“ได้สิ นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว” ใช่ ก็เพราะว่าเป็นนายนั่นแหละไรเกอร์ ฉันถึงได้ไว้ใจที่จะถามคำถามนี้..
“คือ.. ฉันกับเหล้ารัมเราตกลงทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกัน ฉันก็แค่อยากรู้ว่า..”
“อะไรนะ!!?”
แต่ยังไม่ทันจะถามจบ.. อีกฝ่ายก็ทำหน้าตกใจแบบสุดขีด ถึงขั้นถอยหลังไปสองก้าว ราวกับว่าเขาช็อกกับสิ่งที่ผมพูด
“...” ผมที่ไม่รู้ว่าควรจะทำไงต่อดี เลยได้แต่เงียบไป โดยที่ภายในใจก็เริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาแล้ว ว่าความจริงพันธะสัญญาครั้งที่สองอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างที่เหล้ารัมพูดก็ได้ ไม่งั้นไรเกอร์จะตกใจขนาดนี้ทำไม จริงมั้ย?
“ละ..เหล้ารัมทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับนายอย่างงั้นหรอวาฬ!?”
“ใช่ เราทำพันธะสัญญาครั้งที่สองด้วยกัน”
แล้วพอได้ยินผมย้ำให้ฟังอีกครั้ง นายพ่อมดอังกฤษก็ถึงกับสบถออกมา ขะ..เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด.. ดูหายใจหอบถี่เหมือนคนหายใจไม่ทัน แถมยังเริ่มยีหัวตัวเองราวกับคนเสียสติด้วย
“คือฉันแค่อยากรู้ ว่านอกจากเรื่องที่ต้องทำให้ด้ายแห่งพันธะสัญญาทั้งเส้นกลายเป็นสีแดงแล้ว มันยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย ที่จะส่งผลถึงผู้ทำพันธะสัญญา อย่างเช่น..การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำต้องเสียสละอะไรสักอย่างอะไรแบบนั้น?” ทว่าถึงแม้ว่าไรเกอร์จะไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะตอบคำถามก็เถอะ แต่ผมคงจะปล่อยเงียบไม่ได้อีกต่อไป เพราะยังไงซะเขาก็ได้รู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้แล้ว ผมก็ควรจะได้รู้ในสิ่งที่ผมอยากรู้เสียที
“แล้วเหล้ารัมบอกอะไรกับนายบ้าง?” นั่นเลยทำให้อีกฝ่ายถามคำถามกลับมา ก่อนจะพยายามสูดหายใจเข้าออกให้ลึก เหมือนต้องการควบคุมให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ซึ่งผมก็โอเคกับการที่จะให้เวลาไรเกอร์.. “เขาก็บอกแค่ว่าพันธะสัญญาครั้งที่สองจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทั้งฉันและเขามีความรักให้แก่กัน และนั่นก็จะทำให้คำสาปไม่สามารถเอาชีวิตของฉันไปได้” ก็เลยเป็นฝ่ายตอบคำถามก่อน “ซึ่งฉันรู้สึกจริงๆ ว่ามันยังไม่จบง่ายๆ แค่นั้น มันยังต้องมีอย่างอื่นอีกที่ฉันยังไม่รู้ ก็เลยตัดสินใจถามเหล้ารัมออกไปตรงๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดันบอกว่ายังไม่ถึงเวลาซะอย่างงั้น ซึ่งมันไม่แฟร์เลยสักนิดไรเกอร์ ทั้งที่ฉันกับเขาต่างฝ่ายต่างก็ทำพันธะสัญญากันทั้งคู่ แล้วทำไมเหล้ารัมถึงได้เป็นฝ่ายที่รู้มากกว่าล่ะ?” ..เพื่อหวังว่าจะได้รับคำตอบในส่วนของเขากลับมาเช่นกัน
“เอ่อ..” แต่ในทันทีที่ฟังผมพูดจนจบ ความตกใจของไรเกอร์ก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าของความลำบากใจ ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
“ขอร้องล่ะนะไรเกอร์ นายช่วยบอกฉันทีเถอะ อย่าปล่อยให้ฉันทนอยู่กับความสงสัยอีกต่อไปเลย” ผมเลยต้องขอร้องจากใจ เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนมากขึ้น
ทว่า.. “ขอโทษนะวาฬ แต่ฉันบอกนายไม่ได้ เรื่องนี้น่ะ เหล้ารัมจะต้องเป็นคนบอกนายด้วยตัวของเขาเอง” คำตอบที่ได้รับ กลับไม่ใช่อะไรที่ผมหวังไว้
“ทำไมล่ะไรเกอร์ ทำไมนายถึงบอกฉันไม่ได้ นี่เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ”
“ใช่วาฬ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่นายก็ต้องเข้าใจนะ ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายเรื่องของใครทั้งนั้น ถ้านายอยากรู้ นายก็ต้องถามเขา จะมาแอบถามฉันแบบนี้ไม่ได้”
“ก็ฉันถามเขาแล้ว แต่เขาไม่ยอมตอบนี่ จะให้ฉันทำยังไงเล่า”
“ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ เพราะการที่เขาไม่ยอมบอก ก็แสดงว่าเขายังไม่อยากให้รู้ มันก็คือแค่นั้น”
“โอ๊ยยยย! แต่ฉันอยากรู้นี่ไรเกอร์ ได้ยินมั้ย ฉันอยากรู้!” ผมถึงขั้นทึ้งหัวตัวเองต่อหน้าไรเกอร์ เมื่อรู้สึกว่าคำตอบของเขามันช่างขัดใจผมเหลือเกิน “ฮึก.. มันอึดอัดนะไรเกอร์ ที่ฉันไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่เขาอาจจะกำลังเสียสละอะไรเพื่อฉันอยู่ก็ได้ ฮึก.. และยิ่งฉันคิด.. มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น.. ทั้งที่เรื่องจริงแล้ว มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลยก็ได้ ฮึก.. นายเข้าใจฉันมั้ย?” ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกที่อกของผมด้วย.. ถึงจะแค่น้ำตาคลอๆ ก็เถอะ แต่มันก็ทำให้ใจผมแกว่งไปเลยเหมือนกันนะ..
“นี่วาฬ” ขณะที่ไรเกอร์เองก็ดูจะเสียงอ่อนลงเมื่อผมเป็นแบบนี้.. ก่อนที่เขาจะค่อยๆ คว้ามือทั้งสองข้างที่ผมใช้ทึ้งหัวตัวเองอยู่ออก แล้วพูดต่อ “ฉันเข้าใจนายนะ แต่นายเองก็ต้องเข้าใจคนของนายด้วย ว่าเหล้ารัมก็คงจะมีเหตุผลบางอย่างที่ยังไม่อยากให้นายรู้เรื่องนี้ในตอนนี้”
“แต่ว่า..”
“และเท่าที่ฉันเห็น เหล้ารัมเองก็ทำเพื่อนายหลายต่อหลายอย่าง เปิดศึกกับคนทั้งตระกูลอลิชาเพื่อนายก็เคยมาแล้ว แล้วกับการที่แค่อดทนรอเพื่อให้ถึงวันที่เขาพร้อมจะบอกนายแค่เนี้ย นายทำเพื่อเขาไม่ได้หรือไงกัน?”
“...”
นั่นสิ... ผมถึงกับสะอึกไปเลยเมื่อเจอไรเกอร์พูดแบบนี้...
ถึงแม้ว่าจริงอยู่ที่ผมสมควรจะได้รู้รายละเอียดของพันธะสัญญาครั้งที่สอง อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง แต่ในบางครั้ง..กับเรื่องบางเรื่อง ก็จำจะต้องให้เวลากับมัน.. ซึ่งเหล้ารัมเองก็คงจะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าควรจะบอกผมตอนไหนดี เพราะว่าเขาก็ไม่ได้มีเจตนาตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ตลอดไป เพียงแต่ขอให้ถึง ‘เวลาที่เหมาะสม’ เท่านั้น
เฮ้ออออ แต่ว่าผมเนี่ยสิ กลับขาดสติ.. ปล่อยอารมณ์และความอยากรู้อยากเห็นเข้าครอบงำ จนก่อเกิดเป็นความทุกข์แบบนี้ ทั้งที่ก็เคยได้ยินคนเขาพูดกัน ว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก แล้วผมก็เคยเห็นจริงตามนั้นด้วย แล้วนี่อะไร? พอไม่ได้อย่างที่หวังก็โวยวาย ทึ้งหัวตัวเองยังกับคนบ้า แถมยังทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างไรเกอร์ต้องมาร่วมลำบากใจในเรื่องนี้อีก
แล้วที่แย่ที่สุดคือ ตั้งแต่รู้จักกับเหล้ารัมมา เขาเคยเรียกร้องอะไรผมบ้าง? ก็มีแต่แค่ขอให้ปิดเรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองไว้ แล้วก็อดทนรอจนกว่าวันที่เขาจะพูดเรื่องนี้ได้ แต่กับผม..คนที่ได้รับทุกอย่างจากนายพ่อมดเหล้า โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอ ทำไมถึงได้..ยอมผิดสัจจะวาจาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นแบบนี้..
ผมนี่มัน..ทำตัวแย่ๆ อีกแล้ว..
นี่ดีนะว่าอย่างน้อยก็ยังมีหัวคิด เลือกคนถามได้ถูกคน ถึงได้มาเจอกับคนไว้ใจได้อย่างไรเกอร์ที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แถมยังพูดจาเตือนสติให้คิดได้ด้วย ไม่อย่างงั้นล่ะก็..อาจจะไม่เหลืออะไรดีเลยก็ได้..
“ถูกของนาย” ผมเริ่มใจเย็นลง รู้สึกว่าตัวเองมีสติมากขึ้น “ฉันนี่มัน.. งี่เง่าจริงๆ เลยเนอะ” แต่ก็ยังไม่วายกล่าวโทษตัวเองด้วยน่ะนะ
“ไม่หรอกน่า คนเรามันก็ต้องมีโมเมนต์แบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นนั่นแหละ ขอแค่เพียงนายเข้าใจมัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น : )” ไรเกอร์เลยปลอบใจผมด้วยรอยยิ้มและสีหน้าแบบที่ ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจผมจริงๆ
ผมเลยส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้เขา แทนคำขอบคุณในสิ่งดีๆ ที่ไรเกอร์พูดออกมา
แล้วหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ายึดพื้นที่.. เมื่อทั้งผมและไรเกอร์ต่างพากันมองออกไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า โดยที่ตัวผมนั้นเลือกจับจุดโฟกัสอยู่ตรงเส้นตัดขอบของผืนน้ำและผืนฟ้า ที่ไม่น่าเชื่อว่า..จะมีจุดที่ทั้งสองสิ่งสามารถมาบรรจบกันได้อย่างสวยงามเช่นนี้
แต่ถึงแม้ภาพตรงหน้าจะสวยงามชวนฝันสักแค่ไหน ถ้าพอคนมันมีเรื่องที่รู้สึกไม่สบายใจมากๆ มันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะขอถามไรเกอร์อีกสักครั้ง เพื่อหวังว่าอย่างน้อยที่สุด..คำตอบของอีกฝ่ายจะช่วยชะล้างสิ่งที่อยู่ในใจผมให้เบาบางลงได้..
“นี่ไรเกอร์” ผมหันหาเขา ก่อนที่เขาจะหันมา “ฉันรู้นะว่านายไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว แต่ฉันขอถามอะไรนายอีกสักอย่าง เพื่อความสบายใจของฉันจะได้มั้ย?”
“...” ไรเกอร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาในทันที แต่เขาเลือกที่จะถอนหายใจออกมาเสียยืดยาวเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะยอมตอบกลับมา “ว่ามาสิ แต่ฉันไม่รับปากนะ ว่าจะสามารถตอบได้”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเริ่มถาม “มันเลวร้ายมากรึเปล่าไรเกอร์? เรื่องที่เหล้ารัมยังไม่ยอมบอกเกี่ยวกับพันธะสัญญาครั้งที่สองน่ะ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากมั้ย?”
ผมรู้นะว่าสิ่งที่ผมถามออกไปก็ไม่ต่างอะไรจากการวนเทปเพื่อฟังซ้ำ แต่ผมก็ยังอยากจะรู้อยู่ดีว่า ‘เรื่องนั้น’ ที่เหล้ารัมขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วจะบอก มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากหรือไม่? เพื่อที่อย่างว่าน้อยๆ..ผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วจริงๆ
ตึกตัก ตึกตัก
“...” แต่แล้วหัวใจของผมก็เป็นอันต้องกระตุกวูบ เมื่อไรเกอร์ไม่ได้กล่าวคำปฏิเสธออกมาอย่างที่คาด “มันไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่นายคิดหรอกวาฬ” ก่อนจะเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อส่ายหน้า โดยที่มุมปากยังคงหยักยิ้มอ่อนโยน “พันธะสัญญาครั้งที่สองน่ะ มีชื่อเรื่องอีกอย่างว่า ‘พันธะสัญญาหัวใจ’ จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยความรักจากทั้งสองฝ่ายเป็นตัวทำสัญญาเท่านั้น แล้วในเมื่อมันเกิดขึ้นจากความรัก มันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปได้ยังไง จริงมั้ย?”
จริงด้วย.. ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรัก แล้วมันจะเป็นเรื่องไม่ดีไปได้ยังไงกัน?
“จริงด้วย : )” ซึ่งพอได้ยินแบบนี้แล้ว ผมก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้นกับคำตอบของไรเกอร์
ก็เลยทำให้ภายหลังจากนั้น หัวข้อสนทนาที่เคยตึงเครียดก็เปลี่ยนแปลงไปในทางสัพเพเหระมากขึ้น ก่อนที่ผมจะเริ่มเป็นฝ่ายชวนไรเกอร์เดินกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าแสงแดดยามบ่ายรุนแรงเกินกว่าที่จะยืนกันอยู่ตรงริมทะเลสาบได้อีกต่อไป
เอาจริงๆ ผมตั้งใจว่าจะชวนไรเกอร์อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันวันนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า..
“ก็อยากอยู่กินฝีมือนายนะ แต่คงจะไม่ได้ พอดีเย็นนี้ฉันนัดกับเบลไว้น่ะ นี่ก็ว่าจะกลับละ”
..ไรเกอร์ดันมีนัดอยู่แล้ว แล้วนัดที่ว่านั่นก็ทำเอาผมเผลอแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า จนอีกฝ่ายที่คงจะเข้าใจอาการของผมดี ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆ~ อะไรกัน อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“โทษที ฉันก็แค่..ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายถึงยังทนอยู่กับคนนิสัยเสียอย่างพี่เบลได้ ทั้งๆ ที่หล่อนเองก็พ้นคำสาปไปตั้งนานแล้ว”
“...” ยอมรับเลยว่าคำว่า ‘รัก’ ของไรเกอร์ที่มีต่อพี่เบลทำให้ผมประหลาดใจ
แต่นายพ่อมดอังกฤษเองก็ดูจะไม่ถือสากับอาการนั้น “ฉันรู้นะ ว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ว่า..ฉันก็รักผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนั้นจริงๆ นั่นแหละ” เพราะขนาดเขาเองก็ยังยอมรับเลยว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?” ผมก็เลยอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติม
“อือ.. คงเพราะ.. ความผูกพันที่เราสองคนอยู่ด้วยกันมานานมั้ง แล้วก็.. ถึงแม้ว่าเบลเค้าอาจจะร้ายกับใครหลายคน โดยเฉพาะนาย” ใช่ ร้ายถึงร้ายมากที่สุด “แต่กับเวลาที่เธออยู่กับฉัน เบลกลับดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนนึงจะดีได้ ซึ่งฉันชอบแบบนี้วาฬ เพราะฉันไม่ต้องการคนที่ดีกับทุกคนบนโลก แค่ต้องการคนที่ดีกับฉันคนเดียวก็พอ : )”
นั่นสินะ.. เราจะต้องการคนที่ดีกับคนทั้งโลกไปทำไมกัน ถ้าสุดท้ายแล้ว..เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเราต่างไปจากที่ให้กับคนอื่นเลย?
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ” ผมยิ้ม
“จริงดิ?” แต่ไรเกอร์ทำหน้าประหลาดใจ
นี่เขาคงไม่คิดซินะว่าผมจะเข้าใจกับอะไรที่มี ‘พี่เบล’เข้ามาเกี่ยวข้องได้ง่ายแบบนี้น่ะ
แต่ก็นั่นแหละ “บอกว่าเข้าใจก็คือเข้าใจไง” ผมคิดว่าผมเข้าใจตามที่ได้พูดออกไปจริงๆ
“โอเค” ซึ่งพอไรเกอร์เห็นว่าผมไม่พูดอะไรต่อแล้ว ก็ถึงนาทีที่ต้องบอกลา “งั้นฉันกลับก่อนนะ” เมื่อเราเดินกันมาจนถึงหน้าบ้านตามที่ตั้งใจไว้
“ได้ ไว้เจอกันที่บ้านนะ” ผมเลยโบกมือลาอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่ายังไงเดี๋ยวเราก็คงจะได้เจอกันอีกในไม่ช้านี้
แต่แทนที่ไรเกอร์จะโบกมือลาตอบกลับมาอย่างที่ผมคิด เขากลับก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้ว่า.. “นี่วาฬ ฉันไม่รู้นะว่านายจะรับรู้ความรู้สึกนี้มั้ย แต่ฉันบอกได้เลย ว่าเหล้ารัมน่ะเขารักนายมากนะ เพราะฉะนั้น..ถ้าวันนึงนายได้รู้ความจริงถึงสิ่งที่นายอยากรู้ จงอย่าต่อต้านเขา แต่จงทำความเข้าใจกับมันให้เร็วที่สุดเท่าที่นายจะทำได้ ตกลงนะ?” ละ..แล้วหายตัวไปต่อหน้าต่อตา!
“...” ไรเกอร์ทำผมอึ้ง.. ยืนอึ้งอยู่พักใหญ่เลยด้วยซ้ำ กว่าที่สติจะเริ่มกลับคืนมา และส่งผลให้สมองมันประมวลผลในสิ่งที่นายพ่อมดอังกฤษพูด
ทำให้วินาทีต่อจากนั้น ผมถึงกับสถบถ้อยคำหยาบคายใส่ดินใส่ฟ้า อยากจะตามไปลากคอนายไรเกอร์กลับมาเพื่อถามทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดแจ้ง
เพราะไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าทำไมหมอนั่น ถึงได้ต้องมาพูดให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ด้วย!!?
* * * * * * *
- Rum’s Part - ทันทีที่ผมเดินทางมาถึงบ้าน ห้องแรกที่ผมตรงขึ้นไปหาอย่างรวดเร็วก็คือห้องทำงานของพี่วิสกี้
แอ๊ดดดดด~
แต่ยังไม่ทันที่จะลงมือเคาะ เจ้าประตูห้องก็เปิดออกเองอัตโนมัติ เผยให้เห็นพี่วิสกี้ที่กำลังง่วงอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน
จนกระทั่งผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั่นแหละ อีกฝ่ายถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมา..
“ลมอะไรหอบนายมาไม่ทราบ?” ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก
ซึ่งไม่ใช่การเริ่มต้นในแบบที่ผมต้องการ เพราะอยากที่จะมาคุยดีๆ กับพี่สาวในวันนี้ ก็เลย..
ฟุ่บ!
..เสกธงขาวขึ้นมาโบกไว้เหนือหัวด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจให้เหมือนกับตอนเด็กๆ เวลาที่เราสองคนทะเลาะกัน แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ ว่าคนๆ นั้นขอยอมแพ้ และขอคุยด้วยอย่างสันติ
“หึ” ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียว เพราะทันทีที่เห็นแบบนั้น พี่สาวผมก็หลุดหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา ถึงแม้ว่าจะแค่เล็กน้อย ไม่เหมือนกับเวลาที่คนอื่นหัวเราะชอบใจก็เถอะ แต่สำหรับพี่วิสกี้..แบบนี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่เลวแล้ว : )
“ผมขอโทษนะพี่ ขอโทษที่พูดจาไม่ดี ขอโทษที่พูดโดยไม่คิดถึงจิตใจของพี่ให้ดีก่อน” ผมเลยเริ่มประโยคแรกด้วยสิ่งที่ยังคงรู้สึกติดค้าง ที่กล้าถามออกไปโดยไม่คิด ว่าจะเชื่อใจพี่วิสกี้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่เธอก็คือคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่แท้ๆ
และเพราะคำขอโทษจากปากผมนั่นเอง ที่ทำให้พี่วิสกี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินอ้อมมายังหน้าโต๊ะทำงานเพื่อยืนเท้ามันเอาไว้แทน ผมถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าวันนี้พี่สาวของผมนั้นอยู่ในเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำกับกางขาเอวสูงขาสั้นที่เผยช่วงขายาว อันเป็นลักษณะเด่นของคนในครอบครัว
“เอาเถอะ พี่ยกโทษให้” ก่อนเจ้าหล่อนจะยักไหล่อย่างไม่ถือสาอะไร
“ขอบคุณนะครับพี่” เลยทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างมากกับความรู้สึกผิดที่ติดค้างในใจมานานเกือบสองอาทิตย์
“ว่าแต่นายเถอะ หวังว่าคงจะไม่ได้แค่มาขอโทษพี่ แล้วก็กลับไปหาคนรักของนายทันทีหรอกนะ”
คราวนี้ก็เลยกลายเป็นฝ่ายผมที่หลุดหัวเราะออกมาบ้าง เพราะถึงแม้พี่สาวผมจะวางหน้านิ่ง แต่ผมเองก็จับได้จากในน้ำเสียงนะ ว่าพี่วิสกี้มีความน้อยใจอยู่ไม่น้อย เรื่องที่ผมให้ความสำคัญกับวาฬมากกว่าน่ะ : )
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับพี่ ผมก็ต้องมีเรื่องอื่นมาคุยกับพี่นอกจากเรื่องขอโทษอยู่แล้ว” ผมเสกธงให้หายไป ก่อนจะผายมือไปยังโต๊ะมุมข้างหน้าต่าง.. “แต่ว่าก่อนอื่น ผมว่านั่งกันก่อนดีกว่ามั้ยครับ เผื่อว่าจะต้องคุยกันยาว : )” ..เพื่อชักชวนให้พี่วิสกี้นั่ง
“ก็ได้ เอาสิ” ซึ่งพี่วิสกี้ก็เห็นด้วย เราสองคนพี่น้องก็เลยพากันไปนั่งยังจุดที่ตกลงกันไว้
อือ.. จะว่าไปแล้ว บรรยากาศในห้องนี้ก็ยังคงความเก่าแก่ไม่ต่างจากสมัยรุ่นพ่อเลยนะ เพียงแต่ว่าพอมันตกมาอยู่ในมือของพี่วิสกี้แล้ว ก็ดูจะเพิ่มความสวยงามและกลิ่นอายของความเป็นสตรีชั้นสูงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าของห้องจะใส่แค่เสื้อคอเต่ากับกางเกงเอวสูงก็ตาม
“ว่าไงล่ะ นายมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ พี่รอฟังอยู่” พอต่างฝ่ายต่างนั่งลงคนละฝั่งเป็นที่เรียบร้อนแล้ว พี่วิสกี้ก็เริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
ผมก็เลยไม่รอช้า “ผมตัดสินใจรับข้อเสนอของพี่ครับ” ยิงตรงเข้าประเด็นทันที
จนพี่วิสกี้ที่จากตอนแรกกำลังกอดอกเพื่อรอฟังนิ่งๆ ถึงกับแสดงอาการตกใจออกมาให้ผมได้เห็นเป็นบุญตา แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น.. ก่อนที่พี่สาวผมจะกลับมาว่างหน้านิ่ง โดยที่เธอคงจะไม่รู้ตัวเลยว่า ว่างหน้านิ่งไปก็เท่านั้น ในเมื่อตาสีม่วงเข้มส่องประกายความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
“เพราะวาฬสินะ ถึงทำให้นายยอมรับข้อเสนอได้ง่ายขนาดนี้เนี่ย”
“ก็มีส่วนครับ แต่เอาเข้าจริง หลายวันมานี้ผมก็คิดนะ ว่าถึงเวลาที่ควรจะแบ่งเบาภาระให้พี่ได้แล้ว”
ประกายตาของพี่วิสกี้ดูจะมีความสุขขึ้นกว่าตอนแรก “เพิ่งจะคิดได้หรอยะ” แต่ก็ยังไม่วายเหน็บแนมเข้าให้
ผมเลยต้องรีบงัดสิ่งที่เคยพูดในอดีตออกมา ไม่อย่างงั้นอาจจะโดนเหน็บต่ออีกชุดใหญ่ก็เป็นได้ “ก็ผมเคยบอกพี่เมื่อนานมาแล้วไง ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ผมได้พบเจอคนที่ผมรัก ผมก็จะกลับช่วยพี่ ซึ่งนี่ก็ถือว่าผมทำตามสัญญา : )”
แต่แทนที่ผมจะได้เห็นประกายความสุขในตาของพี่วิสกี้ต่อ กลับกลายเป็นว่านัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีดำเวิ้งว้าง..คล้ายจักรวาลที่ไร้ซึ่งหมู่ดาว.. ก่อนที่จะเริ่มพูด..
“เอาจริงๆ พี่ดีใจนะเหล้ารัม ที่นายยอมตัดสินใจมารับตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อจากพี่ แต่บอกตรงๆ เลย ว่าพี่เอง..ก็กำลังกังวลใจเรื่องคนรักของนายมากเหมือนกัน..”
“ทำไมล่ะพี่?” ผมขมวดคิ้วมุ่น เพราะนึกว่าเรื่องวาฬจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว หากผมยอมรับข้อเสนอของพี่วิสกี้ “เพราะว่าวาฬเป็นมนุษย์อย่างงั้นหรอ? หรือเพราะว่าวาฬเป็นผู้ชาย?”
“อันที่จริงเรื่องที่นายพูดมาก็มีส่วนนะ แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นประเด็นที่น่ากังวลเท่าไหร่นัก”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ สิ่งที่พี่กำลังกังวลน่ะ?”
“ก็เรื่องที่..คนรักของนายกำลังจะตายไง”
“...”
ผมถึงกับกลายเป็นพ่อมดใบ้.. เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตาย’ จากปากของพี่วิสกี้ ในเมื่อ..ผมลืมไปซะสนิทเลย ว่าสำหรับคนที่ยังไม่ได้รู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองอย่างพี่สาวผม ก็ต้องกังวลกับเรื่องการตายของคนที่ผมรักมาเป็นอันดับต้นๆ อยู่แล้ว
โดยที่พี่วิสกี้ไม่ได้รู้เลยสักนิด ว่าผมได้ทำอะไรลงไปเพื่อช่วยให้วาฬรอด
ผมถึงได้ไม่มีความคิดเรื่อง ‘วาฬตาย’ อยู่ในหัวตอนนี้เลยไง
“ไอ้เรื่องที่จะให้พี่ยอมรับความสัมพันธ์ของนายกับวาฬ พี่ยังพอจะทำใจได้ เพราะถึงจะเป็นมนุษย์ที่พี่เกลียดแสนเกลียด แต่เท่าที่พี่เฝ้าสืบประวัติมา คนรักของนายก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถือว่าเป็นมนุษย์ที่ดีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพี่คิดว่าน่าจะอยู่ร่วมกันได้ ส่วนเรื่องที่หมอนั่นเป็นผู้ชาย เดี๋ยวนี้พ่อมดเกย์ก็มีออกเยอะแยะ ไว้แต่งงานกันเมื่อไหร่ ค่อยคิดเรื่องหาวิธีทำลูกก็ยังไม่สาย แต่กับเรื่องของคำสาป.. มันเป็นอะไรที่ต่างออกไปมาก ในเมื่อพี่เองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะสามารถหาตัวคู่พันธะสัญญาคนแรกของวาฬได้มั้ย คือ..ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เก่งนะ แต่นายเองก็คงจะรู้ว่าเวลามันล่วงเลยมานานมากแล้ว นายพ่อมดนั่นอาจจะตาย หรือไม่ก็คงจะหนีไปโลกอื่นแล้วด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้..เราจะช่วยให้คนรักของนายไม่ตายได้ยังไง พี่ยังคิดวิธีที่ดีไม่ออกเลยจริงๆ โดยที่ไม่ต้องให้นายไปเสียสละทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับวาฬน่ะ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่พี่ไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่”
“...” แล้วพี่วิสกี้ก็ทำให้ผมถึงกับสะอึกจนแทบจะพูดไม่ออกอีกแล้ว.. ทั้งที่ใจนึงมันก็รู้สึกดีใจมากนะ ที่พี่วิสกี้ไม่ได้ต่อต้านเรื่องผมกับวาฬ แถมยังพยายามคิดหาหนทางเพื่อให้คนที่ผมรักมีชีวิตรอด
แต่ไอ้ความรู้สึกผิดเนี่ยสิ ที่มันจุกอกผมซะแน่น.. ในเมื่อผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าได้ลงมือทำในสิ่งที่พี่วิสกี้จะไม่มีวันยอมให้ทำไปแล้ว..
นี่ถ้าพี่วิสกี้รู้ความจริงเข้าล่ะก็ ผมกับเธอคงมองหน้ากันไม่ติดไปอีกนาน
“เอ่อ..” แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อผมเองก็วางแผนเรื่องนี้มานานมากแล้ว เพราะถ้าไม่มีพันธะสัญญาครั้งที่สองล่ะก็..คงต่อยอดไปสู่ความหวังสูงสุดของผมไม่ได้แน่.. “แต่ผมคิดว่ามันยังมีทางอื่นอีกนะพี่ ขึ้นอยู่กับว่า..พี่จะยอมช่วยผมมั้ย”
“ยังไง?” คราวนี้พี่วิสกี้เป็นฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันบ้าง แต่ก็เพียงไม่นานนัก เธอก็เบิกตาโตเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ แล้วรีบปฏิเสธออกมาทันควัน “ไม่มีทางทาง!” ก่อนจะลุกหนีผมไปหยุดยืนอยู่ที่กลางห้อง
ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยสักนิดที่พี่วิสกี้จะปฏิเสธออกมาแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ตามคาดอยู่แล้ว จึงรีบลุกตามไปโน้มน้าวต่ออย่างที่ตั้งใจเอาไว้
“ทำไมล่ะพี่ ถ้าเกิดว่าเราใช้วิธีนี้ นอกจากวาฬจะไม่ตายแล้ว เขาเองก็จะมีอายุไขยืนยาวเหมือนกับพ่อมดแม่มดด้วย พี่ว่ามันไม่ดีหรือไง?”
“ไอ้ดีน่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า...”
“มีอะไรหรอพี่?” ผมมองตามสายตาของพี่สาวตัวเองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าจู่ๆ พี่วิสกี้ก็ก้มลงมองที่มือขวาของผมแล้วหยุดชะงักไป..
ถึงได้เห็นว่า.. ด้ายแห่งพันธะสัญญากำลังปรากฏขึ้น!!?
“นี่มันอะไรกันเหล้ารัม?”
“พี่วิสกี้.. คือ..”
“เดี๋ยว.. นี่อย่าบอกนะว่า.. นายทำพันธะสัญญาคนรั้งที่สองกับนายมนุษย์นั่นน่ะ!!?”
“พี่วิสกี้ พี่ฟังผมก่อนนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมบอกตามตรงว่าผมเตรียมถอยแล้ว เพราะว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงที่แค่การคุยกันดีๆ อย่างแน่นอน
“ไม่! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แต่นายต้องถอนพันธะสัญญาเดี๋ยวนี้เหล้ารัม นายก็รู้ผลของมันดีนี่!”
“ใจเย็นก่อนพี่ ฟังผมอธิบาย...”
เพล้งงงง!
ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยคดี พี่วิสกี้ก็ซัดพลังเวทใส่ผมแล้ว นี่ดีนะที่ผมมีสติพอที่จะตั้งรับไว้ได้ เลยโยนออกไปทางหน้าต่าง จนกระจกแตกออกเป็นชิ้นๆ.. เพราะถ้าหากตั้งรับเอาไว้ไม่ได้ล่ะก็ พี่วิสกี้คงจับตัวผมเอาไว้ได้แล้ว!
“ฉันบอกให้ถอนพันธะสัญญาเดี๋ยวนี้!”
“พี่วิสกี้..”
แล้วบทจะหายตัวออกไปจากห้องนี้ก็ไม่ได้ด้วย เพราะคฤหาสน์ทั้งหลังถูกปกป้องด้วยเวทมนตร์อันเก่าแก่ ดังนั้นทางที่จะไปจากที่นี่ได้ก็ดีที่สุดคงจะเป็น..
ปึ้ง!
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
“…” ผมอึ้งเลยที่พี่วิสกี้อ่านเกมออกว่าผมจะหนีออกไปทางหน้าต่างที่แตกแล้ว เธอก็เลยเสกแผ่นเหล็กมาปิดทับเอาไว้ ทำให้ตอนนี้คงจะเหลืออยู่แค่ทางเดียวเท่านั้น..
..นั่นคือประตู!
ตู้มมมมม!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเหล้ารัม!”
ยอมรับว่าพี่วิสกี้เดาทางผมได้เก่งมาก เพราะพอผมคิดถึงประตู พี่สาวผมก็เสกเวทมนตร์ตรงไปยังประตูแล้ว
แต่นับว่าครั้งนี้โชคดีที่ผมไวกว่า เสกคาถานำหน้าไประเบิดประตูออกเป็นชิ้นๆ ได้ ถึงได้มีโอกาสกลายร่างเป็นกระทิงคลั่ง แล้ววิ่งหนีด้วยความเร็วออกจากห้องทำงานมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเหล้ารัม! นี่ ใครก็ได้ จับน้องชายฉันไว้!!”
ซึ่งสาเหตุที่ผมตัดสินใจกลายร่างเป็นกระทิงก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะว่าผมรู้อยู่แล้วว่าพี่วิสกี้จะต้องสั่งลูกน้องให้มาสกัดเอาไว้แน่ ผมก็เลย..
“หยุดก่อนครับคุณเหล้า.. อ๊ากกกก!”
“อย่านะครับคุณเหล้ารัม.. อ๊ากกกก!”
“คุณ.. อ๊ากกกกกก!”
..ขวิดแม่งให้หมดเลย!!
สมน้ำหน้า อยากขวางดีนัก ไม่รู้หรือไงว่าคนกำลังรีบออกจากที่นี่ด้วยความร้อนใจมากแค่ไหน เพราะถ้าลองด้ายแห่งพันธะสัญญาปรากฏขึ้นแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนใช้เวทมนตร์กับวาฬแน่!
“แม่งเอ๊ย!!!” ความคิดเรื่องวาฬกำลังตกอยู่ในอันตราย เผลอทำให้สบถออกมาอย่างลืมตัว จนกระทั่งพบเจอกับประตูทางออกที่ถูกยืนกั้นด้วยสมุนของพี่วิสกี้
ดี! แบบนี้จะได้เร่งฝีเท้าให้มากขึ้น และ..
ตู้มมมมมมมมม!!
“อ๊ากกกกกกกกกก!!!”
..ขวิดชนคนจนสามารถทะลุประตูออกมาจากคฤหาสน์ได้เป็นผลสำเร็จ เยส!
ทว่า.. ในขณะที่คืนร่างและกำลังจะหายตัวอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของพี่วิสกี้ดังไล่หลังมา..
“ฉันจะไม่ยอมให้พวกนายทำพันธสัญญาสำเร็จแน่!!!”
ฟังคล้ายกับว่า.. ต้องการจะประกาศศึกกับผมอย่างเป็นทางการ!
/ ต่อด้านล่าง /