายใจดังออกมาอีกครั้งให้คนเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถนึกหงุดหงิด

ต๊อดวางอุปกรณ์ในมือลงก่อนเดินไปนั่งลงข้างแพทบนแคร่

“มึงจะถอนหายใจให้ได้อะไรขึ้นมา น่ารำคาญฉิบหาย”

“ก็พี่มินน่ะสิ”

“กูว่าแล้ว” มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้ไอ้เด็กนี่ทุกข์ใจ ไม่เรื่องที่บ้านก็เรื่องคุณครูพี่มินสุดที่รักของมัน

“มันไม่สนใจมึงล่ะสิ”

“ทำไมต๊อดรู้ พี่มินเล่าให้ต๊อดฟังเหรอ”

“ไม่ต้องมีใครเล่าหรอก” ช่วงนี้แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนสนิทเลย จะว่าไปก็ตั้งแต่มอมเหล้ามันจนหัวราน้ำไปด้วยกันนั่นแหละ

“พี่มินต้องโกรธแพทเรื่องวันนั้นแน่เลย” ต๊อดขยับตัวหันหน้ามามองเพื่อตั้งใจฟัง นึกสงสัยว่าตัวเองพลาดอะไรไปรึเปล่านะ “แต่ตอนพี่มินเมาน่ะน่ารักมากเลยนะ”

“ไอ้มินเนี่ยนะน่ารัก” แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง และยิ่งแพทพยักหน้าสำทับว่าที่ตนพูดน่ะเป็นเรื่องจริง ต๊อดก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก “มึงกำลังพูดถึงมินที่เป็นอาจารย์สอนที่มหา’ลัยมึงป่ะแพท”

”ก็พี่มินไง ต๊อดงงอะไรเนี่ย” แพทเองก็เริ่มงงด้วยแล้วนะเว้ย

“มึงบอกว่าเวลาเมามันน่ารักเหรอ”

“อื้อ ต๊อดแคะขี้หูบ้างนะ แพทก็ว่าแพทพูดชัดมากแล้ว ยังไม่ได้ยินอีกเหรอ”

“มึงอย่ามาโม้ ไอ้มินน่ะเวลาแม่งเมาด่ากูอย่างกับด่าหมา อะไรที่ไม่เคยพูดตอนมีสติแม่งก็พูดออกมาหมดเลย กูเนี่ยสำนึกผิดไม่เคยทัน”

“จะเป็นไปได้ยังไง พี่มินน่ะ...” แพทหยุดคำพูดเอาไว้เพียงแค่นั้นเมื่อความคิดนึงแว้บเข้ามาในหัว

พูดในสิ่งที่ยามปกติไม่พูด ทำอย่างที่เวลามีสติไม่ทำ

เข้าข้างตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนนะ

ขณะกำลังครุ่นคิดเสียงโทรศัพท์มือถือต๊อดก็ดังขึ้นขัดจัวหวะ นึกโมโหอยู่ไม่น้อยกระทั่งได้ยินชื่อพี่มินดังมาจากเสียงสนทนา ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ชายหนุ่มขยับเข้าไปเงี่ยหูฟัง

จับใจความไม่ค่อยได้ แต่ดูเหมือนว่าพี่มินกำลังมีปัญหา

“ต๊อดงานเยอะนี่ให้แพทไปแทนมั้ย” มีน้ำใจก็ส่วนหนึ่งแต่อยากเจอพี่มินน่ะส่วนใหญ่

ต๊อดมองเจ้าเด็กที่เติบโตมากับตนอย่างรู้ทันแต่ก็ยอมบอกสถานที่แต่โดยดี















อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ร้ายแรงนักแต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้มินได้มากทีเดียว

แม้ว่าเรื่องทุกอย่างจะถูกเคลียร์เรียบร้อยโดยประกันของทั้งสองฝ่ายแล้วแต่มือไม้ของเจ้าของรถกลับยังสั่นไม่หาย

ทั้งที่เคลียร์งานเสร็จเร็วและตั้งใจจะกลับบ้านไปพักผ่อนให้เต็มอิ่มซักหน่อยแต่กลับเผลอวูบระหว่างทางจนรถไปเฉี่ยวกับคันอื่นซะได้

มินละสายตาจากมือสั่นๆ ของตนเมื่อแท็กซี่เข้ามาจอดต่อท้ายรถเขาที่จอดเทียบทางเดินเท้าเอาไว้ คิดว่าคงเป็นเพื่อนตนอย่างแน่นอน แต่กลับไม่ใช่

คนที่เดินลงจากรถมายังคงอยู่ในชุดนักศึกษาไม่ถูกระเบียบ

“พี่มินเป็นอะไรมากรึเปล่า” คนถูกถามไม่ตอบในทันที กำลังทบทวนการกระทำของตนเองอยู่ว่าไม่ได้เผลอโทรเรียกแพทมาใช่มั้ย

ถึงแม้ว่าเรื่องที่เด็กนี่ทำกับเขาในคืนที่เมาหัวราน้ำจะยังติดค้างอยู่ในใจแต่คงไม่ถึงกับไร้สติโทรตามออกมาหรอก

“ต๊อดไม่ว่างก็เลยขอให้แพทมาแทน แต่ถึงต๊อดไม่ขอแพทก็เต็มใจมานะ” แพทบอกราวกับล่วงรู้ความในใจ “ยังตกใจอยู่เหรอครับ”

“นิดหน่อยแหละ ไหนๆ ก็มาแล้วช่วยขับรถให้หน่อยแล้วกัน”

คนที่ตั้งใจมาช่วยรับกุญแจไปอย่างเต็มอกเต็มใจ ช่วยเจ้าของรถปิดประตูแล้วค่อยอ้อมไปฝั่งคนขับ ในตอนนั้นเองที่พบว่ากระจกมองข้างฝั่งตนหักลงมา พอก้มมองที่ตัวรถก็พบรอยถลอกยาวประมาณ 1 ฟุต

รถเฉี่ยวอีท่าไหนกันล่ะเนี่ย

“มือยังสั่นอยู่เลยนี่ ตกใจมากเลยเหรอครับ” แพทถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางกอบกุมมืออันสั่นเทาของเจ้าของรถเอาไว้

ความอบอุ่นและความห่วงใยที่ถูกถ่ายทอดผ่านสัมผัสช่วยทำให้หัวใจที่เต้นถี่ด้วยความตกใจก่อนหน้านี้ค่อยๆ เต้นช้าลงจนเกือบเป็นปกติ

“ไม่เป็นไรนะ ขวัญเอ้ยขวัญมา” มินเผลอยิ้มเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านเหตุร้ายมา

ท่าทางของแพทที่ยื่นมือมาคล้ายจะลูบหัวกันแต่สุดท้ายก็ชักมือกลับเมื่อนึกได้ว่ามินอายุมากกว่าทำให้นึกถึงพี่แพทคนที่เป็นเด็กร้ายๆ

“ขอบใจนะที่มา”

“คิดว่าพี่มินผิดหวังที่เห็นแพทแทนที่จะเป็นต๊อดซะอีก”

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย”

“คิดว่าโกรธเหรอ”

“ก็ต้องคิดอยู่แล้วสิ”

“คิดไม่ผิดหรอก อย่าไปทำแบบนั้นกับใครอีก”

“ไม่เคยทำกับใครเลย ทำกับพี่มินคนแรก”

“แพท!”

“ดุทำไมล่ะ แพทพูดจริงนี่นา”

“ถ้าไม่เลิกพูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่ต้องมาคุยกันอีกนะ”

“แล้วรอยนั่นจางไปรึยังครับ”

“บอกว่าให้หยุดพูดไง”

“ขอดูหน่อยสิ” พูดเปล่าซะที่ไหนกันล่ะ นอกจากใช้สายตากรุ้มกริ่มมองสำรวจกันแล้วยังทำท่าเหมือนจะยื่นมือมาถลกคอเสื้อกันให้มินรีบยกมือขึ้นปัดป้องเป็นพัลวัน

พอเห็นพี่มินแสดงสีหน้าแบบอื่นบ้างแพทก็รู้สึกสบายใจ เขาถอยออกห่างพลางยกมือยอมแพ้ กระนั้นก็ยังไม่ละสายตาจากอีกฝ่าย อยากมองทดแทนช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ไม่ได้มอง



[-T B C-]



เจ้าแพทมันร้ายค่ะ ขอกำลังใจให้พี่มินด้วย



ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 13 {Up.031018}
«ตอบ #56 เมื่อ03-10-2018 18:04:45 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆๆๆๆ ด็อกเตอร์พี่มินจะเล่นตัวไปทำไม?

ใจตรงกันมานานแล้ว แต่ดันเล่นตัวซะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 13 {Up.031018}
«ตอบ #57 เมื่อ03-10-2018 18:42:44 »

 :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 13 {Up.031018}
«ตอบ #58 เมื่อ03-10-2018 18:57:50 »

แพทรุกหนักไปป่าว.  :hao4:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
Re: คุณครูพี่มิน :: ตอนที่ 14 {Up.091018}
«ตอบ #59 เมื่อ09-10-2018 20:50:37 »

คุณครูพี่มิน 14



อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ช่วงสอบกลางภาคแล้ว หากพ่อนักศึกษาคนเก่งกลับไม่กระตือรือร้นแม้แต่นิดเดียว ต่างจากดอกเตอร์เมฆที่กำลังจดจ่ออยู่กับการออกข้อสอบจากบทเรียนที่เขาตั้งใจถ่ายทอดออกไป

การสอบนอกจากวัดผลการเรียนแล้วยังเป็นการวัดผลการสอนของอาจารย์ด้วย

ถ้าคะแนนออกมาดีคนเป็นอาจารย์ก็ดีใจแต่ถ้าออกมาแย่ก็คงต้องกลับมาถามตัวเองหน่อยแล้วว่าพลาดตรงไหนแล้วนำไปปรับปรุง

“เตรียมข้อสอบเสร็จแล้วเหรอครับดอกเตอร์” คนถูกทักตกใจนิดหน่อย เพราะเวลานี้มันค่อนข้างดึกเขาจึงคิดว่าคนอื่นน่าจะกลับไปกันหมดแล้ว

“คุณพิพัฒน์ก็อยู่เคลียร์งานเหมือนกันเหรอครับ”

“งานผมเคลียร์เสร็จตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะครับ”

“อ้าว แล้ว...”

ยังเอ่ยไม่จบประโยคอีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้นมา “เห็นไฟในห้องดอกเตอร์ยังเปิดอยู่ก็เลยแวะมาดูน่ะครับ เห็นตั้งใจทำงานก็เลยนั่งรออยู่ตรงนี้”

“คุณพิพัฒน์มีอารมณ์ขันนะครับเนี่ย”

“เสียใจจังเลยครับที่ดอกเตอร์ไม่เชื่อกัน” พิพัฒ์แสร้งทำหน้าเศร้า คิดว่าก็ไม่แปลกหรอกที่ดอกเตอร์เมฆจะไม่เชื่อเพราะในฐานะเพื่อนร่วมงานการมานั่งรอกันมันดูเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย

“แล้วนี่คุณพิพัฒน์จะกลับเลยมั้ยครับ”

“ดอกเตอร์ล่ะครับ ตรงกลับบ้านเลยมั้ย”

“ครับ” การเตรียมข้อสอบทำให้ดอกเตอร์เมฆรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและสมองแน่นอนว่าเขาย่อมอยากพักผ่อนเป็นเรื่องธรรมดา

“ไปหาอะไรดื่มกันหน่อยมั้ย”

“เอาไว้ครั้งหน้าดีกว่าครับ วันนี้ผมอยากพักมากกว่า”

“แค่แก้วเดียวก็ไม่ได้เหรอครับ”

“เอาไว้ครั้งหน้าดีกว่าครับ”

“ผมนัดดอกเตอร์ล่วงหน้าเลยได้มั้ยเนี่ย”

“คุณพิพัฒน์กำลังเครียดรึเปล่าครับ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้มั้ง และถ้าผมเครียดจริง ดอกเตอร์จะยอมไปดื่มด้วยกันมั้ย”

“เอาไว้หลังกลางภาคดีกว่ามั้ยครับ”

“ผมจะลงตารางไว้เลย” พิพัฒน์เดินตามมาส่งดอกเตอร์เมฆถึงรถ กระทั่งไฟท้ายลับตาไปเขาจึงก้าวออกจากบริเวณนั้น

อดคิดไม่ได้ว่าคนใจดีบทจะใจแข็งก็แข็งซะจนทำตัวไม่ถูกเลย

คงไม่ง่ายที่จะพิชิตใจและเลื่อนขั้นเป็นคนรักในซักวัน













ตอนที่ดอกเตอร์เมฆเดินเข้ามาในห้องเรียนเพื่อทำการสอนในวันนี้ เขาก็พบกับแพทที่นั่งยิ้มแป้นต้อนรับกันอยู่ที่เก้าอี้แถวหน้าสุดแล้ว

การเรียนการสอนผ่านไปอย่างปกติกระทั่งหมดชั่วโมงเรียนใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีก็ยกมือขึ้นแล้วเอ่ยถามเสียงดังโดยไม่ต้องพึ่งไมโครโฟน

“อาจารย์จะไม่ช่วยเก็งข้อสอบให้ซักหน่อยเหรอครับ”

บรรดานักศึกษาที่กำลังเก็บข้าวของต่างพากันชะงักมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว ทุกสายตาจับจ้องมายังอาจารย์ผู้สอนชวนให้รู้สึกกดดัน กระนั้นก็ใช่ว่าดอกเตอร์เมฆจะใจอ่อนง่ายๆ

“ข้อสอบก็ออกตามที่ผมสอนนั่นแหละ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”

“โหจารย์อย่าขี้งกสิ”

“ภัทรดนัยเอาเวลาโอดครวญไปตั้งใจอ่านหนังสือเถอะ”

“บอกคร่าวๆ ก็ไม่ได้เหรอครับ ถ้าพวกเราสอบตกกันยกห้องทำไงอะ”

“ก็ซ่อมไง อีกอย่างผมจะได้รู้ด้วยว่าฝีมือการสอนของผมมันห่วย นักศึกษาถึงได้พากันสอบตกยกห้อง”

นักศึกษาบางส่วนพากันส่ายหัวเป็นเชิงว่าอาจารย์ไม่ได้สอนห่วยหรอก และแพทเองก็คิดอย่างนั้น วิชาที่เขาคิดว่าอาจจะไม่ไหวในตอนแรกนั้น พอเรียนไปเรื่อยๆ แล้วกลับมานั่งทบทวนอีกนิดหน่อยก็เข้าใจมันได้ไม่ยากเลย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากวิธีการสอนของอาจารย์อย่างแน่นอน

ดอกเตอร์เมฆน่ะสอนดีมากแล้วนะ

“พี่มินช่วยติวให้แพทบ้างสิ” เมื่อนักศึกษาทยอยออกนอกห้องไปจนหมดแล้วคนที่นั่งหน้าแป้นอยู่โต๊ะตัวหน้าสุดก็เดินเข้ามาหา

“ไม่ได้หรอก มันไม่เท่าเทียม”

“ไม่ได้ให้ติวในฐานะอาจารย์นี่นา ติวในฐานะพี่มินของแพทก็ไม่ได้เหรอ ใจดำจัง”

“ไม่ได้!”













ทั้งที่ปฏิเสธออกไปอย่างนั้นแท้ๆ แต่กลับต้องกลืนน้ำลายตัวเอง

น้ำในแก้วถูกดื่มจนหมดรวดเดียวเพื่อดับอาการหัวร้อนจากการถูกกวนประสาทของคนที่เหมือนจะตั้งใจเรียนแต่กลับเอาแต่มองหน้าอาจารย์ผู้สอนไม่ยอมมองหนังสือเรียนแม้แต่วินาทีเดียว

“เลิกติวแล้วไปช่วยต๊อดซ่อมรถเถอะ ติวไปก็ไม่ได้ประโยนช์อะไร”

“ทำไมล่ะ แพทตั้งใจอยู่นะ”

“มั่นใจเหรอที่พูด”

“พี่มินไม่เชื่อเหรอ แพทจดจริงๆ นะ” สมุดเล็คเชอร์ตรงหน้าถูกเลื่อนมา มินกวาดสายตามองผ่านๆ ก็พบว่าแพทไม่ได้โกหกเลย

ก็เห็นเอาแต่นั่งมอง เอาเวลาไหนไปจด

“ทีนี้สอนต่อได้รึยังครับ”

“ไม่คิดว่ามันเป็นการเอาเปรียบเพื่อนเหรอ” ถึงจะเต็มใจติวโดยที่แพทไม่ต้องหงายการ์ดสะสมความดีแต่ในใจลึกๆ คนเป็นอาจารย์เจ้าของวิชาก็รู้สึกผิดต่อลูกศิษย์คนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย

“พี่มินเป็นคนดีจังเลยนะ”

“อันนี้ชมหรือประชด”

“ก็ต้องชมอยู่แล้วสิ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวแพทสรุปแล้วเอาไปบอกต่อในกรุ๊ปเอง”

“มีกรุ๊ปด้วยเหรอ” ได้ยินอย่างนั้นแล้วคนเป็นอาจารย์ผู้สอนก็เริ่มสนใจอยากรู้อยากเห็น

“ก็เอาไว้สรุปบทเรียนต่างๆ ไรงี้”

“ไม่ใช่ว่าเอาไว้นินทาอาจารย์หรอกเหรอ”

“แหม มันก็มีบ้างนิดหน่อยแหละ”

“เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“เรายังติวหนังสือกันไม่ถึงไหนเลยนะครับเนี่ย”

“ถ้าไม่เล่าไม่ติวนะ”

“โหพี่มิน โคตรกดดันอะ ไม่เอาหรอกแพทไม่อยากหักหลังเพื่อน”

“ก็แล้วแต่นะ” คนเป็นอาจารย์ขยับนั่งตัวตรงพิงพนักเก้าอี้ ทำเป็นมองไปทางอื่นไม่สนใจแพทที่ส่งสายตาอ้อนวอนมา

มินค่อนข้างมั่นใจเลยว่าในกรุ๊ปนั้นต้องมีการพูดถึงเขาบ้างแหละ และถ้าเป็นเรื่องที่สามารถนำไปปรับปรุงได้เขาก็อยากรู้เพื่อจะได้พัฒนาตัวเองให้เข้ากับนักศึกษาให้ได้มากกว่านี้

“ส่วนมากสาวๆ ก็บอกว่าดอกเตอร์เมฆโคตรหล่อ มองมุมไหนก็ดูดี อยากได้เป็นพ่อของลูก พอใจรึยังครับ” แพทบอกอย่างไม่เต็มใจ

“แค่นี้เหรอ”

“มากกว่านี้ แต่แพทไม่บอกหรอก ไม่ชอบให้ใครมาชม อยากเก็บไว้ชมคนเดียว”

“ขอเข้ากรุ๊ปบ้างดีมั้ยนะ”

“ไม่ดีหรอก ไม่ให้เข้า ถ้าเข้าก็จะเตะออก”

“ทำไมใจร้ายจังล่ะ”

“เดี๋ยวก็มีคนมาจีบพี่มินน่ะสิ แพทหวง” แพทน่ะพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ ต่างจากคนฟังที่วูบวาบไปทั้งใบหน้ากับคำว่าหวง

“โอเค ไม่เข้าก็ไม่เข้า” ได้ยินอย่างนั้นแพทก็เบาใจกลับมาตั้งใจเรียนต่อได้อย่างไร้ความกังวล

จนดึกดื่น จนต๊อดปิดร้าน จนต๊อดต้องเอายากันยุงออกมาจุดให้ และจนทนยุงกัดไม่ไหวอาจารย์กับลูกศิษย์จึงยกธงขาวยอมแพ้เก็บสมุดหนังสือแล้วบอกลากัน

แพทเป็นห่วงมากที่พี่มินต้องขับรถกลับบ้านดึกดื่นเพราะเขาทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจจนมือไม้สั่นมาไม่นาน พอขอไปส่งอีกฝ่ายก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว สิ่งเดียวที่ทำได้คือกำชับให้โทรมารายงานตัวเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว

มินน่ะก็ว่าง่ายซะเหลือเกิน พอเปิดไฟในห้องตนปุ๊บก็คว้าโทรศัพท์ออกมาโทรหาแพทปั๊บ แถมยังอ้อยอิ่งตอนจะวางสายอีก

บ้าไปแล้วแน่ๆ













สอบกลางภาคผ่านไปแล้ว

ให้ตายเถอะ ตอนนี้แพทเหลือแค่ร่างไร้วิญญาณ หัวใจก็ไม่มีเพราะให้พี่มินไปหมดแล้ว ทั้งหมดในวิชาที่สอบดูเหมือนว่าวิชาของดอกเตอร์เมฆนี่แหละที่เหมือนจะกล้วยที่สุด

“ตายรึยังมึง” เซียนวางกีตาร์ลงเมื่อเห็นเพื่อนตนเดินเข้ามาใกล้ด้วยสภาพซอมบี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอย่างไรมันก็ยังดูหล่อบาดใจสาวอยู่ดี

“ขอเพลงเพราะๆ ปลอบใจกูซักเพลงหน่อยสิวะ”

“ธรีณีร้องไห้มั้ย”

“ปากมึงนี่โคตรไม่เป็นมงคลเลยว่ะ เดี๋ยวก็ยันโครมเข้าให้”

“มีแรงยกตีนแปลว่ายังไม่ตายง่ายๆ”

“ถ้ากูตายมึงก็คงกำพร้าเพื่อนหล่อ น่าสงสารสุดๆ”

“มึงแวะมาหากูแค่ฟังเพลงจริงดิ”

“จัดมาครับ เอาเพราะๆ เลย”

“กูก็เล่นเพราะทุกเพลงอยู่แล้วป่ะวะ” หลงตัวเองให้สมกับเป็นเพื่อนกัน ไปให้สุดหยุดที่เงิบเท่านั้นแหละ แต่ไม่เชื่อก็ต้องยอมรับว่าเซียนมันเทพจริงๆ แค่กรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ก็เพราะเสียจนเคลิ้ม แปลกใจทุกครั้งที่มันบ่นว่าโสดอยากมีสาว

หน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ ตอนเล่นดนตรีก็เท่ห์บาดจิต ไม่มีทางที่จะโสดแน่ถ้ามันไม่เลือกมาก

เล่นจบ 3 เพลงตามคำขอเซียนก็วางกีตาร์ลง

“ตกหลุมรักกูเลยสิ”

“รักสุดหัวใจเลย แล้วนี่เรื่องแต่งเพลงมึงไปถึงไหนแล้ว”

“แต่งจริงจังแล้วไม่สนุกเลยว่ะ มันเครียด ไม่เป็นธรรมชาติด้วย”

“ทีมเขาบอกเหรอ”

“กูเนี่ยแหละบอกตัวเอง พอกูแต่งเสร็จแล้วมาลองอ่านทวนก็รู้ทันทีเลยว่าเนื้อเพลงกูตอแหลสิ้นดี”

“แล้วมึงทำไงต่อล่ะ”

“กูได้พยายามอยากที่พี่มินของมึงบอกแล้ว แต่กูไม่ไหวว่ะ ว่าจะไปบอกเลิกพวกพี่เขา อาจจะโดนตำหนิแหละแต่กูไม่มีทางปล่อยงานชุ่ยๆ ออกตลาดไปหรอก”

แพทมองเพื่อนด้วยสายตาชื่นชม ข้อดีของเซียนมีมาก พอๆ กับความระยำตำบอนของมันนั่นแหละ

“สอบเสร็จแล้วงี้ก็ไปให้กำลังใจกูที่ร้านได้แล้วดิ สาวๆ อยากเจอมึงจะแย่”

“ดูฮ๊อตเลย ถ้ายังไงดึกๆ กูค่อยแวะไปแล้วกัน”

“จะไปหาพี่มินก่อนละสิ ลืมกูเลยนะมึง”

“ลืมมากมั้งเนี่ย สอบเสร็จแล้วแวะมาหามึงทันทีเลย”

“แล้วเรื่องมึงกับพี่มินไปถึงไหนแล้ววะ”

“ไม่รู้สิ” แพทไม่รู้จริงๆ ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาบ้างมั้ย ท่าทางพี่มินก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากนัก ถึงแม้จะดูเขินๆ และหน้าแดงตอนถูกจีบก็เถอะ แต่แค่การแสดงออกเล็กน้อยแค่นั้นไม่มีทางทำให้แพทมั่นใจได้หรอก

ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว แวะไปหาให้หายคิดถึงหน่อยดีกว่า













หลังจากการสอบกลางภาคจบลง งานก็มากองอยู่ที่โต๊ะในระดับสูงท่วมหัว ยิ่งเป็นข้อสอบอัตนัยอาจารย์คงต้องอดนอนไปอีกหลายคืนอย่างแน่นอน

“ดอกเตอร์” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นจากข้อสอบตรงหน้า รอยยิ้มที่ได้รับจากพิพัฒน์ทำให้ต้องยิ้มตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ปวดหัวตาลายแทบจะบ้าแล้ว

“คุณพิพัฒน์ มีธุระเหรอครับ”

“ดอกเตอร์ลืมนัดของเราไปแล้วเหรอ”

“ยังไม่ลืม แต่งาน...” ดอกเตอร์เมฆแทนคำพูดด้วยการมองไปยังกองเอกสารบนโต๊ะของตนให้คนมาทวงสัญญามองตามบ้าง

กระนั้นพิพัฒน์ก็ไม่คิดจะย่อท้อ

“แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว คืนนี้ไปดื่มให้สมองโล่งๆ พรุ่งนี้ค่อยมาลุยงานไม่ดีกว่าเหรอ” ที่จริงก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนัก แต่มินน่ะไม่ได้สนิทกับพิพัฒน์ขนาดนั้นซะหน่อยนี่นา

เพราะกำลังครุ่นคิดสีหน้าก็เลยดูเป็นกังวลมากจนอีกฝ่ายเผลอมุ่นคิ้วตาม

“คิดหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับดอกเตอร์ ถ้าไม่สบายใจจะปฏิเสธกันผมก็ไม่ว่านะครับ”

“เป็นห่วงงานนิดหน่อยครับ แต่เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้อย่างคุณพิพัฒน์ว่าก็ได้”

“ถ้างั้นเราไปกันเลยมั้ยครับ”

“ขอเก็บกระเป๋าแป๊บนึงครับ” แป๊บนึงของดอกเตอร์เมฆคือแป๊บนึงจริงๆ แค่หยิบโทรศัพท์มือถือใส่เสื้อสูท คว้ากระเป๋ากับเอกสารนิดหน่อยก็พร้อมกลับเลย

ลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 1 แพทถึงกับกำมือถือแน่นเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินออกมาจากเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมนั่น

พี่มินไง คนที่ไม่แม้แต่อ่านข้อความของเขาและกำลังเดินมากับใครก็ไม่รู้ท่าทางอารมณ์ดีเชียว

ที่จริงแพทอยากจะออกไปปรากฏตัวแล้วถามให้มันชัดเจนไปเลย แต่ด้วยสถานะของพวกเขาตอนนี้ ถ้าแพททำอย่างนั้นคนที่จะยุ่งยากและลำบากกับผลกระทบที่ตามมาก็คงเป็นดอกเตอร์เมฆอย่างไม่ต้องเดา เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วแพทจึงทำได้แค่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเสามองสองคนนั้นเดินออกจากตึกไปด้วยความรู้สึกจุกในอกเหมือนกินบุพเฟต์แล้วอาหารไม่ย่อย

คล้อยหลังสองคนนั้น แพทที่สงสัยว่าพี่มินขับรถไปเองรึเปล่าก็เดินไปยังลานจอดรถ เดินหาอยู่ไม่นานก็พบว่ารถยังจอดอยู่ที่นี่และคิดไปเองว่าเดี๋ยวพี่มินก็คงกลับมาเอารถ รออยู่ตรงนี้ก็คงได้เจอกัน

ช่างเป็นความคิดที่โง่สมเป็นเด็กซะจริงๆ













ถึงแม้จะเป็นเวลาดึกแล้วแต่รถก็ยังติดอยู่ที่ทางเข้าร้านอาหาร

“คุณพิพัฒน์ชอบถ่ายรูปเหรอครับ” เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบสงบจนชวนอึดอัดดอกเตอร์เมฆจึงชวนคุยเมื่อมองไปที่เบาะหลังแล้วเห็นกระเป๋ากล้องวางอยู่

“งานอดิเรกครับ”

“ดีจังเลยครับ มีงานอดิเรกด้วย” พิพัฒน์มุ่นคิ้วเล็กน้อย

“ดอกเตอร์ล่ะครับเวลาว่างชอบทำอะไร”

“ไม่ชอบทำอะไรเลยครับ เดี๋ยวไม่ว่าง”คนฟังนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะหัวเราะให้กับมุกฝืดๆ ที่ก็เหมาะกับคนนิ่งๆ อย่างดอกเตอร์เมฆดี

“ดอกเตอร์ก็แอบตลกเหมือนกันนะครับเนี่ย”

“ช่วงนี้ชอบดูรายการตลกครับ คนที่ทำให้คนอื่นหัวเราะได้น่าชื่นชมมากเลยนะ”

“ดอกตอร์ก็น่าชื่นชมมากเลยนะครับ”

“หือ”

“ก็เมื่อกี้ดอกเตอร์ทำให้ผมหัวเราะ” มินยิ้มเล็กๆ เมื่อได้รับคำชม เผลอคิดว่าถ้าเล่นมุกพวกนี้กับแพทรายนั้นจะหัวเราะบ้างมั้ยนะ

ขณะกำลังคิดรถก็เข้ามาจอดที่ลานจอดรถแล้ว

ร้านที่พิพัฒน์ชวนมาเป็นเลาท์ในโรงแรมหรู ไฟถูกเปิดสลัวๆ กับเพลงคลาสสิกรวมกันทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายและเงียบสงบ

“ดอกเตอร์ชอบที่นี่มั้ยครับ”

“ก็ดีครับ”

“แค่ก็ดีเองเหรอครับ ผิดหวังจัง คิดว่าดอกเตอร์จะตอบว่าชอบมากซะอีก”

“ที่จริงไม่ค่อยชินเท่าไหร่ครับ”

“ดูเหมือนดอกเตอร์จะเป็นพวกรักสันโดดนะครับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าว่างก็ชอบให้เวลากับตัวเองครับ”

“แปลว่ายังไม่มีแฟน แล้วดอกเตอร์ชอบคนแบบไหนกันน๊า” เครื่องดื่มถูกส่งเข้าปากขณะครุ่นคิดว่าตัวเองชอบคนแบบไหน และในตอนนั้นเองใบหน้าของแพทก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

เด็กน้อยที่เติบโตเป็นชายหนุ่ม คนที่ทำให้มินเป็นทุกอย่างทั้งคุณครู พี่เลี้ยง เป็นผู้ใหญ่และเป็นเด็กไร้เดียงสาได้ ช่างเป็นบุคคลที่ทั้งวิเศษและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

ดวงตาของดอกเตอร์เมฆทอประกายคล้ายคนกำลังมีความรัก และนั่นก็ทำให้คนที่อุตส่าห์พามาสถานที่โรแมนติกเพื่อทำคะแนนถึงกับใจแป้ว อยากรู้เหลือเกินว่าคนๆ นั้นจะดีมากกว่าตนซักแค่ไหนกันเชียว













ก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่หรอก แต่คูปองสะสมความดีที่มีอยู่ในมือนั้นใช้อีก 10 ปีก็ไม่หมด

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในเช้าตรู่วันเสาร์ทำให้เจ้าของมันหงุดหงิดเป็นบ้า ยิ่งรู้จุดประสงค์ของการโทรมาก็ยิ่งหงุดหงิดซะจนคิดว่าตัวเองฆ่าคนได้อย่างแน่นอน

หลังจากวางสายเจ้าเด็กงี่เง่านั่นก็ส่งรูปคูปองสะสมความดีมาให้มินไม่สามารถจะปฏิเสธได้

เพราะปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ผิดคำพูดอีก นั่นแหละ ไม่น่าปากพล่อยเลย

เสียงเครื่องยนต์ที่จอดหน้าบ้านทำให้เจ้าของบ้านกุลีกุจอลุกจากโซฟาวิ่งไปเปิดประตู สีหน้าพี่มินตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก ก็คงจะโกรธที่ถูกปลุกตอนกำลังนอนฝันหวาน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้นอกใจแพทล่ะ

“ร้านโจ๊กก็อยู่แค่นี้ ออกไปซื้อเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ถุงโจ๊กถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมน้ำเสียงขุ่น

“เข้าบ้านก่อนครับ”

“ไม่เป็นไร ผมจะกลับแล้ว”

“ไม่ได้เชิญครับแต่บังคับ”

“แพท”

“พี่มิน”

“ทำไมเป็นเด็กแบบนี้วะ” ถึงจะบ่นเช่นนั้นแต่ก็ยอมเดินตามเข้าบ้านแต่โดยดี “ผมอยู่ได้ไม่นานนะ ต้องเข้ามหา’ลัยไปตรวจข้อสอบพวกคุณ”

“แพทช่วยมั้ย”

“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

“รอดอยู่แล้วน่า ในบรรดาวิชาที่สอบทั้งหมด ข้อสอบของดอกเตอร์เมฆน่ะง่ายที่สุดแล้ว”

“ขี้โม้จริง”

“ไม่เชื่อเหรอ”

แน่นอนว่ามินส่ายหน้าทันทีอย่างไม่ต้องคิดมาก ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแต่ไม่อยากคล้อยตามเดี๋ยวเด็กมันเหลิง

“พนันกันมั้ย”

“เอาสิ”

“ถ้าแพทได้คะแนนเกิน 70% พี่มินต้องตามใจแพททุกอย่าง”

“ทุกวันนี้ยังตามใจไม่พออีกเหรอ”

“ก็...” ลืมไปเลยว่าทุกวันนี้เขายังใช้คูปองสะสมความดีอยู่ “ตามใจโดยไม่ต้องหงายการ์ดไง”

“แค่ 70% เองเหรอ ถ้าคุณมั่นใจว่าง่ายที่สุดก็ควรจะทำข้อสอบได้มากกว่า 80% สิ”

“ต่อเป็นผักเลยอะ”

“คุณมันขี้โม้”

“ก็ได้ๆ ถ้าแพทได้คะแนนน้อยกว่า 80% เท่ากับว่าแพทแพ้”

“ถ้าคุณแพ้ผมขอริบคูปองสะสมความดีทั้งหมด”

“แบบนั้นมัน...” แพทลังเลที่จะรับปาก เพราะถึงแม้จะมั่นใจว่าทำข้อสอบได้แต่ก็ใช่ว่ามันจะถูกทั้งหมดนี่นา “ครึ่งนึงไม่ได้เหรอ”

“ขอหมด”

“พี่มิน” ใบหน้าของแพทดูสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่คิดจะลองเจอกันโดยไม่ต้องพึ่งคูปองบ้างเหรอ”

“คิดสิ แต่แพทก็อยากใช้มัน อยากให้พี่มินรู้ว่าตอนนั้นแพทพยายามมากแค่ไหน”

“พี่รู้ครับ”

“รู้ได้ยังไง”

“รู้ก็แล้วกันน่า”

“เชื่อก็บ้าแล้ว”

“โจ๊กเย็นหมดแล้ว รีบกินสิ”

“พี่มินเมื่อคืนไปไหนมา”

“หืม” คนถูกถามชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถาม คิดว่าบางทีแพทอาจจะเห็นเขาออกไปข้างนอกกับคุณพิพัฒน์เมื่อคืน และก็ตามคาด

“แพทไปหาแล้วเห็นพี่มินออกไปกับใครก็ไม่รู้”

“อ๋อ คุณพิพัฒน์”

“เขาจีบพี่มินเหรอ”

“เอาอะไรมาพูด”

“แพทดูออกก็แล้วกันน่า อย่าไว้ใจเขาให้มากนักล่ะ แพทหวง”

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ยังไม่สร่างเมาอีกเหรอ”

“ก็ไม่ได้เมาขนาดนั้นซักหน่อย” ถ้ายังกลับมานอนที่บ้านได้แบบนั้นเขาไม่เรียกว่าเมาหรอก ถึงแม้ว่าเมื่อคืนภาพพี่มินที่ออกไปกับคนอื่นจะรบกวนใจแพทมากก็ตามแต่เขาก็ดื่มไปเพียงไม่กี่แก้วเพราะว่าวันนี้ต้องเข้าไปคุยเรื่องโปรเจ็คที่จะส่งเข้าประกวดช่วงปลายปีนี้

โปรเจ็คที่แพทและเพื่อนทุ่มเทกับมันมาเป็นปีด้วยความคาดหวังว่ามันจะนำชื่อเสียงมาสู่คณะและพวกเขา



[T B C]


ไม่แน่ใจเลยค่ะว่าคุณภัทรดนัยเขาเป็นนักศึกษาคณะวิศวะหรือเป็นพ่อค้าขนมครก
หยอดเก๊งเก่ง



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด