ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
ตอนที่ 38
ต้นสนพลาสติกถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บของอีกครั้งเมื่อคริสต์มาสกำลังจะมาถึง โชคแขวนของประดับพร้อมพันสายไฟตามกิ่งก้านอย่างช่ำชองอยู่ที่มุมประจำข้างชั้นวางทีวี โดยมีมะลินอนเลียอุ้งเท้าอยู่ไม่ห่าง ท่ามกลางกองสายรุ้งหลากสี คอยก่อกวนไล่ตะปบเส้นของตกแต่งเวลาที่ชายหนุ่มหยิบจับขึ้นมา
ภาพบรรยากาศแสนคุ้นเคย แต่กลับห่างไกล
แก้วคว้าซองบุหรี่กับไฟแช็กแล้วลุกเดินออกไปนอกบ้าน จุดไฟที่ปลายมวนกระดาษแล้วสูดควันเข้าปอดอยู่บนขั้นบันไดเฉลียง ลมหนาวพัดมาไล้ผิว เขาไม่ได้สวมเสื้อคลุมออกมา ถึงรับรู้ได้ว่ามันหนาวเย็น... เสียจนรู้สึกอ้างว้าง
‘ถ้าเลิกรักอาธีร์ไม่ได้... น้าแก้วเลิกกับผมก็ได้นะครับ’
‘เธออยากเลิกเหรอ’
‘ไม่ครับ ...น้าแก้วล่ะ’
‘ฉันก็ไม่’
‘งั้น... เลิกติดต่อกับอาธีร์ได้ไหมครับ’ ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วหลังจากวันนั้น ที่แก้วเงียบงันไม่ตอบรับคำขอ กับโชคที่ค่อยๆ ผละจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เสียงบานประตูที่ปิดลงพร้อมกับหัวใจปริแตก
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกห้องนอน...
“น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันไปหาต้นเสียง โชคเดินออกมาพร้อมเสื้อคลุมตัวอุ่นที่วางลงบนไหลชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล ก่อนจะกลับเข้าบ้านไปเก็บของตกแต่งส่วนเกินใส่ลังเตรียมยกไปเก็บ
“โชค” แก้วเรียกรั้ง พ่นควันฝาดเฝื่อนเหมือนความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในหัวใจ รอคอยให้ดวงตาคู่สวยหันมาตอกย้ำให้รสขมจัดเข้มข้นชัดขึ้นไปอีก “ขอบใจ”
“ครับ”
ถึงแม้จะไม่ได้เลิกกัน แต่ความสัมพันธ์กลับห่างเหินเกินกว่าจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนในวันวาน
ค่ำคืนก่อนวันคริสต์มาส กิจกรรมหนังรอบดึกยังคงมีอยู่ คนสองคนในบ้านนั่งอยู่คนละฝั่งโซฟา ใต้ผ้าห่มคนละผืน ถูกคั่นด้วยมะลิที่กำลังท้องนอนม้วนขดตัวอยู่ตรงกลาง จนกระทั่งเลยเที่ยงคืนไปเกือบรอบ โทรทัศน์จึงถูกปิดลงเมื่อถึงเวลาเข้านอน
แก้วขึ้นไปก่อนแล้ว ส่วนโชคอุ้มแม่แมวไปส่งถึงที่นอนใต้บันได ลูบขนอุ่นนุ่มเป็นการบอกราตรีสวัสดิ์แล้วจึงค่อยขึ้นบ้านไปบ้าง
“น้าแก้ว” โชคเรียกคนที่ยืนอยู่ข้างบานหน้าต่างสุดทางเดินที่เปิดกว้าง ลมหนาวกลางดึกหอบเอากลิ่นดอกไม้อ่อนจางเข้ามาด้วย
คนข้างหน้าต่างไม่ได้พูดอะไร แค่รอให้โชคเดินเข้าไปหา ก่อนฝังผิวแก้มเย็นเฉียบลงข้างคอชายหนุ่ม โอบกอดแนบแน่นจนรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ปิดหน้าต่างไหมครับ” โชคยกแขนกอดตอบ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปดึงบานไม้พับเข้ามาหวังจะกันลมหนาว เพิ่งปิดไปได้ฝั่งเดียวก็ถูกคนในอ้อมกอดจู่โจมด้วยจูบวาบหวาม
ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนหนุ่มไฟติด แก้วรู้เสมอว่าต้องเร้าอารมณ์อีกฝ่ายอย่างไร พวกเขาจูบกัน สัมผัสลูบไล้เรือนกายผ่านเนื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อนผละออกห่างทั้งที่ร่างกายยังเหนี่ยวรั้งกันเอาไว้
“ทำต่อได้ไหมครับ” โชคเอ่ยถาม และแก้วพยักหน้า เขาเตรียมตัวมาแล้วสำหรับคืนนี้ ...คืนที่ไม่อยากอยู่คนเดียวบนเตียงโล่งว่างที่กว้างเกินกว่าที่เขาเคยจดจำได้
โชคอยู่กับแก้วจนฟ้าสว่าง หลังจากการร่วมสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้ง เขาก็ยังอยู่บนเตียงของแก้ว นอนหลับไปเคียงข้างกัน แต่ไม่ได้โอบกอดร่างเปลือยเปล่าที่อุ่นร้อนแม้ปลายเท้าเย็นเฉียบเอาไว้แนบอกเหมือนกับทุกที
ระยะห่างเพียงแค่พลิกตัวไปถึงกลับรู้สึกห่างไกล ราวกับว่าเตียงของเขามันกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ...ว่างเปล่าเสียยิ่งกว่าคืนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง
เป็นครั้งแรกที่แก้วรู้สึกอยากกรีดร้องโวยวายใส่ใครสักคน ใครสักคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเช่นนั้น
เขาโตเกินกว่าจะเรียกร้องความรัก... ความรักที่เขาให้กลับไปอย่างเท่าเทียมกันไม่ได้ตั้งแต่แรก
ชายวัยสี่สิบห้าพลิกตัวตะแคงอีกฝั่ง หลับตาลงแล้วจมลงไปในความเหน็บหนาว สั่นสะท้านจนรู้สึกถึงรสเค็มปร่า
กาลเวลาทำให้คนเปราะบาง ดูท่าว่าคำนั้นจะเป็นเรื่องจริง
พลุไฟเบ่งบานย้อมราตรีกาลให้สว่างไสว แต่หน้าบ้านไม้สีขาวกลับหม่นครึ้มด้วยม่านความรู้สึกสีเทา
แก้วสูบบุหรี่ มองท้องฟ้าประดับประดาแสงไฟหลากสีด้วยแววตาว่างเปล่า โชคเองก็ไม่ต่างกัน เขายืนอยู่เหนือลมแต่กลับได้กลิ่นขมฝาดเฝื่อน ดอกไม้ไฟตรงหน้าซีดจางไร้สีสัน ทั้งที่ยืนอยู่ข้างกันแต่กลับเอื้อมไปไม่ถึง
...อีกแล้ว
โชคไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย ช่วงเวลาที่เขาคว้ามือคู่นั้นมากอบกุมเอาไว้ไม่ได้ หลังจากที่เขาออกจากห้องไปในเช้าวันนั้น มันก็เหมือนมีกำแพงมากั้นขวางไว้ไม่ให้เขาล่วงล้ำกลับเข้าไปใกล้ชิดกับแก้วได้อีก
แต่ก็ไม่ชอบเลยจริงๆ
“น้าแก้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเรียก เจ้าของดวงตาสีเข้มจึงหันมาสบตา ไอควันลอยออกจากริมฝีปาก พัดพาหายไปกับสายลมเย็นเฉียบ
“ว่าไง”
“ผมรักน้าแก้วนะ รักเหมือนเดิม”
“ฉันก็รักเธอ โชค”
จูบขมปร่าของใบยาสูบมอดไหม้ ช่วยเยียวยาหัวใจแห้งแล้งให้ชุ่มชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
พวกเขาอยู่รับเช้าแรกของปีด้วยกันในห้องนั่งเล่น อิงซบกันอยู่บนโซฟา แผ่นหลังแนบชิดกับแผ่นอก โชคกอดแก้วไว้ขณะที่ไล้มือไปตามข้อนิ้วของคนในอ้อมแขน กดจูบลงบนกลุ่มผมยาวระท้ายทอยซ้ำๆ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอของเจ้าตัว...
จนแสงสีทองยามเช้าสาดส่องเข้ามา อาบไล้ให้อุ่นจนเริ่มร้อน เสียงบอกราตรีสวัสดิ์จึงดังขึ้น บนโถงทางเดินหน้าห้องนอนที่ต่างคนต่างแยกกันเข้าไป
นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในช่วงชั้นปีที่สาม เปิดฉากชีวิตเทอมสองอย่างวุ่นวายด้วยงานท้วมท้นตั้งแต่ต้นภาคเรียน โชคกลับถึงบ้านค่ำ บางวันก็พลาดมื้อเย็น ไหนจะการหมกตัวทำงานโต้รุ่งจนเวลากินนอนผิดเพี้ยน คาบเรียนในแต่ละวันก็เวลาไม่ตรงกัน ทำให้การได้เจอหน้าแก้วที่กิจวัตรประจำวันเป็นวงจรนั้นแทบนับครั้งได้ในหนึ่งสัปดาห์
“ยังไม่นอนเหรอครับ” คืนกลางสัปดาห์เวลากว่าห้าทุ่มแล้วโชคเพิ่งถึงบ้าน สภาพดูทรุดโทรมอย่างคนนอนน้อย แก้วที่เคยผ่านมันมาแล้วไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“ยัง มีงานอีกรึเปล่า” ตอบคำพร้อมถามกลับ พลางตบหน้าขาเบาๆ เป็นการสัญญาณเรียก
โชคส่ายหน้าขณะที่เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา ฟุบหน้าลงบนตักน้าแก้วของเขาแล้วผ่อนลมหายใจยาวพรืด
“พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง”
“บ่ายครับ แต่เขายกคลาสเลยว่างทั้งวัน” มือใหญ่ของชายหนุ่มเริ่มขยับเลื่อนไปหลังสะโพกเจ้าของตักที่เขาหนุนนอน พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันมาพักใหญ่แล้ว
“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันมีประชุมตอนเช้า” แก้วตบเบาๆ บนต้นแขนข้างที่กำลังลวนลามตนอยู่เป็นเชิงปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่สภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้ควรไปพัก อีกทั้งร่างกายของเขาเองก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดที่จะทำกิจกรรมบนเตียงแล้วตื่นเช้าอย่างสดใสพร้อมไปทำงานได้เหมือนพวกคนหนุ่มสาว
ค่ำคืนในเดือนมกราของคนทั้งสองจบลงด้วยจูบแผ่วเบาก่อนแยกย้ายกันไปเข้านอน
ปลายเดือนแรกของปีมะลิคลอดลูกอีกครอก แต่เพราะสุขภาพของแม่แมววัยย่างสิบสี่ ลูกในท้องจึงเหลือรอดเพียงตัวเดียว สิ่งมีชีวิตแรกเกิดตัวเล็กจิ๋วสีควันบุหรี่ เจ้าของบ้านทั้งสองจึงตัดสินที่จะเลี้ยงลูกแมวน้อยตัวนั้นเอาไว้ ...และให้ชื่อว่าโมก
หนึ่งในเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเฉลียงไม้หน้าบ้านกับคุณแม่มือฉมังที่ว่างจากการดูแลลูกน้อย โมกลืมตาแล้วเมื่อผ่านไปพ้นสัปดาห์ แต่ยังคงนอนทั้งวันอยู่บนเบาะผ้าใต้บันได
แก้วเอนตัวพิงเสาไม้ ทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์เขาก็ยังไม่ได้เจอหน้าโชคที่ออกไปทำงานกลุ่มตั้งแต่เช้า และกว่าจะกลับมาก็คงดึกดื่น วันหยุดดูไร้ความหมายเมื่อบ้านไม้สีขาวเงียบสงบจนชวนให้รู้สึกเหงาขึ้นมา
ตลอดชีวิตสี่สิบกว่าปีเขาไม่เคยเกลียดความเงียบเลย ไม่เลยจนกระทั่งวันนี้
ชายหนุ่มรุ่นใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมา กดพิมพ์ข้อความส่งไปถามคนรักอ่อนวัยกว่าของเขาว่าจะกลับมาทันกินข้าวเย็นไหม และคำตอบคือ ‘ไม่น่าจะทันนะครับ น้าแก้วกินไปก่อนเลย’
ความรู้สึกหงุดหงิดรบกวนจิตใจ เหมือนกับที่ช่วงนี้เขานอนไม่ค่อยหลับ ตอนแรกแก้วคิดว่าอาจจะเพราะเครียดกับงาน ต่อมาก็คิดได้ว่ากำลังเข้าสู่วัยทอง แต่จนแล้วจนรอดต้นตอความวุ่นวายในจิตใจของเขาก็ชัดเจนเหลือเกินว่ามาจากโชค
หนุ่มวัยทองจุดบุหรี่ พ่นลมหายใจเจือไอควันกรุ่นออกมาก้อนใหญ่ ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันคนใจเย็นอย่างเขาจะกังวลใจด้วยเรื่องแบบนี้ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองในวัยใกล้ห้าสิบปีจะมีคนรักที่เด็กกว่าเกือบเท่าตัวอย่างในตอนนี้...
วันเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คน เช่นเดียวกับที่ความรักทำ
ความสัมพันธ์ระหว่างแก้วกับโชคคงตัวอยู่ในระดับที่เรียกว่าเป็นคนรัก แต่ห่างไกลกับคำว่าคู่ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมา แม้บรรยากาศจะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วงแรกที่ระหองระแหงกันมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีช่องว่างที่ทำให้รู้สึกกลวงเปล่าคั่นกลางอยู่ดี
และช่องว่างนั้นก็ดูจะฉีกถ่างระยะห่างให้มากขึ้นไปอีกในวันนี้
10 กุมภาพันธ์ วันเกิดของธีร์
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มเจิดจ้าไม่ได้โผล่หน้ามาสร้างความลำบากใจ และแก้วก็ไม่ได้ออกไปหาเจ้าตัว มีเพียงแค่โทรศัพท์หนึ่งสายที่แก้วเป็นคนกดโทรออกไป กล่าวคำอวยพรเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา พูดคุยถามไถ่เรื่องราวชีวิตกันเล็กน้อยแล้วก็วางสาย
...ถึงจะเพียงแค่นั้นก็ทำให้โชคไม่พอใจอยู่ดี
หากมองเผินๆ อาจดูขี้หึงและใจแคบ แต่สำหรับโชคแล้วมันมีนัยยะสำคัญอยู่... มันแสดงให้รู้ว่าคำขอของเขาถูกปฏิเสธ
“โชค” แก้วเอ่ยเรียกคนที่กลับมาถึงบ้านพอดีกับที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ สีหน้าเรียบเฉยเดินผ่านเขาไปอย่างไม่คิดทักทาย จัดการเทกับข้าวที่ซื้อกลับมาใส่จานให้เรียบร้อยเสร็จสรรพแต่ไม่คิดจะร่วมโต๊ะด้วย
โทรศัพท์ถูกวางทิ้งส่งๆ ไว้บนโต๊ะข้างที่เขี่ยบุหรี่ ขณะที่แก้วลุกเดินตามมาถึงหน้าบันได คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไร
“...” ในความเงียบงัน ดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันฉายแววแตกต่าง แก้วกระวนกระวาย ส่วนโชคแหลกสลาย
“โชค”
“ครับ”
“ฉันขอโทษ”
ดวงตาคู่สวยปิดลงอย่างข่มความรู้สึกบางอย่าง และพอเปิดขึ้นมาอีกครั้งแก้วก็เข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ถูกปฏิเสธ
“ผมไม่ได้อยากให้น้าแก้วขอโทษ”
เจ็บปวด...
“ผมอยากให้น้าแก้วรักผม... ผมแค่คนเดียว”
จนชาหนึบไปทั้งหัวใจ
สามวันต่อมาคนในบ้านใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว มีเพียงแก้วกระเบื้อง กระปุกกาแฟและโหลน้ำตาล กับกาน้ำร้อนที่เสียบปลั๊กไว้ให้ในวันที่โชคตื่นเช้ากว่า
แก้วชงกาแฟ ด้วยความรู้สึกมากมายที่ลอยวนอยู่เหนือวังน้ำวนที่จมลงสู่ก้นแก้ว ความรู้สึกอยากอาหารที่มีอยู่น้อยนิดลดลงไปอีกแล้ว
วันนั้นทั้งวันเขาไม่ได้แตะอาหารเลยสักมื้อ
พอตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอย่างว่างเปล่าทั้งที่ในหัวเต็มแน่นจนไม่แน่ใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงอย่างเดียวที่รู้แน่ชัดคือมันเป็นเรื่องของโชคเสียส่วนใหญ่
ยามเช้ามาถึงโดยที่แก้วยังไม่ได้หลับ เขาลงจากบ้านมานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เอนลำตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง นานแล้วที่ไม่ได้ทำเช่นนี้ ด้วยเพราะปกติจะมีตัวป่วนมากวนให้เขาต้องสนใจจนไม่มีเวลาได้เหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอยเช่นนี้
รั้วสีขาว สวนสีเขียว ต้นมะม่วง ชิงช้าที่นานๆ ทีจะมีคนใช้งานแต่ยังแข็งแรงอยู่ กับดอกกุหลาบสีแดงเบ่งบานชูช่ออยู่ริมหน้าต่าง...
“น้าแก้ว” เจ้าของต้นกุหลาบลงจากบ้านมาพอดี นั่นเป็นประโยคแรกที่พวกเขาได้คุยกันหลังผ่านมาสามวัน “กาแฟไหมครับ”
“ก็ดี ขอบใจ”
“ครับ”
โชคชงกาแฟออกมาสองแก้ว หนึ่งของเขา และอีกหนึ่งของคนบนโซฟา ทว่ากลับไร้เงาคนที่เคยอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเดาว่าอีกฝ่ายคงออกไปสูบบุหรี่อีกตามเคยเลยวางกาแฟเอาไว้ให้บนโต๊ะข้างที่เขี่ยสีใส ส่วนตัวเองตั้งใจจะรีบดื่มแล้วกลับขึ้นไปเอาเสื้อผ้ามาเตรียมอาบน้ำแล้วออกไปเรียน
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้องนั่งเล่น ไอควันจากกาแฟอุ่นร้อนยังคงลอยเอื่อยขึ้นสูง แก้วก็กลับเข้ามา พร้อมกับดอกกุหลาบสีสดในมือ
ดวงตาสบมองกันอย่างเงียบงัน คนเด็กกว่าเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร
...วาเลนไทน์แห่งความรัก ที่เขาจะส่งดอกไม้ให้กับอีกคนในทุกๆ ปี
ไม่มีคำพูดใด ชายหนุ่มแค่เดินเข้าไปหาความรักของเขา ที่แม้ตอนนี้จะขมฝาด แต่ก็ยังคงเป็นรักไม่เปลี่ยนแปลง ยกแขนโอบรวบตัวเข้ามากอด เกลี่ยปอยผมยาวปรกหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนแนบริมฝีปากลงแผ่วเบา แก้วหลับตารับสัมผัส ซุกซบลงไปบนบ่ากว้างยามเมื่อโชคถอนจูบออกไป
“คืนนี้กลับเร็วหน่อยได้ไหม” ฟังดูคล้ายคำถาม แต่กลับเป็นคำขอ แก้ววิงวอนผ่านแววตาที่ช้อนขึ้นสบ
“ครับ” และโชคไม่ปฏิเสธ... ไม่อาจปฏิเสธ “เย็นนี้กินอะไรดีครับ”
หลังมื้อเย็นที่เงียบงันของคนสองคน โชคเป็นฝ่ายที่ไปอาบน้ำก่อน แล้วขึ้นห้องไปทำงานอยู่นานสองนาน แก้วจึงตามขึ้นมาเคาะประตู หยดน้ำยังคงเกาะตามลำคอที่โผล่พ้นขอบเสื้อยืด เรือนผมชื้นฉ่ำกับไออุ่นร้อนรอบตัว บรรยากาศเชิญชวนทั้งที่หัวใจกลวงเปล่า
โชคตอบรับด้วยร่างกายและความปารถนา บนเตียงกว้างในห้องนอนใหญ่ร้อนแรงแข่งกับเครื่องปรับอากาศ ทุกจังหวะการขยับสอดประสานอย่างคุ้นเคย นำอารมณ์พุ่งทะยานจนเสร็จสม แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอ แม้ตักตวงมากมายเท่าไหร่ก็ไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในอก...
ความร้อน หยาดเหงื่อ ลมหายใจ เสียงหอบคราง
แก้วมองหน้าคนที่ทาบทับอยู่ด้านบน โชคอยู่ในตัวเขา กอดรัดรึงแนบแน่น มอบจูบวาบหวามดูดดื่ม ทั้งที่สัมผัสกันลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งที่ชัดเจนถึงเพียงนี้
...แต่กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งความหมาย
และทั้งที่แสนว่างเปล่า เขากลับหายใจไม่ออก
“โชค” เสียงแหบแห้งกับมือที่ดันอกอีกฝ่ายออกห่าง
“ครับ” เจ้าของชื่อขานรับ ยอมหยุดยั้งทุกอารมณ์ไว้อย่างรอคอย
“เปล่า เปลี่ยนท่าเถอะ” แก้วว่า ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมทับอยู่ข้างบน กดสะโพกลงรับส่วนแข็งขึงเข้ามา เชื่อมโยงหลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ก่อนจะขยับเชื่องช้าราวกับจะยั่วเย้าให้คนใต้ร่างทรมาน
คนโดนปลุกเร้าด้วยจังหวะเนิบช้าหยัดตัวขึ้นรวบตัวคนขี้แกล้ง โอบกอดประคองแผ่นหลังที่สั่นไหวน้อยๆ ไว้ขณะจัดท่าทางให้สะดวกกับการกระแทกสวนขึ้นไปจากเบื้องล่าง แก้วเกยคางบนบ่า โอบแขนยึดรอบลำคอของโชคไว้เมื่อจังหวะการสอดใส่กลายเป็นหนักหน่วง มันไม่ได้รุนแรงจนทำให้เจ็บ โชคยังคงเป็นชายหนุ่มที่ทะนุถนอมอ่อนโยนกับเขาเฉกเช่นวันวาน
กระทั่งความร้อนเดือดพล่านจนปะทุหลั่งออกมาเป็นหยาดหยด โชคทิ้งตัวลงนอนพิงหมอน กำลังจะรั้งตัวคนข้างบนให้ซบลงมา แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อน้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงบนอกเขา ก่อนจะพรั่งพรูตามมาอีกมากมาย
...หยดแล้วหยดเล่า
แก้วร้องไห้ ดวงตาเปียกชุ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสีซีดและมีรอยฟันฝังลึกบ่งบอกว่าพยายามกลั้นเสียงมาเนิ่นนาน
“ฉันขอโทษ” เสียงสั่นเครือแหบพร่าเอื้อนเอ่ย ก่อนสองมือยกจะขึ้นปิดซ่อนใบหน้า ทว่าร่างกายกลับสะท้านไหวตามแรงสะอื้น
“น้าแก้ว...” โชคนิ่งค้าง ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรและยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ แก้วก็ชิงเป็นฝ่ายพูดต่อให้แทนแล้ว
“ฉันไม่ชอบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้” แก้วสูดลมหายใจเข้าลึก ปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามจัดการกับจังหวะการหายใจของตัวเองเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ฉันขอโทษ... เรื่องธีร์ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำยังไง ฉันกับธีร์เป็นเพื่อนกันมานาน นานมากเลยโชค แล้วฉันก็รักธีร์มานานมากจนฉันไม่รู้ว่าจะเลิกรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง”
คำสารภาพทำเอารู้สึกจุกเสียด โชคได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างเงียบงัน เห็นหยาดน้ำตาทะลักทะลายอาบสองแก้มแม้ดวงตาคู่นั้นจะยังคงซุกซ่อนไว้หลังฝ่ามือ และในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะสังเกต ว่าตามนิ้วเรียวยาวขึ้นข้อชัดเจนแค่ไหน เช่นเดียวกับกระดูกไหปลาร้าที่นูนเด่นกว่าแต่ก่อน
...แก้วผ่ายผอมลงมาก กล้ามเนื้อที่เคยมีอ่อนยวบยาบ ไม่ได้ซูบโทรมจนแห้งเหี่ยว แต่ก็ดูเปราะบางเหลือเกินหากเทียบกับในวันวาน
ในอกวูบโหวงและบีบรัดแน่นในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกผิดตรงเข้ากัดกินหัวใจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแค่ไหน แต่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แก้วต้องเป็นเช่นนั้นก็คงมีเขาด้วยอยู่ดี โชคยกมือขึ้นเกี่ยวรั้งมือเรียวให้พ้นจากดวงตาสีเข้ม จ้องสบอย่างต้องการปลอบโยน แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน สุดท้ายได้ทำได้เพียงจ้องมองดวงตาคู่นั้น รับฟังความในใจแสนสั่นเครือของแก้วต่อไป
“ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัว ...ที่ฉันยังรักธีร์อยู่ แต่ฉันก็รักเธอด้วย ฉันอยากอยู่กับเธอ อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงเป็นคนโลภมากที่อยากได้ความรักที่มากมายขนาดนั้น... แต่ฉันมีความสุข โชค ฉันมีความสุขมากที่เธอรักฉันแบบนั้น มากจนฉันคงทนไม่ได้ถ้าเราอยู่ด้วยกันต่อไปแบบห่างเหินอย่างนี้...” ยิ่งพูดทั้งที่พยายามกลั้นน้ำตาลำคอก็ยิ่งเจ็บ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพูดต่อไปแม้เสียงเริ่มขาดหายจวนจะกลายเป็นเพียงลมหายใจหอบฮัก แก้วประคองเรียวคางคนหนุ่มไว้มั่น เฉกเช่นเดียวกับน้ำหนักของถ้อยคำ “ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับฉันแล้ว... เราจะเลิก...”
“ผมไม่เลิกหรอกครับ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ...ผมอยากอยู่กับแก้ว” โชคไม่ได้รอให้แก้วพูดจนจบประโยค วางมือทาบทับมืออีกฝ่าย ขยับรั้งมาค้างไว้เหนือริมฝีปาก ก่อนจ้องมองเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้มอย่างซื่อตรง เอ่ยคำพูดที่ราวกับคำสัญญาอย่างหนักแน่น “ผมจะอยู่กับแก้วตลอดไปเลยนะครับ”
แม้คำว่าตลอดไปจะไม่มีอยู่จริง แต่ครั้งนี้แก้วกลับเชื่อหมดใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
เขากับโชค... อยู่ด้วยกันตลอดไปในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้
เสียงสะอื้นหนักขึ้น บางครั้งก็ขาดห้วงด้วยเพราะการหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า แก้วร้องไห้อยู่บนอกโชคเนิ่นนานจนน้ำตาแห้งเหือด ทว่าแผ่นหลังก็ยังคงสั่นไหวอยู่เช่นนั้นต่อไปอีกจนค่อนคืน เป็นครั้งแรกที่แก้วแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมามากมายขนาดนี้ต่อหน้าโชค
อาจจะด้วยเพราะวัยและความเครียดสะสมที่ทำให้คนสุขุมสูญเสียความเยือกเย็น หรือไม่ก็เป็นเพราะความรักทำให้คนสติแตก แต่ไม่ว่าอย่างไหนโชคก็ไม่อยากเห็นน้าแก้วที่เปราะบางราวกับจะแหลกสลายลงไปท่ามกลางหยดน้ำตาแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเพื่อให้แก้วยิ้มแล้วล่ะก็...
“ไม่ต้องฝืนตัวเองให้เลิกรักอาธีร์ก็ได้นะครับ” โชคกระซิบแผ่ว ใช้นิ้วเกี่ยวเส้นผมคนในอ้อมอกเล่น เห็นบางเส้นก็เป็นผมหงอกแซมมา พลางคิดถึงช่วงเวลาที่อีกฝ่ายใช้รักผู้ชายคนนั้น
...ตั้งแต่ไว้ผมทรงนักเรียนกระทั่งมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ตัวเขาเองก็คิดภาพไม่ออกเหมือนกันว่าหากเป็นเขาจะถอนความรู้สึกนั้นอย่างไร แค่คิดว่าให้เลิกรักน้าแก้วตอนนี้ก็ยังไม่คิดว่าจะทำได้เลย
“ไม่ต้องเลิกติดต่อกันก็ได้... แต่ว่าเลือกผมนะครับ เลือกผมแล้วอย่ากลับไปหาอาธีร์อีก ให้ผมเป็นคนรักคนเดียวของน้าแก้ว”
“อือ” เสียงครางรับจากเจ้าตัวเบาหวิวจนโชคต้องย้ำคำ
“นะครับ”
“อืม เรื่องของฉันกับธีร์มันผ่านไปแล้วโชค มันจบแล้ว ...ฉันมีแค่เธอ”
“ครับ”
อาการเหน็บชาเริ่มคืบคลานประท้วงร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าขาที่รับน้ำหนักของคนข้างบนที่ยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ โชคขยับพลิกตัวอย่างนุ่มนวลเพื่อถอนกายออกจากอีกฝ่าย แก้วรู้สึกตึงเล็กน้อยที่ปากทางเพราะความแห้งผาก แต่ก็ไม่ได้ทรมานมากนัก จนสุดท้ายก็ได้นอนกอดก่ายกันในท่าที่ถนัดและสบายกว่า
“โชค” บทสนทนาก่อนนอนในความง่วงงุนแต่การรับรู้กลับแจ่มชัด
“ครับ”
“กลับมานอนกับฉันนะ” แก้วซุกตัวหนุนหัวบนไหล่กว้าง รู้สึกเหมือนเด็กอ้อนขอความรักทั้งที่ชีวิตเดินมาเกินกว่าครึ่งทางแล้ว “ถึงจะยุ่งแค่ไหน แต่ถ้ากลับมานอนด้วยกัน อย่างน้อยฉันก็จะได้เจอเธอทุกวัน”
“ครับ ได้สิครับ” คนถูกอ้อนหัวเราะ ชอบเหลือเกินเวลาที่น้าแก้วทำท่าทางน่ารักและพูดขอสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
เวลาเดินตรงไปข้างหน้าด้วยจังหวะของมันอย่างไม่รีบร้อน ความเงียบงันไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดใจอีกต่อไปแล้ว ทว่าก่อนที่จะร่วงหล่นสู่ห้วงนิทรา ในเวลาที่สติกำลังเลือนราง เสียงกระซิบงึมงำก็ยังคงดังก้องชัดเจนอยู่ข้างหู
“ผมอยากอยู่ข้างๆ น้าแก้วไปจนถึงวันที่ผมแก่...”
“ถึงตอนนั้นฉันก็กลายเป็นตาแก่อายุเจ็ดสิบแล้วสิ”
“ก็ใช่น่ะสิครับ... เพราะถึงวันนั้นก็ยังอยากอยู่ด้วยกัน”
“อือ”
“ผมรักน้าแก้วมากขนาดนั้นเลยนะครับ”
“ฉันรู้”
“เพราะงั้นผมไม่ไปไหนหรอก”
“ฉันก็เหมือนกัน”
“น้าแก้ว”
“อือ ฉันก็รักเธอ”
“ครับ”
“ฝันดี”
“ฝันดีครับ”
TBC...
ตอนนี้ก็ได้เห็นน้าแก้วที่แสนเปราะบางกันไปแล้วนะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน หวังว่าจะยังไม่เบื่อกันน้า มันเป็นเรื่องที่ยาวนานในความรู้สึกเพราะกินเวลานานมากจริงๆ เลยกลัวว่านักอ่านจะเหนื่อยจนเดินจากกันไปเหลือเกิน และสำหรับทุกคนที่ยังตามอ่านอยู่ รีนขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รีนน่ะรอให้พวกคุณมาอ่านอยู่ที่ตรงนี้เสมอเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าช่วงไหนไม่ว่างหรือกำลังยุ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ก็ไม่ต้องรีบร้อนมาอ่านหรอกนะคะ ขอให้พวกคุณได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีน้ำตาหรือรอยยิ้มมากกว่าก็ขอให้หัวใจที่แสนอ่อนโยนดวงนั้นไม่แตกสลาย ขอให้ไม่ลืมเลือนความเป็นตัวเองนะคะ
ทั้งนี้วันเวลาเปลี่ยนแปลงผู้คน เช่นเดียวกับที่ความรักทำ และอากาศก็ด้วยค่ะ
อย่าลืมดูแลสุขภาพในช่วงอากาศเปลี่ยน ขอให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจเลยนะคะ
ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ กำลังใจ
ขอบคุณจากใจเสมอ
เจอกันวันจันทร์นะคะ