LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ  (อ่าน 5341 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 9 [ตอบแทน Part 1]
«ตอบ #30 เมื่อ15-08-2018 16:18:39 »

​ตอนที่ 9 : ตอบแทน









“ส่งพี่ขนมปังกลับบ้านดีๆล่ะ”

“ครับบบบ”

บทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับโซนิคจบลงด้วยการฝากฝังภารกิจให้ผู้ฟังทำต่อไป



โซนิคและขนมปังเคลื่อนที่ออกไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หันหลังกลับเข้าไปในห้องซ้อมคณะสังคม รถยนต์คันหนึ่งที่คุ้นเคยก็ขับเข้ามาแทนที่



“เสร็จหรือยังครับ” พี่ตองนั่นเองที่มาถึง พี่เขาเลื่อนกระจกรถลงเพื่อสนทนากับผม “กลับกันเลยไหม”

“ยังอ่ะ” ผมตอบ “อะตอมกับแทนเพิ่งจะมาถึง ชาว่าจะอยู่สอนช่วยไอ้ข้าวก่อน”

“โอเคครับ” พี่ตองเดินลงมาจากรถ เอ....? ทำไมท่าทางคนตรงหน้าของผมถึงได้ดูเหนื่อยๆ

“พี่ตองไปทำอะไรมาเนีย ทำไมดูเหนื่อยๆ”

“หลังคุยกับที่คณะเสร็จ พี่ไปเจอพวกปีหนึ่งที่พี่ให้ไปหาลายเซ็นของพี่ชมพู่เมื่อวาน แต่ก็ตามที่ชาคาดการณ์ไว้ พวกนั้นรู้ความจริงแล้วว่าพี่ชมพู่อยู่ต่างประเทศ”

“แล้วพี่ทำไงอ่ะ”

“ก็หนีซิครับ กว่าจะหลบหนีออกมาได้ เสียเวลาอยู่ตั้งนาน”

“เห็นไหมล่ะ ชาก็เตือนพี่ไปแล้วว่าเด็กพวกนั้นต้องรู้ความจริงเข้าจนได้”

“พี่ก็บอกชาไปแล้วเหมือนกันว่าพี่ไม่สนใจ”

“สนใจบ้างก็ได้นะ แคร์คนรอบข้างบ้างเถอะพี่ตอง เราอยู่ในโลกนี้แค่สองคนไม่ได้หรอกนะ”

“แล้วชาจะให้พี่ทำไงอ่ะ ให้ปล่อยปีหนึ่งทุกคนพุ่งมาหาชาเหรอ ที่ทำก็เพราะพี่เป็นห่วงนะ”

“ชาก็แค่เป็นห่วงพี่เหมือนกันนั่นแหละ”

“เราอย่ามาถกประเด็นเรื่องนี้กันเลยนะ เข้าไปซ้อมกันดีกว่า”



“เธอว่านั่นใช่รถของพี่ตองไหม...”

เสียงใครที่ไหนมาพูดแถวนี้



“เด็กปีหนึ่งอีกแล้ว!!” พี่ตองรู้ในทันที ผมกับพี่ตองอาจจะยังไม่ถูกพบ แต่ถ้าขืนยังอยู่ตรงนี้โดนจับได้แน่ๆ “เข้าไปในห้องซ้อมกันเถอะครับ เดี๋ยวชาจะถูกเห็นเข้า”

“ไม่ ไม่ต้องเข้าไปหรอก” ผมห้ามไว้ “พี่ตองกลับไปเถอะ”

“ว...ว่าไงนะ นี่ชาโกรธอะไรพี่เนีย”

“เปล่า แต่รถของพี่ยังจอดอยู่ตรงนี้ ต่อให้เข้าไปหลบในห้องซ้อม เด็กพวกนั้นก็คงหาทางตามจนเจอเราสองคนได้อยู่ดี ถ้าพี่ไม่อยากให้ใครเจอตัวชาจริงๆ ก็คงต้องขับรถล่อให้ทุกคนออกไป”

“แล้วชาจะกลับยังไงล่ะ”

“ชากลับได้น้า ไปเถอะ”

“แต่...”

“เร็วเข้าซิ เดี๋ยวก็โดนเจอตัวจริงๆหรอก”

พี่ตองลังเลอยู่สักพัก

“ก็ได้ครับ”

พี่ตองคล้ายว่าจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็จำใจต้องวิ่งกลับเข้าไปในรถ และเร่งขับรถออกไป ส่วนผมก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในห้องซ้อมเช่นกัน



ปิดม่านบังประตูกระจก

ล็อคให้เรียบร้อย



“ทำไมต้องล็อคห้องด้วยอ่ะชา?” ไอ้ข้าวถามผม

“มีเด็กปีหนึ่งมาแถวนี้” ผมตอบ

“แล้วเกี่ยวกับการที่ต้องทำตัวลับๆล่อๆด้วยเหรอ” มันยังถามผมอีก

“หมายถึง เด็กปีหนึ่งที่ผ่านสอบสัมภาษณ์ อยู่แถวๆนี้” นี่กูว่ากูอธิบายชัดแล้วนะ

“อ๋อ เข้าใจแล้ว” กว่าจะเข้าใจนะมึง



“อยู่ในนั้น พี่คนนึงหนีเข้าไปในห้องซ้อม”

เห้ย!!!

ใครวะ



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ......

เสียงเคาะประตูเกิดขึ้นทันที... เอาแล้วไง

ผมส่งสัญญาณบอกทุกคนในห้องว่าให้เงียบเสียงไว้



ปัง ปัง ปัง ปัง

ความรุนแรงของการเคาะเริ่มมากขึ้น



“ไม่เห็นมาเสียงใครในนี้เลย” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังมาจากฝั่งตรงข้ามของประตู

“เชื่อซิ มีพี่คนนึงวิ่งเข้าไปในนั้น” ไอ้บ้านี่มันเป็นใครวะ ช่างฟ้องจริงๆ “คนที่ชื่อน้ำชาอ่ะ”

ห๊ะ รู้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ

“จริงเหรอ.....พี่น้ำชา พี่น้ำชาคะ อยู่ในนี้หรือเปล่าคะ”



นั่นไง ซวยแล้วกู ไม่รู้ล่ะ เงียบไว้ก่อน



“ไม่เห็นมีใครตอบเลย” ความเงียบของผมยังใช้ได้ผล

“เชื่อผมซิว่าต้องมีพี่เขาอยู่ในนั้นแน่ๆ” ชักอยากรู้จริงๆแล้วว่าไอ้เด็กคนนี้เป็นใคร “ว่าแต่ว่า พวกเธอมาตามหาพี่เขาทำไมเหรอ”

“พวกเรามาขอให้พี่น้ำชาสอนเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาให้” สาวเจ้าอธิบาย “พวกเราเป็นคนที่ผ่านสัมภาษณ์ผู้นำเชียร์ของคณะวิศวะน่ะ”

“อ๋อ จริงๆผมก็พอจะเดาออกอยู่แล้วล่ะ.... แต่ถ้าจะมาขอร้องพี่คนนี้จริงๆ ผมว่ากลับไปเถอะไม่มีประโยชน์หรอก”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” นั่นดิ มึงกล้าดียังไงวะมาพูดถึงกูแบบนี้ “พี่น้ำชาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักท่าเต้นเพลงนี้ ไม่ให้มาหาพี่เขา แล้วจะให้ไปหาใคร”

“ผมถามหน่อยว่าพวกคุณรู้จักพี่น้ำชาคนนี้หรือเปล่า”

“รู้ซิ ทำไมจะไม่รู้ พี่เขาดังมากนะ ถ้าใครที่คิดจะมาเรียนที่นี่ไม่เคยเห็นพี่น้ำชาในช่องหรือเพจของมหาลัยเลยก็คงมาจากต่างประเทศแล้วล่ะ”

“ผมหมายถึง รู้หรือเปล่าว่าจริงๆแล้วพี่น้ำชาเป็นคนยังไงกันแน่ หรือพวกคุณคิดว่าพี่เขาดูเป็นคนชอบให้โอกาสคนเหมือนอย่างที่เห็นในทีวี เคยคิดไหมว่านั่นอาจจะเป็นแค่ภาพที่พี่เขาสร้างขึ้นมา”

“ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น สนิทกับพี่เขาเหรอ”

“รู้จักไม่รู้จัก ผมก็โดนปฏิเสธจากพี่เขามาแล้ว คนที่เคยได้รับโอกาสมาอย่างพี่น้ำชาน่ะนะ ใครจะไปคิดล่ะว่าเป็นพวกดังแล้วลืมตัว ทั้งๆที่ตัวเองเคยได้โอกาสมาจากพี่ท๊อปแท้ๆ แต่กลับมองคนอื่นแค่ภายนอก ไม่ตัดสินกันที่ความสามารถ”

“ที่พูดเนีย มีหลักฐานอะไร หรือแค่อยากใส่ร้ายพี่เค้า” นี่เป็นเสียงของน้องผู้หญิงอีกคน ผมพอจะแยกแยะน้ำเสียงออก

“แล้วเห็นพี่เขาออกมาต้อนรับพวกคุณไหมล่ะ ทั้งๆที่พวกเธอทุกคนก็มีความพยายามไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนอื่น แต่ทำไมพี่เขาไม่คิดจะเห็นค่า แต่กลับเอาแต่หลบหนีพวกคุณตลอดเวลา จริงๆผมมีข้อมูลที่เด็ดกว่านี้อีกนะ เชื่อหรือเปล่าว่าในห้องนี้มีปีหนึ่งแค่สองคนที่พี่เขายอมสอนให้ คนที่ได้รับตามประทับสีเงินไง”

เกิดเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นทันที



กูไม่ทนฟังแล้ว....



“อย่า” ไอ้ข้าวรีบเข้ามาจับมือผมไว้ มันคงคาดเดาได้ว่าผมกำลังจะทำอะไร แต่....



แกร๊ก

“มาตามหาพี่เหรอครับ” ไม่มีอะไรหยุดผมไม่ให้เปิดประตูไปเผชิญกับความจริงได้ทั้งนั้น



“พี่น้ำชา!!”



โอ้โห กี่คนเนีย หนึ่ง สอง สาม สี่... สี่คนเลยเหรอ แล้วก็... ผู้ชายเพียงหนึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นคนที่กล่าวหาผมอย่างร้ายกาจซินะ

แต่ว่า.... หน้าคุ้นๆนะ



“น้องอีกแล้วเหรอ” ไอ้ข้าวเป็นคนที่เริ่มการสนทนาทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น

“ผมทำไมเหรอพี่” พูดจาไม่มีหางเสียง หน้าตาไม่รับแขกแบบนี้ อ๋ออออ จำได้แล้ว เด็กปีหนึ่งคนที่เคยมาขอให้ผมปั๊มตราลีดมอตอนที่อยู่โดมรวมใจนั่นเอง

“ก็...”

“ไม่เป็นไรข้าว” ผมรีบห้ามไอ้ข้าวไว้

งานนี้กูขอเป็นคนลงมือเอง นิ่งมานานแล้ว เดี๋ยวมึงจะได้เห็นจริงๆแล้วว่ากูไม่ได้มีพื้นฐานเป็นพวกจิตใจโอบอ้อมอารีอย่างที่มึงพยายามกล่าวหาจริงๆ คนอย่างกูก็ผ่านอะไรมามาก คิดว่าจะเป็นหมูในอวยให้เด็กปีหนึ่งมาเล่นงานง่ายๆเหรอ เตรียมรับมือกับกูให้ดีก็แล้วกัน

“ขอโทษน้องๆด้วยนะที่พี่ต้องทำเป็นหลบๆซ่อนๆ” ผมเริ่มพูดกับน้องผู้หญิงทั้งสี่คน

“แล้วทำไมพี่ถึงออกมาล่ะครับ” ไอ้เด็กนี่ มึงอย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น คิดว่ากูดูไม่ออกหรือไงว่ามึงทำเป็นพูดยั่วให้กูได้ยิน กูจะได้ออกมาเจอกับปัญหา

“พอดีพี่ได้ยินเสียงใครคนนึงนินทาพี่น่ะครับ พี่ก็เลยอยากจะออกมาดูสักหน่อย ไม่ทราบว่าน้องผู้หญิงคนไหนพูดถึงพี่ลับหลังในทางที่ไม่ดีหรือเปล่า”

“ไม่ใช่พวกเรานะคะ แต่เป็น...” ต้องขอบใจน้องผู้หญิงคนนึงมากที่ชี้ไปยังไอ้เด็กปากดีนั่น ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

“จะบอกว่าน้องคนนี้นินทาพี่เหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง​” กูเคยเรียนการแสดงว่า ไอ้เรื่องแสดงสีหน้าให้สมบทบาทน่ะ ไม่ใช่ปัญหาสักนิด “สันดานของลูกผู้ชายเขาไม่นินทาคนอื่นลับหลังหรอก พี่ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย ต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆที่สามารถพูดถึงพี่แบบนั้นได้ อย่าหาว่าพี่เหยียดเพศเลยนะ แต่ผู้ชายอย่างเรารู้ดีว่าเราไม่มีนิสัยแต๋วๆแบบนั้น ใช่ไหมครับน้อง... น้องชื่ออะไรนะ”

“.......” ดี แสดงสีหน้าแบบนั้นแหละ อย่ามาทำเป็นหลบหน้ากู ปากเก่งขนาดนั้นแล้วจะมาหงออะไรตอนนี้ เห็นกูใจดีมานาน คิดว่ากูร้ายไม่เป็นหรือไง แต่มึงกับกูชั้นเชิงมันต่างกันมากนัก

“น้องมีชื่อใช่ไหม” เอาซี กูจะจี้ถามมึงแบบนี้ไปเรื่อยๆ

“เกล้า” ตอบมาจนได้ ทีอย่างงี้ทำเป็นมองไปทางอื่น

“เอ... หน้าคุ้นๆนะ” ผมแสดงต่อ “น้องใช่คนที่มาขอให้พี่ปั๊มตราลีดให้วันแนะแนวที่โดมใช่ไหม”

“ขอ...” น้องผู้หญิงคนหนึ่งแทรกขึ้นมาทันที “มันมีกติกาที่สามารถขอให้พวกรุ่นพี่ปั๊มตราลีดได้ด้วยเหรอคะ?”

“ไม่มีอยู่แล้ว” น้องผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ท้ายสุดตอบให้ “เราทุกคนใช้กติกาเดียวกัน นั่นคือต้องได้รับการคัดเลือกจากรุ่นพี่ลีดมหาลัย ไม่นึกว่าจะมีคนที่... ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นด้วย เธอไม่รู้กติกานี้เหรอ”

“อย่าไปพูดอย่างนั้นเลยยยยย” ถึงปากผมจะพูดแบบนั้น แต่ใจจริงอยากจะขอบใจน้องผู้หญิงคนนี้มากๆ พูดได้ถูกใจและตรงประเด็นดีจริงๆ “ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีฝันทั้งนั้น เอาจริงๆพี่ก็รู้สึกผิดนะที่ไม่ได้ปั๊มตราลีดให้น้องเกล้าในวันนั้น”

“มันก็จริงอยู่ค่ะ” น้องผู้หญิงที่ผมประทับใจพูดอีกครั้ง “แต่ถ้าเรารู้ว่ากติกาคืออะไร เราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับกติกาเดียวกันไม่ใช่เหรอคะ ไม่ใช่เดินไปขอตราปั๊มทื่อๆ ตัวหนูเองก็ฝึกฝนและพัฒนาบุคลิกภาพตัวเองมาตั้งนาน ทั้งศึกษาทั้งซ้อมมาเป็นปี รู้ว่าตัวเองบุคลิกหน้าตายังไม่เข้าเกณฑ์ก็ควรจะปรับปรุงพัฒนา ไม่ใช่ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง หวังแต่ความเห็นใจจากคนอื่น... เราไม่ได้กำลังว่าเธอนะ... เรากำลังพูดถึงตัวเอง เพราะเราก็เป็นคนนึงที่มีพยายามทำเรื่องพวกนี้ จนได้รับคัดเลือกมาตามกติกาที่ถูกต้อง หวังว่าเธอคงพอจะเข้าใจนะ”



โอ้! มาย! ก๊อด!

จัดหนักกว่าที่คิดแฮะ



“ก็จริงอย่างที่น้องพูดครับ” ผมสนับสนุน ไม่ใช่แค่อยากทับถมไอ้เด็กปากเสียนี่นะ แต่ความเป็นจริงที่ถูกต้องมันก็ควรเป็นอย่างนั้น “แต่พี่ก็อยากให้โอกาสทุกคน เอางี้ก็แล้วกัน.... เอ่อ... ข้าว พอจะเปิดสัมภาษณ์รอบพิเศษอีกสักรอบได้ไหม ไหนๆน้องเกล้าก็มาอยู่แถวนี้แล้ว อยากเห็นความสามารถของน้องสักหน่อย..... ว่าแต่ น้องมาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ นี่มันยังไม่เปิดเทอมนะ”

“มา....” ไอ้เด็กปากเสียอ้าปากค้าง ไหนลองหาเหตุผลมาแก้ตัวดิ เท่าที่ประมวลจากเหตุการณ์ทั้งหมด มึงดูจะสังเกตการณ์แถวนี้มาสักพัก คงเอาไว้หาเรื่องกูแบบตอนนี้ละซิ เจอกูถามตรงๆแบบนี้ ดูซิจะตอบยังไง “เดินเล่นไง ผมมาเดินเล่น นี่มันคณะของผม”

“เดินเล่นเวลาแบบนี้เนี่ยนะ ไม่ค่ำไปหน่อยเหรอ พี่ว่าน้องเอาเวลาไปเตรียมตัวสอบหลักคณิตดีกว่านะ พรุ่งนี้จะเปิดสอบวันแรกแล้ว”

“จริงด้วย!!!” น้องผู้หญิงคนหนึ่งร้อง “ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลย มัวแต่วุ่นวายเรื่องลีด ลืมไปเลยว่ามีสอบ งั้น... หนูขอตัวก่อนนะคะ เรื่องเพลงมิ่งขวัญเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน หนูไม่อยากมาสอบใหม่อีกปีหน้า สวัสดีค่ะพี่น้ำชา สวัสดีค่ะพี่ข้าวเจ้า”

“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ”

อ้าว ซะงั้น ไปกันเป็นขบวนเลย

“เดี๋ยวก่อนซิเกล้า” ผมเรียกไอ้คนที่กำลังจะทำเนียนเดินตามคนอื่นไป “ไม่อยู่ก่อนเหรอ เดี๋ยวพี่ขอร้องให้พี่ข้าวเจ้าช่วยเปิดรอบสัมภาษณ์พิเศษให้”

“คือ.... ผมไม่อยากเป็นแล้ว ต้องไปอ่านหนังสือ”

แล้วไอ้เด็กปากเสียนั่นก็รีบเดินจากไป ยกเว้น....

“น้องไม่ไปอ่านหนังสือเหมือนเพื่อนเหรอ” น้องผู้หญิงคนที่ผมชอบใจยังยืนอยู่ที่เดิม

“หนูบอกพี่แล้วไงคะว่าหนูเตรียมตัวมาเป็นปี” เธอให้เหตุผล “เรื่องที่ต้องสอบหลักคณิตหนูรู้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาสำหรับเรื่องนั้นค่ะ แต่ที่หนูมาที่นี่เพราะหนูต้องการเจอพี่น้ำชา หนูมาเพื่อเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาค่ะ”

อือหือ สายตาแน่วแน่มาก

ภายใต้ใบหน้าสวยหวานและผมยาวเป็นลอนเล็กน้อยนี้ มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ รู้สึกเหมือนกำลังมอง.......

“เหมือนยืนคุยอยู่กับเกตุเลยเนอะ” ไอ้ข้าวพูดขึ้นอย่างที่ผมคิดเป๊ะ

“น้องชื่ออะไรครับ” ผมถาม

“ครีมค่ะ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มเป็นนัย

“น้องครีมต้องการท่าเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาจริงๆเหรอ”

“จริงค่ะ”

“แล้ว.....น้องครีมจะเอาอะไรมาแลก”

“มาแลก?” เธอตั้งคำถาม แต่คล้ายว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดรู้แล้ว

“พี่รู้ว่าน้องเข้าใจความหมาย”

เธอยิ้ม แปลว่าเข้าใจจริงๆ เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา สวย เก่ง มีจิตวิทยาดี

“หนูไม่แลกแล้วได้ไหมค่ะ แต่หนูอยากขอให้พี่ช่วยสอนเพลงมิ่งขวัญเป็นการตอบแทนหนู”

“ตอบแทนเหรอครับ?” งงในงงไปเลยซิกู “ตอบแทนน้องเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่หนูช่วยจัดการกับคนที่ชื่อเกล้าให้ไงคะ หนูดูออกนะว่าพี่พยายามจะทำอะไรเมื่อกี๊นี้ ถึงหนูจะอยากตำหนิคนนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ไม่ได้หนู แผนที่พี่วางไว้ก็คงไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้หรอก เพราะงั้น หนูก็เลยขอให้พี่ตอบแทนหนูเรื่องนี้” คราวนี้เป็นผมเองที่อ้าปากค้าง ไอ้ข้าวก็อาการเดียวกัน “นะคะพี่ จะใช้ให้หนูทำอะไรเพิ่มเติมอีกก็ได้ แต่ช่วยสอนท่าเต้นให้หนูหน่อย” เปลี่ยนเป็นลูกอ้อนซะงั้น

“เอ่อ...” ผมหันไปหาไอ้ข้าว “พอจะสอนอีกคนได้ไหมข้าว”

“ไม่มีปัญญา” ไอ้ข้าวตอบ

“งั้นก็เชิญข้างในเลยครับน้องครีม” ผมบอก

“เย้” สาวเจ้าดีใจทันที

“แต่ว่า พี่คงต้องหาภารกิจอะไรสักอย่างให้น้องทำนะ งานนี้ไม่ฟรีนะครับ”

“โอเคค่ะ ได้เลย”

“แล้วจะปิดประตูห้องซ้อมอีกไหม” ไอ้ข้าวถามผมก่อนที่เราจะเดินกลับเข้าไปข้างใน

“ไม่ต้องหรอก คงไม่มีใครมารบกวนแล้วล่ะ” ผมบอกไอ้ข้าว



จากนั้น ผม ไอ้ข้าว และน้องครีม เดินเข้าไปในห้องซ้อม

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 9 [ตอบแทน Part 2]
«ตอบ #31 เมื่อ15-08-2018 16:19:46 »

(ต่อ Part 2)



“ชะนีน้อยคนนี้คือใคร” อิช้างรีบเดินเรียบๆเคียงๆ เข้ามากระซิบถามผม

“ไม่ต้องรีบถามขนาดนั้นก็ได้ กูกำลังจะบอกทุกคนอยู่แล้ว” ผมตอบมัน

“มึงทำอะไรมึงคิดจะปรึกษากูก่อนไหม นอกจากวาวาแล้ว กูไม่ยอมรับชะนีหน้าไหนทั้งนั้น เพราะนางอาจจะมาเป็นคู่แข่งในการแย่งน้องโซนิคไปจากกู”

โอ๊ะ นึกว่าจะพูดอะไร “ไร้สาระจริงๆเลยมึงนิ”

ผมเดินไปหาอะตอมและแทน

“นี่คือน้องครีมนะ” ผมแนะนำหญิงสาวผู้มาใหม่ให้รู้จักกันและกัน “น้องมาจากวิศวะใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” เธอตอบเสียงใส

“ส่วนสองคนนี้คืออะตอมกับแทนนะ เด็กจากคณะวิทย์”

“สองคนนี้ใช่ไหมคะที่ได้ตราประทับสีเงินจากพี่น้ำชา”

“ก็.... ตามนั้น” แอบเซ็งนิดนึงที่เรื่องนี้ยังถูกพูดถึงอยู่

“สวัสดี เราชื่อครีมนะ อยู่วิศวะไฟฟ้า”

“ไม่ยักรู้ว่ามาก่อนว่าผู้หญิงก็เรียนวิศวะไฟฟ้าได้ด้วย” ไอ้น้องแทนเอ่ยขึ้น

“ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นหรือไง” เหมือนน้องครีมจะไม่ค่อยปลื้มนักที่ได้ยินแบบนั้น

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น เราหมายถึงว่าไม่รู้ว่าผู้หญิงก็ชอบเรียน....เอ่อ อะตอม ช่วยพูดหน่อย”

“ใช่เลย ไอ้คนนี้มันกำลังพูดดูถูกความสามารถของผู้หญิงอยู่” เวรกรรม นี่ไม่ใช่ช่วยแล้วมั้งอะตอม “รู้หรือเปล่าว่าชายหญิงเดี๋ยวนี้สิทธิเท่าเทียมกันแล้ว”

“ไม่...ไม่ใช่แบบนั้นนะ ทำไมพูดแบบนั้นอ่ะ เราแค่จะ....”

“พอๆๆๆ” ผมหยุดการทักทายที่ยืดยาวเกินความจำเป็นของเด็กพวกนี้ไว้ “แทนเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น บางทีก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ประโยคภาษาไทย เอาเป็นว่า รู้จักกันแล้วนะ งั้นเราไปซ้อมกันดีกว่า” ผมหันไปหาไอ้ข้าว “ข้าวๆ ช่วยหน่อย”

“ว่าไง” ไอ้ข้าวเดินเข้ามา

“ช่วยสอนพื้นฐานการเต้นให้น้องครีมหน่อย” ผมร้องขอ “เดี๋ยวกูต้องสอนอะตอมกับแทนเกี่ยวกับการแต่งหน้า”

“แล้วไม่ต้องสอนแต่งหน้าให้น้องครีมเหรอ”

“ให้เรียนพื้นฐานท่าลีดก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อย...”

“เรื่องสอนแต่งหน้าไม่ต้องก็ได้ค่ะ” น้องครีมแทรกขึ้นมา “หนูพอจะมีความรู้พวกนี้อยู่บ้าง”

“งั้นเหรอ” ก็น่าจะจริงนะ ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงแต่งหน้าเป็นอยู่แล้ว “งั้น... น้องไปวัดตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วก็ไปซ้อมพื้นฐานท่าลีด.... ฝากด้วยนะข้าว”

“ไม่มีปัญหา”



แล้วไอ้ข้าวกับน้องครีมก็แยกตัวออกไป



“ส่วนเราสองคน” ผมหมายถึงอะตอมกับแทน “มาเรียนกันได้แล้ว”

ผมพาเด็กปีหนึ่งทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากระจกห้องซ้อมเพื่อสอนคลาสแต่งหน้าสุภาพบุรุษอีกครั้ง ส่วนไอ้ข้าวก็ทำการสอนพื้นฐานท่าเต้นของผู้นำเชียร์อยู่ใกล้ๆ

แต่ก่อนที่ผมจะทำการสอนกลับบังเอิญสังเกตเห็นว่าน้องอะตอมมีสีหน้าไม่สู้ดีอีกแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าอะตอม” ผมถาม เมื่อกี๊ยังเห็นหน้าตากลับมาร่าเริงอยู่เลย “ยังไม่หายกลัวอีกเหรอ ไหวไหมน้อง”

“ไหวครับ” น้องตอบ “แต่ว่า.... คือผม.... ผมลืมไปสนิทเลยอะครับว่าพรุ่งนี้มีสอบหลักคณิต พอได้ยินที่พี่น้ำชาพูดเมื่อกี๊ ผมก็เลยนึกขึ้นมาได้”

“แล้วทำไมเหรอ มีปัญหากับการสอบหรือไง”

“ก็นิดหน่อยครับ ผมไม่ค่อยถนัดทางวิชาคำนวณเท่าไหร่ จริงๆแล้วผมไม่ถนัดอะไรเลยมากกว่า พื้นฐานผมเป็นคนหัวทึบอะพี่”

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นดิ!” ไม่ใช่ผมนะ นี่เป็นการพูดแทรกขึ้นมาของไอ้น้องแทน “คนเรามันแค่ถนัดไม่เหมือนกัน จะพูดตัดพ้อตัวเองให้มันได้อะไรขึ้นมา”

“ยุ่งน่า” เด็กสองคนเริ่มเปิดศึกกันอีกแล้ว “มึงไม่ใช่กู จะไปเข้าใจได้ไง กูไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างเหมือนมึงนิ”

“มันไม่มีหรอกอะตอม คนที่เก่งทุกอย่างน่ะ รู้ว่าไม่ถนัดก็พยายามดิ มึงก็ไม่ได้เต้นลีดได้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ”

“เออ กูเต้นไม่ได้ตั้งแต่แรก กูฝึกมาเป็นปี และกูก็ไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนมึง อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้หน่อยเลยว่าเมื่อวานพี่ข้าวเจ้าชมมึงตลอดทั้งๆที่เพิ่งเคยเต้นครั้งแรก”

“แล้วนี่กูทำอะไรผิดวะ ทำไมต้องพาดพิงกันด้วย ก็ขอโทษเรื่องเมื่อเย็นไปแล้วไง”

“ก็มึงเริ่มก่อน”

“กูเนี่ยนะเริ่มก่อน กูแค่ไม่อยากให้มึงพูดจาดูถูกตัวเอง”

“ก็นั่นแหละ จะอะไรก็ช่าง มึง....”

“พอ” กูไม่ทนอยู่กลางสมรภูมิของมึงสองคนแล้วนะ “จะทะเลาะหรือจะเรียนหรือจะไปอ่านหนังสือ เลือกมาสักอย่างดิ”

“ร...เรียนครับ” เพิ่งจะรู้ตัวนะอะตอมว่าทะเลาะกันไม่เกรงใจพี่เนีย

“ขอโทษเพื่อนซะอะตอม” ผมสั่ง

“อ...อะไรนะพี่น้ำชา” อะตอมร้อง “ทำไมตอมต้องขอโทษมันด้วยอ่ะ”

“เพราะอะตอมเริ่มก่อน และพี่ก็เห็นด้วยกับแทน ที่แทนพูดเพราะมีจุดประสงค์ที่ดีกับเพื่อน คนเราถ้าจะทำอะไรให้สำเร็จก็ต้องเริ่มต้นด้วยการหยุดดูถูกตัวเอง นั่นน่ะถูกแล้ว ขอโทษแทนซะ เดี๋ยวนี้เลย”

“ไม่เอาอ่ะ ตอมไม่ขอโทษมันหรอก มันเริ่มก่อนนะ พี่น้ำชาก็เห็น”

“ที่พี่เห็นคืออะตอมเริ่มก่อน” บ่นจะดื้อก็ดื้อเอาเรื่องเหมือนกันแฮะเด็กคนนี้ ต้องกำราบเสียตั้งแต่วันนี้ “ถ้าคิดจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับพี่จริงๆ ก็ขอโทษตามที่พี่บอกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ต้องมาเรียกพี่ว่าพี่อีกนะ”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับพี่น้ำชา ผมไม่ได้...”

“ไม่ต้องมาปกป้องอะตอมเลยนะแทน” ดูไว้ซะ นี่คือพี่ในตอนบทโหด “อะตอมทำผิด ต้องเรียนรู้ที่จะขอโทษบ้าง แทนตามใจอะตอมบ่อยไปแล้วนะ ที่สำคัญ นี่คือสิ่งที่พี่พยายามจะสอนให้ฟัง คนเราไม่ควรตอบแทนความหวังดีของใครด้วยการไปต่อว่าเขานะอะตอม”

“แต่...” อะตอมยังพยายามจะหัวดื้อกับผม

“พี่จะไม่พูดซ้ำแล้วนะ” นี่กูขู่มาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้วนะ จะยอมอ่อนข้อลงไหม

“........” คนหัวดื้อยังนิ่งเงียบ แต่ก็ลังเลอยู่ในขณะเดียวกัน “ขอโทษ” อือหือ ห้วนได้กว่านี้อีกไหม

“อะตอม” เตือนครั้งที่หนึ่ง “ขอโทษใหม่ พูดดีๆ”

“.........ขอโทษ” กว่าจะยอมพูดออกมาได้นะ

“จะโกรธพี่ก็ได้นะที่บังคับให้ทำ แต่รู้ไว้เลยว่าพี่หวังดีกับอะตอม”

“ป...เปล่านะครับ ตอมไม่ได้โกรธพี่น้ำชาซะหน่อย”

“ก็ดี ถ้าพี่เตือนแล้วรู้จักฟัง เราก็คุยกันได้ เอาเป็นว่าเริ่มเรียนกันได้แล้ว จะได้เสร็จไวๆ น้องสองคนต้องกลับไปอ่านหนังสืออีก”

เอาล่ะ หลักสูตรแต่งหน้าถูกรีรันจากผมอีกครั้ง

แม้อะตอมจะอ่อนข้อให้ผม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังเคืองในตัวไอ้น้องแทนที่ทำให้เขาถูกผมตำหนิ ก็ถ้าจะเป็นเด็กหัวดื้อแบบนี้ ผมก็คงต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตเองแล้วล่ะ............





“สี่ทุ่มครึ่งแล้ว เอาไว้แค่นี้ดีกว่านะ” ผมให้สัญญาณยุติ เพราะแต่ละคนเริ่มเบื่อและหมดแรงแล้ว

อิเพื่อนสามเกลอพลังหญิงของผมถึงขั้นหลับกองกันเป็นพะเนินอยู่ข้างห้อง นี่ขนาดมีผู้ชายที่พวกมันหมายตาอยู่ในห้องยังจะหลับอีก เชื่อพวกมึงเลย



“เสร็จแล้วเหรอชา” ไอ้ข้าวถามผมขึ้นมาทันที

“อืม แค่นี้ก็น่าจะโอเคแล้ว” ผมตอบ

“ทางนี้ก็เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน น้องครีมมีพื้นฐานมาดี ก็เลยสอนง่าย”

“งั้นเหรอ เป็นไงครีม เหนื่อยไหม”

“ก็พอสมควรค่ะ” น้องครีมตอบ

“โอเค งั้นก็แยกกันดีกว่านะวันนี้ พรุ่งนี้มีสอบก็อย่าลืมอ่านหนังสือกันนะ”

“ครับ/ค่ะ”

เมื่อน้องๆ ทยอยกันออกไป และไอ้ข้าวเริ่มดับไฟในห้องซ้อม ผมก็ปลุกอิเพื่อนสามตัวให้ตื่น ถึงเวลากลับไปสู่เตียงนอนซะที



อิเจสซี่ อิเล็ก และวาวากลับไปเอารถยนต์ส่วนตัวที่จอดไว้ที่คณะวิทย์เพื่อกลับหอพัก พวกมันย้ายมาอยู่หอเดียวกันเมื่อเทอมที่แล้ว ส่วนไอ้ข้าวก็มีสุ่ยมารับ น้องปีหนึ่งทั้งสามคนนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ประตูทางออก สงสัยจะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ในส่วนของผมนั้นเดินทางกลับมาด้วยแท็กซี่ ตอนแรกก็ว่าจะโทรหาพี่ตอง แต่มาคิดอีกที มันก็ดึกพอสมควรแล้ว ไม่อยากรบกวนพี่เขา



“กลับบ้านดึกเหมือนกันนะคะ ไม่กลัวเหรอ” พี่แท็กซี่ถามผมระหว่างการเดินทางกลับ ผมให้อิช้างโทรเรียกแท็กซี่ที่เป็นผู้หญิงมารับเท่านั้น ยอมรับว่าเข็ดกับการถูกมองด้วยสายตาหื่นๆของแท็กซี่ผู้ชาย

“ก็มันจำเป็นต้องทำงานนิครับ ก็เลยต้องกลับดึกแบบนี้” ผมตอบ

“พี่มารับเด็กแถวนี้บ่อย เห็นว่าที่มหาลัยนี้ชอบเรื่องลีดๆอะไรพวกนี้ด้วย”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“พี่มีลูกสาวคนนึง ใกล้จะเรียนจบมอหกแล้ว ถ้าเขาอยากมาเรียนที่นี่ พี่ก็คงไม่สนับสนุน กลัวลูกสาวจะเสียการเรียน ขืนมัวแต่วุ่ยวายกับกิจกรรม คงเรียนไม่ได้เรื่อง”

“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ” ผมไม่ได้พยายามจะปกป้ององค์กรผู้นำเชียร์หรืออะไรหรอกนะ แต่อยากพูดคุยกับพี่แท็กซี่มากกว่า “ต่อให้ไม่มาเรียนที่นี่ มหาลัยอื่นๆก็มีกิจกรรมไม่น้อยเหมือนกัน ผมว่าปล่อยให้พวกเขาได้เจอกับการเรียนรู้หลายๆอย่าง นอกจากจะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆแล้ว เขาอาจจะได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง ได้เรียนรู้การเข้าสังคม ได้เรียนรู้การอยู่ใต้คำสั่ง ได้เรียนรู้การจัดการบริหารเวลา ได้ฝึกฝนที่จะต้องพบกับแรงกดดัน ผมว่าถ้าลูกของพี่รู้จักที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาให้เป็นเหมือนตำราชีวิต เขาก็จะได้ประโยชน์จากมัน....นี่น่าจะเป็นจุดประสงค์ที่มหาลัยสร้างรูปแบบกิจกรรมมากมายพวกนี้ขึ้นมานะครับ ผมคิดว่างั้น”

“น้องพูดแบบนี้ก็แสดงว่าน้องเป็นลีดละซิ”

“ก็ใช่ครับ ผมเป็นลีดของมหาลัย”

“แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ก็น่าพอใจครับ”

“น้องน่ะโชคดี แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรับมือได้ทุกเรื่องเหมือนน้องหรอกนะ”

“ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” ผมปฏิเสธ และไม่น่าเชื่อเลยว่าการปฏิเสธครั้งนี้จะได้รับการยืนยันในอีกเพียงชั่วอึดใจ





“น้องผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” มันคือประโยคแรกที่ผมได้ยินจากพี่ตองหลังจากเปิดประตูเข้ามาภายในคอนโดฯ

“ผู้หญิงไหน?” ผมถามก่อนจะวางข้าวของลงไปกองบนชั้นวาง

“นี่ไง” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาชูโทรศัพท์ในมือตัวเองขึ้นมาให้ดู ผมจึงเดินไปนั่งข้างๆและหยิบโทรศัพท์มาดู

“อ๋อ” นึกว่าใคร “นี่น้องครีม คนที่ผ่านเข้ารอบจากคณะวิศวะ ชาเพิ่งจะรับปากจะสอนเพลงมิ่งขวัญน้องเค้า ว่าแต่... พี่ตองเอารูปนี้มาจากไหน”

ดูๆ แล้ว นี่มันเป็นภาพถ่ายที่ถ่ายจากมุมมองของคนที่อยู่นอกห้องซ้อมคณะสังคมนะ

“ใครส่งมาเหรอ” ผมถามย้ำ

“.............” ไม่ตอบ

กรรม

ทำไมพี่ตองทำหน้าแบบนั้นล่ะ

“พี่ตองเป็นอะไรอ่ะ” ผมถามเสียงอ่อน “โกรธอะไรชาอ่ะ เกี่ยวอะไรกับรูปนี้หรือเปล่า”

“นี่มันภาพจากเพจของมหาลัย” ในที่สุดคนตัวสูงก็พูดออกมา “ลองดูซิว่าไอ้คนโพสมันเขียนแคปชั่นว่าอะไร”

“แคปชั่น?” ผมก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ลองเปิดอ่านดู



‘ลีดมอมัณฯปีนี้รับสอนแค่เด็กของตัวเอง ทั้งห้องมีแค่เด็กคณะวิทย์กับวิศวะ ไม่บอกก็คงพอเข้าใจนะว่าหมายความว่ายังไง นี่เหรอผู้นำเชียร์บนหอคอยเกียรติยศ #เด็กเส้น’



“ห๊ะ! ใครมันบ้าโพสอะไรแบบนี้” ผมพยายามเปิดเข้าไปดูว่าใครโพสข้อความนี้ แต่เจ้าของเฟสบุ๊คลบบัญชีตัวเองไปแล้ว แต่ไม่นานผมว่าผมพอรู้แล้ว “ต้องเป็นเด็กปีหนึ่งคนนึงที่อยู่คณะสังคมแน่เลย วันนี้ชาเพิ่งเจอกับน้องคนนั้นมา....”

“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นใคร” จู่ๆไอ้คนตัวสูงก็พูดเสียงเข้มต่ำ น้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานแล้วนับตั้งแต่เราสองคนเลิกมองกันเป็นศัตรู “ทำไมถึงทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้”

“ก็...”

“ที่พี่ช่วยแก้ปัญหาให้ มันไม่ทำให้ชาฉุกคิดเลยเหรอว่าพี่พยายามป้องกันปัญหาพวกนี้ แล้วพอพี่เผลอแป๊บเดียว ชาก็รับสอนเด็กคนใหม่อีก ไม่คิดจะปรึกษากันบ้างหรือไง”

“พี่ตอง...”

“แล้วเห็นหรือเปล่าว่ามันเกิดเรื่องขึ้นจนได้ ใครๆจะมองชาว่ายังไง...”

“พี่ตอง*!!!!*” อะไรนักหนาวะ ไม่คิดจะฟังกันบ้างหรือไง มาถึงก็ใส่กูยับเลย “ชาโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ ชาไม่มีสิทธิ์คิดหรือตัดสินใจทำอะไรเองเลยหรือไง”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเราเป็นแฟนกัน พี่ก็จะไม่ใส่ใจหรอก” แล้วไอ้หัวเหม่งก็ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อะไรวะ

ผมพยายามเดินตามเข้าไปในห้อง แต่ก็พบว่าไอ้คนที่เพิ่งโวยวายนอนนิ่งอยู่บนเตียงและหันหน้าเข้าขอบเตียงเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการคุยกับผม

“พี่ตอง” ผมเรียก

“.......” เงียบ

โอ๊ย จะงอนก็งอนไป เหนื่อย ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย

นี่แหละเรื่องที่ผมไม่เก่ง ผมง้อใครไม่เป็นหรอกนะ

เมื่อไม่รู้ว่าควรจะต้องจัดการกับความขัดแย้งนี้อย่างไร ผมจึงเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายไล่ความเหนื่อยล้าออกไปให้สิ้น แต่เมื่อออกจากห้องน้ำมา.....



“พี่ตอง ทำไมไปยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ” ผมถาม ตอนแรกก็นึกว่าจะนอนหลับหน้ามุ่ยไปแล้ว แต่กลับไปยืนนิ่งอยู่ที่โต๊ะเอกสารของผม “ยังโกรธชาอยู่ใช่ไหม”

“......” ก็ยังไม่ตอบอีกเหมือนเดิม แต่กลับมีเสียงถอนหายใจกลับมาแทน

ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆคนตัวสูง ทั้งๆที่ร่างกายยังปกคลุมด้วยแค่ผ้าขนหนูอย่างหลอมๆ

“นี่พี่.... ดูกรอบรูปอยู่เหรอ” ผมถามอีกครั้ง น่าจะใช่นะ ถ้าเดาจากองศาการมอง เหมือนว่าพี่ตองกำลังจ้องกรอบภาพข่าวที่พี่ตองเคยช่วยชีวิตผมจากการจมน้ำซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเอกสาร

“พี่ขอโทษนะครับ” ในที่สุดพี่ตองก็พูดออกมา แต่นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผมคาดว่าจะได้ยินสักเท่าไหร่ จากนั้นพี่ตองหยิบรูปขึ้นมาดู “พี่ผิดเองที่เป็นห่วงชามากเกินไป... รู้หรือเปล่า ทุกครั้งที่พี่เห็นภาพนี้ มันตอกย้ำพี่เสมอว่าชาทำอะไรเพื่อพี่มานานแค่ไหน เพียงแค่การช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆของพี่ครั้งเดียวซึ่งพี่เกือบจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่กับชา ชาตอบแทนน้ำใจเล็กๆของพี่อยู่ในเงามืดมาตลอดหลายปี.... นั่นทำให้พี่ระอายใจ และมันควรเป็นหน้าที่ของพี่ที่จะห่วงใย ปกป้อง และตอบแทนชาบ้าง แต่พี่ก็คงทำมากเกินไป.... พี่ขอโทษนะครับ”

“อย่าพูดแบบนั้นซิ” พอได้ฟังจุดประสงค์ของพี่ตองแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกแย่จริงๆที่ไม่พยายามเข้าใจพี่เขาบ้าง แถมยังไม่คิดจะง้อเลยสักนิด “ชาเองก็ผิดเหมือนกันที่ทำอะไรไม่ปรึกษาพี่ตอง”

“แต่ถึงยังไงพี่ก็ไม่ควรโกรธชาแบบนั้น” พี่ตองวางกรอบรูปและหันประจันหน้ากับผม

“โกรธบ้างก็ได้" ผมบอก "เราเป็นแค่คนธรรมดา มีรัก โลภ โกรธ หลง ขืนไม่ทะเลาะกันบ้าง เดี๋ยวพอเกิดเรื่องไม่เข้าใจกันในวันข้างหน้าจะไม่มีภูมิคุ้มกัน ถึงยังไงชาก็....ไม่อยากเสียพี่ตองไป”

“พี่สงสัยจริงๆแล้วว่าชาติที่แล้วพี่ทำบุญด้วยอะไรถึงได้โชคดีที่มีแฟนที่ดีแบบชา”

“ใครบอกล่ะ พี่ตองไม่ได้โชคดีซะหน่อย ชาทั้งดื้อแล้วก็ง้อใครไม่เป็น แถมชา....มีลูกให้พี่ตองก็ไม่ได้”

“หือ!? ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาละครับ”

“ชาคิดเรื่องนี้มาตลอดนั่นแหละ ความรักกับความจริงมันสวนทางในใจชามาตลอด บางทีชาก็เคยคิดนะว่ามันถูกแล้วเหรอที่เราจะคบกันจริงๆ”

“มันถูกซิครับ ในเมื่อพี่เลือกชาแล้ว จะเป็นยังไง พี่ก็รับได้ทั้งนั้น”

“แต่พี่ตองต้องไม่ลืมนะ ถ้ามองไปถึงในอนาคต ถ้าเราสองคนไม่มีลูกจริงๆ ตอนที่เราแก่ตัวไป ใครจะมาดูแลพี่ล่ะ ไม่ใช่แค่พี่ตองหรอกนะที่อยากตอบแทนชา ชาก็อยากสามารถมีลูกให้พี่ตองเพื่อตอบแทนความรักของพี่เหมือนกัน”

“งั้นเราก็ดูแลกันและกันซิครับ ดูแลกันตลอดไป”

“แต่ว่า...”

“อย่าคิดเรื่องแบบนี้อีกเลยนะครับ ถ้าชาอยากตอบแทนพี่จริงๆ....”

“เดี๋ยวๆๆๆ จะทำอะไรเนียพี่ตอง” จู่ๆไอ้หัวเหม่งก็เปลี่ยนโหมด เพิ่งดราม่ากันอยู่เมื่อกี๊ แต่ตอนนี้มันพยายามจะปลดผ้าขนหนูออกจากตัวผมซะแล้ว

“ไหนบอกว่าอยากตอบแทนพี่ไง”

“มันใช่แบบนี้ที่ไหนกันเล่า... เดี๋ยวซิ เมื่อเช้าก็เพิ่งทำไปไม่ใช่หรือไง” แต่ไอ้คนตัวสูงไม่คิดจะฟังอะไรผมเลย พยายามเข้าจู่โจมแบบไม่คิดชีวิต “พ...พี่ตอง....พี่................................... ขึ้นไปบนเตียงก่อนดีกว่าไหม”



บ้าเอ๊ยยยย

สุดท้ายกูก็ยอมจนได้ หรือว่านี่จะเป็น................









..................วิธีการตอบแทนของผม”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 10 [เสพติด Part 1]
«ตอบ #33 เมื่อ23-08-2018 16:20:58 »

​ตอนที่ 10 : เสพติด









“นี่ไม่ใช่บ้านของผมนะ คุณจอดที่นี่ทำไม”

“ร้านก๋วยเตี๋ยวไง”

“ผมเห็นแล้ว แต่คุณจอดทำไม”

“ก็เรามาร้านก๋วยเตี๋ยว ก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวซิ ไปๆ ลงรถได้แล้ว”

“ด...เดี๋ยวก่อน ไม่ได้นะ...”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่คุณต้องไปส่งผมที่บ้าน ม่ารอทานข้าวเย็นกับผมอยู่ แล้วก็ต้องไปให้อาหารแมวอีก”

“ถามจริง ชีวิตพี่เคยทำอะไรนอกตารางเวลาบ้างหรือเปล่า”

“จะยังไงก็ช่าง ไปส่งผมที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นผมโทรฟ้องน้ำชาจริงๆด้วย”

“หยุดเลยๆๆ”

“คุณ! เอาโทรศัพท์ของผมมานะ”

“ผมไปส่งพี่แน่ๆ ไม่ต้องห่วง ขอเวลาแค่ห้านาที โอเคไหม ไม่เกินนี้แน่นอน รอแป๊บ”

นั่นคือบทสนทนาของผมก่อนจะลงไปจากรถเพื่อตรงดิ่งไปร้านอาหาร



หลังจากได้รับการสอนแต่งหน้าจากพี่น้ำชาแล้ว นี่เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งซึ่งผมใช้พลังงานไปเยอะมากและยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เที่ยง  เพราะต้องทำงานช่วยรุ่นพี่ตัวน้อย แจ้นไปซ้อมว่ายน้ำตอนบ่ายแก่ๆ แล้วก็กลับมาเรียนแต่งหน้าอีก ตอนนี้ก็เลยหิวเป็นพิเศษ

ผมรีบสั่งรายการอาหารกับลุงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว



ระหว่างรอก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นคร่าเวลาดีกว่า



อ้าว! ไม่ใช่เครื่องกูนี่หว่า เผลอถือหยิบโทรศัพท์ของพี่ขนมปังติดมือมาด้วย

หึ ไม่ได้ล็อคเครื่องไว้เหรอ ทำไมไม่ล็อคเครื่องไว้วะ คนแบบนี้ก็มีด้วย

แล้วดูรูปพื้นหลังมีแต่แมวทั้งนั้น ท่าทางจะชอบแมวเอามากๆ ว่าแต่.....

หึหึหึหึหึ

แผนชั่วบังเกิด ผมนี่ก็แปลกเนาะ พอเห็นช่องที่จะแกล้งรุ่นพี่ตัวน้อยนี่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่คิดจะละเว้นเลยสักครั้ง สงสัยจะเสพติดการแกล้งไปแล้ว

ผมจัดการเปิดแอพลิเคชั่นกล้องถ่ายรูป จากนั้นก็ถ่ายหน้าตัวเอง เอาที่แบบว่า ถ้าใครเปิดหน้าจอมาต้องมีตกใจหรือไม่ก็หลอนที่เห็นหน้าผมแน่นอน แล้วก็ทำการตั้งค่าเป็นภาพพื้นหลัง…. เรียบร้อย...



“ได้แล้วครับน้อง” พ่อค้าบอกในขณะที่ผมปฏิบัติการกลั่นแกล้งเสร็จพอดี

ผมรีบชำระเงินแล้วก็วิ่งกลับรถพร้อมด้วยถุงอาหารในมือ



“มาแล้วววว บอกแล้วว่าแป๊บเดียว” ผมพูดทันทีที่เข้ามาในรถ

“โทรศัพท์ของผมล่ะ” รุ่นพี่ตัวน้อยทวงถามทันทีเช่นกัน

“โทรศัพท์?” ผมทำเนียนว่าจำไม่ได้

“ก็โทรศัพท์ที่คุณแย่งผมไปไง”

“อ๋ออออ” หึหึ เนียนไหมล่ะ “อ่ะนี่.... เดี๋ยวๆๆ”

“อะไรอีกล่ะ เอามาซะที”

“พี่เลิกใช้สรรพนามแทนตัวพี่กับผมว่า ‘ผม’ กับ ‘คุณ’ ได้แล้วมั้ง”

“ทำไมอ่ะ ก็ผมชอบเรียกแบบนี้”

“ผมเข้าใจ” เอาจริงๆผมก็ชอบแหละ ผมชอบคนสุภาพ ยิ่งพูดเพราะยิ่งชอบ ไม่งั้นผมคงไม่ชอบพี่น้ำขิงมาก่อนหรอก เพียงแต่... “แต่มันฟังดูห่างเหิน เราก็รู้จักกันประมาณหนึ่งแล้วนะพี่”

“แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”

“ก็...” เปิดช่องมาให้แกล้งขนาดนี้แล้ว เอาซะหน่อยซิ

“ค...คุณจะทำอะไรผมอ่ะ” รุ่นพี่ตัวน้อยพยายามควานหาสลักเปิดประตูรถยนต์อย่างรนรานเมื่อผมเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆเขา นี่ยังกลัวผมอยู่อีกเหรอ ถอยไปจนจะสิงประตูรถอยู่แล้ว “ผม...ผมร้องให้คนช่วยจริงๆนะ”

“ผมไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย” ผมแอบขำในใจ “ผมแค่จะให้พี่ดูหน้าผมชัดๆ แล้วช่วยบอกผมหน่อย คนที่พี่เห็นตรงหน้าชื่ออะไร”

“ก...ก็ โซนิค ไง”

“ก็ใช่ไง พี่ก็เรียกผมว่าโซนิคดิ หรือจะเรียกว่าน้อง หรือจะเรียกว่า....ที่รัก ก็ได้นะ”

“จ...จะบ้าเหรอ ผมจะไปเรียกคุณแบบนั้นทำไม”

หึหึหึหึหึ ว่าแล้วว่าต้องหน้าแดง

“ยังจะเรียกผมว่า คุณ อีก บอกให้เรียกชื่อเฉยๆไง หรือพี่อยากเรียกผมว่าที่รักจริงๆ”

“ใครมันจะไปอยากล่ะ เอาโทรศัพท์มานี่” กรรม มัวแต่แกล้ง เผลอโดนฉกโทรศัพท์คืนไปซะงั้น “ผมจะโทรฟ้องน้ำชาว่าคุณแกล้งผม”

“เห้ย! เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ ผมก็แค่...หยอกนิดเดียวเอง อย่าๆๆๆ อย่าโทรนะครับ อย่าโทรนะคร้าบบบบ ผมผิดไปแล้ว” สถานการณ์เปลี่ยนมาเป็นกูรนรานเองได้ไงวะ เออ ช่างเหอะ ต้องรีบห้ามไว้ก่อน

“ผมจะโทร ผมจะไม่ปล่อยให้คุณมาขู่ผมอีกแล้ว”

“ถ้าโทรผมปล้ำพี่จริงๆนะ”

“ว....ว่าไงนะ”

“อย่าคิดว่าผมไม่กล้าทำนะ ตัวเล็กแค่นี้ พี่โดนผมจู่โจมก่อนที่จะทันได้กดโทรศัพท์แน่นอน” ผมขู่หนักขึ้น

“ย...อย่านะ” คราวนี้คนตัวเล็กถึงขั้นเขย่าสลักเปิดประตูเป็นการใหญ่ คงจะกลัวเข้าจริงๆ

“ยังจะกล้าฟ้องอีกไหม” ผมยังแกล้งต่อ คนตรงหน้าเริ่มหน้าถอดสี “โด่พี่....ผมล้อเล่น พี่จะบ้าเหรอ ใครจะไปกล้าทำอะไรพี่ได้ ผมได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพี่นะ ไม่ใช่มาทำร้ายซะเอง”

“ง...งั้นก็รีบกลับไปส่งผมที่บ้านได้แล้ว” นี่คือยังระแวงอยู่ใช่ไหม

“คร้าบๆ”

พอเลิกแกล้งได้ผมก็ออกรถ พารุ่นพี่ตัวน้อยกลับที่พักของตัวเอง

ชอบทำหน้าแบบนี้ ใครๆมันก็อยากแกล้งทั้งนั้นแหละ





“ถึงแล้วคร้าบบบบบ” เพียงไม่นาน ผมก็มาจอดรถที่หน้าตึกแถวซึ่งก็คือบ้านของคนที่ผมมาส่งนั่นแหละ

“ขอบใจ” รุ่นพี่ตัวน้อยรีบเก็บของแล้วลงจากรถของผมไป

“เดี๋ยวๆๆ” อ้าว เรียกไม่หันเลย ผมก็เลยต้องลงรถตามไปด้วย



“เพื่อนมาส่งอีกแล้วเหรอขนมปัง” อาม่านั่นเอง ท่านยังเก็บกวาดร้านเช่นเคย เธอเห็นผมเข้าพอดี

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้

“มีอะไรอีก” พี่ขนมปังหันมาถามผมด้วยท่าทีกลัวๆเกร็งๆ

“ทำไมพูดกับเพื่อนไม่เพราะเลยขนมปัง” อาม่าเอ็ด อ้อ รู้แล้วว่าใครสอนให้รุ่นพี่ตัวน้อยพูดจาสุภาพแบบนี้ แต่ประโยคเมื่อกี๊สำหรับผมคือไม่ติดละอองฝุ่นของคำว่าหยาบคายเลย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอก “ผมแค่จะเอาเกาเหลามาฝากครับ พอดีขนมปังลงรถเร็วไปหน่อย ก็เลยตามเอามาให้น่ะครับ”

“เอามาให้อาม่าเหรอ” เรียกแทนตัวเองว่าอาม่าจริงด้วยแฮะ

“ครับ” ผมตอบ

“ขอบใจนะลูก น่ารักมากๆเลย” อาม่ารับถุงเกาเหลาจากผมพร้อมกับจับแก้มเบาๆ “หล่อจังเลยนะเรา หุ่นก็ดี.... แล้วกินอะไรหรือยัง” เอิ่ม อาม่าครับ ทำไมเรื่องมันเปลี่ยนเร็วจัง

“ก็...ยังหรอกครับ แต่ผมมีแล้ว” ผมยกถุงเกาเหลาอีกถุงให้อาม่าดู “เดี๋ยวก็จะแวะซื้อข้าวไปกินที่หอครับ”

“ไม่ต้องๆ มากินกับอาม่าก็ได้” อาม่ากล่าวชวนอย่างชื่นมื่น

“ม่า!” แต่รุ่นพี่ตัวน้อยดูจะไม่ชื่นมื่นเท่าไหร่นัก

“ไม่เป็นไรก็ได้ครับอาม่า” เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงรีบออกตัว

“ไม่อึดอัดหรอก มากินด้วยกันดีกว่า จะไปเสียตังซื้อข้าวอีกทำไม อาม่าหุงข้าวไว้เยอะแยะ.... ขนมปังนี่ก็จริงๆเลย ดูทำท่าทำทางเข้า ไม่มีน้ำใจกับเพื่อนเลยนะ”

“เปล่านะครับ ปังไม่ได้ทำท่าอะไรซะหน่อย” ดูความงอแงเป็นลูกแมวของคนตรงหน้าผมซิ เห็นแล้วมันน่าแกล้งจริงๆ

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวขนมปังจะอึดอัดเปล่าๆ ผมกลับไปกินที่หอก็ได้ครับ” ผมยังยืนยัน

“ม...ไม่ได้อึดอัดซะหน่อย” รุ่นพี่ตัวน้อยรีบปฏิเสธพร้อมกับมองผมตาเขียว

“เห็นไหมล่ะ ไปชักสีหน้าใส่เพื่อนแบบนั้น ใครๆก็ต้องคิดว่าเราไม่ต้อนรับทั้งนั้นแหละ” อาม่าเอ็ดหลานชายตัวเองอีกครั้ง “เข้าไปๆๆ ไปกินข้าวกันเถอะ”

อ...อ้าว    ต้องเข้าไปจริงๆเหรอ โดนอาม่าคว้าแขนแล้วลากมานั่งโต๊ะทานอาหารจริงๆ คราวนี้ก็เลยกลายเป็นผมที่อึดอัดเอง



“ต้มจับฉ่าย ผัดถั่วงอก ผัดกระหล่ำน้ำมันหอย” ผมท่องเมนูอาหารที่เห็นตรงหน้าเพื่อลดความตึงเครียด “โอ้โห มีแต่ผักทั้งนั้นเลยนะครับ แล้วไหนจะเกาเหลาของผมอีก”

“กินได้ไหมลูก เดี๋ยวอาม่าไปเจียวไข่ให้ เอาไหม”

“ก...กินได้ครับ” เวรกรรม พูดมากจนจะทำให้คนแก่ลำบากซะแล้วกู “จริงๆผมต้องกินผักเป็นมื้อเย็นอยู่แล้วครับ เพราะผมเป็นนักกีฬา ต้องควบคุมอาหาร แต่เมนูผักแถวนี้หาทานยากครับ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เนื้อกับแป้งทั้งนั้น”

“งั้นก็มากินด้วยกันบ่อยๆซิลูก มาทุกวันเลยก็ได้”

“ม่าครับ” พี่ขนมปังร้องขึ้นมาอีกครั้ง

“เป็นยังไงนะ ขนมปังนิ ทำไมชอบชักสีหน้าใส่เพื่อน เสียมารยาทจังเลย” อาม่าเอ็ดหลานชายเป็นรอบที่สาม จนทำให้ผมอดขำไม่ได้

“หัวเราะอะไร” นั่นไง โดนเลยกู

“ขนมปัง!” คราวนี้อาม่าถึงขั้นลงมือตีหลังมือของหลานตัวเอง

“อ...อาม่าครับ” ผมก็ต้องรีบห้ามซิ จะบ้าเหรอ ทำให้ยายหลานเขาทะเลาะกันได้ไง “ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมเป็นรุ่นน้องของขนมปังครับ โดนดุประจำนั่นแหละครับ”

“ประจำเลยเหรอ?” กรรม ไม่ได้ช่วยทำให้อาม่าคล้ายอาการตำหนิหลานชายตัวเองลงเลย

“คือ...” ผมพยายามหาเหตุผล “มันก็เป็นธรรมดาของรุ่นพี่รุ่นน้องนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ”

“แต่อาม่าไม่ค่อยชอบใจเลยนะที่ขนมปังทำแบบนี้” อาม่าคล้ายว่าจะยอมคลายอาการลง “แล้วนี่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหรอ ชื่ออะไรล่ะลูก”

“ครับ ผมเป็นรุ่นน้องครับ แต่อยู่คนละกันคณะกัน ชื่อโซนิคครับ” ผมตอบ

“อ้าวเหรอ ก็นึกว่าเป็นแฟนขนมปังซะอีก” หือ!?!?! “หรือว่ากำลังจีบกันอยู่”

“ม่า!! ไม่ใช่เลย นี่รุ่นน้องจริงๆ ม่าพูดไรเนีย” เจ้าคนตัวเล็กโวยวาย แต่ผมนี่ดิ ยังอึ้งอยู่เลย

“อาม่าจะไปรู้ได้ยังไง ก็นึกว่ามีคนใหม่แล้ว แล้วพ่อคนที่ชื่อกัซนั่นล่ะ หายไปไหนซะแล้ว”

“ปังบอกม่าไปตั้งหลายทีแล้วไงว่า ปังเลิกกับเขาไปแล้ว”

“แล้วคนหล่อๆที่ชื่อสุ่ยล่ะ ก็เห็นมาบ้านอยู่พักนึงไม่ใช่รึไง”

“นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย นั่นเพื่อนที่คณะของปัง”

“คนนั้นก็ไม่ใช่ คนนี้ก็ไม่ใช่ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนซะที ตัวเองยิ่งบอบบางอยู่ หาผู้ชายดีๆมาดูแลได้แล้ว นี่ไง คนนี้ก็ท่าทางใช่ได้ออก หน้าก็หล่อ หุ่นก็ดี ท่าทางเอางานเอาการ... ว่าแต่ว่า หนูชื่ออะไรนะลูก”

“ซ...โซนิคครับ” ผมตอบอึ้งๆ

“ชื่อภาษาฝรั่งอาม่าจำไม่ค่อยได้ โซ่...เอ่อ...โซนิคใช่ไหม”

“ค...ครับ”

“ชอบหลานอาม่าไหม" ห๊ะ ถามผมว่าอะไรนะ "ขนมปังเก่งงานบ้านนะ อาม่าสอนมาเองกับมือเลย อาหารการกินก็พอจะไปวัดไปวาได้อยู่ ไม่อดตายหรอกลูก”

“ม่า..!!” พี่ขนมปังโวยวายขึ้นมาอย่างเหลืออด คงจะอายมาก “ทำไมเราต้องมาพูดเรื่องนี้กันตอนนี้ด้วยล่ะ นี่เวลาอาหารนะ”

“อาม่าก็หาแฟนให้อยู่นี่ไง....”

“ไม่ต้องหาอะไรทั้งนั้นแหละ กินข้าวได้แล้ว ถ้าม่ายังพูดอยู่ ปังจะขึ้นไปกินบนห้องแล้วนะ”

“อ่ะๆๆๆ ไม่พูดก็ไม่พูด.... ว่าแต่หนูไม่ชอบหลานอาม่าบ้างเหรอ”

“อาม่า!”

“อ่ะๆ กินข้าวๆ”

“ม่าอ่ะ” นี่คือเสียงสบถของรุ่นพี่ตัวน้อย และก็เป็นเสียงสุดท้ายบนโต๊ะอาหาร เพราะหลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบขึ้นทันที



ตอนนี้ในหัวผมว่างเปล่ามากเลย นี่สรุปว่าพี่ขนมปังเขาชอบผู้ชายเหรอ เห็นติ๋มๆ ก็นึกว่าแค่เป็นคนเรียบร้อย แต่นี่มันของจริงเลยนี่หว่า แถมยังเปิดเผยให้คนในครอบครัวรู้อีก

ไปไม่ถูกเลยกู

ผมรีบกินอย่างรวดเร็ว ก็มันเกร็งอ่ะ ได้ล่วงรู้ความจริงของบ้านนี้แล้วทำไมทำให้ตกประหม่าก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ตัวผมเองก็มีอารมณ์ชอบผู้ชายเหมือนกัน ผมควรที่จะรู้สึกปกติด้วยซ้ำ แต่มันไม่ชินจริงๆ นี่เป็นบรรยากาศที่ไม่สามารถเห็นได้ในบ้านของผมอย่างแน่นอน..............





“เอ่อ......ขอโทษนะที่ต้องมาฟังเรื่องแปลกๆที่ม่าพูด”

นี่เป็นเวลาสามทุ่มกว่าที่รุ่นพี่ตัวน้อยเดินออกมาส่งผมขึ้นรถกลับบ้านพร้อมกับอุ้มแมวขนปุยในมือ

“ก็...” ผมไม่รู้จะพูดว่าไง อาจจะเพราะไม่ได้พูดไปนานก็เลยลืมวิธีที่จะพูดมั้ง

“ถ้าคุณ....ไม่สะดวกใจที่จะมาช่วยงานผม เดี๋ยวผมโทรบอกน้ำชาให้ก็ได้นะ ผมเข้าใจว่าบางคนอาจจะรับไม่ได้ที่ต้องมาอยู่ใกล้กับ....คนแบบผม”

คนแบบ...?

“บ้าเหรอพี่” พอเข้าใจในความหมายที่คนตรงหน้าพูด ผมก็เลยรีบปฏิเสธ ผมเองก็มีความชอบที่ต่างจากคนทั่วๆไป คงไม่มีสิทธิ์ไปคอมเม้นใครแบบนั้น “ผมไม่มีปัญหาหรอก พี่กับอาม่าคุยกันได้อย่างเปิดเผยก็ดีแล้ว จริงๆผมว่ามันก็...น่ารักดีออกนะ”

“งั้นเหรอ” พี่เขายิ้มออกมา อืม เวลายิ้มจริงๆจังๆก็ดูสดใสดีนี่นา

“ผมชมแมวพี่ต่างหาก” ฮ่าๆ ว่าแล้วว่าต้องหุบยิ้มและดึงหน้าตึงใส่ผม “เอาเป็นว่าเจอกันพรุ่งนี้นะพี่”

ผมเตรียมตัวขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ

“ยังไงก็...” รุ่นพี่ตัวน้อยพยายามคุยกับผมก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นรถยนต์ “.....ฝันดีนะ”

หึ! “เมื่อกี๊พี่บอกฝันดีผ..... อ้าว...  พี่”

เดินเข้าบ้านไปเฉยเลย

อะไรของเขาวะ รีบจ๊ำอ้าวเข้าประตูบ้านอย่างกับกลัวว่าผมจะจ้องตาแล้วทำให้กลายเป็นหิน เอ.... หรือว่าเขินอีกแล้วกันนะ แต่ก็.......









...........น่ารักดี

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 10 [เสพติด Part 2]
«ตอบ #34 เมื่อ23-08-2018 16:21:50 »

( ต่อ Part 2 )



(มุมของอะตอม)



ฮื่ออออออออ

อยากจะร้องไห้ ทำไมข้อสอบหลักคณิตมันถึงได้ยากขนาดนี้วะ ไม่เห็นจะมีตรงกับที่อดหลับอดนอนอ่านเมื่อคืนนี้เลย



“อะตอม” ไอ้นี่ก็อีกคน เรียกอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่สอบเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาล ถึงจะใช้พลังงานไปกับการสอบมากแค่ไหน ก็ยังต้องมาช่วยงานที่แผนกฉุนเฉินตามที่สัญญากับพี่น้ำชาและหมอพิชิตไว้ แต่ไอ้บ้าแทนมันก็เทียวมาคุยกับผมตลอด ไม่รู้เป็นโรคอะไรนักหนา

“.......” ไม่ตอบเว้ย

“ยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ”

“โกรธอะไร มึงไม่ใช่เหรอที่โกรธกู กูก็ขอโทษไปแล้วไง จะมาอะไรอีก”

“พูดประชดแบบนี้ แปลว่ายังโกรธอยู่ใช่ไหม” รู้แล้วยังจะมาถามอีก “กูรู้นิว่านั่นพี่น้ำชาบังคับ กูไม่ได้อยากให้มึงขอโทษกูซะหน่อย หายโกรธเหอะน่า นะ”

“มึงว่างมากหรือไง ไปทำงานโน่นไป นั่นไง มีรถฉุกเฉินมาอีกแล้ว”

“โอเค” นี่มึงถอนหายใจใส่กูเหรอ “งั้นก็อย่าลืมดูคะแนนด้วยนะ ที่สอบไปอ่ะ คะแนนออกแล้ว”

ห๊ะ!! จริงเหรอ

เอาแล้วไงกู ไม่กล้าเปิดดูคะแนนเลย



ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา หวังจะตรวจดูผลการสอบของตัวเอง แต่....



“น้องค่ะ มาช่วยกันหน่อยเร็ว” จู่ๆก็มีพี่พยาบาลร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง

ผมหันไปที่จุดที่คาดว่าจะมีคนต้องการความช่วยเหลือ ปรากฏพบกับความวุ่นวายที่เตียงผู้ป่วยเตียงหนึ่ง เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงที่ดังกว่าปกติทำให้พอจะเดาได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติบนเตียงนั้น



“กรี๊ดดดดดดด กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



“มาช่วยกันหน่อยเร็ว”

ชิบหายละ มัวแต่อึ้ง

ผมรีบวิ่งไปที่เตียงดังกล่าว พบเด็กสาวคนหนึ่งกรี๊ดลั่นและพยายามดิ้นอยู่บนเตียง

“ขอยาคลายกล้ามเนื้อหน่อย..... หนูๆ ใจเย็นๆ..... ยาได้หรือยัง เตรียมรมยาสลบด้วย..... จับแขนไว้หน่อย.... ใครก็ได้ตามหมอมาที” พี่พยาบาลคนหนึ่งบัญชาการเหตุการณ์อย่างวุ่นวาย

เด็กสาวผมสั้นยังคงกรีดร้องไม่หยุด พยายามใช้มือตีไปที่ใบหน้าของตัวเอง

ความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ จนเมื่อคุณหมอมาและสามารถพาตัวผู้ป่วยคลุ้มคลั่งเข้าไปยังห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งได้

โอ๊ย

ผมเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าตัวเองเจ็บแขน คงเป็นเพราะถูกน้องผู้หญิงคนเมื่อกี๊ตีแขนหลายต่อหลายครั้ง



“เป็นอะไรอ่ะ เจ็บแขนเหรอ” มาอีกแล้ว ไอ้บ้าแทนนี่มันยังไงวะ

“เปล่า” ตอบแค่นี้แหละ

“ไหนขอดูหน่อย”

“ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรไง” ออกไปไกลๆเลยไป ผมผลักไอ้บ้านี่ให้ออกไปห่างๆ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้ผมอีก ผมจึงเดินออกไปจากตรงนั้น



ว่าแต่...

คะแนนเป็นไงบ้างวะ

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้ง เพื่อตรวจดูคะแนนสอบของตนเองในเว็บไซต์



นายธราธิป ไอราพิทักษ์ คะแนน 32% ไม่ผ่าน



“................” ตึงเลยกู ไม่มีวี่แววที่จะใกล้เคียงกับคำว่าผ่านเลย ต้องผ่านที่หกสิบห้าเปอร์เซ็น เอายังไงละทีนี้ เหลือเวลาอีกสองวัน จะสอบผ่านไหมเนีย หรือต้องไปสอบอีกทีปีหน้า.... ว่าแต่....

จู่ๆ ผมก็อยากดูคะแนนของไอ้บ้าแทนซะอย่างนั้น

มันชื่ออะไรหว่า.... อ๋อ อวกาศ ชื่อแปลก จำได้ไม่ยาก



นายอวกาศ  คล้ายจันทร  คะแนน 89% ผ่าน



แม่เจ้า คะแนนมันจะสูงไปไหนเนีย คนบ้าอะไรแม่งเก่งทุกอย่างขนาดนี้วะ

หงุดหงิดจริงๆ โลกแม่งไม่ยุติธรรม มันทั้งหล่อ ทั้งเก่ง แล้วแบบนี้จะเอาอะไรไปแข่งกันมันได้ล่ะ



“แทน” หึ เสียงคุ้นๆ “เป็นไงบ้าง แล้วอะตอมไปอยู่ไหนซะละ” พี่น้ำชานั่นเอง

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” กูก็หลบอยู่ในมุมนี่ไง “เห็นเดินออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหมือนยังจะโกรธอะไรผมอยู่สักอย่าง” อ้าว นี่มึงนินทากูนิ

“อีกแล้วเหรอ” อีกแล้วอะไรพี่น้ำชา พี่ควรจะเข้าข้างผมนะ ดูมันทำตัวดิ น่าหมั่นใส้จะตายไป “อะตอมเป็นแบบนี้แล้ว เอ็งก็คอยแต่ตามใจเพื่อนอยู่ได้ ถามจริง ไม่เบื่อบ้างเหรอ”

“ก็เพื่อนนิครับ ผมก็พอเข้าใจนะครับ เขาขาดแม่ตั้งแต่ยังเด็ก คงไม่มีโอกาสงอแงบ่อยนัก ส่วนผมก็ดูแลแม่มาตั้งแต่เด็กๆเมื่อกัน ก็เลยชินกับการเทคแคร์คนอื่นไปแล้ว”

“งั้นเหรอ ยังไงพี่ขอฝากอะตอมหน่อยนะ พี่คงไม่สามารถ...”



“ฮื่ออออออออ ลูกแม่”

เสียงหนึ่งขัดการสนทนาขึ้นมา



“เป็นอะไรไหมครับคุณแม่” พี่น้ำชาเข้าไปคุยกับหญิงค่อนข้างมีอายุคนหนึ่ง เธอนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉินพิเศษที่เด็กสาวจอมคลุ้มคลั้งเพิ่งจะเข้าไป

“ผมขอตัวไปช่วยทางโน้นก่อนนะครับพี่” ไอ้บ้าแทนรีบวิ่งไปช่วยรถฉุกเฉินคันใหม่ที่มาเทียบจอดหน้าโรงพยาบาล

“...........” ส่วนหญิงคนที่พี่น้ำชาเข้าไปพูดด้วยไม่ยอมตอบอะไร เอาแต่ส่ายหน้าและร้องไห้ออกมา

“มีอะไรปรึกษาผมได้นะครับ ผมเป็นนิสิตช่วยงานของโรงพยาบาลนี้ครับ”

“ลูก...” เธอยอมพูดออกมาแล้ว “ลูกแม่จะเป็นอะไรหรือเปล่า”

“แล้วลูกคุณแม่เป็นอะไรมาครับ” พี่น้ำชาถามตามประสาคนที่เพิ่งเข้ามาเห็นเหตุการณ์

“ลูกสาวแม่ทำร้ายตัวเอง”

“ทำร้ายตัวเอง?”

“ค่ะ เธอควบคุมตัวเองไม่ได้”

“เอ่อ....ครับ” ผมรู้ทันทีว่าพี่น้ำชายังไม่เข้าใจ ผมที่แอบฟังอยู่ตรงนี้ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่เลย

“แม่แค่บอกเขาว่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยออกไปกินข้าวนอกบ้าน เพราะวันนี้แม่ทำของโปรดไว้ให้เขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังแม่เลย เอาแต่ประชดแม่ ทำร้ายตัวเอง จนชัก... ฮื่อ.... แม่ผิดเอง แม่ควรจะพาเขาออกไปแท้ๆ ไม่งั้นก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้”

“เอ่อ... เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อยไหมครับ ที่เขาชอบทำร้ายตัวเองอะครับ”

“ก็ตั้งแต่ที่พ่อเขาเสียไปเพราะถูกรถชน แม่พยายามพาเขาไปเที่ยว หาซื้อของที่เขาชอบมาให้ หวังว่าจะลบเลือนความทรงจำแย่ๆที่ครอบครัวเราเสียเสาหลักไป แต่ไม่ว่าแม่จะทำยังไง ลูกสาวแม่ก็ยิ่งอาการแย่ลงทุกวันๆ”

“คุณแม่ครับ ผมขอพูดอะไรตรงๆได้ไหมครับ... ด้วยผมเองก็สูญเสียพ่อเหมือนกัน ผมจำหน้าของพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าการทำร้ายตัวเองมันคือทางออกเลยนะครับ”

“แต่เขาสนิทกับพ่อมาก เขาเสียใจ แม่ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็อย่างที่เห็น...”

“ผมเห็นครับ ผมเห็นชัดเจนเลยด้วยว่าลูกสาวแม่ไม่ได้เป็นอะไร”

“จะไม่ได้เป็นอะไรได้ยังไง ไม่เห็นเหรอว่าเขาชักไม่หยุด”

“ขอโทษจากใจจริงนะครับคุณแม่ แต่คนที่มีอาการผิดปกติมากกว่าลูกสาวของคุณแม่ตอนนี้ น่าจะเป็นคุณแม่เองนะครับ”

“ว...ว่าไงนะ!?” ความพูดตรงของพี่น้ำชาทำให้ทั้งคุณแม่และผมอึ้งไปเลย

“ผมถามหน่อยได้ไหมครับ ลูกสาวคุณแม่มักจะมีอาการโวยวายหรือคลุ้มคลั่งหรือชักหรือกรีดร้อง ตอนที่เธออยากได้อะไรเป็นพิเศษแล้วไม่ได้ดั่งใจใช่ไหมครับ”

“ก็....” แปลว่าใช่ซินะ จากการสีหน้าแบบนี้ใครๆก็ดูออก

“แล้วคุณแม่ก็ตามใจลูกสาวอย่างหนักหลังจากเสียคุณพ่อไปใช่ไหมครับ”

“แม่ก็ต้องทำซิ เขากำลังเสียใจ”

“คำว่า กำลังเสียใจ ที่คุณแม่พูดถึงนี่มัน... นานแค่ไหนแล้วครับ”

“ก็...ตั้งแต่ขึ้นปอห้าใหม่ๆละมั้ง ม...แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ซึ่งตอนนี้ลูกสาวของคุณแม่เรียนชั้นไหนแล้วครับ”

“กำลังจะขึ้นมอห้า”

“โอเคครับคุณแม่ ผมไม่ใช่หมอนะครับ แต่ว่าผมบอกได้ครับว่าลูกสาวคุณแม่เป็นอะไร”

“แม่ก็รู้ว่าเขามีภาวะทางจิตเพราะเจอเรื่องเสียใจอย่างรุนแรง หมอเคยบอกมาแล้ว แม่ก็ให้เขากินยาตลอด”

“ยาอะไรก็ไม่ช่วยทำให้น้องดีขึ้นหรอกครับ แม่พูดเองไม่ใช่เหรอว่าน้องอาการหนักขึ้นทุกวัน สิ่งเดียวที่น้องเป็นอยู่ตอนนี้ก็คือเสพติดการถูกตามใจมากจนเกินไป และคนที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ” แรงได้อีก

“แต่...”

“คุณแม่ครับ ตั้งแต่เราคุยกันมาเนีย คุณแม่มีเหตุผลมาพยายามแย้งผมตลอดเลยนะครับ แต่ทุกครั้งที่คุณแม่ให้เหตุผล มันก็จะกลับไปที่เรื่องเดิมคือคุณแม่ตามใจเขา น้องอาจจะโชคร้ายที่สูญเสียคุณพ่อ หลายคนก็โชคร้ายที่สูญเสียคนที่ตัวเองรัก แต่สิ่งที่คุณแม่กำลังทำ คุณแม่กำลังพรากการมีชีวิตของน้องไปนะครับ หลังจากที่น้องดีขึ้นในวันนี้ คุณแม่อาจจะกลับไปตามใจน้องแบบเดิมก็ได้ นั่นไม่มีใครมาห้ามคุณแม่ได้อยู่แล้ว แต่น้องจะกลับเข้าโรงพยาบาลแบบนี้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในวันนึงที่คุณแม่ไม่สามารถจะอยู่เพื่อตามใจเขาได้อีกต่อไป น้องจะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้ยังไงโดยปราศจากคุณแม่”

“...............” คุณแม่นิ่งอึ้งไปเลย แล้วเพียงชั่วครู่ เธอก็ร้องไห้อย่างหนักออกมาอีกครั้ง

ถ้าให้ผมเดาจากที่เห็น ผมก็คงจะเดาว่า จริงๆแล้วคุณแม่น่าจะเข้าใจในสถานการณ์อยู่แล้ว แต่ไม่อยากยอมรับ และไม่เคยมีใครมาพูดตรงจุดขนาดนี้

“ผมขอโทษสำหรับการพูดกับคุณแม่ตรงๆนะครับ” พี่น้ำชายังคงพยายามใช้เสียงเรียบๆเหมือนเดิม “แต่น้องควรได้รับภูมิคุ้มกันสำหรับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าได้แล้ว”

“ม...แม่...ควรทำยังไงดี ตอนนี้อาการของเขาก็หนักขึ้น แม่ไม่กล้าขัดใจเขาหรอกนะ”

“มันไม่มีอะไรง่ายหรอกครับคุณแม่ แม่อาจจะใช้เวลาอีกเป็นเดือนเป็นปี อาจจะได้มาที่โรงพยาบาลอีกบ่อยๆ แต่มันก็คุ้มนะครับกับสิ่งที่จะได้กลับมาหลังจากนั้น.... ถ้าคุณแม่นึกภาพไม่ออก ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังครับ... ตัวผมเองใช้เวลาถึงแปดปีในการที่จะได้คุยประโยคแรกกับคนๆนึง คนที่เหมือนจะอยู่ไกลสุดๆจนผมไม่อาจเอื้อมถึง คนที่เขาเกลียดผมเข้าไส้ คนที่ผมเฝ้ามองเขาอย่างชื่นชมมาโดยตลอด แต่แล้วในวันนึง จากความพยายามกว่าแปดปี ตอนนี้ผมได้คุยกับเขาทุกวัน ได้อยู่ใกล้เขาทุกนาทีที่ต้องการ และมีสิทธิ์ที่จะคิดถึงเขาทุกวินาทีที่ใจปรารถนา อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพราะงั้นคุณแม่เชื่อในความพยายามเถอะครับ ถ้าคิดเสมอว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ ทำเพื่อคนที่เรารัก มันจะไม่มีวันเหนื่อยเลยครับ อาจจะมีล้มและเจ็บระหว่างทางบ้าง แต่มันจะเป็นแผลเป็นที่เราภูมิใจทุกครั้งที่ได้มอง เชื่อมั่นในตัวเองไว้ครับ”

“ขอบ....ขอบใจมากนะลูก แม่จะพยายาม”

พี่น้ำชายิ้มให้กับคุณแม่ผู้พรั่งพรูไปด้วยน้ำตา

“เห้อออออ" จู่ๆพี่น้ำชาก็ถอนหายใจ "พอได้คุยกับคุณแม่แบบนี้แล้วก็ทำให้ผมสะท้อนถึงตัวเองเหมือนกันนะครับ... ทั้งๆที่ผมแนะนำคุณแม่ได้อย่างง่ายๆ แต่ผมกลับจัดการเรื่องของตัวเองไม่ได้เลย ตอนนี้ผมรู้จักน้องอยู่คนนึง เขาเป็นเด็กค่อยข้างดื้อ ขี้งอน เอาแต่ใจ แถมยังมีเพื่อนคอยตามใจเหมือนที่คุณแม่ตามใจลูกสาวของคุณแม่นี่แหละครับ”

นี่กำลังพูดถึงเราอยู่หรือเปล่าเนีย...... เออ ก็คงใช่แหละ

“แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง” คุณแม่เป็นผู้ถามบ้าง

“ก็ยังไม่ถึงกับชักหรอกครับ” พี่น้ำชาหัวเราะเล็กๆ บรรยากาศการพูดคุยเริ่มผ่อนคลายขึ้น “แต่ก็พูดยากอยู่เหมือนกัน จริงๆผมว่าจะฝากฝังให้คนอื่นช่วยปรับปรุงนิสัยของน้องคนนี้ไปแล้ว แต่พอมาคุยกับคุณแม่แล้ว ผมกลับมาคิดว่า ในเมื่อผมแนะนำคุณแม่ได้ แล้วทำไมผมถึงไม่ลงมือทำเองบ้าง... เอาเป็นว่า เรามาพยายามไปด้วยกันดีกว่านะครับ”

“จ๊ะลูก ขอบใจหนูมากนะ”

“ยินดีครับคุณแม่”



“ผู้ป่วยสงบลงแล้วค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพิเศษ “คุณแม่จะเข้าเยี่ยมเลยไหมค่ะ”

“เข้าค่ะๆ” คุณแม่รีบตอบ แต่แล้วเธอก็ชะงักและตัดสินใจนั่งอยู่กับที่ “ยังไม่เข้าไปดีกว่าค่ะ ดิชั้นขอนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน ถ้าลูกสาวดิชั้นถามหา ช่วยบอกเขาทีนะคะว่าดิชั้นติดธุระอยู่ที่ที่ทำงาน”

“ด..ได้ค่ะ” พี่พยาบาลดูจะงงๆเล็กน้อย "แล้วถ้าน้องเกิดชักขึ้นมาอีกรอบละคะ"

"ก็....ขอรบกวนคุณหมอด้วยก็แล้วกันค่ะ"

"จะแจ้งคุณหมอให้นะคะ" พี่พยายามเดินกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง



“เองงี้เลยเหรอครับคุณแม่” พี่น้ำชาอึ้งในการตัดสินใจของผู้หญิงที่ตนเองเพิ่งจะให้คำแนะนำไป

“เอาอย่างนี้แหละ” คุณแม่ทำสีหน้ามุ่งมั่น “ถ้าจะเริ่มก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้”

“งั้น... ผมขอตัวก่อนดีกว่านะครับ เห็นคุณแม่แล้วก็อยากจะเริ่มลงมือทำบ้าง ยังไงขอให้ลูกสาวหายไวๆนะครับ”

“จ๊ะ ขอบใจหนูอีกทีนะ”

“ครับบบ สวัสดีครับ” แล้วพี่น้ำชาก็เดินออกมา





“พี่น้ำชา” หลังจากที่ฟังคนอื่นพูดมานาน คราวนี้เป็นคิวของผมบ้าง ผมวิ่งตามที่น้ำชาซึ่งพี่เขาก็คงกำลังตามหาผมอยู่เหมือนกัน

“อ้าว อะตอม พี่หาตั้งนาน อยู่นี่เองเหรอ” พี่น้ำชาเอ่ยถาม

“ครับ พอดีตอมหลบไปทำใจเรื่องคะแนนสอบนิดหน่อยน่ะครับ”

“คะแนนสอบ? อ๋อ หลักคณิตอะเหรอ มันแย่ขนาดต้องไปหาที่ทำใจเลยเหรอ”

“สามสิบสองเปอร์เซ็นครับ”

“อืมมมม คงต้องทำใจจริงๆ.... เอางี้ไหม พี่หาคนมาติวให้ ความจริงพี่ก็อยากสอนให้เองนะ แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย งานลีดมันวุ่นวายมาก นี่ก็ต้องเข้าไปเสนอโครงการอีก”

“ขอบคุณมากเลยครับ แต่ตอมรู้สึกเกรงใจพี่น้ำชามากเลย”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก แต่ถ้าจะเกรงใจจริงๆ ช่วยพี่อย่างนึง”

“ครับ?”

“ช่วยเลิกเป็นคนขี้งอนซะที” เอาแล้วไง พี่น้ำชาเริ่มแล้ว “พี่ก็ไม่อยากจะมาจู้จี้หรอกนะเพราะพี่ก็ไม่ได้เป็น...”

“เข้าใจแล้วครับ ตอมจะเลิกทำตัวแบบนี้”

“ใช่ เพราะพี่.... ห๊ะ.... ว่าไงนะ ทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง”

“ก็พี่แสดงความเป็นห่วงตอมขนาดนี้ ตอมไม่อยากทำให้พี่ต้องมาลำบากใจเพิ่มอีก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆยังไงก็ไม่รู้”

“อย่างงั้นเหรอ... งั้น... ก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าพี่ไปทำธุระของตัวเองดีกว่านะ”

“ครับพี่”

“เดี๋ยวก่อน มีอีกเรื่องนึง รู้ใช่ไหมว่าอะตอมทำตัวงอแงใส่ใครไว้”

“ร...รู้ครับ”

“ไปแก้ไขมันซะ”

“ครับ”

“พี่แค่อยากเห็นน้องของพี่ทั้งสองคนรักกันนะ”

“ครับ!?” หมายความว่าไงละเนีย

“ก็เป็นเพื่อนกันนี่นา ก็ควรรักกันไว้ไม่ใช่เหรอ” อ๋อ เพื่อนรักซินะ แล้วกูคิดไรของกูเนีย

“เข้าใจแล้วครับ”

“งั้นพี่ไปจริงๆแล้วนะ เดี๋ยวส่งคนมาติวให้ เดี๋ยวให้พี่เจสซี่โทรมานัดหมายสถานที่ให้นะ”

“ครับ”



แล้วพี่น้ำชาก็จากไป

ส่วนตัวผมนั้น......



“อ่ะนี่”

“........อะตอม” ไอ้บ้าหน้าหล่อมันทำหน้างงทันทีที่เห็นว่าผมยื่นทิชชู่ให้ “ให้กูเหรอ”

“อืม” ไม่เห็นหรือไงล่ะ “ก็เห็นเหงื่อออก ยังไม่หยุดทำงานเลยไม่ใช่เหรอ เอาทิชชู่มาให้นี่ไง”

“เอ่อ... แต่กูมือเปื้อนโคลนอยู่อ่ะ พอดีกำลังเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุใส่ซิปล็อกอยู่ ไงก็ขอบใจมากนะ เอาวางไว้แถวๆนี้ก่อนก็ได้”

“เหรอ”

“เดี๋ยวๆ จะทำอะไรอ่ะ”

“ก็เช็คเหงื่อให้ไง ติดงานอยู่ไม่ใช่งะ ทำไปดิ”

“เช็คให้กู?”

“เออ ถามมากนะมึงอ่ะ” ไม่เสียเวลาพูดแล้ว ผมเช็ดเหงื่อที่แทบจะท่วมหน้าของไอ้คนตรงหน้าออก มันก็ยังทำหน้างงๆอึ้งๆใส่ผมอยู่นั่นแหละ “มองไร ทำงานไป”

“อ...โอเค” แล้วมันก็หันกลับไปจัดการงานตรงหน้าต่อ



ไอ้นี่เหงื่อออกเยอะเหมือนกันนะเนีย

ที่ผมตัดสินใจมาง้อไอ้บ้าแทน(ไม่รู้แบบนี้เรียกว่าง้อหรือเปล่า)ก็คงเป็นเพราะผมเริ่มสำนึกได้แล้วว่าช่วงนี้ผมทำตัวงี่เง่าแปลกๆ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่รู้ว่าผมหงุดหงิด งอแง หรืออิจฉากันแน่ ผมถึงแสดงพฤติกรรมพวกนี้ออกมา ทั้งๆที่แต่ก่อนผมก็ไม่ใช่คนแบบนี้นะ แต่ช่วงนี้โกรธง่ายไปหน่อย โดยเฉพาะกับคนๆนี้

พอ เลิกคิด

ผมหันมาทำหน้าที่ตัวเองบ้าง วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นวันเทศกาลคนเจ็บหรือเปล่า คนเข้าห้องแผนกฉุกเฉินไม่หยุดเลย ผมเดินถือของไปมาจนขาลากหมดแล้ว..........





เห้ออออออ

หมดแรง

ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องส่วนตัวของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรนะเหรอ ก็พี่น้ำชาไงที่แนะนำให้มา หลังจากช่วยงานที่โรงพยาบาลเสร็จ ระหว่างที่กำลังอาบน้ำอยู่ที่หอ พี่เจสซี่ก็โทรมาและส่งโลเคชั่นบอกให้ผมมาร้านกาแฟร้านนี้ ซึ่งเป็นร้านกาแฟโทนสีดำเข้มๆ แต่ความพิเศษก็คือมีห้องส่วนตัวให้สามารถเช่าได้ เรียกว่า ติวเตอร์รูม



นี่กี่โมงแล้วเนีย.... จะหนึ่งทุ่มแล้วนี่นา พี่น้ำชาจะส่งใครมาติวให้เราหว่า หรือว่าจะเป็นพี่น้ำขิง ลูกพี่ลูกน้องของพี่เขา.....





ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“อ....อ้าว แทน” จู่ๆไอ้บ้าแทนก็เข้ามาในห้อง

“อะตอมเหรอ?” มันพูดพร้อมกับทำหน้างงๆ

“จะมา อะตอมเหรอ อะไรล่ะ กูซิต้องเป็นคนถาม มึงมาที่นี่ทำไม แล้วเข้ามาในห้องนี้ทำไม”

“ก็บั๊ดดี้ของพี่น้ำชาโทรหา บอกว่ามีคนอยากให้ช่วยสอนคณิตศาสตร์ให้”

“ห๊ะ!” นี่อย่าบอกนะว่า “มึงเองเหรอที่จะมาสอนกู”

“ก็.... ถ้ามึงไม่โอเคเดี๋ยวกู...”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้น” นี่ผมกลายเป็นคนขี้เอาแต่ใจไปแล้วจริงๆเหรอเนีย ใครๆก็ชอบทำเหมือนผมเป็นคนง้องแง้งไปซะหมด “ก็มาสอนดิ แต่กู...หัวไม่ดีนะ เมื่อคืนก็อ่านจนเกือบเช้า ได้คะแนนมาแค่.... สามสิบสองเปอร์เซ็นเอง”

“ไม่เห็นจะน้อยตรงไหนเลย สามสิบสองเปอร์เซ็น ทำคะแนนอีกนิดหน่อยก็ผ่านแล้ว”

“นิดหน่อยบ้าไรล่ะ อีกตั้ง...”



“อาหารมาแล้วค่ะ”

พนักงานสาวเข้ามาในห้อง เพื่อเอาอาหารเข้ามาเสิร์ฟ ข้าวผัดกุนเชียงของผมนั่นเอง

“สั่งมาเหรอ” ไอ้แทนถามผม

“ก็.... มันหิวอ่ะ” ก็ตอบเขินๆ ยังไม่ทันได้ติวเลย มาถึงผมก็สั่งอาหารก่อนเลย

“โอเค กินก่อนก็ได้” ไอ้คนตรงหน้าผมหันไปหาพนักงานสาว “ผมขอแบบนี้อีกทีนึงครับ”

“ข....ขอ.....แบบ....”

อะไร พี่สาวครับ พี่เป็นอะไรไม่ทราบ อยู่ดีๆก็เป็นโรคตอบสนองช้าซะอย่างนั้น ตอนผมสั่งก็เห็นดีๆอยู่เลย

อ้อ  รู้ละ เห็นหน้าไอ้แทนนี่เอง

“พี่ครับ ขอข้าวผัดกุนเชียงอีกหนึ่งครับ” ผมพูดดึงสติพนักงาน จะหลงในความหล่อเท่ของมันผมไม่ว่าหรอก แต่ส่งอาหารมาให้ผมก่อน แล้วก็รีบไปทำงานของตัวเองได้แล้ว

“ค...ค่ะๆ” เธอรนราน

“เดี๋ยวครับ” ผมรีบเรียก “ข้าวของผมไม่ใช่เหรอ”

“อ๋อ” จะถือออกไปซะงั้น “ข...ขอโทษค่ะ”

ในที่สุดผมก็ได้จานอาหารของตัวเอง ก่อนที่สาวเจ้าจะเดินเขินๆชายตามองไอ้แทนออกไป ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุก็แค่หยักไหล่ให้ผม

เออ มึงมันหล่อมากกกกกก อย่าให้พวกผู้หญิงรู้ก็แล้วกันว่ามึงมันขี้แกล้งแค่ไหน



“ขอกินก่อนละกัน” ผมบอก

“ตามสบาย” มันตอบ



โอเค ได้นั่งกินอาหารเป็นเรื่องเป็นราวซะที



#เสียงโทรศัพท์



“ครับแม่” อ๋อ แม่ไอ้บ้าแทนโทรมาหานี่เอง “.......คงต้องไปพรุ่งนี้เช้าครับ วันนี้ผมต้องสอนเลขให้เพื่อน”

เดี๋ยวๆ หมายถึงกูเหรอ ว่าแต่.... จะไปไหนวะ

“.....ครับ ต้องไปอยู่แล้วครับ แม่ดูแลเธียร์เถอะครับ”

“........”

“ครับแม่ สวัสดีครับ รักแม่นะครับ” แล้วมันก็วางสาย



น่าอิจฉาจัง ได้บอกรักแม่ด้วย

“ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้นอ่ะ” คนที่นั่งตรงข้ามผมถามขึ้น

“เปล่า” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ

“คิดถึงแม่เหรอ” แต่ก็หลบความฉลาดของมันไปไม่ได้

“ก็....ไม่รู้ดิ จะบอกว่าคิดถึงก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะยังไม่รู้เลยว่าแม่อยู่ที่ไหน”

“ไม่ต้องเศร้าหรอก บอกแล้วไงว่าจะช่วยตามหา.... ที่หน้าอ่ะ...” ห๊ะ อะไร

“อะ....อะไร”

“ข้าวติดมุมปาก” ไอ้บ้าแทนพูดหน้าตาเฉย ทั้งๆที่เพิ่งจะใช้นิ้วปัดเมล็ดข้าวที่ติดริมฝีปากของผมออกไป

“มึงทำบ้าอะไรของมึงเนีย” บางทีมึงก็เสพติดการเอาใจคนอื่นมากไปนะ “เรื่องแบบนี้ ผู้ชายด้วยกันเขาไม่ทำให้กันหรอกนะ”

“หมายถึง?” ยังจะมาทำหน้างงอีก “อ๋อ ที่เช็ดปากเมื่อกี๊อะเหรอ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ที่ญี่ปุ่นเขาก็ทำเป็นเรื่องปกติ กูไม่ถือหรอก”

“กูต้องเป็นพูดว่าไม่ถือ ไม่ใช่มึง แล้วที่นี่ประเทศอะไร ไม่ใช่ญี่ปุ่นนะเว่ย”

“คิดมากน่า ก็เราสนิทกันแล้วนิ แค่เช็ดข้าวที่เปื้อนเอง วันหลังถ้าข้าวเปื้อนปากกูแล้วมึงเช็ด กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ทำได้เลย”

“เออ กูยอม” ขี้เกียจจะเถียง “ว่าแต่..... มึงต้องไปทำธุระอะไรหรือเปล่า ที่คุยกับแม่เมื่อกี๊อ่ะ”

“เอาดอกไม้ไปไหว้พ่อน๊ะ”

“พ่อ?”

“ใช่ ไหว้หลุมศพของพ่อ มันก็ไม่ใช่หลุมศพหรอก เป็นที่ๆพ่อจากไปมากกว่า”

“งั้นมึงจะไปก็ได้นะ กูไม่อยากเป็นเหตุผลที่รั้งให้มึงต้องทำเรื่องสำคัญแบบนี้”

“ไม่หรอก ไม่ได้ไกลขนาดนั้น ไปพรุ่งนี้ก็ได้ พอดีแม่ต้องไปงานประชุมผู้ปกครองของน้อง ก็เลยไปไม่ได้ปีนี้ ทุกปีเราแค่ไปวางดอกไม้ระลึกถึงพ่อเท่านั้นเอง พรุ่งนี้สายๆค่อยไป แล้วก็กลับเย็นๆ”

“งั้นก็ต้องไปกลับคนเดียวอะดิ”

“ก็คงงั้น เดี๋ยวคืนนี้จะกลับไปเช็ควิธีเดินทางอีกที ไม่ได้เดินทางด้วยรถทัวร์นานแล้ว”

“งั้น.... กูไปเป็นเพื่อนไหม”

“......” ไอ้คนตรงหน้ามองหน้าผมอึ้งๆนิดหน่อย

"ทำไม ซึ้งเหรอ จะขอบใจกูก็ได้นะ" ผมแหย่

“จะไปลำบากทำไม ไม่สนุกหรอกนะ”

“ไม่ได้จะไปสนุกอยู่แล้วนิ ก็มึงขึ้นรถไม่เป็นไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวขึ้นผิดคันก็ไม่ได้กลับมามหาลัยกันพอดี ยังไงมึงกับกูก็ยังเป็นคู่แข่งกันอยู่”

“แล้วไม่ห่วงเรื่องสอบหรือไง”

“งั้นมึงก็ตั้งใจสอนกูดิ ถ้ากูผ่านกูจะได้ไม่ห่วง”

“ครับผมมม จะพยายาม..... แล้วทำไมจู่ๆถึงอยากจะไปด้วยกันอ่ะ”

“ก็มึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราสนิทกันแล้ว มันก็เป็นแค่.................









..............เรื่องที่คนสนิทจะทำให้กันได้”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ยังรออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ  :katai5:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 11 [หันหลัง Part 1]
«ตอบ #37 เมื่อ14-09-2018 12:37:28 »

คำสารภาพบาป

ขอโทษนะครับที่หายไปนาน เหตุผลง่ายๆมีแค่สองข้อเท่านั้น
1.เอเชียนเกมส์ - ถ้าอยู่ในช่วงมหกรรมกีฬา ผมจะไม่มีสติหรือสมาธิในการเขียนอะไรทั้งนั้น ขออภัยในความบ้ากีฬาของผมเป็นอย่างยิ่ง (แฮ่ๆ)
2.งานเข้า - งานประจำของผมมีจัดฝึกอบรมและประชุมมาสองสัปดาห์ติดแล้ว แทบจะไม่มีเวลาหายใจเลย

เพื่อชดเชยความผิดที่ผมทิ้งการเขียนไปนาน จึงขออนุญาตลงตอนใหม่ที่ยาวกว่าปกติหน่อย ขอให้สนุกนะครับ และติดตามต่อไปด้วยนะ จะพยายามเขียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ

..............................................

ตอนที่ 11 : หันหลัง









“โซนิค......”

“.............” ใครเรียกเนีย ขอนอนก่อนไม่ได้หรือไง

“โซนิค”

“อือ....” ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา

“อะนี่ ผ้าเช็ดตัว” อ่อ นึกว่าใคร พี่ขนมปังนั่นเอง “ไหวหรือเปล่า”

“ว...ไหวพี่” ผมตอบ ก่อนจะยันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับเอื้อมมือไปรับผ้ามาเช็ดหัว แต่....

“ไหนบอกว่าไหวไง แค่แรงจะหยิบผ้าเช็ดตัวยังไม่มีเลย” คนตรงหน้าเอ็ดผม แล้วรุ่นพี่ตัวน้อยก็ก้มหยิบผ้าเช็ดตัวที่หล่นขึ้นมาเช็ดศีรษะให้ผม “ซ้อมหนักไปหรือเปล่า ขนาดตัวเปียกยังเผลอหลับข้างสระว่ายน้ำได้ แบบนี้จะไม่แย่เหรอ”

“ผมก็แค่พักสายตาน่า” ผมแก้ตัว

“พักสายตาแต่มีเสียงกรนเนี่ยนะ ผมเดินไปหยิบผ้ามาให้คุณยังไม่ถึงห้านาทีเลย หลับเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้แล้วยังจะมาปากเก่งอีก”

“บ่นเป็นชุดเชียวนะครับบบบ นี่เป็นรุ่นพี่หรือเป็นแฟนผมไม่ทราบครับ” ผมแกล้งแซวอีกครั้ง น่าจะรอบที่ร้อยแล้วมั้ง แต่ก็ได้ผลทุกที รุ่นพี่ตัวน้อยยังหน้าแดงเสมอ

“บ้า” อ้าว ทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้บนหัวผมซะงั้น

“เดี๋ยวๆๆ แล้วพี่จะไปไหน” ทำเป็นจะเดินหนี เขินอะดี๊

“ก็ไป.....” ดูซิจะแก้ตัวว่าอะไร “ไปเอาสถิติเวลาของคุณมาให้ดูไง”

“แล้วไอ้ที่อยู่ในมือของพี่ไม่ใช่ตารางเก็บคะแนนเวลาของผมเหรอ”

“ก....ก็ใช่” หึหึ

“แล้ว?”

“ก็...ลืมไง.... เวลาของคุณก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่มีตก ถ้าไม่ว่ายติดต่อกันมากเกินไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าทำได้แบบนี้ การคัดตัวคงไม่มีปัญหา”

“พี่ไม่ได้กำลังเปลี่ยนเรื่องเพราะเขินใช่ไหม”

“นี่!!...”

“ครับบบบบ ไม่แกล้งแล้ว” ผมทำทีเป็นยอม  “แต่พี่เขินบ่อยๆก็ได้นะ.... น่ารักดีออก”

“คุณ!!”

“ก็แค่ชม อ่ะๆๆ ผมขอดูตารางคะแนนหน่อยดิ”

“เอาไปเลย.... เสร็จแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วนะ จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว”

“เดี๋ยวๆ นี่พี่ยังจะไปไหนอีก”

“ไปดื่มน้ำ”

“อ๋อ โอเคครับ เชิญครับ”

แล้วพี่ขนมปังก็เดินเขินๆออกไป ท่าทางจะยังเขินไปหาย



เอาจริงๆนะ ถ้าผมไม่ได้ชอบพี่น้ำชาอยู่ ผมคงเปิดหัวบุกรุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้แบบจริงจังกว่านี้ ถึงจะไม่ได้น่ารักแบบพี่น้ำชา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่มีรอยยิ้มและริมฝีปากที่ชวนให้มอง ตัวก็เล็กๆ จัดฟันแบบเด็กเนิร์ด แถมยังสุภาพอย่างที่ผมชอบ ยิ่งเวลาเขินยิ่งน่าฟั๊ด

พูดถึงเรื่องสุภาพ ผมเริ่มรู้สึกผิดหวังกับพี่น้ำชานิดหน่อย ถึงแม้พี่น้ำชาก็หน้าตาเหมือนพี่น้ำขิงซึ่งผมแอบชอบในความสุภาพอ่อนหวานของพี่เขา แต่ดูเหมือนว่าพี่น้ำชาจะมีนิสัยที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับที่คาดหวังไว้อย่างชัดเจน พี่เขาไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ ออกจะห้วนด้วยซ้ำ ไม่พยายามสุภาพ แถมดุและมีความเจ้าเล่ห์ในความฉลาดที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้

เห้ออออออ เริ่มแอบสองจิตสองใจแล้วว่าจะลุยต่อเรื่องความรู้สึกที่มีต่อพี่น้ำชาดีหรือเปล่า แล้วก็ที่สำคัญเลย รู้สึกว่าโอกาสที่ผมจะได้ทำความรู้จักและใกล้ชิดกับพี่เขาแบบสองต่อสอง ช่างหาได้อยากเหลือเกิน ผิดกับพี่ขนมปัง พี่ผมได้ใกล้ชิดตลอด ใกล้ชิดจนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังระดับหนึ่ง และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมก็คิดว่ารุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้จะแอบมีความรู้สึกเล็กๆบางอย่างเป็นสัญญาณมาให้ผมเห็นตลอด นี่ถ้าเขารู้ว่าที่ผมยอมมาใกล้ชิดกับเขาในตอนแรกเป็นเพราะมีจุดประสงค์จะเข้าหาคนอีกคน มันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเขาหรือเปล่าน้า

ช่างมันเหอะ อย่าเพิ่งสนใจเลย ดูตารางคะแนนก่อนละกัน สนใจเรื่องตรงนี้ก่อน

ผมก้มลงมองตารางสถิติที่พี่ขนมปังช่วยจับเวลาในขณะที่ผมว่ายน้ำมาตลอดสองชั่วโมงช่วงเช้ามืด

มีการทำค่าเฉลี่ยเวลากับข้อสังเกตให้ด้วย รู้สึกว่าจะแอบใช้สูตรฟิสิกส์กับการออกกำลังของผมนิดหน่อย ถึงผมจะดูไม่รู้เรื่องแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามีการคำนวนเกี่ยวกับการว่ายน้ำของผม นอกจากจะตื่นมาเฝ้าผมว่ายน้ำแต่เช้าแล้วยังจะอุตส่าเป็นธุระช่วยโค๊ชการซ้อมให้อีก จะแสนดีไปถึงไหน..... นั่นไง คิดถึงรุ่นพี่ตัวน้อยอีกแล้ว

พอๆๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า



นี่คือวันสุดท้ายของการช่วยงานพี่ขนมปังแล้ว พรุ่งนี้คือวันบล็อกกิ้งที่คณะนัดหมายไว้ ซึ่งตอนเย็นของวันพรุ่งนี้ผมจะได้พบกับพี่น้ำชาแบบเต็มๆ และอาจจะยาวนานถึงคืน คงจะฟินน่าดู ถ้าโชคอำนวยอวยชัย ผมอาจจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการสารภาพความรู้สึกด้วยก็ได้ อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจัง

แต่ก็.... ถ้าถึงพรุ่งนี้จริงๆ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้จริงๆ นั่นก็แปลว่า ผมกับขนมปังก็จะ...



“....ไม่ยักรู้ว่าว่ายน้ำเป็นด้วยนะปัง”

หือ??? เสียงใครหว่า เหมือนว่ากำลังคุยอยู่กับพี่ขนมปัง

ผมบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างที่กำลังเดินออกจากสระว่ายน้ำไปห้องล็อคเกอร์

“ก...กั๊ซ” นี่คือเสียงของพี่ขนมปังซินะ ผมค่อยๆเดินไปดูที่โถงระหว่างทางเดิน มันเป็นจุดที่มีไว้สำหรับตู้น้ำดื่ม ผมแอบดูอยู่หลังกระถางต้นไม้สูง “ม...มาทำอะไรที่นี่อ่ะ”

“มาหาปังไง” คู่สนทนาอีกคนตอบ มาหาทำไมวะ? “ได้ข่าวว่าช่วงนี้ปังมาที่นี่ตอนเช้า ไม่นึกว่าจะเจอจริงๆ เป็นไงบ้างสบายดีไหม ยังน่ารักเหมือนเดิมนะ”

!!!!! อะไรคือการเอ่ยปากชมวะ

“ขอร้องเถอะกั๊ซ เลิกยุ่งกับเราได้แล้ว”

นี่มันใช่บทสนทนาปกติหรือเปล่านะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผมรู้สึกหงุดหงิดในใจบอกไม่ถูก

ผมพยายามมองดูหน้าไอ้คนที่มาสนทนากับขนมปัง หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ อาจจะดูตัวโตกว่ารุ่นพี่ตัวน้อยหน่อย แต่หน้าโบกแป้งจนเทาแบบนี้ ดูมุมไหมก็บอกได้ทันทีว่าไม่ใช่ชายแท้หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงแน่ๆ

แล้วมันมายุ่งกับรุ่นพี่ตัวน้อยทำไมวะ แต่เอ....? ชื่อกั๊ซนี่มันคุ้นๆอยู่นะ

เดี๋ยวนะ! นั่นมันชื่อแฟนเก่าของขนมปังนี่หว่า จำได้ว่าอาม่าเคยพูดถึงชื่อนี้

“อย่าพูดแบบนั้นดิปัง เรามันก็คนเคยๆกันอยู่” เดี๋ยวๆๆๆ มึงพูดว่าอะไรนะ ไอ้หน้าเทา ถึงมึงจะเป็นแฟนเก่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาพูดอะไรก็ได้นะเว้ย

“หมายความว่าไง” ใช่เลยพี่ขนมปัง โวยวายไปเลย

“ก็จะหมายความว่าไงละ อย่าบอกนะว่าปังลืมรสชาติของเราไปแล้ว นี่ไง เราก็มาหาแล้วนี่ไง” ไอ้สัดเอ๊ย ถ้ามึงพูดอะไรแนวนี้อีกครั้งเดียว ก็จะไม่ทนแล้วนะ

“อย่าบ้าน่ากั๊ซ เราจบกันไปแล้วนะ แล้วพูดจาแบบนี้ มันสมควรซะที่ไหน”

“ทีแต่ก่อน เราพูดแบบนี้ ปังไม่เห็นจะว่าอะไรเราเลย เราก็เพิ่งห่างกันแป๊บเดียวเอง ลืมเรื่องของเราหมดแล้วเหรอ”

“เราไม่ลืมหรอกกั๊ซ เราจำได้ดีว่ากั๊ซบอกเลิกและเดินออกไปจากชีวิตเราเอง โดยไม่แยแสความรู้สึกเราเลย และไม่พยายามเข้าใจเราเลย”

“ก็ตอนนั้นเราโกรธ เราถึงมาที่นี่เพื่อมาขอโทษปังนี่ไง ปังก็รู้ว่าเราขี้หึงแค่ไหน เราแค่อยากอธิบายให้ฟังว่า ตอนนั้นพอรู้ว่าปังจะมาเป็นบั๊ดดี้ให้ลีดมหาลัย เราหึงไปหน่อย ก็เลยทำอะไรไม่คิด แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วนะ เรากลับมาคบกันเหมือนเดิมเถอะนะ นะปังนะ”

“เราอาจจะดูไม่ฉลาดนะกั๊ซ แต่กั๊ซคิดว่าเราจะเชื่อข้ออ้างที่กั๊ซพูดเหรอ กั๊ซไม่ได้หึงที่เราไปเป็นบั๊ดดี้ให้ข้าวเจ้า แต่กั๊ซโกรธที่จะไม่มีคนรองมือรองเท้าให้กั๊ซเรียกใช้งานต่างหาก กั๊ซโกรธที่เราจะไม่สามารถอยู่คอยรับใช้กั๊ซได้ตลอดเวลาเหมือนเดิม”

“โถ่ ปัง ใครบอกปังละว่าเราคิดแบบนั้น เราหึงปังจริงๆนะ ใครๆก็รู้ทั้งนั้นว่าลีดมอหน้าตาดีกันขนาดไหน คนที่จะปล่อยให้แฟนตัวเองไปอยู่กับคนพวกนั้น ก็คงเสียสติแล้วล่ะ”

“คนที่เสียสติคือเราต่างหาก ตอนที่ถูกกั๊ซบอกเลิก เราคิดว่าตัวเองเสียใจมากแล้ว แต่พอเรามาคิดได้ว่าเราทุ่มเทความรักของเราให้กับคนที่ไม่เห็นค่าแบบนั้น เรายิ่งรู้สึกเสียใจจนแทบจะเสียสติ แต่ตอนนี้เราได้สติดีแล้ว และเราจะไม่กลับไปเจอเรื่องแบบนั้นอีกเด็ดขาด”

“ปังถึงพยายามหลบหน้าเราใช่ไหม ไม่ติดต่อเราเลย” ไอ้หน้าเทา จู่ๆก็ของขึ้น มันคว้าแขนของพี่ขนมปังเข้าไปหาตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกคว้าก็เริ่มมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าถูกกระทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ “ปังทำแบบนี้กับเราได้ไงวะ นี่ไม่เห็นความสำคัญของเราเลยใช่ป่ะ เราอุตส่าตามมาง้อขนาดนี้แล้ว ยังจะทำลีลาอยู่ได้ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย หรือว่าปังแอบไปมีคนอื่นแล้ว ห๊ะ แอบไปมีคนอื่นแล้วใช่ไหม ไหนพูดมาดิ”



“เออ กูนี่แหละคนอื่นที่มึงพูดถึง” ในที่สุดกูก็หมดความอดทน

ผมแสดงตัวออกมาจากมุมที่หลบอยู่ทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดว่ายน้ำกับผ้าเช็ดตัวผืนเดียว “ปล่อยมือมึงจากขนมปังเดี๋ยวนี้”

“น...นี่ใครอ่ะปัง” ไอ้หน้าเทายอมปล่อยมือจากรุ่นพี่ตัวน้อยและล่าถอยออกไปนิดหน่อย แสดงถึงความกลัวอย่างชัดเจน โถ นึกว่าจะแน่ พอเจอคนตัวใหญ่กว่าหน่อยก็หงอ ใจตุ๊ดของแท้เลย แบบนี้ต้องเจอกู

“มึงอยากเจอแฟนใหม่ของขนมปังไม่ใช่เหรอ” เอาซิวะ เรื่องขู่ กูไม่แพ้ใครอยู่แล้ว แต่ถึงจะมีเรื่องกันจริงๆ อย่างไอ้หน้าเทานี่ไม่ละคายผิวหนังกำพร้าอยู่แล้ว ผมเดินไปขั้นกลางระหว่างการสนทนา “กูนี่ไงแฟนใหม่ มีปัญหาอะไรไหม”

“จ....จ....จริงเหรอปัง” ถ้าจะกลัวขนาดนี้ มึงจะวิ่งหนีไปเลยก็ได้นะ ไม่ต้องทำเป็นกล้ายืนเผชิญหน้าอยู่ตรงนี้ก็ได้

“เออ กูก็พูดอยู่เนีย หูหนวกหรือไง” ผมตะหวาดใส่ทันที เอาให้แม่งสะดุ้งโหยงไปเลย

“ง...งั้นก็ด...ดีใจด้วยนะ ฝ....ฝากดูแลฟ...แฟน....”

“มึงพูดว่าอะไรนะ แฟนใคร พูดดีๆนะมึง”

“ม...หมายถึง ฝากดูแลขนมปังด้วยนะ.... แฟนใหม่ของปังหล่อดีนะ ง....งั้นขอตัวก่อนนะ”

“เดี๋ยว” มึงจะมาจะไปแบบลอยหน้าลอยตาอย่างงี้ไม่ได้ ฟังคำขู่อย่างเป็นทางการจากกูก่อน “วันหลังอย่ามายุ่งกับขนมปังของกูอีก” ผมคว้ารุ่นพี่ตัวน้อยที่ยืนหลบอยู่เบื้องหลังมาโอบเอว “ไม่งั้นเราได้เห็นดีกันแน่”

“อ....โอเค”

แล้วไอ้หน้าเทาที่เคยทำเป็นอวดเก่งก็ได้ทำการเดินเร็วสี่คูณร้อยออกไป



“ป...ปล่อยได้แล้ว” พี่ขนมปังเอ่ยขึ้นจากนั้นไม่นาน

“เดี๋ยวมันก็มารังแกพี่อีกหรอก” ผมยังไม่วายที่จะทำเป็นแกล้ง

“วิ่งออกไปขนาดนั้น คงไม่กลับมาแล้วล่ะ” แล้วก็หลุดออกจากเงื้อมมือของผมจนได้ “ข...ขอบใจนะที่เข้ามาช่วย แต่... พูดแบบนั้น คุณจะไม่เสียหายเหรอ”

“เสียหายอะไรกันพี่ แค่นี้เอง ผมมีหน้าที่ต้องปกป้องพี่อยู่แล้ว”

“แต่กั๊ซอาจจะเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อก็ได้นะ โกหกไปแบบนั้น คุณจะไม่เสียหายจริงๆเหรอ เพราะถ้าคนอื่นเข้าใจผิดว่าคุณเป็นแฟนกับคนอย่างผม อาจจะ...”

“คนอย่างพี่? มันทำไมวะ”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องปกตินี่นา”

“ทำไมชอบคิดในแง่ไม่ดีกับตัวเองตลอดเลยอ่ะ ไหนดูหน้าดิ” ผมจับค้างของผมตรงหน้าให้แหงนมาสบตาผม “พี่ก็ไม่ได้มีหัวผักกาดงอกออกมาจากหน้าซะหน่อย นิสัยก็ไม่ได้เลวร้าย ถ้าคนมันจะเข้าใจว่าผมกับพี่เป็นแฟนกันแล้วมันจะทำให้ผมเสียหายยังไง ไม่ปกติยังไง ไหนบอกมาดิ”

“แต่ผมกับคุณ....”

“ผมกับพี่ทำไม?”

“ร...เราดูไม่เหมาะสมกัน คุณที่ถูกชมว่าหน้าตาดีตลอด ส่วนผม...”

“เนี่ยนะเหตุผล โคตรฟังไม่ขึ้นเลยพี่ พี่ฟังไว้ตรงนี้เลยนะ พี่น่ารักที่สุดสำหรับผม และถ้าใครบังอาจมาดูถูกว่าพี่หน้าตาไม่ดีให้ผมได้ยิน ผมจะซัดมันให้ดู เพราะงั้นพี่ควรจะเลิกดูถูกตัวเองได้แล้ว โอเคนะ”

“...........” คนตรงหน้าผมไม่ตอบ แต่ก็แสดงท่าทีว่าเข้าใจ พร้อมกับหน้าแดงเขินๆ

“ถ้าไอ้แฟนเก่าของพี่มารังควานอีก รีบบอกผมเลยนะ ผมจะตามไปเก็บมันถึงที่เลย”

“พอเถอะน่า เขาคงไม่กล้าหรอก คุณเล่นขู่เขาไปขนาดนั้น”

“แล้วไปเคยคบกับไอ้คนแบบนี้ได้ไงวะพี่ ดูยังไงก็พวกเห็นแก่ตัว แค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตาแล้ว คนอะไร โบกแป้งจนหน้าเทาตั้งแต่เช้า เขียนคิ้วซะใหญ่เป็นลูกชิ้นปลาเลย”

“ผมไม่ได้มีทางเลือกในชีวิตมากมายขนาดนั้นหรอกนะ”

“อีกแล้ว พูดแบบนี้อีกแล้ว พี่มีสิทธิ์ที่จะเลือกใครก็ตามเหมือนๆกับทุกคน ไม่ใช่ว่าเห็นใครเข้ามาในชีวิตหน่อยก็ตอบตกลงเขาไปหมด แล้วเป็นไงล่ะ เลือกแฟนไม่ดูตาม้าตาเรือ ได้ไอ้คนแบบนี้เนี่ยนะ”

“ใช่ คุณพูดถูก ผมได้บทเรียนเรื่องนี้แล้ว ผมถึง....” จู่ๆก็เงียบ แวบหนึ่งที่ผมเหมือนจะจับสังเกตได้ว่าหางตาของพี่เค้าเหลือบมาที่ผม “....ไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆ”

“เอ่อ.... พี่ คือว่า...” เอาแล้วไงกู นี่ผมไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ ผมเองก็ผ่านเรื่องความรักมาพอสมควร จากพฤติการณ์ที่คนตรงหน้าแสดงออก ค่อนข้างชัดเจนว่าเขามีความรู้สึกบางอย่างกับผมจริงๆ

“ผมไปรอหน้าอาคารนะ” จู่ๆพี่ขนมปังก็ตัดบทของผม “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แล้วก็สัมภาระบางส่วนผมเอาออกมาให้แล้ว”

“ด....เดี๋ยว...”

รุ่นพี่ตัวน้อยเดินออกไปโดยเมินการเรียกของผม

ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างดูพี่เขาเดินก้มหน้าจากไปพร้อมกับของพะรุงพะรังในมือ



........โอเค ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ แล้วค่อยออกมาเคลียร์ปัญหาคาใจนี้



ระหว่างการอาบน้ำ ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะในหัวคิดถึงแต่สีหน้าของขนมปังที่เพิ่งจะได้เห็น หรือว่าจริงๆแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เกิดมาจากการเล่นสนุกจนเกินเลยของผมเอง ผมกำลังทำให้คนๆหนึ่งมีความหวังอยู่หรือเปล่า แล้วตัวผมล่ะรู้สึกยังไง ผมชอบพี่น้ำชาจริงๆเหรอ หรือว่าผมแค่ชอบคนที่หน้าตาเหมือนพี่น้ำขิงเท่านั้น แล้วจริงๆผมรู้สึกกับขนมปังอย่างไร คำถามมากมายวิ่งเต็มหัวไปหมด

เห้อออออ กูมาเดินคอตกอย่างงี้ได้ไงเนีย



“ขอโทษที่มาส่งหนังสือช้านะครับ เมื่อวานมีงานยุ่งนิดหน่อย ก็เลยลืมไปเลยครับ”

เสียงใครคุ้นๆ ดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากอาคารหลังเสร็จธุระทั้งหมดแล้ว

“พ...พี่น้ำชา” ผมเรียกคนที่เห็น พี่น้ำชานั่นเอง พราเขาเพิ่งคุยบางอย่างกับเจ้าหน้าที่สระว่ายน้ำเสร็จ

“อ้าว โซนิค” พี่เขางงๆนิดหน่อยที่เห็นผม “มาทำอะไร... อ๋อ มาซ้อมว่ายน้ำซินะ พี่นี่โง่จริง ไม่น่าถามเลยก็นี่มันสระว่ายน้ำนี่นา”

“ค...ครับ ผมมาซ้อมว่ายน้ำ” ผมอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ออกที่ได้มีโอกาสเจอพี่น้ำชาแบบสองต่อสองเสียที และที่สำคัญมันช่างพอเหมาะพอเจาะกับการที่ผมอยากปลดล็อกความรู้สึกที่ค้างอยู่ในใจ “แล้วพี่น้ำชามาทำอะไรที่นี่ครับ”

“อ๋อ พี่มายื่นเอกสารขอใช้สระว่ายน้ำช่วงเปิดห้องเชียร์น่ะ ปีนี้ทางมหาลัยอยากให้ผู้นำเชียร์มีกิจกรรมออกกำลังกายควบคู่การซ้อมเต้นอย่างเดียว แต่พอดีเมื่อวานพี่ลืมเอาเอกสารมายื่น วันนี้ก็เลยต้องรีบเข้ามาแต่เช้า”

“แปลว่าผมจะได้ว่ายน้ำด้วยเป็นลีดด้วยเหรอครับ”

“ก็แค่วันละหนึ่งชั่วโมง แล้วที่สำคัญ พี่ก็ขอในนามของลีดมหาลัย ถ้าอยากว่ายน้ำ เอ็งก็ต้องเป็นลีดมหาลัยให้ได้ก่อน แต่อย่างเอ็งคงไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง รูปร่างหน้าตาแบบนี้ คงมีแต่คนพร้อมจะเทใจให้”

“แล้วพี่ล่ะครับ” เปิดหัวมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องถามให้สุด

“พี่ทำไม?”

“ผมอยากรู้ว่า สำหรับพี่แล้ว พี่เทใจให้ผมบ้างหรือเปล่า” เอาล่ะ ถึงเวลาที่ต้องพูดซะที หาโอกาสมาหลายครั้ง ผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไปอีกแล้ว

“ห...เห้ย พูดไรแบบนั้น เอ็งก็เป็นรุ่นน้องในสังกัดพี่คนนึงเหมือนกัน พี่ก็เชียร์น้องๆทุกคนเท่ากันนั่นแหละ แต่ขออุบไวก่อนนะว่าวันเปิดห้องเชียร์จะโหวตให้ใคร....” นี่พี่น้ำชาไม่เข้าใจความหมายที่ผมพูดจริงๆเหรอ “พี่ขอตัวก่อนนะ ต้องไปทำธุระต่อ นัดน้องครีมเอาไว้”

“ผมชอบพี่ครับ”

“...........................” พี่น้ำชาหยุดนิ่งมองหน้าผมทันที “ว....ว่าไงนะ”

“พี่ได้ยินถูกแล้วครับ ผม ชอบ พี่ น้ำชา ครับ ชอบมาตลอด”

“ช....ชอบ?”

“ครับ ผมชอบพี่ ทั้งหมดที่ผมทำ ทุกอย่างก็เพื่อให้ผมได้มีโอกาสมาบอกความรู้สึกนี้กับพี่น้ำชา จะเป็นไปได้ไหมครับที่เราสองคนจะ...”

ตุ๊บ**!!!**

เสียงบางอย่างดึงความสนใจของการสนทนาไปทันที



“พ....พี่ขนมปัง!” ผมพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

เสียงที่เกิดขึ้นคือเสียงกระเป๋าสัมภาระของผมหล่นตกลงพื้น ซึ่งก่อนหน้านั้นมันเคยอยู่บนมือของรุ่นพี่ตัวน้อยที่ตอนนี้มีเพียงสีหน้าที่ว่างเปล่า

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เดาได้ไม่ยากเลยว่าพี่เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดที่ผมคุยกับพี่น้ำชา



“.............” ไม่มีคำพูดใดจากพี่ขนมปัง มีเพียงภาพการเดินหันหลังจากไปเท่านั้น



“.............” แล้วผมล่ะ ควรต้งทำยังไง



“เอ่อ... จะตามไปไหม” พี่น้ำชาคือผู้ถามขึ้นมา และนั่นก็เป็นคำถามเดียวกับสิ่งที่อยู่ภายในความรู้สึกลึกๆของผมตอนนี้ แต่อีกใจผมก็ยังอยากอยู่ตรงนี้ กว่าจะได้มีโอกาสเจอและพูดคุยกับคนที่ผมบอกตัวเองทุกวันว่าชอบเขา มันไม่ง่ายเลย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตัดสินใจที่จะไม่ไป “ยังไงผมก็ต้องมีหน้าที่ช่วยพี่ขนมปังตามคำสั่งของพี่น้ำชาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ผมอยากคุยกับพี่ก่อน”

“พี่ไม่ได้หมายถึงว่าเอ็งจะตามขนมปังเพื่อไปช่วยงานเขาไหม” พี่น้ำชาพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง “พี่หมายถึง จะตามไปปรับความเข้าใจกับขนมปังไหมต่างหาก”

“ปรับความเข้าใจ?”

“ถามจริง ดูไม่ออกเหรอว่าขนมปังมีใจให้เอ็ง เห็นแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว”

“ก็....” พอจะดูออกอยู่หรอก “แต่ว่า....คนที่ผมชอบคือ...” อะไรบางอย่างทำให้ผมชะงัก ความลังเล ความไม่มั่นใจ ทุกอย่างกำลังเล่นงานผมพร้อมๆกัน

“เอาจริงๆเลยนะ” พี่น้ำชาเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของผม “พี่ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเอ็งชอบใครกันแน่ สายตาที่เอ็งมองขนมปังเมื่อกี๊ พี่บอกได้เลยว่า เอ็งสารภาพรักผิดคนแล้วล่ะ”

“แต่ผมชอบพี่จริงๆนะ” ผมพยายามยืนยัน

“พี่จะไม่พูดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ แต่พี่จะบอกเอ็งอีกครั้งว่า เอ็งสารภาพรักผิดคนแล้วจริงๆ สายตาที่เอ็งมองพี่กับขนมปัง มันคนละแบบกันเลย และพี่มั่นใจว่าที่เอ็งกำลังมองพี่อยู่ ไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังรู้สึกรักหรือชอบ”

จริงเหรอ.... ว่าแต่.... “ทำไมพี่ถึงพูดว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะ”

“เพราะพี่...”



“...น้ำชามีคนที่มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอยู่แล้วไง”

จู่ๆก็มีเสียงชายคนหนึ่งแทรกขึ้นมา เขาเดินออกมาจากมุมหนึ่งของกำแพง



เอ๊ะ! คนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนจะเป็นคนดังของมหาลัยนี่หว่า



“พี่ตองใช่ไหมครับ” ผมถาม

“ใช่” พี่ตองตอบทันที และจากนั้นไม่นานผมก็ได้เห็นคำตอบของทุกๆคำถามที่สงสัย พี่เขาเดินมายืนคู่กับพี่น้ำชาแล้วจับมือกันและกันต่อหน้าผม “กูแปลกใจนิดหน่อยนะที่ยังมีคนกล้ามาสารภาพรักกับแฟนของกูแบบนี้”

“ผ....ผม....ผม” ติดอ่างซะงั้นกู “ผมไม่รู้เลย”

“ก็รู้แล้วนิ”

“พอเถอะน่าพี่ตอง” พี่น้ำชาห้ามความระอุของแฟนหนุ่มตัวเองไว้ “น้องมันไม่รู้”

“มีด้วยเหรอคนที่ไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน” พี่ตองยังไม่เชื่อใจ

“............” ไม่มีคำตอบจากผม ก็ไม่รู้จริงๆนี่หว่า ไม่เคยเห็นอยู่ด้วยกันเลยสักครั้ง

“น้องมาจากต่างจังหวัด” พี่น้ำชาอธิบายแทน

ในหัวผมตอนนี้อ่ะ ว่างเปล่าเลย ความหมายของทุกอย่างที่ตั้งใจทำ ถูกทำลายลงตรงหน้า แถมยังเหมือนจะสูญเสียคนที่เขารู้สึกดีกับผมไปด้วยพร้อมๆกัน

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นโซนิค” พี่น้ำชาถาม “รู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอที่โดนพี่ปฏิเสธ”

“คือผม.... ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆตอนนี้ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ บอกอะไรไม่ได้สักอย่าง

“สรุปว่ามึงชอบใคร” นี่คือคำถามจากพี่ตอง อย่างกับโดนมีดแทงเข้าที่หัวใจอย่างแรง “ไหนพูดมาชัดๆดิ”

“พี่ตอง” พี่น้ำชาพยายามเอ็ด

“ชาไม่ต้องมาขัดพี่เลย” พี่ตองยังลี้ตามองผม “ถ้าขืนมันยังตอบว่าชอบชาอยู่นะ พี่กับมัน...”

“พี่ตอง” พี่น้ำชาเอ็ดจริงจังกว่าเดิม “มองตาของน้องก็รู้แล้วละมั้งว่าตอนนี้ความคิดไม่ได้อยู่ที่ชาเลย... นี่โซนิค ถ้าเอ็งจะมองตามขนมปังขนาดนั้น ก็รีบตามไปซะซิ”

“ครับ?” ห๊ะ อะไรนะ กูมองตามไปจริงๆเหรอ ไม่รู้ตัวเลย

“งั้นก็ตามไป” พี่ตองพูดเชิงสั่ง

“ครับ?”

“มึงจะไม่แน่ใจอะไรนักหนาวะ” พี่ตองเริ่มขึ้นเสียง “ถ้ามึงชอบเขาก็ถึงเวลาตามเขาไปได้แล้ว หรือถ้ามันไม่แน่ใจจริงๆ ก็เดินไปพูดกับเขาให้รู้เรื่อง”

“แต่ผม...”

“ถ้ามึงช้ากว่านี้อาจจะเสียใจภายหลังก็ได้นะ ฟังนะ เวลาน้ำชางอน กูไม่เคยหยุดตื้อเลยเลย ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก”

“พี่ตอง!!!” นี่คือพี่น้ำชากำลังเขินซินะ ถ้าเป็นปกติผมก็คงรู้สึกจั๊กจี๊ไปด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้ ผม.... “โซนิค” พี่น้ำชาเรียกผมอีกครั้งด้วยสังเกตเห็นสีหน้าของผม “ที่พี่ตองพูดก็ถูกนะ ถ้าเอ็งแคร์ขนมปัง นี่แหละคือโอกาสง้อ ถ้าเอ็งมีความรู้สึกบางอย่างในใจ นี่แหละโอกาสพิสูจน์ ตัวพี่เองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับขนมปังมากมาย พี่บอกไม่ได้เลยว่า จากเรื่องที่เกิดขึ้น เอ็งจะยังสามารถกลับไปพูดคุยปกติกับขนมปังได้ไหม และถ้ายังมัวไม่แน่ใจอยู่แบบนี้ ขนมปังอาจจะไม่มีความอดทนรอมากพอนะ ซึ่งหมายถึง จากนี้ไป เอ็งกับขนมปังอาจจะหมดโอกาสได้เคลียร์ใจกันอย่างถาวรนะ ถามตัวเองดูละกันว่ารับได้ไหม ถ้าขนมปังจะหายไปจากชีวิต”

“ไม่!” ปากผมตอบออกไปเองได้ไงไม่รู้

“มึงก็รีบไปดิ” พี่ตองยุ “ตามไปง้อเลย เชื่อกู ไปขอจีบเขาไว้ก่อนก็ได้ กูเคยทำมาก่อน”

“นี่แนะนำแล้วใช่ไหม” พี่น้ำชากระทุ้งสีข้างแฟนตัวเอง “แต่พี่ก็...เห็นด้วยนะ ถึงเวลาต้องไล่ตามความรู้สึกตัวเองแล้วล่ะ ไหนๆวันนี้ก็ว่างหนึ่งวันแล้ว ใช้วันนี้ให้คุ้มค่าก็แล้วกันนะ”

“.............” นั่นซินะ หมดเวลาคิดแล้ว ขอเอาความรู้สึกแรกที่หัวใจบอกเป็นตัววัดก็แล้วกัน “งั้นผมต้องไปตามพี่ขนมปังซินะ... ว่าแต่.... ผมจะรู้ได้ไงว่าพี่เขาไปไหน”

“ที่ยืนกันอยู่ตรงนี้สามคน ก็น่าจะมีเอ็งคนเดียวนั่นแหละที่รู้จักขนมปังดีที่สุด”

“อ่อ ใช่ จริงด้วย งั้นผม....ไปนะครับ”

“โชคดี” “อย่ามายุ่งกับแฟนกูอีกนะ” คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นคนตะโกนประโยคไหนไล่หลังผมมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 21:48:16 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 11 [หันหลัง Part 2]
«ตอบ #38 เมื่อ14-09-2018 12:38:58 »

(ต่อ Part 2)



ผมหยิบสัมภาระที่ตกพื้นขึ้นแล้วตรงดิ่งไปที่รถยนต์ของตัวเอง



ถ้าจะมีที่ไหนที่รุ่นพี่ตัวน้อยจะไปได้ก็คงเป็น.....



“พี่ข้าวเจ้า พี่ข้าวเจ้าครับ” ผมเรียกเมื่อเดินทางอย่างรวดเร็วมาหาเป้าหมายที่ตัวเองต้องการที่คณะสังคมศาสตร์ ผมหายใจหอบนิดหน่อย เพราะหลังจากจอดรถได้ผมก็วิ่งตามหาพี่ข้าวเจ้าทั่วคณะเลย “เห็น... เห็นขนมปังไหมครับ”

“ขนมปัง?” พี่ข้าวเจ้าพูด “น้องควรใช้คำว่า ‘พี่ขนมปัง’ นะ แต่ช่างมันเถอะ เพราะตอนนี้พี่อยากถามน้องมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับขนมปัง”

“เกิดอะไรขึ้น? หมายความว่าไงครับ?” คือไรวะ

“ขนมปังโทรมาขอลาออกจากการเป็นบั๊ดดี้”

“ห๊ะ!! ว่าไงนะ”

ถามตัวเองดูละกันว่ารับได้ไหม ถ้าขนมปังจะหายไปจากชีวิต คคำพูดของพี่น้ำชาลอยเข้ามาในหัวของผมทันที

“ไม่รู้เรื่องเหมือนกันเหรอ ดีนะที่วันนี้มีงานไม่มาก ไม่งั้นพี่แย่แน่ๆ”

“ด...เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ ลาออก? ทำไม? ยังไง? เมื่อไหร่? แล้วพี่ก็ให้ลาออกเลยเหรอ”

“ก็ให้ทำยังไงได้ล่ะ ถ้าเขาลาออกจริงๆพี่ก็คงไปบังคับอะไรเขาไม่ได้ ถึงจะเสียดายคนเก่งๆก็เถอะ”

“ไม่ได้นะพี่ พี่จะให้พี่ขนมปังลาออกไม่ได้นะ”

“จะมาเขย่าตัวพี่ทำไมเนีย”

“ข...ขอโทษครับ” ผมเผลอใช้มือเขย่าตัวพี่ข้าวเจ้าด้วยร้อนใจ

“นี่มันอะไรกันเนีย” พี่ข้าวเจ้าเริ่มสงสัย “ปังโทรมาลาออก โซนิคมาเป็นเดือดเป็นร้อนขอร้องแทน ทั้งสองคนมีอะไรผิดปกติกันหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” โกหกไวไปเปล่าวะกู

“แน่เหรอ?”

“ก็..... เอาเป็นว่าพี่อย่าเพิ่งให้พี่ขนมปังลาออกนะ”

“พี่ก็ไม่ได้อยากให้เขาลาออก แต่เขา...”

“งั้นผมจัดการเอง ผมจะตามพี่ขนมปังกลับมาให้ พี่ให้เวลาผมก่อน”

“หา?!?! นึกคึกอะไรขึ้นมาเนีย”

“ก็พี่ไม่อยากเสียคนเก่งไปไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวผมจัดการให้พี่เอง”

“ก็....” พี่เขาชั่งใจ “งั้นพี่ให้เวลาไม่เกินวันนี้นะ พี่ให้เจสซี่ติดต่อคนใหม่ไว้แล้ว ยังไงพี่ก็ยังต้องทำงาน ร้างบั๊ดดี้นานๆคงไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าภายในวันนี้โซนิคสามารถเกลี่ยกล่อมขนมปังกลับมาทำงานได้ พี่จะไม่ดิวกับคนใหม่ละกัน”

“โอเคครับพี่” เอาวะ ต้องทำให้ได้ “งั้นผมไปก่อนนะพี่ ผมจะตามพี่ขนมปังกลับมาให้ได้แน่นอน ไปนะครับบบ”

“อ...โอเค โชคดี.................”



ผมกลับมายังรถยนต์  ในหัวทั้งรู้สึกผิด กังวล และใช้ความคิดไปพร้อมๆกัน

นี่แปลว่าขนมปังคงมีความรู้สึกบางอย่างกับผมอย่างรุนแรงซินะ ถึงขั้นยอมลาออกจากงานที่ตัวเองทำ เขาคงไม่อยากเจอหน้าผม ครั้งนี้ผมต้องแก้ไข นี่เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่เข้ามาเหยียบมหาลัยนี้ที่รู้สึกว่ากำลังตัดสินใจทำอะไรถูกต้องเสียที



และหลังจากออกเดินทางมาสักพัก

ถึงแล้ว.....



“อาม่าครับ อาม่า! ขนมปังอยู่ไหมครับ” ผมตั้งคำถามฝ่าผู้คนมากมายที่มาซื้อขนมปังที่หน้าร้าน คือตอนนี้ผมฝ่าได้แต่เสียงเท่านั้น เข้าไปไม่ได้เลย

“อ้าวซ....โซ่....อะไรนะ” อาม่าคงยังจำชื่อผมไม่ได้

“โซนิคครับ”

“นั่นแหละๆ จะกินขนมปังเหรอลูก”

“เปล่าครับ” ผมกับอาม่าตะโกนหากัน ทำไมคนมันวุ่นวายจังวะ เคยมาแต่ตอนค่ำๆ ไม่คิดเลยว่ากลางวันจะมีคนเข้าร้านมากมายขนาดนี้ “ผมตามหาขนมปัง หมายถึงพี่ขนมปังอะครับ อยู่นี่หรือเปล่า”

“อ๋อ ขนมปังเหรอ เห็นขึ้นไปข้างบนแล้ว เป็นอะไรก็ไม่รู้ เรียกให้มาช่วยขายของก็ไม่ช่วย” แต่ผมพอจะรู้เหตุผลอยู่ “ตอนนี้อาม่ายุ่งอยู่นะ โซ่ขึ้นไปหาเองก็แล้วกัน....” เปลี่ยนชื่อให้ผมซะงั้น

“ไส้เผือกห้าชิ้น ได้หรือยังม่า”

“ได้แล้วๆ ใจเย็นซิแม่พร”



ผมเลิกรบกวนอาม่าแล้วเดินฝ่าคนเข้าไปในตึก

ถึงอาม่าจะบอกให้ผมขึ้นไปห้องพี่ขนมปัง แต่นี่ก็ไม่ง่ายเลย

เดี๋ยวนะ แล้วทำไมกูไม่ใช้โทรศัพท์วะ โง่ตั้งนาน

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา



#เสียงโทรศัพท์



หือ???

ทำไมมีเสียงโทรศัพท์อยู่แถวนี้ ผมยังอยู่ที่ชั้นหนึ่งที่มีลูกค้าจอแจ ไม่น่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของรุ่นพี่ตัวน้อยใกล้ๆได้นะ

เสียงมาจากตรงนี้



!!!!!!!! ถังขยะ

ผมเห็นโทรศัพท์มือถือของพี่ขนมปังถูกทิ้งไว้ในถังขยะใบเล็กที่ตั้งอยู่ภายในร้าน

แล้วนี่มัน.... ภาพพักหน้าจอที่ผมเคยแอบตั้งเป็นรูปใบหน้าของผมไว้ ยังไม่ถูกเปลี่ยนอีกเหรอ ถ้างั้นก็แสดงว่าทั้งหมดที่พี่เขาทำดีกับผมและยอมสละความสะดวกสบายในชีวิตในช่วงที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะพี่เขาแอบมีความรู้สึกดีๆให้ผมจริงๆด้วย

เหมือนถูกมีดทะลวงเข้ากลางหัวใจอีกครั้ง เพียงแค่การตัดสินใจทำเรื่องผิดพลาดครั้งเดียวของผม ไม่รู้เลยว่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจของคนๆหนึ่งมากขนาดนี้



“ขอ....ขอโทษนะครับ ผมขอเข้าไปหน่อย” ไม่ได้แล้ว กูต้องจัดการเคลียร์ปัญหาทั้งหมดให้ได้

เมื่อแหวกผู้คนเข้ามายังส่วนแยกจากร้านได้ ผมก็รีบวิ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสี่เพื่อตามหาคนที่ผมต้องพบเขาให้ได้



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“................” เงียบฉี่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“................” เงียบอีกครั้ง ผมพยายามบิดลูกบิดประตู แต่ก็ไม่เป็นผล

“ขนมปัง” ผมเริ่มเรียก “ขนมปังเปิดประตูให้หน่อย”

“...............” ตอบอะไรมาสักอย่างไม่ได้หรือไงกันนะ เงียบแบบนี้แล้วผมใจไม่ดีเลย

“ขนมปัง”

ไม่มีเสียงตอบใดๆเลยแม้แต่น้อย

เดี๋ยวนะ!!

เหมือนผมได้ยินเสียงเบาๆของการแอบร้องไห้

“ข...ขนมปัง” ผมเริ่มทุบประตู “เป็นอะไรอ่ะ ออกมาคุยกันก่อนนะ ขนมปัง ม...มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ”

เหมียว เหมียว มีเพียงเสียงแมวที่ตอบกลับมาเท่านั้น

“ถ้าไม่ยอมออกมา ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” ผมเริ่มใช้กลยุทธ แต่ก็ไม่มีวี่แวว่าจะได้ผลอะไรเลย



ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมนั่งรออยู่ที่เชิงบันไดโดยไม่มีท่าทีว่าคนในห้องจะออกมาพบผมเลย ผมคร่าเวลาด้วยการเปิดดูนั่นนี่โน่นในโทรศัพท์ของผู้ที่ผมตามมาง้องอน

ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือเปล่า เพราะเมื่อยิ่งเห็นว่าในโทรศัพท์มีรูปของผมอยู่เต็มแกลลอรี่ไปหมดมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ดูเหมือนว่าขนมปังจะแอบถ่ายผมไว้โดยตลอด ส่วนใหญ่ก็เป็นภาพตอนผมซ้อมว่ายน้ำ

แล้วนี่อะไรหว่า...?



’18.07-22 ต.ค.2017-ช่างเป็นรุ่นน้องที่แย่จริงๆ ก็แค่หน้าตาดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย’



‘19.32-23 ต.ค.2017-ทำไมน้ำชาถึงขอร้องให้รุ่นน้องนิสัยไม่ดีคนนั้นมาทำงานช่วยด้วยนะ’



‘06.59-24 ต.ค.2017-คนแบบนี้ไม่สมควรได้เป็นผู้นำเชียร์เลย’



‘12.40-24 ต.ค.2017-ถึงจะพูดจาไม่ดีไปบ้าง แต่เขาก็พอจะมีน้ำใจ(พลาสเตอร์ยา)’



‘20.11-25 ต.ค.2017-จริงๆแล้วเขาก็เป็นคนมีเป้าหมายดีนะ แค่ขาดการจัดการเวลาที่ดี’



‘09.47-26 ต.ค.2017-ใครกันแน่ที่เป็นรุ่นพี่ แกล้งกันอยู่ได้’



‘22.05-26 ต.ค.2017-เขาฝากบอกพูรินว่าฝันดี บ้าหรือเปล่า’



‘22.06-26 ต.ค.2017-ความรู้สึกเราชักจะเตลิดไปกันใหญ่ อย่าเผลอใจให้ใครง่ายๆซิ เดี๋ยวก็เสียใจอีกหรอก’



21.36-27 ต.ค.2017- ‘แปลกจังที่เขาไม่รังเกียจเราเลย ทั้งๆที่รู้เรื่องของเราแล้ว’



‘05.05-28 ต.ค.2017-หรือว่าจะเปิดใจอีกครั้งดีนะ แต่เขาจะมาสนใจคนอย่างเราเหรอ’ (ข้อความเมื่อเช้านี้นี่นา)



เห้ออออออออ

ยิ่งอ่านยิ่งชัดเจน

ว่าแต่ รุ่นพี่ตัวน้อยนี่ก็แปลก คนแบบไหนถึงได้มาเขียนไดอารี่ใส่มือถือไว้แบบนี้ ทำตัวก็แปลกๆ ทำตัวเหมือนเด็กๆ ทำตัวให้ต้องรู้สึกว่าอยากดูแลปกป้องอยู่ตลอดเวลา



“อ้าว ไอ้น้อง”

ชิบหาย!!! ตกใจหมดเลย

“พี่...เอ่อ....” ชื่ออะไรนะ ลืม รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนสนิทของพี่ข้าวเจ้า

“กูชื่อสุ่ย” พี่เขาตอบ “ว่าแต่มึงเหอะ มานั่งอะไรอยู่ตรงนี้ เห็นอาม่าบอกว่ามีคนมาหาไอ้ปัง ไม่คิดว่าจะเป็นมึง”

“ผมต้องถามพี่มากกว่าว่าพี่มาที่นี่ทำไม ผมเป็นผู้ช่วยบั๊ดดี้ ผมก็ต้องอยู่นี้อยู่แล้ว”

“งั้นมึงก็ตกงานอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่รู้เหรอว่าไอ้ปังลาออกจากการเป็นบั๊ดดี้แล้ว”

“เอ่อ....”

“แปลว่ารู้ งั้นมึงก็ต้องรู้ว่ากูเป็นเพื่อนสนิทของไอ้ปัง กูจะมาถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น คงไม่แปลกใช่ไหม”

“พี่เป็นเพื่อนสนิทกับขนมปังด้วยเหรอ ผมนึกว่าพี่สนิทกับพี่ข้าวเจ้าซะอีก”

“ข้าวเจ้า? นี่มึงไปอยู่ไหนมาเนียถึงไม่รู้ว่ากูกับข้าวเจ้าเป็นอะไรกัน”

เป็นอะไรกัน?

“ข้าวเจ้าเป็นแฟนกูเว้ย ส่วนไอ้ปังเป็นเพื่อนสนิทที่เอกของกู” หลายอย่างในวันนี้ได้พิสูจน์ให้ผมได้เห็นว่า ตัวผมเองรู้อะไรน้อยเหลือเกิน “มึงกลับไปได้แล้ว กูจะคุยกับเพื่อน จะถามมันซะหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เอ่อ...พี่” ผมเรียกพี่เขาไว้ก่อนที่ทันจะได้เคาะประตู

“อะไรวะ กูจะคุยกับเพื่อน”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

พี่เขาไม่สนใจฟังแต่กลับเคาะประตูทันที

“ไอ้ปัง ไอ้ปังอยู่ไหม นี่กูเอง สุ่ย”

“................” ทุกอย่างยังเงียบเหมือนเดิม

“มันไม่อยู่เหรอ” พี่สุ่ยหันมาถามผม

“ผมคิดว่าอยู่นะ” ผมตอบ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ไอ้ปัง เปิดประตูให้กูหน่อย กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

“..........สุ่ยกลับไปก่อนเถอะ เราไม่ค่อยสบาย” เห้ย! ตอบออกมาแล้ว กูนั่งรอตั้งนานไม่ตอบ พี่คนนี้มาแป๊บเดียวตอบเลยนะ จะบอกว่าโล่งอกก็ติดความรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่นิดหน่อย

“เป็นไรเปล่า ให้พาไปหาหมอไหม” พี่สุ่ยตั้งคำถามต่อ

“ไม่เป็นไร”

“งั้นเปิดประตูให้กูหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย”

“ร...เราไม่ค่อยสะดวกอ่ะ”

“อะไรของมันวะ” พี่สุ่ยเกาหัว คงงงให้พฤติกรรมของเพื่อน “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับมึงไหม”

“ครับ!” ผมแทบตะโกน จู่ๆก็ถูกตั้งคำถาม

“มีพิรุจแบบนี้ แปลกว่ามีอะไรแน่ๆ ไหนอธิบายมาดิ”

“คือ.....” งานมาเข้ากูได้ไงวะ

“มึงชื่ออะไรนะ”

“ครับ? เอ่อ โซนิค ผมชื่อโซนิคพี่”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ปัง มึงกับไอ้น้องที่ชื่อโซนิคมีอะไรกันวะ”

“เห้ยพี่!!!” เอางี้เลยเหรอ

“............................” แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอยู่ดี



“เงียบแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ” พี่สุ่ยวิเคราะห์ “มึงอธิบายมาดิว่ามึงทำอะไรเพื่อนกู”

“คือผม....”

“นี่อย่าบอกนะว่ามึงรังแกเพื่อนกูอ่ะ”

“รังแก? เห้ย! ไม่ใช่พี่ ผมยังไม่ได้ทำอะไรพี่เขาเลย ผมแค่....”

“จะพูดก็พูดมา ก่อนที่กูจะหมดความอดทนกับมึง กูรู้นะว่ามึงเป็นเด็กของไอ้ชา อย่าให้กูต้องตามไอ้ชามาที่นี่ด้วยอีกคนนะ”

“ก็พี่น้ำชานั่นแหละครับที่ส่งผมมาที่นี่”

“ห๊ะ? อะไรกันวะ กูงงไปหมดแล้ว”

เห้ออออออ ผมถอนหายใจ

ผมตัดสินใจแสดงภาพพักหน้าเจอของรุ่นพี่ตัวน้อยให้คนตรงหน้าผมดู

“กูไม่ตลก มึงจะเอารูปมึงทำหน้าหมาแมวอะไรมาให้กูดู กูก็ไม่ตลกทั้งนั้นอ่ะ” พี่เขายังไม่เข้าใจ

“นี่ไม่ใช่โทรศัพท์ของผม ของพี่ขนมปัง”

“แล้วมีรูปมึงอยู่ในเครื่องได้ไง”

“ดูดีๆดิพี่ ตั้งเป็นภาพพักหน้าจอด้วย แถมยังมีอีกหลายรูปเลย”

“หา? นี่อย่าบอกนะว่า ไอ้ปังมัน....ชอบมึงเหรอ” พี่สุ่ยดึงโทรศัพท์ไปดู “ก็ยอมรับว่ามึงก็หล่อ แต่ไหง...”

“เราไปคุยกันข้างล่างดีกว่าไหมครับ” ผมเสนอ ขืนคุยทุกอย่างตรงนี้ คนที่อยู่ข้างในก็คงได้ยินกันพอดี

“เอ่อ.... ก็ได้”



หลังจากนั้นผมกับพี่สุ่ยก็ลงมาคุยกันที่ชั้นสาม



“สรุปว่ายังไงวะ” พี่สุ่ยตั้งคำถามทันที “ไอ้ปังชอบมึงจริงๆเหรอ เห็นมันเพิ่งจะเลิกกับคนเก่า ไม่นึกว่าจะเปิดใจให้คนใหม่เร็วขนาดนี้”

“ผมก็อยากรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน” ผมตอบอย่างอ่อนใจ “แต่พี่เขาไม่ยอมเปิดประตูมาคุยกับผมเลย”

“แล้วมึงอ่ะ ที่มาตามคุยกับมันแบบนี้ แปลว่ามึงก็...ชอบมันเหมือนกัน กูพูดถูกไหม”

“นั่นผมก็ไม่แน่ใจครับ”

“อะไรของมึงวะ มึงมีอะไรที่แน่ใจบ้างหรือเปล่าเนีย”

“ก็เพราะอย่างงี้ไงพี่ ผมถึงอยากคุยกับขนมปัง แต่เขาก็เอาแต่งอนแล้วก็เงียบ ไม่พูดอะไรกับผมเลย”

“แล้วทำไมไอ้ปังต้องงอนมึงด้วย กูปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกเลย”

“เรื่องนั้น..... คือผม.....”

“อย่าปล่อยกูลุ้นนานได้ไหม กูเหนื่อย”

“ผมไปสารภาพรักกับพี่น้ำชาครับ”

“ห๊ะ? คืออะไรวะ กูไม่เข้าใจ ไอ้ปังชอบมึง มึงก็ดูเหมือนจะชอบมัน แต่มึงดันไปสารภาพรักกับไอ้ชา แล้วมึงบ้าหรือเปล่า ไอ้ชามัน...”

“ผมรู้แล้วว่าพี่น้ำชาเขามีแฟนแล้ว แต่ผมเพิ่งรู้ ถ้ารู้ว่าพี่น้ำชากับพี่ตองคบกันอยู่ ผมก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“เอางี้ ตอบกูชัดๆที สรุปว่ามึงชอบใครกันแน่ ไอ้ชา หรือ ไอ้ปัง”

“...............”

“เงียบ...... กูพูดไว้ตรงนี้เลยนะ มึงเห็นแก่ตัวมาก การที่มึงแสดงท่าทีแบบนี้ เป็นกู กูก็โกรธ มึงทำเหมือนว่าจะชอบไอ้ปัง แต่ก็มีไอ้ชาอยู่ในใจ นี่มันอย่างกับว่ามึงเห็นไอ้ปังเป็นตัวสำรองอ่ะ มึงจะทำอย่างงี้กับเพื่อนกูไม่ได้นะ”

“ไม่ใช่นะพี่”

“ไม่ใช่? แล้วมันยังไงวะ”

“ผม.... ผม..... ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี....... โอเค ก็ได้พี่ ผมผิดเอง ผมให้ความหวังขนมปัง ผมแม่ง....”

“งั้นมึงก็กลับไปได้แล้ว”

“ห๊ะ!?”

“ก็ในเมื่อมึงยอมรับออกมาเองแล้ว มึงจะต้องการอะไรอีกวะ โอเค ไอ้ปังอาจจะเสียใจตอนนี้ แต่ถ้ามึงไม่ได้ชอบมัน มันแค่บังเอิญเผลอทำตัวให้ความหวังมัน งั้นก็ไม่เป็นไร ปล่อยมันเสียใจแค่วันนี้แล้วให้ทุกอย่างจบ แต่ถ้าขืนมึงยังดึงดังอยู่ตรงนี้ มันก็ยิ่งทำให้ไอ้ปังเสียใจกว่าเดิม ยิ่งทำให้มันมีความหวังมากกว่าเดิม ถ้ามึงรู้สึกผิดจริงๆ มึงควรหันหลังเดินกลับไปได้แล้ว หมดเวลาเอาความไม่แน่ใจของมึงมาเป็นเครื่องมือเล่นตลกกับความรู้สึกคนอื่นแล้ว”

“ไม่พี่” โอเค ยอมรับก็ได้ว่าก่อนหน้านี้ลังเล แต่ผมจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว “ผมอาจจะทำผิดไปบ้าง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจชัดเจนแล้ว ต่อให้ผมต้องอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืน ผมก็จะคุยกับขนมปังให้ได้... ผมจะอยู่ ผมจะแก้ไข”

คนตรงหน้าผมมองมาที่ผมอย่างพินิจ

“ตัวกูเองก็เคยทำผิดพลาดมาก่อน” พี่เขาพูดคล้ายว่ากำลังรำลึกความหลัง “และตอนนั้นกูก็หวังที่จะได้โอกาสในการแก้ไข เห็นมึงแบบนี้แล้ว..... โอเค งั้นมึงก็ขึ้นไป ทำทุกอย่างเพื่อเคลียร์ใจกับไอ้ปังให้ได้ กูเอาใจช่วยก็แล้วกัน มีอะไรก็ปรึกษากูได้ และถ้ามึงมีความรู้สึกดีๆกับเพื่อนกูจริง....................









.....................อย่าปล่อยให้เขาเดินหันหลังจากไปอีก”


ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
สู้ๆนะโซนิค  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โซนิค สู้ๆ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 12 [ปล่อยมือ Part 1]
«ตอบ #41 เมื่อ17-09-2018 08:25:30 »

ตอนที่ 12 : ปล่อยมือ




ใจเย็นไว้ ใจเย็นไว้
ฮื่ออออ..... ไม่กล้าดู เอาไงดีวะกู
เอาน่า ทุกอย่างต้องโอเคซิ
บ้าเอ๊ย ไม่กล้ามอง
ไม่ได้ๆๆ ยังไงก็ต้องดูให้รู้แน่ไว้ก่อน เอาวะ
แล้วถ้ามันไม่โอเคล่ะ.....

“หกสิบหกเปอร์เซ็นต์”
“ห๊ะ อะไรนะ?”
“หกสิบหก” คนข้างๆผมย้ำให้ฟัง
“ไหนๆๆๆ” ผมแย่งโทรศัพท์ของมันมาดู

ธราธิป  ไอราพิทักษ์ 66% ผ่าน

“Yes yes yes” ผมพยายามไม่ตะโกนออกมา เพราะตอนนี้อยู่บนรถทัวร์ที่มีคนนั่งเต็มไปหมด
“เปิดดูตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ทำหน้าตาลุ้นอยู่ได้ตั้งนาน” ไอ้คนข้างๆผมแซวพร้อมกับดึงมือถือของมันกลับไป
“ใครจะไปเก่งเหมือนมึงล่ะครับไอ้คุณแทน สำหรับกูไม่ใช่อะไรที่จะเห็นกันได้ง่ายๆหรอกนะ คำว่า ‘ผ่าน’ เนีย”
“แต่ก็ผ่านแล้วนิไง”
“เออ”
“ขอบใจกูหรือยัง”
“อะไรนะ นี่มึงทวงบุญคุณเหรอ”
“ล้อเล่นน่า ดีใจด้วยละกันที่ผ่าน หมดเรื่องเครียดไปอีกเรื่องแล้วนะ”
“อืม แต่ยังไงก็ขอบใจมึงละกันนะ”
“ห๊ะ อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“ไอ้...”
“ล้อเล่นๆ แหม นานๆได้ยินอะไรแบบนี้ที พูดดังๆหน่อยก็ไม่ได้”
“เออออออ ขอบพระคุณมากคร้าบบบบบบบ ขอบคุณในความกรุณาที่ติวให้ผมสอบผ่านหลักคณิตมาได้.... พอใจยัง” ประชดซะเลย “อะนี่ เอาป๊อปคอร์นครับท่าน เชิญเอาไปรับประทานให้เต็มที่เลยนะครับ”
“น่ารักมาก”
“กูบอกมึงกี่ทีแล้วว่าผู้ชายเขาไม่พูด....”

“จะไปไหนกันเหรอค่ะหนุ่มๆ” เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา
ใครบังอาจแทรกการสนทนาวะ
อือหืออออออ สาวสวยทั้งแก๊งค์เลย
มีสาวๆกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของรถทัวร์กำลังมองมาที่พวกผมตาเป็นมัน ไม่ซิ จริงๆแล้วมองมาที่ไอ้แทนคนเดียวเสียมากกว่า ผมว่าจะไปเปลี่ยนชื่อเป็น ‘นายอากาศ’ คงจะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้

“ไปกาญจนบุรีครับ” ไอ้แทนยิ้มตอบ สาวๆฟินกันเป็นแถบๆ ผมนี่มองบนเลย
“พวกเราก็จะไปเมืองกาญจ์เหมือนกันเลย” สาวเจ้าตอบกลับ "ใจตรงกันนะคะ"
“ก็แหงซิครับ นี่มันรถไปเมืองกาญจ์ ถ้าจะไปกระบี่ก็คงไม่ขึ้นคันนี้หรอก” ..................................เดี๋ยวนะ นี่อะไรเข้าสิงให้กูพูดออกไปแบบนี้วะ
“เอ่อ...” ในที่สุดผมก็เป็นที่สนใจผู้หญิงพวกนั้น “เพื่อนเหรอ เป็นมิตรดีนะ” แหมคุณผู้หญิงครับ น้ำเสียงที่พูดกับผมเนีย ไม่ใกล้เคียงกับตอนที่พูดกับไอ้หน้าหล่อเลยนะ
“เปล่าครับไม่ใช่เพื่อนของผมหรอก” อ้าวไอ้นี่ เห็นผู้หญิงสวยๆหน่อยไม่ได้ มึงทิ้งความเป็นเพื่อนไปเลยนะ “นี่ แฟน ของผม ครับ”
“ฮ.....อื่ออออออออ” ไอ้เชียแทน มึงพูดอะไรของมึงเนีย แล้วมันก็เลวมาก ปิดโอกาสในการพูดแก้ตัวของผมด้วยการเอาข้าวโพดคั่วอุดปากผมไว้และปิดปากแน่น
“ฟ.....แฟนเหรอ” ไม่ใช่เว้ยยยยยย
“ครับ เรากำลังจะไปเที่ยวกัน” มึงยังจะพูดอีก ช่วยหันมาดูกูหน่อยได้ไหม ป๊อปคอร์นท้วมปากกูแล้วเนีย แถมเอามือล็อคแขนปิดปากกูไว้เสร็จสับ ไอ้บ้าแทน มึงทำอะไรของมึงเนี่ย
“งั้น.....ขอให้สนุกนะ” แล้วสาวๆทุกคนก็หมดความสนใจในตัวผมสองคนทันที

“ทำบ้า....” ผมพยายามคืนอิสรภาพให้ปากของตัวเอง แต่มันก็รีบปิดปากผมเหมือนเดิม
“เบาๆ” ไอ้บ้าแทน มึงไม่ต้องกระซิบใกล้ขนาดนี้ก็ได้ ปากมึงจะชนหน้ากูอยู่แล้ว “ถ้าไม่พูดแบบนี้ ผู้หญิงพวกนั้นคงไม่หยุดคุกคามซะที”
ผมส่งสัญญาณว่า เออ กูเข้าใจ มันจึงค่อยๆปล่อยมือออก
“โอ๊ย!” ผมชกเข้าที่ไหล่ของไอ้คนทำอะไรไม่ปรึกษาทันที
“แล้วทำไมต้องพูดว่าเรา....” กระดากปากที่จะพูดต่อชะมัด
“เป็นแฟนกันอะเหรอ”
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ กูไม่ชอบ”
“โอเค.............” เอ๊า อยู่ดีๆก็ไม่พูดต่อ ชักสีหน้าใส่อีก ไม่พอใจอะไรของมันวะ
“เออๆ จะอ้างอะไรก็อ้างเหอะ แต่ปรึกษากูหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ไม่แล้วล่ะ”
“โกรธอะไรกูเนีย” แล้วมันก็ไม่พูดอะไรต่อจริงๆ “เห้ย เห้ยยยย”
“..........” ผมพยายามแหย่มัน แต่มันก็ไม่หันมามองผมเลย นี่มึงกลายเป็นคนขี้งอนตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย ต้องเป็นกูซิที่แสดงท่าทีแบบนี้ เอิ่ม... นี่กูกำลังยอมรับว่าตัวเองขี้งอนอยู่หรือเปล่าวะเนีย
“อะๆ ป๊อปคอร์นไหม อร่อยนะ มาๆ เดี๋ยวกูป้อน”
“ไม่หิว”
“หิวบ้าอะไร นี่มันป๊อปคอร์น มึงจะกินเอาอิ่มหรือไง..... เอ่อ....” ลืมตัวโวยวายซะงั้นกู เปลี่ยนเรื่องๆ “น้ำไหม”
“.........” มึงจะเยอะไปแล้วนะ
“อะไรของมึงวะ โกรธอะไรของมึงเนีย”
“ก็มึงไม่ชอบไม่ใช่เหรอ ทำแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอก”
“ก็บอกว่า... เออ แล้วแต่มึงเหอะ จะโกรธก็โกรธไป” ขี้เกียจจะสนใจแล้ว
“หึหึหึหึหึหึ”
อะไรของมันวะ อยู่ดีๆก็หัวเราะ เป็นไบโพลาร์หรือไง แต่ก็ช่างแม่ง จะหัวเราะจะร้องไห้กูก็ไม่แคร์แล้ว
“อะตอม” ไอ้บ้าแทนพยายามใช้ตัวกระแซะผม แต่กูไม่สนหรอก ทีเมื่อกี๊ทำเป็นไม่พูดด้วย “อะตอมครับบบบ”
“อย่ามายุ่ง” เดี๋ยวเหอะมึง
“ล้อเล่นน่า ไม่ได้โกรธจริงๆหรอก แค่เห็นว่ามีคนง้อ ก็เลย...อยากดูนานๆ”
“นี่มึง... สองรอบแล้วนะ”
“อ่ะๆ ล้อเล่นๆ มาๆกินป๊อปคอร์นกัน”
“ไม่กิน ไม่ต้องมาป้อน เอามือออกไปเลยนะ”
“โห่ งอนอีกแล้ว ไม่น่ารักเลย”
“ไอ้...”
“อย่างอนเลยน่า ต้องอยู่ด้วยกันอีกทั้งวัน เอางี้ เดี๋ยวพาไปเที่ยว โอเคไหม”
“พาไปเที่ยวห่าอะไร ก็นั่งรถทัวร์กันทั้งคู่ ทำอย่างกับเอารถส่วนตัวมาเอง”
“ก็เช่ารถไง มันคงพอจะมีบ้างแหละ เดี๋ยวขอเช็คดูหน่อยว่าที่กาญจนบุรีมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง”
“ไปที่ด่านเจดีย์สามองค์ไหมล่ะ” ผมพูดออกมาทันที
“ทำไมถึงอยากไปที่นั่น ว่าแต่... หายงอนแล้วเหรอ”
“มึงนี่มัน...”
“โอเคๆๆ ไม่งอนๆ ไปก็ไป ที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวเหรอ”
“ไม่มีหรอก มีแค่สถานที่ท่องเที่ยวธรรมดา แล้วก็....”
“แล้วก็? เป็นอะไรอ่ะ ทำไมหน้าเศร้าแบบนั้น แล้วมือเป็นอะไรน่ะ คันเหรอ”
“เปล่า” ผมพูดลอยๆ ผมมักจะเกาที่ฝามือตัวเองทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องในอดีต “ที่นั่นไม่ได้มีอะไรน่าเที่ยวนักหรอก มีแค่ความทรงจำ ทิวทัศน์ที่คุ้นเคย กลิ่นที่คุ้นเคย เรื่องของ...แม่ กูเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน หมายถึงอีกฝั่งน่ะ ตอนเด็กๆ เวลาที่เบื่อๆหรือตอนที่นอนไม่ค่อยหลับ แม่ชอบจับมือของกูไปเกาเล่น กูก็เลยติดทำแบบนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก แค่มันเป็นความรู้สึกที่.... เห้อ บ้าหรือเปล่า กูจะมาดึงดราม่าทำไม ไปทำธุระของมึงนั่นแหละ อย่ามา...”
“มานี่” จู่ๆ ไอ้บ้าแทนก็ดึงมือผมไป
“ท...ทำอะไรเนีย”
“ทำแบบนี้ใช่ไหม” มันเอานิ้วมาเกาฝามือผมเฉยเลย
“ทำอะไรของมึง ไอ้บ้า ปล่อยนะ อายเขา”
“อายใคร” ดูมันตอบดิ จะบ้าหรือไง ชายสองคนนั่งจับมือกันบนรถทัวร์ มันใช่เรื่องปกติที่ไหน แต่แรงมันเยอะจริง ดึงมือคืนมาไม่ได้เลย “งั้นถ้าไม่มีให้เห็นก็จบใช่ไหม” วินาทีต่อมา ไอ้หน้าหล่อมันก็เอาเสื้อคลุมตัวใหญ่ของมันมาวางทับมือของผมกับมันไว้เพื่อซ่อนจากสายตาของคนอื่นๆ
“ไม่เอา” ผมยังพยายามปฏิเสธ
“กูก็ไม่ใช่แม่ของมึงหรอก แต่ถ้ามันพอจะทำให้คลายความคิดถึงลงได้ กูก็พอจะเข้าใจ อย่าลืมดิว่า กูก็สูญเสียพ่อไปเหมือนกัน..... แปลกดีนะที่คนที่เรารักถูกพรากไปในที่ใกล้ๆกันเลย ความคิดถึงนี่มันมีพลังเนอะ”
“แทน...” ผมหยุดต่อต้านลงทันที ไม่เคยเห็นมุมเศร้าของมันแบบนี้เลย

ผมปล่อยให้คนที่นั่งข้างๆเกาฝ่ามือของผมอยู่อย่างนั้น ถึงมันจะไม่เหมือนที่แม่ทำ แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่คล้ายว่าจะไหลผ่านสัมผัสเหล่านี้ จนเมื่อผมเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับมัน ความอบอุ่นและความปลอดภัยก็มีพลังอำนาจอย่างเต็มที่ ทำให้ผมเผลอเอียงคอลงไปซบไหล่ของไอ้คนข้างๆเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ รู้สึกเพียงว่า...............




....................อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 12 [ปล่อยมือ Part 2]
«ตอบ #42 เมื่อ17-09-2018 08:26:52 »

(ในมุมของบุ๋น)




คิดถึงจังความรู้สึกนี้

ผมกำลังหลับตานิ่งรับสัมผัสของสองมือที่กุมกันไว้ระหว่างผมกับพี่ท๊อปบนเครื่องบินกลับเมืองประเทศบ้านเกิด นานเหลือเกินที่ไม่ได้สัมผัสผิวกายของกันและกัน ด้วยต้องพยายามไม่แสดงความสัมผัสที่เกินเลยตลอดการฝึกร้องฝึกเต้นที่เกาหลีในช่วงปิดเทอมใหญ่ แม้จะได้กลับมาไทยบ้าง แต่ก็เพราะมาทำธุระ จึงไม่ได้มีเวลาให้กันมากนัก แต่ครั้งนี้ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว การใช้เวลามากมายที่ต่างแดนจะได้สิ้นสุดลงเสียที
ต้องยอมรับว่าค่ายเพลงที่ผมกับพี่ท๊อปเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่นี้ค่อนข้างที่จะเข้าใจหัวอกของนักศึกษาต่างแดนอย่างเรา โดยปกติค่ายเพลงจะไม่ค่อยรับเด็กฝึกที่ไม่ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกเป็นศิลปิน ค่ายอื่นๆถ้าเด็กไม่เลือกหันให้การศึกษาก็ต้องแบ่งเวลาเก่งสุดๆ แต่เพราะเป็นค่ายนี้ผมถึงยังมีเวลากลับมาเรียนและมีชีวิตอีกด้านที่ค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดเหมือนอยู่แดนกิมจิ

“เห้อ...” หือ!?
“เป็นไรพี่ท๊อป” ผมถามคนที่กุมมือผมไว้ จู่ๆก็ถอนหายใจออกมา “จะกลับไทยแล้วไม่ดีใจหรือไง”
“ก็ดีใจครับ แต่...” พี่เขาลูบมือผมไปมาอย่างคุ่นคิด “พี่ไม่อยากกลับไปเกาหลีอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ กลับมาครั้งหน้าพี่จะได้เตรียมซิงเกิลแล้วนะ ไม่ดีใจหรือไง”
“ก็เรื่องนี้แหละที่ทำให้พี่ไม่อยากมา ตอนนี้พี่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าดีใจหรือเปล่าที่สุดท้ายก็ได้ยืนยันการเดบิวต์”
“ก็ต้องดีใจซิ นี่มันความฝันของเด็กฝึกทุกคนนะ”
“แต่มันหมายถึงพี่จะไม่ได้อยู่กับบุ๋นอีกแล้ว ไม่ว่าจะคิดทางไหน โอกาสที่น้อยอยู่แล้วจะยิ่งน้อยกว่าเดิมอีก พี่ไม่อยากสูญเสียหัวใจของพี่ไป”
“แหวะ เลี่ยนเกินไปแล้วพี่ท๊อป”
“ก็มันจริงนี่นา”
“ยังจะพูดอีก... ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองไปเถอะ บุ๋นโอเค”
“แต่พี่ไม่โอเค”
“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก... ถ้างั้นก็ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าซิ กว่าซิงเกิลจะออก ยังต้องใช้เวลาอีกนาน ถ้าตามที่ ‘พีดีนิม’ บอกพี่ท๊อปก็คงต้องวุ่นวายอยู่ในช่วงสามสี่เดือนนี้ เรายังมีเวลาได้อยู่ด้วยกันอีกนานเลยนะ”
“งั้นคืนนี้....”
“คิดอะไรเนีย”
“ก็ไหนบอกว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไง”
“มั่วแล้ว ไอ้คนลามก”
“ไม่ได้จริงๆเหรอ...”
“ไม่ต้องมาทำหน้าทำตาเลย” แน๊ะ ยังจะมามองตาปริบๆอีก “ถ้าอยากจะทำอะไรคืนนี้ ก็มีอย่างหนึ่งให้ต้องทำ ไปวันเกิดพ่อบุ๋นไง ไปไหวไหม ไม่รู้จะถึงทันหรือเปล่า”
“อ้าว วันนี้ถึงวันเกิดคุณพ่อแล้วเหรอ ไปไหวซิ คงทันอยู่มั้ง น่าจะอีกสองชั่วโมงเครื่องก็ลงแล้ว แต่พี่ไม่รู้เรื่อง ก็เลยไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้ให้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อคงเข้าใจ”
“งั้นเดี๋ยวให้ปิงปิงเตรียมไว้ให้ก็แล้วกัน”
“อย่าไปรบกวนพี่เขาเลย ช่วงนี้พวกปีสี่ก็ยุ่งอยู่กับงานวิจัย พี่ปิงปิงเขาก็คงไม่ว่างดูแลพี่ท๊อปนักหรอก”
“งั้น.... ก็ขอให้ปิงปิงโทรบอกร้านเตรียมของขวัญไว้ให้ แล้วเราก็แวะเข้าไปเอา แบบนี้คงไม่รบกวนเกินไป”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง พ่อไม่ว่าอะไรพี่หรอกน่า”
“ไม่ได้ซิครับ กว่าพี่จะเอาชนะใจพ่อบุ๋นได้ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ ขืนทำตัวไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวคุณพ่อก็ได้แย่งบุ๋นไปจากพี่หรอก”
“แหวะ... ตามใจพี่ท๊อปก็แล้วกัน” เชื่อเขาเลย พอได้โอกาสพูดก็พูดอะไรเลี่ยนๆตลอด

จากนั้นพี่ท๊อปก็รีบส่งข้อความไปหาพี่ปิงปิงเพื่อขอให้จัดเตรียมของขวัญไว้ให้

เอาจริงๆผมก็พอเข้าใจนะว่าทำไมพี่ท๊อปถึงต้องคอยเอาใจพ่อตลอด ก็เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ไอ้น้องน้ำชามันสร้างช่องทางให้พี่ท๊อปเป็นฮีโร่ช่วยกิจการที่ร้านของพ่อให้พ้นวิกฤตไฮโดรควิโนนจากฝีมือของพี่กั้ง เดี๋ยวนะ ต้องเรียกว่า นักโทษชายกั้งสิ หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มยอมเปิดใจให้พี่ท๊อปนิดหน่อย ย้ำ!  แค่นิดหน่อยเท่านั้น
พ่อไม่ว่าเรื่องที่ผมกับพี่ท๊อปคบกัน แต่ก็ไม่ให้พี่ท๊อปเข้าไปเจอได้ง่ายๆ หรือทุกครั้งที่พ่อมาเยี่ยมผมที่บ้านเช่า พ่อก็จะสั่งให้พี่ท๊อปหลบไปอยู่ที่อื่น ดีที่ว่าพี่ท๊อปเป็นคนรู้จักวิธีเข้าหาผู้ใหญ่และเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูงมากกกกกกก ความพยายามตลอดทั้งปีจึงประสบความสำเร็จ พ่ออนุญาตให้พี่ท๊อปไปหาได้ ผมเห็นบางทีก็เรียกไปหาเองโดยไม่มีผมไปด้วยเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านก็ยังรับไม่ได้เท่าไหร่เวลาที่พี่ท๊อปทำโรแมนติกกับผมต่อหน้าแก ส่วนใหญ่เวลาไปเจอพ่อ เราสองคนจึงต้องทำเหมือนแค่พี่น้องที่สนิทกัน เอาเถอะ แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว


“ไหนบอกว่าไหวไง บุ๋นเห็นพี่หาวตลอดทางเลย” ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของพ่อผมแล้ว แต่ผมยังห่วงคนข้างๆไม่วางใจ ก็หลังจากลงเครื่องมาได้ก็ขับรถพร้อมกับหาวนอนมาตลอดทางแบบนี้ ไม่ให้เป็นห่วงได้ไง
“ไหวครับบบบ” เหมือนพี่ท๊อปจะแค่ตอบเพื่อให้ผมหยุดถาม
“พี่ท๊อป” ผมเรียก แต่เจ้าตัวไม่มองหน้า เอาแต่ทำเป็นวุ่นวายค้นหาของที่เบาะหลัง นี่คิดว่าดูไม่ออกหรือไง เรียกไม่ฟังดีนัก งั้นก็จับหน้ามาจ้องซะเลย “พี่ท๊อป บุ๋นเรียกพี่ ไม่ได้ยินหรือไง”
“ได้ยินแล้ว”
“ได้ยินแต่ทำเป็นไม่ฟัง บุ๋นจะบอกว่าขากลับบุ๋นจะเป็นคนขับเอง”
“ไม่” ไอ้พี่ท๊อปมันปฏิเสธอย่างกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดอะไร
“บุ๋นไม่ได้ขอ....”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ใครหว่ามาเคาะกระจกรถยนต์
เวรกรรม นั่นพ่อนี่นา
พี่ท๊อปเลื่อนกระจกลง

“สวัสดีครับพ่อ” พี่ท๊อปยกมือไหว้ทักทายก่อนผมเสียอีก
“พ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่อะครับ” ผมถาม
“ก็ตั้งแต่สองคนมัวสวีทกันอยู่นั่นแหละ” พ่อตอบหน้านิ่ง
“ข...ขอโทษครับพ่อ” พี่ท๊อปรีบแสดงความรับผิดชอบ ด้วยว่าเราทั้งสองต่างรู้ว่าพ่อไม่ชอบเรื่องแบบนี้ “เราสองคนแค่...”
“พ่อไม่ได้ว่าอะไร  รีบลงมาได้แล้ว”
“ครับ?” พี่ท๊อปงง ผมนี่ยิ่งงงหนัก งงในงงอีกทีนึงเลย
“คนรอเต็มบ้านแล้ว รีบๆลงมาเร็ว” พ่อเร่ง
“ค...ครับ”

ผมกับพี่ท๊อปรีบลงจากรถยนต์ แต่ก่อนหน้านั้น...

“พ่อครับ” พี่ท๊อปเรียกพ่อของผม ก่อนจะยื่นถุงของขวัญให้ “สุขสันต์วันเกิดครับ มีความสุขมากๆและสุขภาพแข็งแรงนะครับ”
“ให้พ่อเหรอ” พ่อรับไปแล้วเปิดดูทันที “นี่... รู้ได้ไงว่าพ่ออยากได้คันเบ็ดรุ่นนี้ พ่อไม่เคยบอก.... อ๋อ ถามบุ๋นมาละซิ”
“บุ๋นไม่ได้บอกอะไรนะครับพ่อ” ผมรีบออกตัว ก็ไม่ได้บอกจริงๆอ่ะ พี่ท๊อปฝากพี่ปิงปิงซื้ออะไรมาให้ยังไม่รู้เลย เพิ่งจะมารู้พร้อมๆกับพ่อนี่แหละ
“ผมแอบถามพนักงานที่ร้านของพ่อมาน่ะครับ” พี่ท๊อปสารภาพ “พวกพี่เขาบอกว่าพ่อบ่นบ่อยๆว่าอยากได้คันเบ็ดรุ่นนี้แต่ไม่มีเวลาไปซื้อ”
“ถามได้ยังไง ก็เห็นไปอยู่เกาหลีกันตั้งนาน” ปากก็ถามเพราะความสงสัยนะ แต่พ่อดูจะให้ความสนใจกับคันเบ็ดอันใหม่เสียมากกว่า
“ผมก็พอมีคอนแท็กอยู่บ้างครับ เวลาที่ไม่ได้ซ้อมก็คอยถามพวกพี่พนักงานอยู่เรื่อยๆ”
“นี่กะทำคะแนนเต็มที่เลยใช่ไหม” อะไรคือการที่พ่อพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ก็แค่...”
“เอาเถอะ ขอบใจมากก็แล้วกัน”
“......!!!” แล้วสิ่งน่าตกตะลึงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพ่อของผมเข้าสวมกอดพี่ท๊อปและผมพร้อมๆกัน
ผมกับพี่ท๊อปได้แต่ตาค้างและหันมองกันผ่านด้านหลังของพ่อแบบไม่เข้าใจ
“เอาล่ะ เข้าบ้านกันได้แล้ว” พ่อผมปล่อยกอดเราของคน “พ่อก็มีอะไรจะให้ทั้งสองคนเหมือนกัน.... รีบเข้าไปเถอะ ทุกคนรอนานแล้ว”
ตอนนี้ผมกับพี่ท๊อปคือยังช็อคอยู่เลย แต่ในเมื่อพ่อเดินนำเข้าบ้านแล้ว เราสองคนก็เลยทำได้แค่รีบเดินตามเข้าไป

ถึงพ่อจะพูดว่าเดินเข้าบ้าน แต่จริงๆแล้วมันคือส่วนของสวนหลังบ้านเสียมากกว่า ทั้งสวนถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นงานสังสรรค์เล็กๆหรืออาจจะไม่ค่อยเล็กเท่าไหร่

“น้องบุ๋น” “ท๊อปกับบุ๋นกลับมาแล้ว” “ว่าไงค่ะหนุ่มเกาหลี”
การทักทายจากญาติและเหล่าพนักงานของร้านเกิดขึ้นทันทีที่ผมและพี่ท๊อปปรากฏตัว
“สวัสดีครับทุกคน สวัสดีครับพี่แจน สบายดีไหมพี่ชาติ ไงครับนี่พนักงานใหม่เหรอ” เอาจริงๆนะ พี่ท๊อปเข้ากับคนของบ้านผมดีกว่าตัวผมเองซะอีก จนทำให้ผมได้แค่ทักทายตาม นี่บ้านใครกันแน่หว่า
“รีบพาแฟนไปหาอะไรกินเถอะ” เหอะ!? เมื่อกี๊พ่อพูดกับผมว่าอะไรนะ นี่มันแปลกเกินไปแล้วนะ “พ่อขอตัวไปคุยกับแขกหน่อย"
“ครับ...” ยอมรับเลยว่าตอบด้วยความงงๆ

ผมกับพี่ท๊อปเดินไปร่วมกินดื่มกับพี่ๆพนักงานที่รุ่นราวคราวเดียวกัน

งานเลี้ยงวันเกิดยังคงดำเนินต่อไป มีแขกเข้ามาร่วมงานเรื่อยๆ ถ้าไม่นับเรื่องที่พ่อพูดจาแปลกๆตั้งแต่ที่เจอกันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นเพียงงานกินดื่มตามปกติ และการเซอร์ไพส์ด้วยเค้กตามประสา เว้นเสียแต่ว่า.....

“ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ญาติสนิทมิตรสหายทุกคนนะครับที่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคนแก่ๆอย่างผม” พ่อของผมเริ่มพูดด้วยไมโครโฟนในช่วงที่แขกมาค่อนข้างมาก “ด้วยอายุระดับนี้ก็ไม่คิดว่าจะยังต้องมาจัดงานวันเกิดอะไรแบบนี้นะครับ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีๆ ที่ผมจะได้จัดงานเพื่อเลี้ยงตอบแทนพนักงานของผมทุกคน และสำหรับคนที่ทำให้งานวันนี้เกิดขึ้นมาได้ก็คงต้องขอเสียงปรบมือให้กับแจน พนักงานคนเก่งของเราครับ”
ก็มีเสียงปรบมือไปตามระเบียบแหละครับ แต่พี่แจนนี่หน้าบานเลย อ่ะๆ ให้เขาหน่ย
“และในโอกาสดีๆแบบนี้” พ่อยังคงพูดต่อ “ผมก็จะขอใช้เวลาตรงนี้ในการที่จะประกาศเรื่องสำคัญให้กับทุกท่านได้ร่วมเป็นสักขีพยาน นั่นก็คือ.... ผมขอประกาศว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แจนจะขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่ของร้าน Refresh แทนผม พร้อมกับหุ้นบริหารหกสิบเปอร์เซ็น”
 
ว้าววววววววววว
แม้แต่ผมยังอดประหลาดใจและปรบมือไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงพี่แจนเลย ตอนนี้เธอน้ำตาไหลด้วยความดีใจและตกใจไปเรียบร้อยแล้ว
“และมีเรื่องน่าเศร้าที่ต้องประกาศเพิ่มเติมก็คือ ด้วยความที่แจนขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของร้านนี้แล้ว จึงทำให้ผมกลายเป็นคนว่างงาน และเพื่อที่ผมจะไม่ทำตัวเป็นตาแก่ว่างงานไปวันๆ ผมจึงมีแผนในการเปิดร้านเวชสำอางค์สาขาใหม่ในอีกสามเดือนข้างหน้า ทุกคนคงต้องทำงานกันหนักมากขึ้นหน่อยนะ”
โอ้โห พ่อมีเรื่องเซอร์ไพส์ไม่หยุดหย่อนเสียที
“โดยร้านใหม่นี้จะเปิดตัวในวันเดียวกับ งานหมั้น ของลูกชายของผม”

อะไรนะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

“....................................................................” ผมได้แค่อ้าปากค้าง ปากสั่นและตัวแข็งท่อ
พี่ท๊อปลุกขึ้นมายืนข้างๆผม ว่าแต่ผมลุกขึ้นมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย

“หลายๆคนในที่นี้คงจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่าลูกชายของผม เจ้าบุ๋น กำลังคบหากับท๊อปอยู่” เดี๋ยวๆๆๆ นี่พ่อพูดอะไรเนี่ย พ่อจะพูดทุกอย่างใส่ไมโครโฟนแบบนี้ไม่ได้นะ
ทันใดนั้น พี่ท๊อปรีบคว้ามือผมไปจับไว้แน่น แต่ดวงตาของเราทั้งสองยังคงจ้องมองความระทึกใจเบื้องหน้า ถ้าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงไม่มาห่วงกับการจับมือกันต่อหน้าคนอื่นแค่นี้หรอก
“และเพราะตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เด็กๆทั้งสองได้สอนคนแก่หัวโบราณอย่างผมได้พบกับโลกใบใหม่ ได้เห็นความรัก ความทุ่มเท หรืออย่างน้อยก็ความพยายามที่ท๊อปจะเอาชนะใจผมด้วยความรักที่มีในตัวลูกชายของผม หลังจากคิดอยู่นาน ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าชาตินี้จะมีใครที่สามารถรักและดูแลลูกชายคนเดียวของพ่อได้ดีขนาดนี้ เพราะอย่างนั้น... ท๊อปเอ๊ย... จะรังเกียจไหมที่พ่อจะขอให้ท๊อปเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา....”
“...............” พี่ท๊อปยังอึ้ง ผมก็ยังช็อค

แต่เดี๋ยวก่อนนะ สามเดือนงั้นเหรอ....!!! ไม่ได้ซิ พี่ท๊อปต้องเตรียมเดบิวท์นี่นา ขืนตารางเวลาซ่อนกันช่วงนี้ทางค่ายไม่ปราณีแน่นอน

“ว่าไงท๊อป ยังรักลูกชายของพ่ออยู่ไหม พ่อฝากท๊อปดูแลน้องได้ไหม”
“ม....”
“ตกลงครับ” พี่ท๊อปเอ่ยตะโกนกับพ่อของผมและบีบมือผมแรงขึ้น “ขอบคุณคุณพ่อที่วางใจผม ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ”
มีเสียงปรบมือและกู่ร้องยินดีออกมาจากคนทั่วทั้งงาน
แต่ไม่ใช่กับผม...
“พ....พี่ท๊อป....”
“ไม่ต้องพูดอะไรครับ” พี่ท๊อปตัดบทผม “พี่รู้ว่าบุ๋นห่วงเรื่องอะไรของพี่ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ขอบุ๋นแค่อย่างเดียว................




...................อย่าปล่อยมือพี่นะครับ”

...

(ในมุมของอะตอม)




“ตอม.... อะตอม.... ถึงแล้ว” ผมถูกปลุกให้ตื่น
เมื่อลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อย ผมยังสัมผัสได้ว่ามือของผมถูกกุมไว้จากคนข้างๆ นี่ผมกับไอ้บ้าแทนจับมือกันมาตลอดเลยเหรอ
“ถึงแล้วเหรอ” ผมเนียนพูดไปด้วยปล่อยมือออกด้วย
“จะจับมือไว้เหมือนเดิมก็ได้นะ” ไอ้บ้าแทน พูดออกมาหน้าตาเฉยอีกแล้ว กูอุส่าทำเนียน
“ไปได้แล้ว คนจะลงหมดรถอยู่แล้ว” เลิกต่อประโยคกับมันดีกว่า ขืนเปิดช่องให้มันมาก เดี๋ยวมันก็แกล้งแหย่ผมอีก   

เราสองคนเดินทางออกจากศูนย์ขนส่งฯทันทีเพื่อตรงไปยังเป้าหมายของไอ้คนที่ผมมาเป็นเพื่อนมัน
นี่เป็นเวลาบ่ายโมงนิดๆที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง พวกเราตัดสินใจแวะทานอาหารกลางวันและเดินทางต่อทันที ไม่มีเวลาให้หยุดพักมากนักเพราะต้องรีบเดินทางและต้องเผื่อเวลาเดินทางกลับด้วย เนื่องจากว่าวันพรุ่งนี้คือวันนัดบล็อกกิ้งของคณะ แล้วไหนจะต้องซ้อมเต้นเพลงมิ่งขวัญจากพี่น้ำชาอีก

“มีอะไรหรือเปล่าอะตอม” ไอ้ขี้แกล้งถามผม ขณะนี้เรากำลังนั่งรถตู้ประจำทางไปยังสถานที่เป้าหมาย
“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมโกหก ทั้งที่ในใจมีลางสังหรณ์แปลกๆ ก็เส้นทางที่กำลังเดินทางไปนี้ ทำไมผมจึงรู้สึกว่ามันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก หรือผมอาจจะคิดมากไปเอง

ผมเก็บความสงสัยไว้เป็นชั่วโมงๆ ในที่สุดก็เกิดความชัดเจนขึ้น....

“ถึงแล้ว ลงมาซิ” คนตัวสูงถามผม
“ที่นี่เหรอ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ แต่ต้องเดินไปอีกนิดหน่อย รีบไปกันเถอะ แดดเริ่มร้อนแล้ว”
ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินและเงียบ
ที่นี่มัน......
“ขอธูปเทียนสองชุดครับ” ไอ้คนนำทางดูจะคุ้นเคยกับที่นี่ดีพอสมควร เขาตรงดิ่งไปยังร้านขายดอกไม้ธูปเทียน

ผมมองไปที่บรรยากาศรอบๆเพื่อทดสอบความแน่ใจอีกครั้ง

“อะนี่” ชุดสักการะหนึ่งชุดถูกส่งมาให้กับผม “เดี๋ยวเดินไปอีกนิดหน่อยนะ.... รู้หรือเปล่าว่าแม่น้ำนี้เรียกว่าอะไร”
“แควน้อย” ผมตอบทันทีโดยแทบจะไม่ได้คิด ผมรู้คำตอบตั้งแต่แรกที่เห็นว่ารถมาจอดที่แม่น้ำนี้แล้วด้วยซ้ำ
“รู้จักด้วยเหรอ” คนฟังอึ้งนิดหน่อย แต่ก็กลับไปพูดต่อและออกเดินนำผมต่อ “ที่นี่แหละที่พ่อของกู....จากไป.... มองเห็นแพรร้านอาหารที่อยู่ตรงนั้นไหม.... ระวังรถนะ” ไอ้คนพูดไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากผม ดูเหมือนมันจะแค่ต้องการเล่าเรื่องให้ฟังไปเรื่อยๆเสียมากกว่า
"ขอบใจ" ผมถูกจูงมือข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง และมือยังถูกกำมือไว้แน่นขณะข้ามสะพานคอนกรีตเพื่อกันไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ
“แล้วที่อยู่ฝั่งโน้นอ่ะ นั่นน่ะ เห็นไหม ยังมีป้ายเก่าๆปักอยู่เลย” สิ่งที่ถูกชี้นำสายตาให้มองทำวิญญาณของผมหลุดออกจากร่างในบัดดล มันคือป้ายเหล็กสีเขียวขึ้นสนิทเก่าๆขนาดใหญ่ที่ปักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเหนือสันทรายสูง มีตัวอักษรเลือนรางสีขาวเขียนไว้ แต่ถูกบดบังด้วยเถาไม้เลื้อย “แล้วก็เสาไม้เก่าๆตรงนั้น ที่อยู่ใกล้ๆกันอ่ะ นั่นคือตำแหน่งเดิมของแพรร้านอาหารร้านที่เคยอยู่
ฤดูฝนเมื่อสิบปีที่แล้ว ร้านอาหารนี้โทรแจ้งส่วนกลางว่าดินริมตลิ่งบริเวณใกล้ๆกับร้านกำลังค่อยๆถล่มลงมา หมายถึงตรงป้ายสีเขียวนั่นแหละ และด้วยกลัวว่าอีกไม่นานมันคงถล่มลงมาจริงๆจนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ส่วนกลางจึงส่งคนมาช่วยกันขนย้ายแพรนี้ไปอยู่อีกฝั่ง ทั้งกู้ภัย อาสา ทหาร ตำรวจ ก็รีบมาช่วยกันเต็มที่ แน่อยู่แล้วชายผู้ถูกเรียกว่าวีรบุรุษเดินดินก็ต้องไม่พลาดงานจิตอาสาแบบนี้ พ่อตัดสินใจมาที่นี่แบบไม่ต้งคิดเลย แต่ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรที่ทำให้กูตัดสินใจอยากมากับพ่อด้วยวันนั้น....
ในตอนที่ทุกคนกำลังเร่งมือย้ายข้าวของออกจากแพรกลางฝนที่ตกอย่างหนัก สายน้ำเชี่ยว ตลิ่งก็จะถล่มไม่ถล่มแหล่ หน้าดินที่ทุกคนกังวลว่ามันจะถล่มก็มาดันถล่มลงมาจริงๆ มันกระแทกเข้าใส่ตัวแพรจนเสียศูนย์ ทำให้เด็กผู้หญิงคนนึงที่ช่วยแม่ขนหม้อใบเล็กๆผลัดตกลงไปในแม่น้ำ ทุกคนตกใจและร้องขอคนให้ช่วย แล้วกูให้ทายว่าใครเป็นคนกระโดดลงไปช่วย ใช่ พ่อของกูเอง พ่อกระโดดลงไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่ลังเล และเพราะช่วยคนมาเยอะ พ่อช่วยเด็กน้อยคนนั้นได้ในเวลาแค่เดี๋ยวเดียว แต่ยังไม่ทันที่จะพาคนขึ้นฝั่ง หน้าดินจากตลิ่งเดิมก็ถล่มลงมาอีกรอบ คราวนี้มันกระแทกโดนคนที่อยู่ในน้ำ พ่อกับเด็กผู้หญิงถูกผลัดออกไปไกล แล้วก็นี่ไง” เราสองคนเดินจนมาถึงใต้สะพาน “ตอหม้อสะพานนี้หยุดพ่อกับเด็กหญิงไว้ แต่เพราะปริมาณของดินที่ถล่มลงมามากเกินไป พ่อไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากระดับน้ำได้ ถูกหน้าดินและหญ้ากดทับติดไว้กับตอหม้อ จมอยู่ใต้น้ำ พ่อได้แค่ดันให้เด็กน้อยอยู่พ้นน้ำ ปล่ยให้ตัวเองจมอยู่ทั้งอย่างนั้น
ทุกความช่วยเหลือตรงดิ่งมาที่ตรงนี้ แต่.... สายเกินไป เด็กผู้หญิงรอดจากการจมน้ำ แต่คนที่ลงไปช่วย............กลับขึ้นฝั่งมาแค่ร่างกายที่ไม่มีลมหายใจ กูต้องทนเห็นพ่อแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย นี่แหละเหตุผลที่กูเลือกเรียนธรณีวิทยา รู้อะไรไหม ไอ้ป้ายเก่าๆนั่นคืออะไร นั่นน่ะคือบริเวณที่นายทุนมาขุดทรายไว้ เขาหาประโยชน์จากมัน ขุดมัน ดูดมัน แต่กลับไม่คิดที่จะปรับหน้าดินคืน ทิ้งงานที่ตัวเองทำไว้อย่างเห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึกเลยว่ามันอาจสร้างความเสียหายให้กับคนอื่น แต่ที่น่าเจ็บใจคืออะไรรู้ไหม นั่นก็คือครอบครัวกูไม่สามารถเรียกร้องอะไรจากนายทุนคนนี้ได้เลยเพราะเขาหมดสัญญาสัมปทานเกินสี่ปีแล้ว ตอนนั้นกูทั้งเจ็บใจและแค้นสุดๆ กับการไร้ความรับผิดชอบจนสิ่งที่เขาทิ้งไว้มันมาพรากชีวิตคนดีๆคนหนึ่งไป เขาสมควรที่จะได้รับบทเรียนบ้าง แต่ไม่มีเลย.....
เอาเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว ก็ถือซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้กูเลือกที่จะทำประโยชน์ให้สังคม มาเถอะ เดี๋ยวจะพาเดินไปไหว้พ่อที่ตอหม้อ.....”
“ท....แทน” ผมเรียกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ผมต้องหยุดทุกอย่างไว้ก่อน
“อะตอม! เป็นอะไรอ่ะ ร้องไห้ทำไม อย่าบอกนะว่าร้องไห้เพราะเรื่องของพ่ออ่ะ มันเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ป....เปล่า” ผมเริ่มก้มหน้าและส่ายหน้า หลังจากฟังเรื่องเล่าทั้งหมด ผมกลัวเหลือเกินที่ต้องพูดสิ่งต่อไปนี้ “ปล่อยมือเถอะแทน”
“ทำไมอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวช่วยพาเดินไป แถวใต้สะพานมันลื่นนะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย” แทนพยายามปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของผม แต่ผมห้ามไว้
“จ....จำได้ไหมว่า...นายทุนคนนั้น...ม...มาจากบริษัทอะไร” ผมตัดสินใจพูดต่อ ยังไงผมก็ต้องพูดต่อไป
“จำได้ดิ ไม่เคยลืม.... AIRA”
“นั่นน่ะ....อ...อ่านว่า ไอรา ม...มาจากคำว...ว่า ‘ไอราพิทักษ์’ นามสกุลของกูเอง นายทุนที่ทำให้หน้าดินถล่มก็คือ....พ่อของกูเอง”
“...................................................................” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาใดๆ ตัวผมเองก็ไม่กล้าพอที่จะเงยหน้ามอง ได้แต่ก้มลงและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอยู่อย่างนั้น

มือทั้งสองของเรายังจับกันไว้ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆส่งผ่านมาอย่างที่เคย เป็นเพียงสัมผัสเย็นชืดเท่านั้น

“ข...ขอโทษนะแทน” ผมตัดสินใจพูดออกมา “ตอน....ตอนนั้นพ่อมัวแต่ตามหาแม่ จนลืมทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่คิดเลยว่ามันจะสร้างผลเสียจนทำให้ใครต้อง....ตาย”

วินาทีนั้นเองที่มือของผมถูกปล่อยจากคนเบื้องหน้าให้ตกลงไปสู่แรงโน้มถ่วงของโลกดังเดิม ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกที่เย็นชืดหรือสัมผัสใดๆ ทำไมถึงได้รู้สึกอย่างกับว่าเชือกที่เคยมัดเอาไว้แน่นถูกตัดให้ขาดออกจากกันอย่างที่มิอาจต่อคืนได้

ดวงตาของผมค่อยๆเงยขึ้นมองคนตรงหน้า แต่ผมกลับเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาที่นิ่งสนิท ไร้เสียง ไร้ความรู้สึก ไร้ความปรารถนาดีทุกอย่างที่เขาเคยมอบให้ เหมือนกันว่าเราทั้งสองคนถูกแยกออกมาอยู่ในโลกคนละใบ ทั้งที่ห่างกันเพียงระยะที่ลมหายใจสามารถสัมผัสกันได้

“ข....ขอโทษนะ” และเมื่อไม่มีความหมายใดๆที่ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ ผมจึงหันหลังและเดินจากไปจากตรงนั้น ตรงที่ผมไม่ควรจะยืนอยู่มากที่สุด

ผมเดินประคงร่างตัวเองออกมา เดินไปตามถนนอย่างไร้ความหมาย.....

แบบนี้มันถูกแล้วใช่ไหม มันคงถูกต้องแล้วที่ผมกับเขา..............




..............ควรปล่อยมือออกจากกัน


ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แทน อะตอม คนใกล้ตัว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 13 [รุ่นพี่ Part 1]
«ตอบ #45 เมื่อ20-09-2018 23:34:31 »

​ตอนที่ 13 : รุ่นพี่









“ไม่ได้นะ ถ้าพี่ตองทำแบบนี้ ชาจะโกรธจริงๆด้วย”

“เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว ชายังจะไล่พี่ไปอังกฤษอีกเหรอ”

“ชาไม่ได้ไล่ แต่มันคือเรื่องที่พี่ควรทำ นี่มันดูงานต่างประเทศเชียวนะ อย่าให้เรื่องของเราทำให้พี่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆได้ไหม”

“ก็ได้ชา พี่มันโง่เองที่เป็นห่วงแฟนตัวเอง พี่โง่เองที่หึงแฟนตัวเอง ก็ขนาดว่าพี่อยู่กับชาแทบจะตลอดเวลา เมื่อเช้ายังมีคนมาตามจีบชาได้เลย แบบนี้เรียกว่าโง่สำหรับชาซินะ”

“พี่ตอง นี่เราไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องชานะ เรากำลังพูดถึงเรื่องของพี่และสิ่งที่ควรทำ เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องลำดับความสำคัญในชีวิตกันแล้วใช่ไหม”

“ก็ความสำคัญในชีวิตพี่ตอนนี้....”

“ไม่ต้องมาอ้างเลยนะว่าชาคือส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตัวพี่ก็คือตัวพี่เอง”

“แต่...”

“แล้วก็เลิกพูดเรื่องที่ว่าอยากชดเชยเวลาที่ผ่านมาได้แล้ว ชาได้รับมามากพอแล้ว มากกว่าที่ชาทำให้พี่มาตลอดแปดเก้าปีนี้ด้วยซ้ำ”

“...............” ไอ้หัวเหม่งเม้มปาก เหมือนจะหมดคำที่จะเอามาเถียงผมได้ ในที่สุดบรรยากาศในห้องซ้อมเต้นคณะสังคมฯ ก็เงียบได้เสียที

“ชาเข้าใจว่าพี่กังวลเรื่องเมื่อเช้าที่โซนิคมา....”

“สารภาพรัก” ดูไอ้คนตรงหน้ามันต่อประโยคให้ผมซิ มันน่านัก

“เรียกว่าบอกความรู้สึกจะดีกว่านะ” ผมรีบแก้ ไอ้พี่ตองนิ พอบ่นจะเอาแต่ใจ ก็รังแต่จะบิ๊วบรรยากาศอยู่นั่นแหละ จะดึงดราม่าไปไหนก็ไม่รู้ “แล้วที่สำคัญก็คือ ทั้งพี่แล้วก็ชา เราก็ได้เห็นแล้วนิว่าน้องมันมีคนอยู่ในใจจริงๆอยู่แล้ว ถ้าจะต้องให้เตือนความจำ ไอ้น้องโซนิคไม่ใช่คนแรกที่มาสารภาพรักผิดคนกับชานะ พี่ท๊อปก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แล้วดูเดี๋ยวนี้ซิเป็นไง ตัวติดกันกับพี่บุ๋นไปแล้ว”

“แล้วคนอื่นล่ะ มันไม่ได้มีแค่คนสองคนหรอกนะที่คิดจะมายุ่งกับชา พี่รู้นะว่าเดี๋ยวนี้ชอบมีคนมองชาตลอด ขนาดพี่ประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของเราชัดเจนขนาดนี้ ยังไม่วายเลย”

“ชาจะไปห้ามความคิดคนอื่นได้ยังไง แบบนี้ก็ต้องห่อชาเก็บไว้ในกล่องแล้วมั้ง”

“ถ้าทำได้ พี่ทำไปแล้วล่ะ”

“นี่พี่ตองเป็นอะไรเนีย พี่เคยเป็นคนมีเหตุผลกว่านี้นะ พี่เคยเห็นชานอกใจหรือไง พี่เคยเห็นชาตอบรับคนอื่นหรือไง”

“มีซิ ไอ้พี่กั้งนั่นไง”

“พี่ตอง นั่นมันเป็นแผน ถ้าจะขุดคุ้ยเรื่องเดิมๆมาทะเลาะแบบนี้ ชาจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

“ก็พี่....” อะไรของเขาอีกละเนีย อยู่ดีๆก็ทำหน้าเศร้า เมื่อกี๊ยังตาลีตาเหลือกเถียงอยู่เลย “พี่รู้สึกผิดที่ช่วงนี้ไม่มีเวลาให้ชาเลย มัวแต่เตรียมตัวจะไปอังกฤษท่าเดียว ไม่รู้คณะจะนัดไปคุยอะไรกันนักหนา ก็แค่จัดกระเป๋าแล้วก็เดินทาง แถมถ้าไปจริงๆพี่จะติดต่อชาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่กังวลไปหมด หรือจริงๆแล้วพี่อาจจะแค่เอาเรื่องที่เด็กคนนั้นมาสารภาพรักกับชาเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะได้ไม่ต้องจากชาไปไหนไกลๆ”

เวรกรรม รู้สึกเห็นใจซะงั้น เมื่อกี๊ยังบึ้มบ้ำใส่กันอยู่เลย

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า” ผมเปลี่ยนโหมดเป็นน้ำเสียงอ้อยอิ่งพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นไปโอบรอบคอคนตรงหน้า นี่ถ้าไม่ใช่เพราะตรงนี้เป็นที่รโหฐานไร้ผู้คน ผมไม่ทำอะไรแบบนี้หรอกนะ “ชาจะดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ปล่อยให้ใครมาเกาะแกะ แล้วก็จะตั้งหน้าตั้งตารอพี่ตองทุกวันเลย”

“ชาทำอะไรครับ ทำอ้อนแบบนี้ ระวังจะลำบากนะ” ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่เปลี่ยนโหมด ไอ้หัวเหม่งก็มองผมด้วยสายตาของเสือที่พร้อมจะกินเหยื่อในทุกที่ทุกเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้

“บางครั้งชาก็ต้องยอมลำบากบ้าง” กูก็ไปอ่อยเขาซะงั้น เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าทะเลาะกัน

“แน่ใจนะ”

“ไม่แน่ใจก็ได้” ผมแสร้งทำเป็นหมดอารมณ์และเตรียมเดินหนี

“มานี่เลย” ไอ้เสือหิวรีบคว้าเอวของผมกลับเข้ามากระชับตัวเอง “ยอมลำบากใช่ไหม”

“อื่อ.....อี่ออง” ผมพยายามจะพูด ก็รู้อยู่หรอกว่าจะเจอกับอะไร แต่การจู่โจมอย่างรวดเร็วริมฝีปากพร้อมกับความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้ อันนี้ไม่ได้เตรียมใจไว้เลย

แต่ไม่ว่าผมจะแสดงท่าทางอย่างไรเพื่อให้คนตรงหน้าลดทอนความรุนแรงลงบ้าง เขาก็ไม่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อเลย นี่ถ้าขืนผมโดนกระทำรุนแรงจริงๆในสถานที่แบบนี้ คงไม่วายทำเสียงดัง... เอ่อ... หมายถึงมันคงเป็นเรื่องเอิกกระเหริกจนเกินไป



“มาทำอะไรแถวนี้”



“เชี่ย...” ผมรีบหยุดพี่ตองไว้จากการกระทำทั้งหมด

“อ..อะไรครับ” พี่ตองถามด้วยความงุ่นงง

“ไม่ได้ยินหรือไง มีเสียงคนพูดอยู่นอกห้อง” นี่ต้องหน้ามืดเบอร์ไหนเนียถึงจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้



“นี่มันห้องซ้อมนะ ทำไมถึงมาทำด้อมๆมองๆ” เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง



“นั่นไง ได้ยินไหม” ผมถาม แต่จะว่าไปทำไมมันคุ้นจังวะ ผมจึงพยายามเงี่ยหูฟังดีๆ



“ป...เปล่า ผมแค่มาเดินเล่น” นี่คืออีกเสียงหนึ่งจากอีกคน นี่ก็คุ้นเหมือนกัน

“นี่ไม่ใช่ที่ๆใครจะมาเดินเล่นกัน แอบทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า เด็กคณะไหนเนีย” อ๋อ พอจะรู้แล้วว่าเสียงใคร

“คือ.... ผมนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อนนะ”

“ด...เดี๋ยว ถามว่ามาจากคณะไหน พี่เป็น ก.น.ช.นะ ตอบมาก่อน เห้ย จะรีบไปไหน”

“.........” ไม่มีเสียงการสนทนากลับ แสดงว่าไอ้คนที่ถูกเจอตัววิ่งหนีไปแล้ว



“อะไรของมันวะ มีอะไรในนี้ให้ดูนักหนา..... เห้ย! นี่พวกมึงทำอะไรกันเนี่ย” พี่บุ๋นนั่นเอง พี่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องซ้อม “นี่มันในมหาลัยนะ ถ้าคิดจะทำอะไรบ้าๆกลับไปทำที่บ้านพวกมึงซิ”

หึ.....  เห้ยยยยยย!!!

ชิบหายละกู มัวแต่เงี่ยหูฟังจนลืมออกจากการสวมกอดที่ค่อยข้างจะไปถึงขั้นนัวเนียระหว่างผมกับพี่ตอง จนทำให้พี่บุ๋นเข้ามาเห็นจนได้

ผมรีบกระโดดออกจากพี่ตองอย่างเร็วที่สุด

“ค....คือ...” จะอธิบายยังไงดีละกู ภาพมันชัดซะขนาดนี้

“ไม่ต้องเลย พวกมึงไม่ต้องแก้ตัวเลย กูไม่ได้ตาบอด” พี่บุ๋นยังคงเอามือปิดตาตัวเองไว้ แต่ก็เหลือบมามองเรื่อยๆว่า สิ่งที่จะมองนั้นปลอดภัยต่อสายตาหรือยัง “ติดกระดุมให้เรียบร้อยไอ้น้ำชา”

“ห๊ะ?” กระดุมไหน... อ้าว เวรกรรม นี่กูเลยเถิดมาถึงขั้นตอนปลดกระดุมเสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ผมรีบจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เช่นเดิม

“มึงด้วยไอ้สัดตอง เข็มขัดมึงอ่ะ” พี่บุ๋นยังไม่หยุดโวยวาย

“ท...โทษทีๆ” พี่ตองก็รีบติดเข็มขัดของตัวเองที่ถูกปลดออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ให้กลับมาทำหน้าที่คาดกางเกงไว้เช่นเดิม

“พวกมึงนี่มัน...” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติดีแล้ว พี่บุ๋นจึงยอมเดินเข้ามาในห้องซ้อมจากที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ยืนอยู่หน้าประตู “คิดจะทำบ้าอะไรกันเนีย นี่มันมหาลัยนะ ขืนมีคนมาเห็นเข้าจะเป็นยังไง”

“............” อึ้งไปเลยกู พี่ตองเองก็เงียบ ก็ตอนนั้นมันไม่ได้คิดอะไรนี่นา ลืมตัวไปนิดเดียวเอง

“ดีนะที่กูมาเห็นเข้าซะก่อน ไม่งั้นพวกมึงคงทำอะไรต่อมิอะไรไปแล้วมั้ง” พี่บุ๋นยังสั่งสอนพวกผม อย่างกับโดนแม่ดุเลย “โชคดีแค่ไหนแล้วที่เป็นกู ขืนเป็นคนอื่นมาเห็นละก็ พวกมึงได้ซวยแน่ๆ แล้วเมื่อกี๊ใครก็ไม่รู้มาหย่องๆอยู่แถวนี้ ถ้าขืนไอ้เด็กคนนั้นมาเห็นเข้าแล้วถ่ายรูปพวกมึงตอนกำลัง..... อย่าให้กูต้องพูดนะ พวกมึงจะทำยังไง เรื่องแบบนี้เสียแล้วเรียกคืนไม่ได้นะ”

“ผมพอจะรู้อยู่ครับว่าเป็นใคร” ผมบอก ถ้าเท่าที่ได้ยินเมื่อกี๊น่าจะเป็นเด็กคนปีหนึ่งคนที่พยายามทำลายชื่อเสียงของผม นี่มันยังไม่เลิกรังควานผมอีกเหรอ “เด็กคนนี้พยายามหาเรื่องผมอยู่ คงมาด้อมๆมองๆ....”

“จะใครก็ช่าง ยังไงมันก็ไม่สมควร พวกมึงโตแล้วนะ ทำไมทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีวะ โดนเฉพาะมึงนะไอ้น้ำชา มึงต้องรู้ได้แล้วนะว่าตัวเองอยู่ในฐานะรุ่นพี่ จะมาทำตัวไม่รู้เรื่องเมื่อตอนมึงอยุ่ปีหนึ่งไม่ได้ รู้ตัวซะทีว่าตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียง ทำอะไรนึกถึงผลเสียหน่อยดิวะ มึงแบกรับชื่อของผู้นำเชียร์มหาลัยไว้อยู่นะ อนาคตที่ต้องเสียไปอีก คิดบ้างไหม” นี่พี่บุ๋นไปหงุดหงิดอะไรมาล่ะเนีย พี่เขาไม่เคยอารมณ์เสียใส่ผมขนาดนี้มาก่อนเลย

“เออๆ เอาน่า พวกกูผิดไปแล้ว” พี่ตองรีบห้ามความเดือดดานของพี่บุ๋นไว้ แต่พอโดนว่าแบบนี้แล้ว ผมก็อดละอายใจไม่ได้เลยที่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ลงไป “มึงอย่าว่าน้ำชาเลย เรื่องนี้กูผิดเอง”

“มึงผิดกันทั้งสองคนนั่นแหละ” พี่บุ๋นยังโวยวายต่อ นี่พี่แกดูหงุดหงิดเกินกว่าที่เคยเห็นจริงๆนะ “ปีสามแล้วนะมึงอ่ะไอ้ตอง แทนทีจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ดีกว่าน้องมัน”

“เออๆๆ กูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว โอเคนะ... ว่าแต่ มึงมานี่ทำไม”

“ก็มาหามึงไง”

“มาหากู? มาหาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่นี่”

“กูโทรถามซีซี่ เจ๊แกบอกว่ามึงอยู่ที่นี่ คือกู...” อ้าว ซะงั้น อยู่ดีๆพี่บุ๋นก็นิ่ง เงียบ และแอบเร้าเบาๆ วิญญาณคุณครูเจ้าระเบียบหายไปไหนเร็วจัง

“ว่าไง” พี่ตองถามย้ำ

“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”

“อาหะ ว่ามาดิ”

“เอ่อ... ออกไปคุยกันแบบ...ที่อื่นได้ไหม”

“ทำไมวะ ก็คุยตรงนี้ก็ได้ คนรู้จักกันทั้งนั้น”

“พี่บุ๋นคงมีเรื่องอยากปรึกษาพี่ตองอ่ะ” ผมอาสาอธิบายเอง ดูท่าทีก็รู้ว่าอยากคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนที่วางใจ “พี่ตองออกไปคุยกับพี่บุ๋นเถอะ”

“เหรอ?” พี่ตองถามเพื่อน

“อืม ก็ตามนั้นแหละ” พี่บุ๋นตอบเรียบๆ

“โอเค ไปก็ไป” พี่ตองหันมาหาผม “เดี๋ยวพี่กลับมานะ”

ผมพยักหน้าให้

จากนั้นพี่ตองกับพี่บุ๋นก็เดินออกไปจากห้องซ้อม ทิ้งไว้ให้ผมอยู่คนเดียว



เพราะไม่มีอะไรทำผมจึงซ้อมเต้น รื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาซะหน่อย  เอาจริงๆก็คือผมมาที่นี่เพื่อซ้อมเต้นนี่แหละ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องสอนอะตอม แทน โซนิค และน้องครีม



พี่ตองกับพี่บุ๋นหายไปซะนานเลย นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วนะ ไม่กลับมากันซะที ดีนะที่มีขนมปังกับนมมาด้วย ไม่งั้นผมได้โมโหหิวแน่ๆ



#เสียงโทรศัพท์

หึ! โทรศัพท์ใครหว่า ไม่ใช่เครื่องผมนะ เครื่องของผมอยู่ในกระเป๋ากางเกง



“ของพี่ตองนี่นา” ผมพึมพำเมื่อเห็นว่าพี่ตองลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่มุมห้อง

‘อาวินัย’

อ่อ นึกว่าใคร คุณวินัย ผู้จัดการบริษัทท่าเรือขนส่งของพ่อพี่ตองนี่เอง คนนี้ผมพอจะรู้จัก คงไม่น่าเกลียดหรอกมั้งถ้าผมจะรับสายแทน

“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมกดรับสาย

“ครับคุณชายน้อย”

“อ๋อ นี่ชาเองครับคุณอา พอดีพี่ตองลืมโทรศัพท์ไว้  ถ้าพี่ตองกลับมาผมจะให้โทรกลับไปหาคุณอานะครับ”

“ไม่เป็นไรครับคุณหนู ผมต้องการคุยสายคุณหนูน้ำชาพอดี”

“ครับ? คุยกับผมเหรอครับ” แปลกจัง อย่างคุณวินัยมีอะไรจะคุยกับผมละเนีย “มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ หรือว่าที่ท่าเรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า”

“ไม่ครับไม่ ครั้งนี้ผมไม่ได้จะมารบกวนอะไรครับ แต่จะมาบอกเรื่องที่คุณชายน้อยสั่งให้ผมจัดหานักสืบให้เมื่ออาทิตย์ก่อน”

“ครับ!” เรื่องนี้นี่เอง ผมเองก็เกือบลืมไปแล้ว อัลไซเมอร์เริ่มแดกแล้วกู

“เรื่องที่ให้สืบหาครอบครัวที่หายไปของคนที่ชื่อธราธิป ไอราพิทักษ์ เป็นความต้องการของคุณหนูน้ำชาใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น “มีอะไรคืบหน้าบ้างไหมครับ”

“คงไม่เรียกว่าคืบหน้าหรอกครับ แต่เรียกว่าเราได้เบาะแสสำคัญเลยจะดีกว่า”

“จริงเหรอครับ แล้วเบาะแสคืออะไรครับ”

“คืออย่างนี้ครับ........”



ผมรับฟังเรื่องราวยาวเหยียดจากคุณอาวินัยเกี่ยวกับเบาะแสสำคัญนี้อยู่พักใหญ่



หลังจากฟังทั้งหมด ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกใบนี้มันช่างกลมเหลือเกิน หลายคนที่เข้ามาในชีวิตของผมดูจะมีความเชื่อมโยงเล็กๆถึงกันไปหมด อย่างกับว่าชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าเราทุกคนต้องมาพบกัน………..



“ขอบคุณมากนะครับคุณอาวินัย” ในที่สุดผมก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “ได้เรื่องยังไงแล้วผมจะติดต่อไปครับ”

“ครับ รีบหน่อยนะครับ”

“ครับ สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับคุณหนู”

ผมกดวางสายและเตรียมโทรหาอะตอม ผู้ที่สมควรรับรู้เรื่องราวนี้โดยเร็วที่สุด.... เออ ลืมไปเลย ไม่มีเบอร์โทรของน้องมันนี่นา




ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 13 [รุ่นพี่ Part 2]
«ตอบ #46 เมื่อ20-09-2018 23:35:39 »

#เสียงโทรศัพท์

ใครมันช่างโทรมาแทรกได้พอเหมาะพอเจาะขนาดนี้

ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่กำลังดังออกมา

“อิเจสซี่” อิช้างนั่นเอง “โทรมาตอนกูกำลังมีเรื่องสำคัญเลยนะ”

“สำคัญแค่ไหนมึงก็ต้องอธิบายเรื่องนี้กับกูก่อน” อะไรของมันวะ มาถึงก็ฉอดๆใส่ผมเลย “บอกมาซิว่ามึงทำอะไรน้องอะตอม”

“ทำอะไรวะ” ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด “กูยังไม่ได้เจอน้องเลย... แต่พูดถึงขึ้นมาก็ดีแล้ว ส่งเบอร์โทรศัพท์ของอะตอมมาให้กูหน่อย กูจะโทรหาน้อง”

“กูโทรหาจนโทรศัพท์จะระเบิดอยู่แล้ว มึงรู้หรือเปล่าว่าน้องส่งข้อความมาบอกว่าขอลาออกจากการเป็นลีด”

“อะไรนะ!! ทำไม”

“กูต้องเป็นคนถามมึง”

“กูจะไปรู้ได้ไง ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เจออะตอมเลย”

“งั้นมึงก็จัดการเรื่องนี้เองก็แล้วกัน อิเล็กคุ้มคลั่งจะตายอยู่แล้วที่ผัวมโนของมันลาออก แต่ก็อย่างที่บอกนะ กูโทรไปหาน้องแล้ว โทรไปเยอะแล้วด้วย ไม่มีการรับสายเลย มึงพอจะรู้ไหมว่าน้องอะตอมอยู่ที่ไหน เผื่อกูจะพาอิเล็กไปวอนอ้อนให้น้องกลับมาได้”

“หยุดความคิดเลยนะ พวกมึงไม่ต้องไปยุ่งกับน้องเลย”

“โอ๊ย ช่วยๆเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้ เพื่อนอยากได้ผู้จนตัวสั่นก็หมดแล้วเนี่ย... เออใช่ พูดถึงเรื่องนี้ มึงนะมึง อิชา กูได้ข่าวมาว่าเดี๋ยวนี้น้องโซนิครูปหล่อมาดแมนแฮนซัมและกล้ามท้องเป็นลอนของกูไปคลุกคลีง้องอนอยู่กับขนมปังใช่ไหม เพราะมึงคนเดียวเลยที่ทำให้ผู้ชายของกูไปสนใจคนอื่น”

“มึงก็เลิกบ้าได้แล้วอิช้าง ผู้ชายของมึงอะไรกัน น้องมันจะรักใครชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของน้องมันหรือเปล่าวะ กูไม่ได้ไปสั่งให้เขาสองคนชอบกันซะหน่อย”

“นี่แปลว่าโซนิคของกูกับขนมปังชอบกันจริงๆเหรอ อ๊ายยย มึง เป็นเพราะมึงเลยอิชา เพราะให้สองคนนั้นใกล้ชิดกันเกินไป....”

“อี สม เจต เลิกเล่นใหญ่ซะที.... กูมีเรื่องที่ต้องปวดหัวมากพออยู่แล้ว ส่งเบอร์น้องอะตอมมาให้กูเดี๋ยวนี้”

“ไม่ กูกำลังคุ้มคลั่ง...อ๊ายยยยยย”

“มึงได้คุ้มคลั่งจริงๆแน่ถ้ากูไม่แนะนำมึงให้บริษัทของแม่กู ยังอยากทำงานใน T-Queen World wide อยู่ไหม ถ้าอยากก็หุบปากเดี๋ยวนี้”

“เอ่อ.....” หยุดคลั่งเชียวนะมึง เจอคำขู่นี้ไปยังไงมันก็ต้องยอม “อ...เออก็ได้ เดี๋ยวกูส่งให้....ฮื่อๆ โซนิคสุดหล่อขอกู....”

“เดี๋ยว” ผมนึกบางอย่างขึ้นได้ “ส่งเบอร์ของแทนมาด้วย”

“เอาไปทำไม”

“กูบอกให้ส่งก็ส่งมาเถอะ ถามมากนะมึงอ่ะ กูยิ่งรีบๆอยู่”

“เออๆๆๆ เดี๋ยวส่งให้...... คอยดูนะมึง กูจะไปทวงโซนิคของกูคืนมา” แน๊ะ อินี้ ยังจะมาบ่นก่อนวางสายอีก

ผมรอข้อความจากอิช้าง สาเหตุที่ผมไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของคนอื่นๆก็เพราะเป็นการแบ่งหน้าที่กันกับอิช้าง ถ้าเป็นเรื่องงาน อิเจสซี่จะรับภาระนั้นทั้งหมด ซึ่งก็คล้ายๆผู้นำเชียร์คนอื่นๆนั่นแหละ เราทุกคนต่างก็อยากแยกชีวิตส่วนตัวออกจากงานและคนที่ไม่จำเป็น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ถือได้ว่าการติดต่อเด็กสองคนนั้นให้ได้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง



#คุณได้รับ 1 ข้อความ

มาแล้ว



เมื่อได้รับข้อความจากอิช้าง ผมก็รีบติดต่อหาคนที่ต้องการทันที....

แต่.... อะตอมไม่รับสายจริงๆด้วย

งั้นก็คงต้องโทรหาไอ้น้องแทนแล้วล่ะ สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอด คงจะพอติดต่อถึงกันได้......



“สวัสดีครับ” แทนรับสายแล้ว

“แทนเหรอ นี่พี่เองนะ พี่น้ำชา” ผมบอก

“ครับพี่น้ำชา มีอะไรครับ”

“พี่พยายามติดต่อหาอะตอม แต่มันไม่รับสายพี่เลย อะตอมได้อยู่กับแทนไหม”

“...............” อะไรคือการเงียบวะ

“ฮัลโหลๆ” สัญญาณไม่ดีหรือไง “แทนได้ยินไหม พี่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับอะตอม”

“.......ครับ” ตอบมาแล้ว นี่ตกลงว่าสัญญาณไม่ดีหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ “ผมได้ยินครับ แต่ไม่รู้ว่าเขาไปไหน”

“แปลว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือว่าอยู่ด้วยกันแต่ไม่รู้ว่าอะตอมไปไหน”

“แปลว่าผมไม่อยากรับรู้ว่าเขาไปไหน” หือ???? ทำไมแทนพูดแบบนี้ล่ะ

“นี่เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” ผมว่าผมพอจะสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างได้นะ

“..............” ไม่ตอบ แบบนี้แปลว่ามีปัญหากันจริงๆ แปลกนะ ปกติเห็นแทนยอมน้องอะตอมตลอด มีโมเม้นทะเลาะกันขนาดนี้เลยเหรอ

“นี่มันเกี่ยวอะไรกับที่อะตอมขอลาออกจากลีดด้วยใช่หรือเปล่า” ผมพยายามจี๊ถาม

“ครับ!?” เสียงแบบนี้คล้ายว่าไอ้น้องแทนจะยังไม่รู้เรื่องนี้

“อะตอมส่งข้อความมาบอกว่าขอลาออกจากลีดคณะ นี่ทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้ากันเลยเหรอ”

“..............” ขยันเงียบจังวะไอ้น้องแทน “......ก็เรื่องของเขาซิครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย”

นั่นไง มีเรื่องกันชัวร์ 2,000,000%

“เอางี้ พอจะรู้ไหมว่าอะตอมอยู่ที่ไหน พี่จัดการเองก็ได้”

“ผมไม่รู้หรอกครับ แต่คงอยู่ที่กาญจ์นี่แหละ”

“กาญจ์.... กาญจไหน? กาญจนบุรีน่ะเหรอ”

“ครับ”

“แล้วอะตอมไปทำอะไรที่นั่น”

“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อผม ผมชวนเขามาไหว้พ่อที่กาญจ์ แต่....”

“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ” เอาล่ะ ขอใช้ความสามารถทางด้านการอนุมานให้เหตุผลมาปะติดปะต่อเรื่องนี้หน่อย “แทนพาอะตอมไปไหว้พ่อที่กาญจนบุรี แต่ว่าทะเลาะกัน อะตอมส่งข้อความมาขอลาออก นี่แสดงว่าเพิ่งจะทะเลาะกันใช่ไหมเนี่ย”

“................” การไม่ตอบครั้งนี้แปลว่าไม่ปฏิเสธแน่นอน

“แล้วทำไมแทนถึงปล่อยเพื่อนไว้ที่ต่างจังหวัดแบบนั้นล่ะ มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ”

“เขาก็รู้จักที่นี่พอๆกับผม คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

“พี่จะเชื่อว่าอะตอมปลอดภัยก็ต่อเมื่อมีแทนอยู่ด้วย แต่ถ้าปล่อยอะตอมไว้คนเดียวแบบนั้น พี่พูดตามตรงว่า พี่ไม่แน่ใจเลย เป็นเพื่อนกันก็ทะเลาะกันบ้างมันคงไม่แปลก และพี่ก็ไปห้ามอะไรไม่ได้ด้วย แต่ถึงขั้นปล่อยเพื่อนไปแบบนั้น ออกจะโหดไปหน่อยนะ ที่พี่ฝากให้ดูแลอะตอมพี่ไม่ได้แค่พูดเฉยๆนะ แต่เพราะพี่รู้ว่าอะตอมยังไม่โตพอที่จะดูแลตัวเองได้ ซึ่งตอนนี้...พี่ไม่อยากจะเดาในแง่ที่ไม่ดีนะ แต่การที่อะตอมไม่รับโทรศัพท์ของพี่แบบนี้ อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้” อย่าหาว่าผมดูถูกน้องมันเลยนะ แต่อย่างอะตอม น่าจะยังไม่เจ๋งพอที่จะดูแลตัวเองด้วยตัวคนเดียวอยู่ที่ห่างไกลได้ น้องยังมีความเป็นเด็กและต้องการคนดูแลที่เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างไอ้น้องแทน

“................” เออ ไม่ตอบก็ไม่ตอบ

“ก็ได้ งั้นแค่บอกพี่มาก็ได้ว่าอะตอมอยู่แถวไหนของเมืองกาญจ์ พี่จะไปตามหาเองก็ได้ ยังไงพี่ก็เป็นรุ่นพี่ หน้าที่ของพี่คือดูแลน้องของพี่ทุกคน” ผมไม่เชิงว่าพูดหรอก เรียกว่าบ่นดีกว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอะตอมจะทิ้งโอกาสในการเป็นลีดแบบนี้ ไหนบอกว่าอยากใช้โอกาสนี้ตามหาแม่ไง อุตส่าเจอเบาะแสแล้วแท้ๆ”

“ว่าไงนะครับ!”

“โทษทีๆ พี่บ่นมากไปหน่อย บอกมาเถอะว่าอะตอมอยู่แถวไหน เดี๋ยวพี่จะตามหาเอง”

“ไม่ใช่ครับ พี่น้ำชาพูดเรื่องเบาะแส... เบาะแสของ...”

“ใช่ พี่ให้นักสืบตามหาเบาะแสของแม่อะตอมมาได้อาทิตย์นึงแล้ว เพิ่งได้เบาะแสนี่แหละ แต่ตอนนี้เบาะแสกำลังจะหายไปแล้วถ้าพี่ไม่ได้เจออะตอมภายในวันนี้”

“ยังไงครับ”

“เมื่อคืนวานทางการฟิลิปปินส์จับแก๊งค้ายากลุ่มเดี๋ยวกับที่จับตัวแม่ของอะตอมและชาวบ้านไปได้ ที่รู้เรื่องเร็วขนาดนี้ก็เพราะบังเอิญว่าเรือที่โจรปล้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นเรือที่บริษัทเอกชนในพม่าเช่าไปจากบริษัท KTYC นั่นก็คือบริษัทของครอบครัวพี่ตอง นักสืบก็มาจากบ้านพี่ตองนั่นแหละ แต่มันติดปัญหานิดหน่อยก็คือ หลายคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันตอนนั้นถูกส่งไปใช้แรงงานในอีกหลายประเทศตามเครือข่ายค้ายาเสพติดของพวกนั้น ทางนักสืบก็เลยอยากรู้ว่าหน้าตาของแม่อะตอมเป็นยังไง เขาจะได้ชี้แจ้งให้ทางการฟิลิปปินส์ส่งตัวกลับมาหาครอบครัวที่ไทย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนไร้สัญชาติ ถ้าไม่มีใครไปยืนยันหรือระบุตัวตนภายในวันนี้ UN(ยูเอ็น)จะรับเข้าไปที่ดูแลตามโครงการ และเคลื่อนย้ายผู้เคราะร้ายทั้งหมดไปที่อเมริกา ซึ่งถ้าถึงตอนนั้น นักสืบของพี่จ้างคงเข้าไปแทรกแซงงานของ UN ไม่ได้.... เข้าใจหรือยังว่าทำไมพี่ถึงอยากเจออะตอมให้.....”



“น้ำชา”

หึ! ใครเข้ามาในห้องอีกละเนีย วันนี้กูถูกขัดจังหวะบ่อยไปแล้วนะ



“อ้าว พี่ท๊อป” พี่ท๊อปนั่นเอง “เอ่อ แทน แป๊บนึงนะ ถือสายรอเดี๋ยว พี่ขอคุยธุระก่อน..... มีอะไรครับพี่ท๊อป ”

“ชาอยู่นี่จริงด้วย... น้องเจสซี่บอกว่าชาอยู่นี่” พี่ท๊อปพูด

“ครับ แล้วพี่มีอะไรจะคุยกับชาเหรอ”

“พี่มีเรื่องอยากปรึกษาหน่อย พอจะมีเวลาไหม”

“เอ่อ...คือ...” จะบอกว่าไม่มีเวลาได้ไหม ยังไงก็อยากใช้เวลาตอนนี้ติดต่อหาอะตอมก่อน แต่นี่ก็พี่ท๊อป เอาไงดีวะกู   

“บุ๋นขอเลิกกับพี่”

“ว...ว่าไงนะครับ!!!!!” ชิบหายแล้วไง เอาล่ะซิกู

“พอจะมีเวลาไหม พี่ไม่รู้จะหันไปคุยกับใครแล้ว” เวรกรรม พี่ท๊อปกำลังเศร้าสุดๆเลยนี่นา

ในฐานะน้องก็อยากปลอบใจพี่ท๊อปนะ แต่ในฐานะรุ่นพี่ผมก็อยากช่วยน้องอะตอมเหมือนกัน สำคัญกันคนละอย่าง จะเลือกทางไหนดีละเนีย

“เอ่อ...แทน...” ผมหันกลับมาคุยกับคนในสาย “จะว่าอะไรไหมถ้าพี่....” ไปไม่ถูกเลยกู

“ผมจัดการให้ก็ได้ครับ” จู่ๆไอ้น้องแทนก็อาสา “พี่จัดการธุระทางนั้นเถอะครับ”

“แต่เอ็งสองคนทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่หรือไง นี่มันเรื่องสำคัญเกี่ยวกับครอบครัวของอะตอมนะ พี่จะไว้ใจคนที่กำลังทะเลาะกันได้ยังไง”

“ไม่ต้องไว้ใจหรอกครับ แต่ผมเป็นคนเดียวที่สามารถตามหาเขาได้เร็วที่สุดในตอนนี้”

“อ...เออๆ เอางั้นก็ได้” ก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้นแหละในสถานการณ์แบบนี้ “งั้นเดี๋ยวพี่จะส่งเบอร์ของคนที่แทนจะต้องประสานงานด้วยไปให้ก็แล้วกัน”

“ครับ”

“แล้วก็อีกอย่าง... ถ้าไม่อึดอัดเกินไป ช่วยขอร้องให้อะตอมกลับมาเป็นลีดแทนพี่ด้วยนะ”

“...............ครับ”  ตอบรับได้ลังเลสุดๆไปเลยไอ้น้อง

อ้าว วางสายไปซะแล้ว

เอาเถอะ รีบส่งเบอร์ของอาวินัยให้ไอ้น้องแทนก่อน



‘0XX-XXX-XXXX ติดต่อเบอร์นี้นะถ้าเจออะตอมแล้ว เขาจะประสานเรื่องกับนักสืบให้’ ผมพิมพ์ข้อความส่ง



“ชา” พี่ท๊อปเรียกผม

“เกิดอะไรขึ้นครับ” โอเค สนใจเรื่องทางนี้ก่อนก็ได้วะ ปรับอารมณ์ไม่ทันเลยกู “ทำไมพี่บุ๋นถึง....บอกเลิกพี่แบบนั้นอ่ะ”

“เพราะพี่กับบุ๋นกำลังจะหมั้นกัน”

“อะไรนะ!?!?” วันนี้มีเรื่องให้ตกใจเยอะไปนะ ชีวิตปีหนึ่งที่ว่ายากของกู รู้สึกว่าปีสองจะไม่เบาลงเลย

พี่ท๊อปนั่งลง จะเรียกว่านั่งดีไหมนะ เรียกว่าทรุดลงไปกับพื้นดีกว่า นี่ต้องเศร้าแค่ไหนเนียถึงจะทำให้เพอร์เฟ็คแมนอย่างพี่ท๊อปนั่งกอดเข่าซังกะตายได้

“เล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ” ผมแตะไหล่ชายผู้เศร้าสร้อยและนั่งลงข้างๆเขา “ทำไมพี่สองคนต้องเลิกกันด้วย ทั้งๆที่จะหมั้นกัน.... ว่าแต่ จะหมั้นกันจริงๆเหรอครับ”

“ใช่ เรื่องนี้พ่อของบุ๋นเป็นคนออกปากเองเลย เมื่อคืนวานนี้เอง”

“แล้ว....?”

“มันตรงกับช่วงเดียวกับที่พี่กำลังจะได้เดบิวต์”

“เดบิวต์? หมายถึง การได้เป็นศิลปินมีชื่อของวงการเพลงเกาหลีน่ะเหรอ แล้วมันเกี่ยวกันยังไงครับ”

“ชาไม่รู้เหรอ คู่ของพี่ไม่เหมือนคู่ของตองกับชานะ หรือต้อมกับน้ำขิง หรือสุ่ยกับข้าวเจ้า พี่อิจฉามากเลยรู้ไหมที่พวกชาสามารถเปิดเผยความสัมพันธ์กันได้ ถึงแม้จะมีคนรู้เรื่องของพี่กับบุ๋นอยู่บ้าง แต่ก็มีแค่พวกเราที่สนิทกันแล้วก็พนักงานที่บริษัทของพ่อบุ๋น แต่ถึงยังไงเรื่องของพี่กับบุ๋นก็ยังต้องเก็บไว้เป็นความลับ เพราะมันจะมีผลอย่างมากกับการเป็นศิลปินที่เกาหลี คนที่โน่นยังไม่ยอมรับเรื่องอะไรพวกนี้ ซึ่งพี่กับบุ๋นก็เข้าใจและเราก็ตกลงกันว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่...”

“แต่ถ้าถึงขั้นมีงานหมั้น มันก็คงยากที่จะเป็นความลับใช่ไหมครับ” ผมเดา “และพี่บุ๋นก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้พี่ท๊อปเกิดข่าวเสียหายจนต้องเสียโอกาสที่เกาหลีไป”

“ใช่” พี่ท๊อปตอบเศร้าๆ จมในอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมอีก “พี่ไม่เคยต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลยนะ ถ้าเลือกได้พี่ก็ไม่อยากเป็นไอดอลแล้ว แต่บุ๋นไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายเราทะเลาะอย่างหนักเพราะพี่ยื่นคำขาดว่าพี่จะเลิกเป็นศิลปินฝึกหัดและไม่ทำงานที่เกาหลีอีกแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าบุ๋นจะยืนคำขาดกับพี่เหมือนกัน บุ๋นไม่ให้ทางเลือกกับพี่เลย บุ๋นทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้งานหมั้นเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้พี่ยกเลิกสัญญากับค่าย เพื่อให้พี่ได้ไปต่อในหน้าที่การงาน จนถึงขั้น ยอมเดินจากพี่ไป”

“พี่บุ๋นเขาอาจจะแค่...สับสนอยู่ก็ได้ เขาคงเป็นห่วงอนาคตของพี่ท๊อปมาก จนตัดสินใจอะไรผลีผลามไป ถ้าทุกอย่างเย็นลง อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ”

“เจ้าของบ้านเช่าที่พี่กับบุ๋นอยู่ มาบอกพี่ว่า บุ๋นไปขอยกเลิกสัญญาเช่าบ้านแล้ว บริษัทขนย้ายวัสดุก็โทรมาบอกว่าจะเข้ามาเก็บของของบุ๋นทั้งหมดออกไปเย็นนี้... แบบนี้ยังจะบอกว่าบุ๋นสับสนอยู่ไหม”

“เอ่อ....” คุณพระช่วย นี่พี่บุ๋นใจแข็งขนาดนี้เลยเหรอ เวรแล้วไง จะช่วยยังไงดีล่ะคราวนี้ “มันต้องมีวิธีซิ ชาขอคิดแผนแป๊บนึง”

“มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อบุ๋นเขาเป็นคนบอกเลิกเอง พี่ทั้งอธิบายทั้งง้อทุกอย่างแล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะเดินหนี เชื่อไหมล่ะว่าบุ๋นออกไปจากบ้านเช่าตั้งแต่เมื่อคืน ไม่กลับเข้ามานอนแม้กระทั่งที่พักของตัวเอง จะมีแผนไหนที่จะให้เขากลับมาได้อีกล่ะ หรือต่อให้บุ๋นกลับมาจริงๆ นั่นก็แปลว่าพี่ยอมที่จะยกเลิกการหมั้นและเดบิวต์เต็มตัว ซึ่งมันก็แทบไม่ต่างอะไรเลยกับการที่เราต้องเลิกกัน”

“อย่าเพิ่งหมดหวังซิพี่ท๊อป” ผมพยายามปลอบ “ผมรู้จักพี่บุ๋นดี ที่พี่เขาทำแบบนี้เพราะรักพี่มาก และที่ไม่ยอมนอนที่บ้านเช่าก็คงเป็นเพราะทนเห็นพี่ท๊อปไม่ได้ พี่เขาคงกลัวว่าจะเกิดใจอ่อนขึ้นมา พี่บุ๋นอ่ะรักพี่ท๊อปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เชื่อชาเถอะ”

“รักแบบนี้ มันเป็นรักยังไงกัน ทำไมความรักของพี่ไม่เหมือนคนอื่นๆบ้าง...”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

อะไรอีกล่ะเนีย ใครมาเคาะห้องตอนนี้วะ กูเบื่อการโดนขัดจังหวะจริงเว้ยยยยย



ผมลุกมาเปิดห้องซ้อมเต้น



“อ้าว น้องครีม” น้องครีมนั่นเอง “กลับมาทำไมอ่ะ ไม่อยู่ช่วยงานที่โรงพยาบาลเหรอ” ที่ผมถามก็เพราะผมเพิ่งจะสั่งน้องไปเมื่อเช้านี้เองว่าให้ไปหาหมอพิชิตและช่วยงานที่โรงพยาบาลเหมือนอย่างอะตอมและแทน

“อาจารย์พิชิตท่านไม่อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” น้องตอบ “ ก็อยู่ค่ะ หนูได้พูดคุยกับท่านแล้ว แต่ท่านบอกว่าตอนนี้โรงพยาบาลมีการตรวจสอบการคุณภาพของโรงพยาบาล ก็เลยไม่ว่าง ตอนนี้ห้ามมีนิสิตช่วยงานในโรงพยาบาลด้วย หนูก็เลยช่วยงานไม่ได้ เพราะงั้น... หนูไม่รู้จะไปไหน ก็เลยต้องกลับมาหาพี่ที่นี่ เผื่อว่าพี่น้ำชาจะมีอะไรอย่างอื่นให้หนูช่วย”

“พี่คงไม่มีอย่างอื่นให้ช่วยหรอก” ผมสารภาพตามตรง ไม่มีแผนสำรองเลย ยิ่งในเวลาแบบนี้ยิ่งไม่มี ถ้าอยากให้ช่วยก็คงอยากให้ช่วยปลอบหนุ่มหล่อที่นั่งเศร้าอยู่ในห้องซ้อมนั่นแหละ ถ้าได้สาวสวยแบบนี้มาปลอบใจอาจจะดีขึ้นละมั้ง.... เดี๋ยวววววววนะ!!! เหมือนจะคิดอะไรออกแล้ว “พี่นึกออกแล้วว่าจะให้ครีมช่วยพี่ทำอะไร”

“ได้เลยค่ะ” น้องกระตือรือร้นทันที “หนูก็อยากทำอะไรบ้าง เดี๋ยวคนอื่นๆจะหาว่าหนูไม่ทำอะไรเลย”

“งั้นช่วยพี่เรื่องนี้ก็แล้วกัน..................









..................ช่วยทำให้ใครคนหนึ่งหึงหน่อย”

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 1]
«ตอบ #47 เมื่อ30-09-2018 22:05:38 »

​ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่ Part 1 - 1/2









(ในมุมมองของโซนิค)



“ขนมปังงงงงง ขนมปังคร้าบบบบบบบ”

“....................” เงียบอีกตามเคย

“นี่มันจะเย็นแล้วนะ ไม่ออกมาหาอะไรกินซะหน่อยเหรอ”  ผมพยายามหว่านล้อม จริงๆผมก็เกลี่ยกล่อมเขามาเกือบจะทั้งวันแล้ว แต่รุ่นพี่ตัวน้อยที่อยู่ในห้องกลับใจแข็งอย่างน่ากลัว ไม่ฮือไม่อืออะไรเลย เงียบกริบ ทำตัวอย่างกับว่าไม่ได้อยู่ในห้อง “ผมเป็นห่วงจริงๆนะ ออกจากเถอะนะ อย่าทำแบบนี้เลย เราคุยกันไม่ได้เหรอ”

“....................” เห้อออออออ อ่อนใจจริงๆ



ไม่น่าตัดสินใจพลาดเลยกู เลยต้องมานั่งพิงประตูห้องเขาอยู่ทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน พูดคุณเดียวอย่างกับคนบ้า



#เสียงโทรศัพท์

ใครโทรมาหว่า... แต่ก็ดีเหมือนกัน อยู่คนเดียวนานๆเริ่มเบื่อแล้ว



“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมรับสาย

“ฮัลโหลโซนิค นี่พี่เองพี่ข้าวเจ้านะ”

“ค...ครับ” เวรละไงกู ลืมไปเลยว่าวันนี้ทำข้อตกลงกับพี่ข้าวเจ้าไว้ว่าต้องตามขนมปังกลับไปทำหน้าที่บั๊ดดี้ให้ได้

“สำเร็จหรือเปล่า เรื่องที่ไปทำ” นั่นไง ยิงตรงเข้าเรื่องแบบไม่รีรอ

“ก็...ใกล้สำเร็จแล้วครับ”

“ฟังไม่เหมือนน้ำเสียงของคนที่ใกล้สำเร็จเลยนะ” จับได้ซะงั้น “ถ้ายังไงพี่ว่าคงต้องหาบั๊ดดี้ใหม่จริงๆแล้วล่ะ”

“ด...เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวซิครับพี่ ผมใกล้สำเร็จแล้วจริงๆ”

“โซนิค พอเถอะ เรื่องนี้พี่ขอจัดการเองดีกว่า น้องกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เตรียมตัวสำหรับการบล็อกกิ้งและการซ้อมในวันพรุ่งนี้ดีกว่า นะ”

“แต่...”



ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

อะไรวะ จะรีบวางไปไหนเนี่ย



“ขนมปัง!!!” คร่าวนี้ผมเรียกอีกครั้งแต่ดังยิ่งกว่าเดิมและเคาะประตูแรงมากขึ้น เผื่อคนข้างในจะสัมผัสได้ว่าผมจริงจังมากแล้วนะ  “ขนมปังงงง”

เอาซิวะ กูจะเคาะไปเรื่อยๆ ให้ดังอยู่แบบนี้แหละ ถ้าไม่ออกมาก็จะเคาะจนมือหักทั้งสองข้างเลย เรื่องนี้เราก่อ เราต้องจัดการให้ได้ เพราะถ้าจัดการไม่ได้ ก็เท่ากับจะไม่ได้เจอคนในห้องนี้อีก แบบนั้นจะไม่ทนเด็ดขาด จะไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง

“ขนมปังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง

“พอเถอะ”

ห๊ะ!!

“ข...ขนมปัง” ตอบแล้ว ในที่สุดก็ตอบ “ออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม ผมขอโทษ ผมอยากเจอหน้าขนมปังนะ ออกมาคุยกันเหมือนเดิมได้ไหม”

“เหมือนเดิมเหรอ?” นี่เป็นการโต้ตอบจากคนข้างในครั้งแรกเลยหลังจากที่ผมนั่งอยู่หน้าห้องนี้มาทั้งวัน

“ใช่ซิ นะ ออกมาเถอะ”

“เหมือนเดิมที่พูดถึง หมายถึงให้ผมกับคุณกลับมาคุยกันเหมือนเดิม กลับมาร่วมงานกันเหมือนเดิม ใช้ผมเป็นเครื่องมือเพื่อเป็นทางผ่านไปหาคนที่คุณชอบ อย่างนั้นใช่ไหมที่เรียกว่าเหมือนเดิม”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น...”

“อย่างไหนล่ะ อย่างที่คุณถูกน้ำชาบังคับให้มาช่วยงานผม อย่างที่น้ำชาสั่งให้คุณดีกับผม อย่างที่คุณทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดน้ำชา อย่างที่คุณยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ อยู่กับคนที่ไม่อยากอยู่ เพื่อเป้าหมายเดียว หรืออย่างที่ผม...” เจ้าตัวเงียบลงคล้ายว่าไม่อยากพูดต่อ

“ก็ได้ ผมยอมรับก็ได้ว่าที่ทำมาก่อนหน้านี้เพราะมีจุดประสงค์แบบนั้น ถึงทำทุกอย่างไปแบบนั้น แต่เพราะผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่น้ำชาเขามีเจ้าของอยู่แล้ว ไม่งั้น...”

“ไม่งั้นจะทำไมเหรอ ไม่งั้นคุณก็จะไม่มาเสียเวลาทำเรื่องพวกนี้ใช่ไหม”

“คือมัน....” ก็จริงนั่นแหละ ผมคงแก้ตัวไม่ได้สำหรับเหตุผลนี้จริงๆ

“ไม่พูดต่อ ก็แปลว่ายอมรับ ทุกอย่างที่คุณทำ มีอะไรที่ออกมาจากใจจริงของคุณบ้างไหม ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน คุณจริงจังสักหนึ่งวินาทีไหม”

“ผม....ผมขอโทษ” ไม่รู้โว๊ย ขอโทษไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ขอโทษเรื่องอะไร คุณก็ทำถูกแล้วนิ เราทุกคนย่อมทำทุกอย่างเพื่อจุดทุ่งหมายของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งถึงวันนี้ภารกิจของคุณก็เสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ผมขอโทษที่ทำให้...ทำให้ขนมปัง....คือ....”

“จะพูดว่าขอโทษที่คุณเผลอทำให้ผมชอบคุณน่ะเหรอ” อึ้งไปเลยกู ไม่นึกเลยว่าขนมปังจะกล้าพูดออกมาตรงๆแบบนี้ “ไม่เป็นไร เอาเถอะ ยังไงซะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วที่ผมเสียใจเพราะมีใจให้คนอื่น แต่เพื่อทำให้ทำใจง่ายขึ้น การที่เราไม่ต้องพบกันอีกคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะ ผมยังไม่อยาก... เราพบกันอีกไม่ได้เหรอ ได้ไหม ผมสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครมาบังคับอะไรผมอีกแล้ว”

“...................................” นี่คือความเงียบอีกครั้ง เขาจิตใจเข้มแข็งกว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก แบบนี้ทำให้ผมเริ่มท้อจริงๆแล้ว

“ก...ก็ได้ เราอาจจะไม่ต้องพบกันก็ได้ แต่อย่าเลิกทำงานบั๊ดดี้เลยนะ ความผิดครั้งนี้ผมเป็นคนเริ่มมันเอง ขนมปังไม่ควรที่จะต้องมาเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากมัน กลับมาทำงานเหมือนเดิมเถอะนะ ผมไม่อยากรู้สึกผิด ถ้าขนมปังยอมกลับไปทำงาน ผมจะไม่อยู่กวนใจอีกเลย”

แกร็ก  แอ๊ดดดดดด

จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกมา เผยให้เห็นรุ่นพี่ตัวน้อยที่ยืนอยู่ห่างจากผมเพียงไม่กี่เซนติเมตร ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความน่ารักน่าหลงใหล ตอนนี้นิ่งสนิทเหมือนภาพวาดไร้อารมณ์



“ข...ขนมปัง” นั่นคือที่ผมพูด พอเขาออกมาจริงๆผมกลับนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร ได้แต่ดีใจบวกกับอึ้งไปพร้อมๆกัน

“ขอโทรศัพท์ให้ผมด้วย”

“ห๊ะ?” ผมงง

“โทรศัพท์ของผมที่อยู่ในมือคุณ ขอให้ผมด้วย” คนตรงหน้ายื่นมือออกมา

ผมได้แต่ส่งโทรศัพท์มือถือให้เขาอย่างไม่เข้าใจ

รุ่นพี่ตัวน้อยกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง

“ฮัลโหลข้าวเจ้า” อ๋อ พี่ข้าวเจ้านี่เอง “................ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ เรามีเรื่องจะขอหน่อยน่ะ...............เราขอกลับไปทำงานบั๊ดดี้ของข้าวเจ้าเหมือนเดิมได้ไหม ข้าวเจ้าติดต่อคนใหม่แล้วหรือยัง....................โอเค งั้นเราจะกลับไปทำงานพรุ่งนี้เหมือนเดิมนะ ขอโทษที่ทำให้ลำบาก......................ก็ ยังอยู่..........................ประมาณนั้นแหละ เอาเป็นว่าเราจะกลับไปช่วยงานข้าวเจ้าเหมือนเดิมแน่นอน จะไม่ทำอะไรเอาแต่ใจแบบนี้อีกแล้ว..........................ได้ เจอกันพรุ่งนี้” แล้วเขาก็วางสาย

“เมื่อกี๊ขนม... เห้ย เดี๋ยวๆๆ” ผมรีบดันประตูเอาไว้ จู่ๆคนตรงหน้าก็จะปิดประตูขังตัวเองไว้อีกรอบ

“ผมกลับไปทำงานแล้วนี่ไง” เขาพูดแต่ก็ออกแรงจะปิดประตูห้องตัวเองเต็มที่ “คุณไม่ต้องรู้สึกผิด แล้วก็ช่วยทำตามที่พูดด้วย อย่ามากวนใจผมอีก”

“นี่ขนมปังยอมทำทั้งหมดเพื่อจุดประสงค์นี้เหรอ เพื่อที่จะไล่ผมกลับไปเนี่ยนะ” ผมยังดันประตูไว้ ก็ไม่ได้ใช้แรงเยอะเท่าไหร่หรอก แต่เริ่มมีแรงอย่างอื่นมากกว่าที่ทำให้เหงื่อตก พอได้ยินคนตรงหน้าพูดแบบนี้แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก “อยากให้ผมกลับไปขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ผมก็แค่ทำเหมือนคุณไง ยอมทำทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์เดียว ถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม”

“ก็บอกแล้วไงว่าผมขอโทษ ผมยอมรับก็ได้ว่าที่ทำก่อนหน้านี้ทั้งหมดเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ผมทำมันจะ...”

“กลับไปได้แล้ว รักษาคำพูดของตัวเองด้วย” จะพูดแทรกทำไมนักหนาวะ ให้กูอธิบายอะไรให้จบสักครั้งได้ไหมเนี่ย

“ไม่” เอาดิ กูก็ดื้อเป็นเหมือนกันนะ

“นี่คุณหลอกผมอีกครั้งนึงแล้วใช่ไหม”

“เปล่า แต่ผมแค่เป็นห่วง ที่สำคัญหน้าที่ของผมยังไม่จบ พี่น้ำชาสั่งให้ผมอยู่เพื่อช่วยขนมปังทุกอย่าง ผมก็จะอยู่”

“นี่มันก็ครบอาทิตย์นึงแล้ว หน้าที่ของคุณจบแล้ว” เอาล่ะ ถึงตรงนี้คนตัวเล็กเริ่มออกแรงดันประตูกับผมแบบจริงจังแล้ว

“พี่เขาไม่ได้กำหนดซะหน่อยว่าผมต้องทำถึงแค่ไหน ผมอาจจะทำต่อไปอีกเรื่อยๆก็ได้”

“ก็ได้ ถ้าคุณจะพูดแบบนี้ คุณก็คงจำได้ว่าน้ำชาสั่งคุณไว้ว่ายังไง คุณต้องทำตามทุกอย่างที่ผมสั่ง งั้นผมขอสั่งให้คุณกลับไปและอย่าพยายามมาหาผมอีก”

“ผมขอปฏิเสธ” เอาซิวะ ใครมันจะเสียงแข็งกว่ากัน

“คุณมันหน้าด้าน”

“อะไรนะ” ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างขนมปังจะกล้าใช้คำพูดร้ายกาจแบบนี้ นี่รังเกียจกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ “เออใช่ ผมมันหน้าด้าน หน้าด้านพอที่จะมานั่งหน้าห้องใครก็ได้เป็นวันๆ หน้าด้านพอที่จะมารับมาส่งคนที่เขาไม่เต็มใจ หน้าด้านพอที่จะเป็นห่วงคนที่ผมเป็นห่วง”

“ไม่ต้อง ผมทำเองได้”

“ทำเองได้เหรอ ใครกันที่คอยปกป้องขนมปังตลอด ใครกันที่คอยขับรถให้ ใครกันที่คอยยืนอยู่ข้างๆรอฟังคำสั่ง ไม่มีผมแล้วขนมปังจะรู้สึก”

“งั้นเหรอ”

เชี่ยๆๆๆ จู่ๆเขาก็ละแรงออกจากการดันประตู ทำให้ผมเสียหลักไถลเข้าไปในห้อง



“จะโทรหาใครอ่ะ” ผมถามทันทีเมื่อคนตรงหน้ายกโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาใครบางคน

“คนที่จะทำคุณได้สำนึกสักทีว่าผมไม่รู้สึกอะเลยต่อให้ไม่มีคุณอยู่ด้วย” ต้องพูดให้รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจขนาดนี้เลยเหรอวะ “ฮัลโหลกั๊ซเหรอ พรุ่งนี้เช้ามารับเราเข้าไปทำงานในมหาลัยหน่อยได้ไหม ใช่ ไม่มีปัญหา มารับได้เลย....นี่! คุณ”

“นี่โทรมันเองเหรอ” ตอนนี้บอกไว้เลยว่าเดือดขั้นสุดแล้ว ผมเอามือใหญ่ของตัวเองกระชากโทรศัพท์ออกมาจากการสนทนาของคนตรงหน้าแล้วกดวางสายทันที

“ใช่” คนตัวเล็กตรงหน้าเริ่มตะคอกเสียง กล้าตะคอกเสียงใส่กูเลยเหรอ

“ผมตามง้อทั้งวัน คอยปกป้อง คอยช่วย แต่กลับโทรหาไอ้คนแบบนี้เหรอ”

“แล้วจะทำไม เอาโทรศัพท์คืนมานะ”

“นี่คิดถึงผัวเก่ามากนักใช่ไหม”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดกับผมแบบนี้นะ”

“แล้วจะทำไม อยากจะประชด ไม่เห็นต้องโทรหามันเลย รู้ก็รู้ว่ามันทำไม่ดีไว้กับตัวเองไว้ แต่ยังจะหันไปพึ่งคนอย่างมันเนี่ยนะ จะประชดอะไรก็ให้มันมีขอบเขตบ้างดิ”

“ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม”

“เออ ดี งั้นกูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกูเหมือนกัน”

“ค....คุณ.... คุณจะทำอะไรอ่ะ....ป.....ปล่อยผมนะ ปล่อยยยยย**!!!**”

กูตามง้อทั้งวันแม่งไม่ใจอ่อน พูดจาออกมาแต่ละคำมีแต่ทำร้ายจิตใจ ซ้ำยังเอาไอ้เลวนั่นมาเย้ยต่อหน้า

“ป.......อืออออ อื๊ออออออ” กูจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว ริมฝีปากนี้จะต้องถูกผนึกไว้ด้วยปากของกูนี่แหละ จะได้ไม่ไปพูดกับใครได้อีก

“ป....ปล่อย”

“ชอบคนเลวๆนักไม่ใช่เหรอ นี่ไง เลวพอไหม” ดูไว้ซะ กูจะแสดงให้ดูว่าคนเลวของจริงเป็นยังไง

“อืออออออ”

แค่แขนขาเล็กๆ คิดเหรอว่าจะทำอะไรคนอย่างกูได้ แค่ทับไว้นิดหน่อยก็สิ้นฤทธิ์แล้ว

“หลุดซิวะ” ไอ้เสื้อผ้าน่ารำคาญพวกนี้ ฉีกออกไปให้หมด อย่ามาขว้าง

กูจะเป็นเจ้าของร่างกายนี้แต่เพียงผู้เดียว ต่อจากนี้จะไม่ยกให้ใครทั้งนั้น ไม่รอรีโอกาส ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกแล้ว



“....................................................................ฮื่อออออ ฮ....ฮื่อ ฮื่อออออ”

เสียงใครวะ?

ใครมาส่งเสียงร้องไห้น่ารำคาญแถวนี้

เหมือนมีอะไรสั่นๆอยู่ใต้ร่างกายของเรา



“ข.....ขนมปัง” เชี่ยยยยยยยยยยยย กูทำเชี่ยอะไรลงไปวะเนี่ย

“ย....อย่า ฮื่อๆ อย่าทำอะไรผมเลย” ร่างกายเบื้องล่างที่ถูกผมกดทับกำลังสะอื้นไห้อย่างหนัก ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปหมด สองมือที่พนมไหว้ด้วยความหวาดกลัวนั้นห่างจากใบหน้าของผมเพียงไม่กี่มิลลิเมตร “ขอ...ข...ขอร้อง ผมกลัวแล้ว อย่า...ทำอะไรผมเลย ฮื่ออออออ”

ร่างกายของเขายิ่งกระตุกแรงขึ้นเพราะทั้งกลัวและร่ำไห้

นี่กูทำอะไรลงไปเนี่ย

ขนมปังมานอนอยู่บนเตียงได้ยังไง ผมผลักเขาลงมาเหรอ?

เสื้อผ้าบนตัวที่ขาดหวิ่นนี่ก็ฝีมือของผมเหรอ

แก้มและคอที่แดงช้ำนี่ก็คงเกิดจากความหน้ามืดของผมอีกซินะ

“ขนมปัง ค...คือผม...” ผมรีบผละตัวเองออกมาจากคนตัวเล็กเบื้องล่าง

ทันทีที่ได้อิสรภาพ คนตัวเล็กก็รีบถอยล่นนำกายตนเองไปคุดคู้อยู่ที่มุมเตียงจนติดผนัง ใบหน้ายังเปียกไปด้วยน้ำตา ดวงตายังแดงก่ำ มือเล็กๆของเขาพยายามกวาดรวบผ้าห่มมาปิดป้องกายตนเองทั้งที่ยังสั่นกลัว

“เหมียว เหมียววว”

แมวน้อยขนดกกระโดดขึ้นมาไต่ลำตัวที่สั่นกลัวและเลียแก้มใสๆ ประหนึ่งว่ามันกำลังเช็ดน้ำตา และส่งเสียงร้องเพื่อปลอบประโลม



“อย่าเข้ามานะ**!**” เพียงแค่ผมขยับตัวนิดหน่อย ขนมปังก็ร้องออกมาจนลั่นห้อง ผมจึงได้แค่หยุดยืนนิ่งมองสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะลงมือทำ แม้มันจะยังไม่ไปถึงไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ผมจะไม่รู้สึกผิด

“ผม....ผมขอโทษ” คำพูดเดียวที่นึกออกในตอนนี้ “ผมแค่....ผมแค่โกรธ ผมไม่มีสติ ผมขอโทษนะ”

“ก็บอกว่าอย่าเข้ามาไง ฮื่ออออ” เสียงร้องด้วยความกลัวนี้ยิ่งทำให้หัวใจของผมเหมือนแตกสลาย กูกล้าดียังไงวะไปทำกับเขาแบบนี้

“ผมขอโทษ” ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ

“ทำไม ทำไมทุกคนถึงใจร้ายนัก” นี่เป็นคำพูดตัดพ้อที่เสียดแทงหัวใจของผมที่สุดในโลกเลย “มีแต่คนทำร้ายจิตใจ ผมทำผิดอะไรนักหนางั้นเหรอ ฮื่ออออ ฮื่ออออออ”

“ขนมปัง”

“ออกไป**!!!**”

“ขนมปัง”

“บอกให้ออกไปไง” น้ำตาของเขาพลั่งพรูออกมาไม่หยุด และถ้ายิ่งผมพยายามเข้าใกล้เขามากกว่านี้ เขาคงจะยิ่งทุกข์ใจหนักขึ้นไปอีก

“งั้นผม.... กลับก็ได้” ผมสำนึกได้แล้วว่าเวลานี้ควรยอมแพ้และถอยได้แล้ว

“จากนี้ไป” จู่ๆ คนตัวเล็กก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เราเคยรู้จักกันมาก่อน”

“..................” ทั้งที่อยากจะพูด แต่ก็เหมือนพูดไม่ออก ไม่มีคำใดสามารถพูดใช้ในสถานการณ์นี้ได้เลย สุดท้ายจึงทำได้เพียงเดินออกไปเท่านั้น


ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 1]
«ตอบ #48 เมื่อ30-09-2018 22:07:03 »

​ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่ Part 1 - 2/2





เสียงร้องไห้ของคนที่ผมทิ้งเขาไว้เบื้องหลังมันช่างดังเหลือเกิน มันดังอยู่ในหูของผมกระทั่งว่าขับรถออกมาไกลแล้วเสียงนั้นก็ยังชัด ภาพของดวงตาที่หวาดกลัวก็ยังติดอยู่ในความทรงจำจนแทบจะมองไม่เห็นถนนหนทางเบื้องหน้า



#เสียงโทรศัพท์

ใครแม่งโทรมาตอนนี้วะ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยกับใครเลยสักนิด



“ฮัลโหล” ผมรับด้วยเสียงอ่อน

“เออ โซนิคเหรอ นี่กูเอง สุ่ย”

“ครับ?”

“สุ่ยไง เมื่อตอนเที่ยงกูยังคุยอยู่กับมึงเลย ลืมกูแล้วหรือไงวะ”

“อ๋อ ครับพี่ มีอะไรครับ”

“ก็ไม่มีอะไร จะโทรมายินดีกับมึงซะหน่อย เก่งนี่หว่า สุดท้ายก็ง้อไอ้ปังสำเร็จจนได้ ข้าวเจ้าเพิ่งบอกกูเมื่อกี๊เองว่าปังยอมกลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว”

“ครับ..............”

“อะไรวะ ทำไมน้ำเสียงมึงไม่เหมือนคนที่กำลังดีใจเลย”

“ผม.... ผมทำพลาดว่ะพี่”

“พลาด? ยังไงวะ ก็ที่ไอ้ปังยอมกลับมาทำงานไม่ใช่เพราะมึงง้อมันสำเร็จหรือไง”

“นั่นไม่ใช่เพราะผมง้อเขาสำเร็จหรอกครับ เขาแค่ตัดรำคาญผมก็แค่นั้น”

“อ้าววว แบบนั้นหรอกเหรอ เออๆ แต่ก็ยังดี อย่างน้อยมึงก็ยังมีโอกาสได้เจอหน้ามันอีก ถือเป็นสัญญาณที่ดี”

“ไม่หรอกพี่ ที่ผมบอกว่าทำพลาด จริงๆแล้วคือผม....”

“มึงทำไม?”

“ผมรังแกขนมปังว่ะพี่ ผมหน้ามืดไปหน่อย ผมทำ........”

“ว....ว่าไงนะ! นี่มึง...”

“ครับ ก็ตามนั้นแหละพี่ ถึงผมจะห้ามตัวเองไว้ได้ก่อน แต่ตอนนี้ เขาก็เกลียดผมไปแล้ว แถมยังประกาศออกมาอีกว่าไม่ขอรู้จักผมอีก หมดหวังแล้วจริงๆว่ะพี่”

“ไอ้โซนิคเอ๊ยยยย” เสียงถอนหายใจดังออกมาชัดเจน “มึงนี่มันน่าโดนต่อยให้ลงไปกองกับพื้นจริงๆ”

“ผมรู้พี่” ก็อยากโดนอัดสักเปรี้ยงเหมือนกัน เผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้น

“แต่กูก็พอจะเข้าใจได้ กูก็เคยเจอปัญหาแบบนี้มาเหมือนกัน”

ห๊ะ!? “ยังไงนะพี่”

“เออๆ ไม่ต้องถามมาก เอาเป็นว่ากูเข้าใจมึงก็เลยกัน แล้วหลังจากนี้มึงจะทำยังไงต่อวะ”

“ทำอะไรต่อเหรอ ก็คงต้องออกจากชีวิตขนมปังแหละพี่ เขาคงไม่ให้อภัยผมแล้ว”

“อือหือ พระเอกโคตรรรร นี่ถ้ามึงอยู่ใกล้ๆ กูจะเคาะกะบานให้”

“อ้าวพี่ ก็ผมทำกับเขาแบบนั้นแล้ว จะให้ผมทำยังไงได้อีกอ่ะ ผมเป็นคนผิดนะพี่”

“กูไม่ได้บอกว่ามึงทำถูก กูแค่จะหมายถึงว่ามึงไม่ควรยอมแพ้ ทำผิดมึงก็ไปขอโทษซิวะ”

“เขาคงไม่ยกโทษให้ผมง่ายๆหรอกพี่”

“กูก็ไม่ได้บอกว่ามันง่าย กว่ากูกับข้าวเจ้าจะตกลงใจกันได้มึงคิดว่าแค่มองตากันหรือไง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเว้ย ตื๊ออ่ะรู้จักไหม มันอาจจะฟังดูโบราณนะเว้ย แต่การตื้อก็เป็นวิธีการแสดงความจริงใจอย่างนึง มึงลงมือทำหรือยัง หรือแค่คิดอยู่กับตัวเองคนเดียว”

“ตื้ออีกแล้วเหรอ” ช่วงนี้มีแต่คนแนะนำให้ผมทำแต่สิ่งนี้

“อะไรนะ”

“เปล่าพี่ ไม่มีอะไร แล้วผมควรจะต้องทำยังไงดี”

“นี่กูต้องบอกมึงทุกอย่างเลยไหม ตอนที่มึงจะไปสารภาพรักกับไอ้ชา มึงทำยังไงวะ กูอยากรู้ มึงได้ปรึกษาใครเหมือนที่ปรึกษากูตอนนี้หรือเปล่า”

“ก็...เปล่าพี่”

“เออ ก็ใช่ไง มึงต้องคิดเอง เอาเข้าจริงๆมึงอาจจะรู้วิธีอยู่แล้วก็ได้ แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของมึงยังไม่มั่นคงมากกว่า แต่ถ้ามึงอยากจะได้คำแนะนำอะไรจริงๆ อืมมมมม ในฐานะที่กูรู้จักไอ้ปังมา ชีวิตมันมีสิ่งสำคัญอยู่แค่สองอย่างคือ ย่าของมัน กับ แมว”

“เอ่อ....” แล้วมันจะช่วยให้ขนมปังยกโทษให้ผมได้ยังไง

“กลับไปคิดเองก็แล้วกัน กูแนะนำแค่นี้แหละ”

“ครับพี่”

แล้วพี่สุ่ยก็วางสาย



.................เอาวะ ยังไงก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง วันนี้มีคนมาเตือนสติเยอะเกินไปแล้ว กูควรรู้จักที่จะทำอะไรด้วยตัวเองซะบ้าง



ขนมปัง อาม่า แมว...... งั้นเหรอ

สามคีย์เวิร์ดนี้จะทำให้ผมได้รับการยกโทษได้ยังไง........................





----เช้าตรู่ของวันต่อมา----



“เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เอาพวกนี้ไว้ข้างบน ขนมปังพวกนี้ชิ้นเล็กแต่ไส้เยอะ ถ้าอยู่ข้างล่างมันจะเละรู้ไหน”

“เข้าใจแล้วครับอาม่า” ผมตอบ



“ม่าครับ ปังต้องเข้ามหาลัยแล้วนะ มีอาหารเช้าให้....... คุณ!”

ตุ๊บ!!!



“อ้าวๆ ทำอะไรน่ะขนมปัง ทำไมซุ่มซ่ามแบบนี้ ถุงแป้งร่วงลงมาแตกเลยเห็นไหม” อาม่าเอ็ดหลานตัวเองทันที

“ผมจัดการให้เองครับ” ผมที่อยู่ในเหตุการณ์รีบอาสาเข้าไปช่วยเก็บกวาดทันที

อันที่จริง ที่ถุงแป้งร่วงลงมาแบบนี้ก็มีที่มาจากตัวผมเองนี่แหละ ก็ทันทีที่รุ่นพี่ตัวน้อยเห็นผมเข้ามาอยู่ในบ้านของตัวเองตอนเช้ามืดแบบนี้ แถมยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน แล้วก็ช่วยงานของร้านอีก เขาก็คงตกใจเป็นธรรมดา



“ย...อย่าเข้ามานะ!!” ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว แต่ประโยคคำสั่งประโยคนี้ยังไม่หายไปจากความทรงจำของขนมปังเลย

“ไปพูดอะไรกับเพื่อนอย่างนั้นได้ยังไง” อาม่าสงสัย “เขาจะช่วยเก็บกวาดให้ ขนมปังนั่นแหละที่ต้องถอยออกมา เดี๋ยวแป้งก็เลอะเสื้อผ้าหรอก”

“แต่เขา....” เจ้าตัวคงเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าไม่ควรพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผมรู้ตัวดีว่าเขาคงยังโกรธหรือกลัวผมอยู่ แต่เรื่องแบบนี้คงไม่สามารถพูดออกมาให้ใครฟังได้ง่ายๆ คงไม่มีใครกล้าประกาศบอกหรอกว่า ผมเกือบโดนผู้ชายข่มขืน

เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีการโวยวายใดๆ ผมจึงเดินเข้าไปเก็บถุงแป้งทำขนมที่ตกลงมาเสียหายเพราะความตกใจของรุ่นพี่ตัวน้อย แต่ก็แน่นอนว่าคนตัวเล็กแทบจะกระโดดหนีออกไปเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้

ไหนๆสถานการณ์ก็เป็นใจแล้ว ผมจึงแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทำแค่สิ่งที่ตัวเองต้องทำตรงหน้าก็พอ



“คุณมาที่นี่ทำไม” ขนมปังกัดฟันกระซิบ

“เอ่อ....พูดกับผมเหรอ” แต่ผมไม่กระซิบ แถมยังตีหน้าไม่เข้าใจในคำถามของรุ่นพี่ตัวน้อย นั่นจึงทำให้ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าแสดงออกว่า ไม่เข้าใจ อย่างชัดเจน

“ก็ใช่ซิ คุณมาทำอะไรที่นี่”

“ก็...มาช่วยงานอาม่าไง” ผมตอบซื่อๆ

“ใครขอร้องคุณไม่ทราบ” จ้าๆ จะเหน็บแนมยังไงก็เชิญเลย แค่ได้คุยด้วยก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่เพื่อรักษาสภาวะนี้ไว้ ผมจะต้องทำตามแผนที่เตรียมมา

“อาม่าไง อาม่าขอ ใครจะมาขอผมได้ล่ะ” ผมตอบกวนๆ “จริงๆก็ไม่ใช่ว่าอาม่ามาขอร้องให้ผมช่วยหรอก แต่ผมเห็นว่าอาม่าแก่แล้ว ต้องทำงานหนักตอนเช้าทุกวัน ผมก็เลยอาสามาช่วย อาม่าก็ยินดีนะ ไม่เชื่อถามอาม่าดูซิ.... อาม่าครับ ผมมาช่วยงานแบบนี้ทุกวันได้ไหมครับ”

“เกรงใจพ่อโซ่แย่เลย แต่ก็ขอบใจมากเลยนะ” อาม่าหมายถึงผม ท่านคงชินปากมากกว่าที่จะเรียกผมอย่างนี้ “หล่อแล้วยังมีน้ำใจอีก ช่วงนี้ขนมปังเขาทำแต่งานที่โรงเรียนไม่มีเวลาว่างมาช่วยอาม่าอย่างเมื่อก่อน ได้คนหนุ่มแข็งแรงมาช่วยก็เหนื่อยน้อยลงไปเยอะเลย”

“ยินดีครับอาม่า ผมยินดีมาช่วยอาม่าทุกวันเลยครับ” ผมตอบก่อนจะเก็บกวาดทุกอย่างลงถังขยะ แล้วกลับไปเรียงของต่อที่ชั้น ทิ้งให้ใครบางคนมองผมอย่างแปลกใจสงสัย



“ปังไปทำงานแล้วนะครับม่า” แม้คนตัวเล็กจะแปลกใจในพฤติกรรมของผม แต่ผมก็สังเกตเห็นว่ายังระแวงผมอยู่ ขนมปังจึงตัดสินใจที่จะเดินออกไป เห็นได้ชัดว่าทำทีไม่สนใจผม

“แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” อาม่าถามหลานชาย “อาม่าทำข้าวเช้าไว้ให้เยอะแยะ หรือไม่ก็เอาที่อาม่าห่อไว้ให้ไปกินก็ได้นิ”

“ไม่เป็นไรครับ ปังไม่หิว” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานนัก “ปังออกไปรอแท็กซี่ก่อนนะครับ รักม่านะครับ”

“อ...อ้าว รีบไปไหนของเขากันนะหลานคนนี้” อาม่าได้แต่พูดตามหลังหลานชายที่ออกจากบ้านไปแล้ว



“อาม่าครับ” ผมเอ่ยขึ้นทันที “ผมขอตัวแป๊บนึงนะครับ”

“จะไปไหน ปวดห้องน้ำเหรอ” อาม่าถาม

“เปล่าครับ ผมจะเอาห่อข้าวไปให้ขนมปัง” ผมตอบตรงๆ

“เหรอๆ ขอบใจนะ รีบไปไป๊ เดี๋ยวไม่ทัน”

“ครับ”



ผมรีบวิ่งเข้าไปในครัว หยิบกล่องอาหารสีเขียวที่อาม่าจัดเตรียมไว้บนโต๊ะอาหาร แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อออกไปที่หน้าร้าน



“เดี๋ยวก่อน” ผมรีบเรียกรุ่นพี่ตัวน้อยทันทีที่เห็นเขายืนอยู่หน้าร้าน

“ค...คุณจะทำอะไร” นี่ยังกลัวผมอยู่ซินะ เจ้าตัวแสดงท่าทางหวาดกลัวจนถึงขั้นรังเกียจใส่ผมทันทีที่มองเห็นผม เอาเถอะ มันเป็นกรรมที่ผมก่อไว้เอง ต้องยอมรับให้ได้

“ผมแค่จะเอาอาหารเช้ามาให้” ผมยื่นกล่องอาหารไปให้คนตรงหน้า

“ไม่ต้องพยายามทำดีกับผมหรอกนะ มันไม่ช่วย...”

“ผมไม่ได้ทำดีอะไรด้วยซะหน่อย” ผมตัดบท “อาม่าวานให้ผมเอามาให้ ผมก็แค่เอามาให้ เรื่องมันก็มีแค่นั้น”

“ผมไม่ใช่คนโง่นะ คิดว่าจะหลอกผมได้เหรอ ผมไม่รับของอะไรจากคุณทั้งนั้น”

“อาม่าครับบบบ หลานชายอาม่าบอกว่าไม่อยากกินอาหารของอาม่าครับ” ผมตะโกน

“คุณ!” คนตรงหน้ารีบคว้ากล่องอาหารจากมือของผมไปทันทีก่อนจะรีบตะโกนแก้ต่างให้ตัวเอง “ปังไม่ได้พูดแบบนั้นนะม่า..... คุณนี่มัน...”

ผมพยายามไม่ขำที่ได้ชัยจากการประลองครั้งนี้

“............” เมื่อเห็นว่าผมทำให้เขาอับอาย เขาจึงหันหลังกลับไปรอรถเช่นเดิม

“เรื่องรถน่ะ...”

“ไม่” คนตัวเล็กตัดบทของผมอย่างไว “ผมบอกแล้วไงว่าผมจัดการทุกอย่างเองได้ ไม่ต้องไปส่งผม ผมจะไม่รับความช่วยเหลืออะไรจากคุณอีกแล้ว”

“ผมพูดเมื่อไหร่เหรอว่าผมจะไปส่ง เราไม่ได้รู้จักมักจี้อะไรกัน ผมจะไปส่งทำไม”

“.............” คนตรงหน้าหันกลับมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ แบบนี้แหละที่ต้องการ

“ผมแค่จะบอกว่า ถ้าจะรอรถจริงๆ เข้าไปรอข้างในบ้านก็ได้นิ เดี๋ยวแท็กซี่มาก็เห็นเอง จะมายืนรอตรงนี้ทำไม อยู่มืดๆคนเดียวมันอันตรายนะ”

“...............” เขาดูจะไม่เข้าใจอะไรสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เงียบและหันกลับไปเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ยอมแพ้หรอก ครั้งนี้จะไม่มีคำว่าแพ้แน่นอน

“ผมชื่อโซนิคนะ อยู่คณะสังคม ปีหนึ่ง พี่ชื่ออะไรเหรอ”

“คุณคิดจะเล่นอะไรของคุณ” ในที่สุดผมก็ถูกสนใจเสียที แต่ค่อนข้างจะอยู่ในอารมณ์ที่ฉุดเฉียวสักหน่อย

“ก็แนะนำตัวไง” ผมตอบหน้าตาย “คนเราไม่รู้จักกันมาก่อน บอกชื่อกันก็คงไม่แปลก”

“ไม่รู้จักกันมาก่อน...เหรอ”

“ก็ใช่ไง หรือว่าพี่รู้จักผม.... แล้วสรุปว่าพี่ชื่ออะไรเหรอ”

“ผมไม่อยากรู้จักคุณ ผมไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเอง” แน๊ะ มีเล่นกลับซะด้วย คิดเหรอว่าแค่นี้จะได้ผล

“ว้า... เสียดายจัง แค่ทำความรู้จักกันก็ไม่ได้เหรอ คือผมแค่อยากจะบอกว่า ผมเหมือนจะ...ชอบพี่เอามากๆเลยนะ”

“ว่าไงนะ! คุณนี่มัน....”

“ผมทำไมเหรอ ผมหล่อ ผมเท่ หรือว่า ผมก็ทำให้พี่ชอบผมเหมือนกัน”

“เลว” อือหือออออ จี๊ดเลยกู ช่วงนี้คนตัวเล็กรู้จักสรรหาคำพูดแรงๆมาใช้นะ

“ก็เป็นคำชมที่ผมไม่ค่อยได้ยินจากใครมาก่อน.... แต่ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงผมก็ชอบพี่อยู่ดี ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพี่เมื่อกี๊เลย ชอบมาก แล้วก็จะจีบให้ติดให้ได้ด้วย”

“............” เขามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง

“สงสัยล่ะซิว่าทำไมผมถึงชอบพี่เร็วขนาดนี้ ก็พี่ดันบังเอิญหน้าเหมือนกับใครคนนึงที่ผมชอบเขาเอามากๆ ตัวเล็กๆ เหล็กจัดฟันสีฟ้า อาจจะขี้แยไปหน่อย แต่ก็เป็นคนเก่งคนนึง แถมยังเป็นถึงบั๊ดดี้ของลีดมหาลัยมัณฑนาซะด้วย”

“คุณ!”

“ทำไมเหรอ พี่รู้จักคนที่ผมพูดถึงด้วยเหรอ”

“.............” ไม่ตอบ คิดจะต่อกรกับไอ้หนุ่มจอมกะล่อนอย่างผม มันไม่ง่ายหรอกนะ บอกไว้เลย

“แต่โชคร้ายไปหน่อยที่ผมทำเรื่องแย่ๆไว้กับเขา” ผมว่าต่อ “เขาก็เลย ไล่ตะเพิดผมออกมา และยังประกาศว่าไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อน.... ผมก็เสียใจนะ แต่ทำยังไงได้ จบแล้วก็ต้องจบไป หน้าที่ของผมก็คือใช้ชีวิตต่อและเริ่มใหม่กับใครสักคน.....  แต่ใครจะไปเชื่อล่ะ พอมาวันนี้ ผมก็ดันบังเอิญมาเจอพี่ ได้เห็นว่าอาม่ามีหลานที่น่ารักเอามากๆ... พี่น่าจะเหมาะที่จะมาเป็นคนที่เริ่มต้นใหม่กับผมนะ”

“เจ้าเล่ห์... คุณจะตีความคำพูดของผมแบบไหนก็เชิญ แต่ผมจะไม่มีวันยกโทษให้คุณเด็ดขาด”

“เดี๋ยวก่อนซิพี่ ยังไม่ได้ข้อสรุปเลย” ผมตัดสินใจคว้าแขนของคนตรงหน้าเอาไว้ก่อนที่เขาจะหันไปอีก “ว่าไงครับ..............









................. สนใจเริ่มใหม่กับผมไหม”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 2]
«ตอบ #50 เมื่อ01-10-2018 22:22:55 »

ตอนนี้ 14 : ​เริ่มใหม่ Part 2 - 1/2









(ในมุมมองของอะตอม)



“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม มานั่งทำอะไรแถวนี้ ใกล้ค่ำแล้วนะ รีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวทหารจะออกตรวจแถวนี้ ถ้าพวกทหารมาเห็นจะลำบากนะ”

“ขอบคุณครับป้า ผมรู้แล้วครับ อีกสักพักผมก็กลับแล้ว”

“เอาๆ ระวังตัวด้วยนะ กลางค่ำกลางคืนมันอันตราย”

“ครับ”



ผมหันกลับไปมองที่ภูเขาสูงเบื้องหน้าอีกครั้ง



จากความทุกข์ที่รับรู้เรื่องราวในอดีตของคนๆหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเลย แม้กระทั่งภาพที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่เป็นทิวทัศน์ของที่ๆเคยเป็นแหล่งที่อยู่เก่า ทั้งที่มันเคยทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจยามได้มอง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกผิด รู้สึกว่าตนเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ

การมาที่นี่ในวันนี้ ได้ทำให้ผมรับรู้เรื่องราวการสูญเสียของ....แทน เพื่อนใหม่ เพื่อนคนที่คอยอยู่เคียงข้างผมในทุกเมื่อที่ผมรู้สึกท้อ รู้สึกสนุก รู้สึกหงุดหงิด หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ เขาได้ส่งมอบสิ่งดีมากมายมาที่ผม แต่กลับกลายเป็นว่าอดีตของครอบครัวเราทั้งสองถูกผูกติดกันไว้ด้วยความสูญเสียใหญ่หลวงที่เป็นดั่งแผลบาดลึกในหัวใจ



แม่ครับ ทั้งหมดที่เราทำมา มันถูกหรือผิดกันแน่....

หรือว่านี่จะเป็นกรรมของเรา ครอบครัวเราจะไม่สามารถพบกันได้อีกแล้วเหรอ......

เพราะการที่เราพรากชีวิตคนอื่นไปหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่อาจเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์......



#เสียงโทรศัพท์

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกแล้ว

น่าจะเป็นร้อยสายแล้วละมั้งที่มีคนโทรเข้ามาหลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปเป็นผู้นำเชียร์อีก

ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ผมไม่อาจแบกหน้าไปพบกับคนที่ครอบครัวของผมเป็นต้นเหตุทำให้หัวหน้าครอบครัวของเขาจากไปได้เลย แม้จะมีเหตุผล แม้จะมีคำอธิบาย แต่ไม่มีสิ่งใดเยียวยาความรู้สึกของการสูญเสียแบบนี้ได้หรอก หรือต่อให้ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทุกครั้งที่ผมมองเห็นเขาก็จะยิ่งเป็นกระตุ้นเตือนให้หวนนึกถึงสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บาปที่ครอบครัวของผมทำไว้นั้น ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ



ผมยังคงนั่งนิ่งบนม้านั่งก้อนหินที่เริ่มเย็นขึ้นเพราะอุณหภูมิที่เริ่มต่ำลงของเวลาโพล้เพล้ ไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ ไม่มีความรู้สึกใดกับสิ่งเร้ารอบข้าง ไม่แม้กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจของตัวเอง



กว่าหนึ่งชั่วโมงที่นั่งมองวิวเบื้องหน้าอย่างไร้ความหมาย บางครามีหยดน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เป็นเพราะคิดถึง เสียใจ หรือรู้สึกผิดกันแน่

จากสถานที่ที่เคยคักคึก เวลานี้ทุกอย่างดูสงบลงแล้ว ร้านรวงทยอยปิดตัวลง ผู้คนเดินทางกลับที่พักตน เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังเดินอยู่แถวๆนี้เพื่อจัดการธุระบางอย่างเหล่าที่คั่งค้าง บ้างก็มีพาหนะขับผ่านแต่ก็นานๆครั้ง

การนิ่งอยู่เนินนานแบบนี้ ปกติควรเป็นแค่การนิ่งเพื่อละทิ้งสิ่งว้าวุ่นในใจ แต่กลับเหมือนว่ามันยิ่งทำให้คิดเรื่องต่างๆมากมายไปหมด คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนกลับมาที่เดิม

ผมคงต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะเพื่อขจัดความทุกข์ใจและความรู้สึกผิด



ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดดดด ตื๊ดดดดดดด “ฮัลโหลตอม”

“ฮัลโหลครับพ่อ” ผมตอบกลับเมื่อได้ยินเสียงของพ่อจากการรับสาย และพยายามกดเสียงไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงของพ่อ ความรู้สึกมากมายก็รื้นขึ้นมาจนเกือบทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

“เป็นไงลูก สบายดีนะ เหนื่อยไหมวันนี้”

“ก็...” ผมสูญหายใจเข้าลึกๆ “เหนื่อยนิดหน่อยครับ เจอเรื่องมาหนักพอตัวเลยวันนี้”

“มันก็แบบนี้แหละนะชีวิตมหาวิทยาลัย ไหนจะเรื่องซ้อมเต้นอะไรนั่นอีก ตอมไม่เหนื่อยก็แปลกน่ะซิ” พ่อยังคงพูดอย่างสบายใจ เขาจะรับรู้บ้างไหมนะว่าการทิ้งงานให้คั่งค้างไว้ในอดีตนั้น มันส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตของผู้อื่น แต่อย่าต้องมารับรู้เลย แค่นี้พ่อก็เจอเรื่องทุกข์ใจมามากพอแล้ว ผมขอแบกรับความทุกข์นี้ไว้คนเดียวก็พอ

“ผมยังไหวครับ สบายมากเลย” ผมฝืนพูด

“มาแปลกนะวันนี้ ปกติไม่เคยเห็นพูดอะไรแบบนี้ แต่ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจนะ พ่อนึกว่าตอมจะงอแงซะอีกพอไปอยู่ไกลบ้านแบบนี้คงได้เรียนรู้อะไรมาเยอะ โตขึ้นแล้วนะลูกพ่อ”

“ค...ครับ” ทำไมการแสร้างว่าทุกอย่างยังปกติมันถึงได้ยากจังวะ “พ่อครับ...”

“ว่าไง”

“ตอมรักพ่อนะครับ”

“นี่วันพ่อเหรอ หรือวันเกิด เอ... ไม่ใช่นี่นา บอกรักพ่อเนื่องในโอกาสอะไรเนีย”

“ตอมแค่รักพ่อ ต้องมีโอกาสพิเศษอะไรด้วยเหรอ”

“งั้นเหรอ ก็ไม่เคยเห็นพูดมาก่อน แต่พ่อก็ดีใจนะ พ่อก็รักตอมเหมือนกันนะลูก”

“พ่อครับ”

“วันนี้เรียกพ่อบ่อยนะ ทุกอย่างปกติดีใช่ไหม”

“ก็ตอมคุยกับพ่ออยู่นี่นา ตอมก็ต้องเรียกพ่อซิ... พ่อเคยคิดไหมว่าเรื่องที่ครอบครัวของเราเจอ เรื่องที่เกิดขึ้นกับ....แม่ มันเป็นเพราะกรรมที่ครอบครัวเราเคยทำเอาไว้”

“นี่ตอมกำลังคิดถึงแม่อยู่ใช่ไหม ลูกร้องไห้อยู่หรือเปล่า มีเพื่อนอยู่แถวๆนั้นไหม พ่อเป็นห่วง”

“เปล่าครับ ตอมอยู่คนเดียว ตอมไม่ได้ร้องไห้ ตอมแค่ลองตั้งคำถามกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น” แต่น้ำตาของผมไหลออกมาเรียบร้อยแล้ว

“อะตอมลูกพ่อ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิตเรา มันคือบททดสอบนะลูก เราอาจไม่มีความสุขเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่เราก็ยังมีกัน เรายังมีชีวิต ยังมีคนอีกมากมายที่เจอเรื่องที่หนักกว่าเรา คนที่เจอกับโรคร้าย คนที่ขาดอิสรภาพ คนที่อยู่ก็เหมือนตาย คนพวกนี้น่าสงสารกว่าเรามากนะ”

“แล้ว....แม่ละครับ แล้วแม่คือคน ป...ประเภทไหน” ในที่สุดผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ “ทำไมถึงเป็นแม่ที่ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ ทำไมไม่เป็นคนอื่นหรือให้เป็นผมก็ได้”

“อะตอม” น้ำเสียงของพ่อบอกความห่วงใยและสงสารออกมาทันทีเมื่อรับรู้การร่ำไห้ของผม “ปล่อยวางเถอะนะลูก ก็อย่างที่ลูกบอก เราทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อฝืนมันไม่ได้ ก็ทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ แค่ตอมเป็นคนดี พ่อเชื่อว่าแม่ของลูกจะดีใจแน่นอน”

“ค...ครับ” การพูดแต่ละคำช่างยากลำบากเหลือเกิน “พ...พ่อครับ....ตอมยอมแพ้แล้ว”

“ยอมแพ้? หมายถึงอะไรเหรอ”

“ที่...ที่ตอมเคยพูดไว้ว่าตอมจะใช้การเป็นผู้นำเชียร์เพื่อตามหาแม่ ต...ตอนนี้....ตอมรู้แล้วว่าควรยอมแพ้”

“ทำไมเหรอลูก เกิดอะไรขึ้น ซ้อมหนักเหรอหรือว่าเรียนไม่ไหว”

“เปล่า...เปล่าครับ ตอมแค่คิดว่ามันถึงเวลาที่ตอมจะต้องยอมแพ้แล้ว ตอมจะไม่...ไม่กลับไปเป็นผู้นำเชียร์อีกแล้ว ตอมรู้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ควรยอมแพ้ เราควรเชื่อที่พ่อพูดตั้งนานแล้ว ตอมจะเลิกตามห.............”



เอ๊ะ!? โทรศัพท์ โทรศัพท์อยู่ไหน ใครเอาโทรศัพท์ไป



“ฮัลโหลครับคุณพ่อ ผมชื่อแทนครับ เป็นเพื่อนของอะตอม”

“ท....แทน” จู่ๆ คนที่เป็นต้นเหตุของความทุกใจก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของผม พร้อมกับดึงโทรศัพท์ของผมไปคุย

“อะตอมแค่เหนื่อยนิดหน่อยครับ เขาไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอกครับ” แม้คนตรงหน้าจะคุยโทรศัพท์อยู่ แต่เขาก็เอาแต่จ้องหน้าผมเขม็ง ไม่รู้ว่าโกรธหรืออะไรกันแน่ ผมจึงทำได้แค่ยืนอึ้งและเงียบฟัง “เรื่องที่จะตามหาคุณแม่ยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ............................ครับ ผมยืนยันครับว่าเขาแค่เหนื่อยนิดหน่อย ทำให้สับสนไปบ้าง แต่เขาจะดีขึ้นครับ...........................ครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเขาเอง...............................ครับ สวัสดีครับ”

โทรศัพท์ของผมถูกส่งกลับมาเมื่อการสนทนาสิ้นสุด



“ท...ทำไม” นี่เป็นหนึ่งในคำพูดที่ไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่อยากจะพูดมากที่สุด แต่ก็พูดออกมาแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าของคนๆนี้ ทุกอย่างในหัวของผมก็เหมือนจะสับสนไปหมด

“เพราะอดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ไง” เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผมไม่อาจเข้าใจความรู้สึกแท้จริงของเขาได้เลย “มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป แต่เรื่องของอะตอมยังไม่ผ่านไป ยังมีโอกาสแก้ไขมันอยู่ ทำไมต้องทิ้งโอกาสนั่นด้วยล่ะ คิดได้ยังไงว่าจะเลิกตามหาแม่ ก็เคยบอกไปแล้วไงว่าจะช่วยตามหา”

“ขอ....ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ฮื่ออออออออ....” นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมร้องไห้ออกมาจริงจังขนาดนี้ น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด แม้พยายามแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ “พ่อไม่ได้....ตั้งใจ พ่อไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษแทนพ่อด้วยนะ พ่อไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“มานี่” คนตรงหน้าคว้าร่างกายของผมเข้าไปกอดแนบไหล่ของเขาไว้ “พอได้แล้ว เลิกขอโทษได้แล้ว... ขอโทษนะที่เย็นชากับอะตอมไป ตอนนั้นมันยังทำใจไม่ได้... แต่ว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ไม่โทษใครทั้งนั้น อย่าทิ้งความฝันที่อยากเจอแม่ของอะตอมเลยนะ”

ดีเหลือเกิน เขาช่างใจดีเหลือเกิน ในโลกนี้มีคนที่แสนดีขนาดนี้อยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ

เหนือกว่าร่างกายที่ใหญ่กว้างก็คือจิตใจของเขานี่แหละที่มันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างกับว่าสามารถโอบล้อมชีวิตของเราทั้งชีวิตไว้ได้เลย

“ไปกันเถอะ ทหารเริ่มออกตรวจแล้ว” แทนเตือนเมื่อเห็นรถสีเขียวของพวกทหารขับสำรวจ

ผมค่อยๆคลายตัวออกมา

ตอนนี้เหมือนผมจะเพิ่งรู้ตัวว่าท้องฟ้ามืดลงมากแล้ว

แม้จะยังไม่สร่างจากคราบน้ำตา แต่ผมก็ถูกนำทางไปยัง....



“นี่รถใครอ่ะ” จู่ๆ แทนก็เปิดรถยนต์คันหนึ่งเพื่อให้ผมเข้าไป

“เช่ามา” เขาตอบ

แบบนี้นี่เอง ผมรีบขึ้นไปบนรถ วางกระเป๋าของตัวเองลงและจัดแจงใบหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำตาออกไป

ไม่นานจากนั้นแทนก็ขับรถออกไป

“ร...รู้ได้ยังไงว่าอยู่ที่นี่” ถึงผมจะสบายใจขึ้นแล้ว แต่การพูดกับแทนแบบจริงจังที่นอกจากคำว่าขอโทษ มันไม่ใช่อะไรที่พูดออกมาได้ง่ายๆเลย

“ด่านเจดีย์สามองค์นี่อ่ะเหรอ” เขาทวน “ก็อะตอมพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอยากมาที่นี่”

“แต่มันไม่ได้แปลว่าจะเจอจริงๆนี่นา” ผมยังสงสัย

“ก็เจอแล้วนี่ไง มันอาจจะเสี่ยงไปหน่อย แต่ก็ถือทายถูก ดีที่ทันมาได้ยินอะตอมกำลังคุยกับพ่อ เรื่องที่จะเลิกตามหาแม่น่ะ อย่าทำอีกนะ” เขายังคงย้ำ

“ก็มัน....”

“ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องพูดถึงทุกๆเหตุผล ยังไงการตามหาแม่ของอะตอมก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

“ขอโทษจริงๆนะ เรื่องที่...”

“เลิกพูดเถอะ ไม่มีใครต้องขอโทษใครอีกแล้ว” ผมเหมือนโดนเอ็ดแต่ก็เหมือนโดนปลอบไปพร้อมๆกัน “เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกแล้ว แต่ถ้าอยากจะพูดอะไร มีคนนึงที่อะตอมต้องรีบพูดกับเขา”

“ใคร?”

“พี่น้ำชาไง เรื่องที่จะเลิกเป็นเชียร์ลีดเดอร์น่ะ รู้นะว่าทำแบบนั้นทำไม เพราะไม่กล้ากลับมาเจอหน้ากันอีกใช่ไหม”

“ก็ตอนนั้น...”

“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนี้ ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ตอนนี้ยังทัน รีบโทรไปหาพี่น้ำชาเถอะ บอกพี่เขาว่าทุกอย่างปกติดี พรุ่งนี้เราสองคนจะยังไปบล็อกกิ้งและซ้อมเต้นเหมือนเดิม.... รออะไรล่ะ โทรไปดิ”

“คือ.... ไม่มีเบอร์พี่น้ำชา”

“อ๋อ ใช่ ลืมไป เอาเครื่องนี้โทรก็ได้” แทนส่งโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม “เบอร์ที่โทรเมื่อกี๊นั่นแหละ โทรออกได้เลย”



ผมทำตามนั้น



“ฮัลโหลครับพี่น้ำชา” ผมพูดเมื่อมีคนรับ

“ฮัลโหลแทน เป็นไง เจออะตอมหรือยัง” น้ำเสียงพี่น้ำชาฟังดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างเป็นห่วงผมอยู่ซินะ “ถ้าวันหลังพากันไปไหนแล้วทิ้งเพื่อนไว้แบบนี้อีก พี่จะจับเงสองคนแยกกันแล้วนะ ว่าอย่างที่ไหน...”

“พ..พี่น้ำชาครับ” ผมต้องรีบขัด “นี่ผมอะตอมเองครับ”

“อะตอม! เจอกับแทนแล้วใช่ไหม ค่อยหายห่วงหน่อย เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ พี่น้ำชาครับ คือ... เรื่องที่ผมบอกว่าจะไม่เป็นลีดแล้ว ผมยัง...กลับไปซ้อมเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

“ได้ซิ ได้อยู่แล้ว พี่ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“ว่าแต่เรื่อง... เอ่อ... แค่นี้ก่อนนะอะตอม พี่มีธุระ” ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

อ้าว วางซะแล้ว

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 2]
«ตอบ #51 เมื่อ01-10-2018 22:24:24 »

ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่ Part 2 - 2/2



“อ่ะ” ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้คนที่กำลังขับรถ

“ยังไม่ต้องคืน มีอีกอย่างนึงที่อยากให้ดู” แทนบอก “เปิดรูปในมือถือดูซิ”

“รูป?”

“ใช่ เปิดคลังภาพขึ้นมาดูเลย”

“เนี่ยอ่ะเหรอ” มันคือภาพของใบหน้าคนแต่ละคน

“ใช่ รู้จักใครในนี้ไหม”

“ห๊ะ” ตอนนี้ผมลืมเรื่องเศร้าเมื่อกี๊ไปแล้วเพราะมีความงงเข้ามาแทนที่

“ดูไปเรื่อยๆก่อน ถ้ารู้จักหรือคุ้นคนไหนก็บอก”

“เอ่อ...” อ่ะๆ ดูก็ดู

ผมเลื่อนภาพดูไปเรื่อยๆ ใบหน้าของแต่ละคนที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่มากพอที่ผมจะกล้าพูดออกมาว่ารู้จักหรอกนะ

“ก็...อาจจะคุ้น..มั้ง” ผมตัดสินใจพูดเมื่อเลื่อนดูทั้งหมดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “แต่ก็คงไม่รู้จักอะไรเป็นพิเศษหรอก ทำไมเหรอ ให้ดูคนพวกนี้ทำไม”

“งั้นเหรอ” เหมือนแทนจะผิดหวังในคำตอบของผม “สักคนก็ไม่รู้จักเลยเหรอ ลองดูอีกทีไหม”

“ดูดีแล้ว สรุปว่าจะบอกได้หรือยังว่าให้ดูรูปคนพวกนี้ทำไม”

“ถ้าบอกอะไรไปอย่าเพิ่งตกใจนะ”

“อะไร” ยิ่งพูดยิ่งงง

“คนพวกนี้คือคนที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับแม่ของอะตอม”

“อะไรนะ!” ถ้ามีอะไรที่สามารถทำให้ผมส่งเสียงให้ดังกว่านี้ได้ผมก็จะทำ “ล...แล้วๆๆ แล้วเอารูปพวกนี้มาจากไหน แล้วทำไมไม่มีรูปของแม่ล่ะ แล้ว...”

“ใจเย็นๆ อะตอม”

“ใจเย็นบ้าอะไรล่ะนี่มันเรื่องสำคัญนะ บอกมาซิว่าไปเอารูปคนพวกนี้มาได้ยังไง”

“ก็จะอธิบายอยู่นี่ไง แต่อะตอมต้องเงียบก่อน”

“ก็พูดมาดิ...” ผมยังเร่งเร้า

“เมื่อวานนี้ทางการฟิลิปปินส์จับแก๊งค้ายาที่จับคนในหมู่บ้านของอะตอมเป็นตัวประกันได้”

“จับได้แล้วเหรอ!”

“ฟังก่อนนะ ใจเย็นๆ” แทนคงเห็นว่าผมเริ่มร้อนรน เขาจึงเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ “ใช่ จับได้แล้ว แต่ว่ายังไม่ใช่ทั้งหมด”

“หมายความว่าไง สรุปว่าจับได้หรือไม่ได้”

“จับได้ แต่แก็งพวกนี้กระจายตัวออกไปที่ประเทศอื่นๆด้วย ที่ให้อะตอมดูภาพของคนพวกนั้นก็เพราะว่านี่เป็นชาวบ้านแค่ส่วนเดียวที่ตำรวจช่วยไว้ได้”

“หมายความว่า...” ผมไม่อยากพูดคำที่สิ้นหวังนี้เลย “ไม่เจอแม่เหรอ”

“ตอนนี้ยัง แต่ไม่ต้องห่วงนะ ได้ข่าวมาว่าตำรวจสากลลงมาทำคดีนี้แล้ว คงจะมีการขยายผลไปที่คนอื่นๆอีก และถ้าจับผู้ต้องหาทุกคนได้ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะได้เจอแม่ของอะตอม”

“จริงเหรอ”

“จริงซิ เพราะงั้นอย่าเพิ่งยอมแพ้นะ อะตอมยังต้องมีความหวังนะ ถ้าวิเคราะห์ดีๆ อย่างน้อยเราก็รู้อย่างนึงแล้วว่าคนที่ถูกจับตัวไปยังคงมีชีวิตอยู่”

รู้สึกเหมือนไฟแห่งความหวังถูกจุดให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่น้ำตาเพิ่งจะหยุดไหลแต่ก็ไหลออกมาอีกจนได้ เพียงแต่ต่างออกไป นี่คือน้ำตาของความดีใจสุดชีวิต

“แล้ว... รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” เมื่อปรับอารมณ์ได้ ก็เกิดคำถามนี้ขึ้นมาในหัวทันที

“ใช่แล้ว ลืมไปเลย ต้องโทรหาคนๆนึง” แทนนึกอะไรบางอย่างได้ “กดโทรหาคุณวินัยให้หน่อย อยู่ในรายการโทรนั่นแหละ”

“ใคร?”

“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง โทรก่อนเถอะ”



ผมรีบทำตามนั้น แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้เขา



“ฮัลโหลครับ คุณวินัย ขอโทษที่โทรมาช้านะครับ” แทนกำลังคุยกับใครอยู่นะ “เรื่องคือว่า......”



อ๋อออออ

หลังจากที่ผมได้ฟังบทสนทนาทั้งหมดก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว

พี่น้ำชาช่างมีน้ำใจจริงๆ พี่ตองก็ด้วย พวกเขาอุตส่าจ้างนักสืบตามเรื่องแม่ให้กับผม ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่บุญคุณครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่ ผมจะชดใช้พวกพี่เขาหมดในชาตินี้หรือเปล่าก็ไม่รู้

เมื่อเรื่องทุกอย่างกระจ่าง ความรู้สึกอึดอัดและเศร้าใจได้รับการเยียวยา ตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะมีความสุขกับบรรยากาศรอบตัวแล้ว ถนนที่มืดมิดทำไมถึงได้ดูสวยงามแบบนี้นะ แม้สองข้างทางจะมองไม่เห็นอะไรมากนักแต่ผมก็อยากจะมองมันตลอดเวลา แถมยังมีคนข้างๆคอยจับมือให้กำลังใจผมแบบไม่ปล่อยเลย





“จอดรถทำไมอ่ะ” ผมถาม จู่ๆคนข้างๆผมก็จอดรถยนต์ที่ข้างทางหลังจากเดินทางกันมาพักใหญ่ๆ

“จำไม่ได้แล้วเหรอ” จำอะไรได้วะ “วันนี้อะตอมมาที่นี่เพื่ออะไร... ไหว้พ่อใช่ไหม แล้วไหว้หรือยัง”

“ย...ยัง”

“ก็นี่ไง พากลับมาไหว้พ่อแล้ว รีบลงรถเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้ ต้องเอารถไปคืนแล้วก็ต้องกลับมหาลัยอีก”

“ท...แทน” ผมรั้งเขาไว้

“ว่าไง”

“มันจะดีเหรอ คือยังไงก็...”

“ดีซิ มันต้องดีอยู่แล้ว อะตอมจะได้ขอโทษแทนพ่อตัวเองสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น”

“.............” ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อเลยเมื่อกลับมาได้ยินเรื่องนี้อีกครั้ง

“ไปเถอะนะ ไปไหว้พ่อเถอะ ถ้าได้ทำอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้ หมดเรื่องที่ค้างคาใจ ให้พ่อได้มีโอกาสยกโทษให้อะตอมกับครอบครัวบ้าง”

นั่นซินะ แม้มันจะเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่เพื่อขจัดความรู้สึกผิดในใจ การไหว้ขอขมาพ่อของแทนก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นก็ได้

“ไปเถอะ เร็วเข้า” แทนชวนอีกครั้ง



ด้วยความที่บรรยากาศมืดลงไปมาก เราสองคนจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังเพื่อลงไปที่ใต้สะพาน



คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย บวกกับแสงไฟสลัวๆและเสียงดนตรีเบาๆจากแพร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล คงไม่มีใครคิดมาก่อนว่าใต้สะพานที่หลบจากสายตาของผู้คนจะมีบรรยากาศที่ชวนให้หลงใหลเช่นนี้ หากหนุ่มคนไหนพาสาวๆมาสารภาพรักที่นี้ คงยากที่จะถูกปฏิเสธ..... กูคิดอะไรของกูเนีย



“อะนี่”

“อะไรเหรอ” ผมมองเห็นสิ่งที่แทนส่งมาให้ไม่ค่อยถนัดนัก

“ดอกไม้ธูปเทียนไง” คนตรงหน้าผมบอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้

“นี่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็ตั้งแต่ที่สำนึกได้ว่าทำไม่ดีกับอะตอมไปไง กะเอาไว้ว่ายังไงก็ต้องพากลับมาไหว้พ่อให้ได้”

“ขอบใจนะ” ผมยอมรับก็ได้ว่าผมส่งยิ้มกลับไป นี่น่าจะเป็นรอยยิ้มแรกเลยที่ผมมอบให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องแกล้งทำให้ผมขำ

วันนี้คือวันที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าคนๆนี้มีจิตใจที่อบอุ่นและยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ผมหันหน้าไปที่ตอหม้อสะพาน พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้

“สวัสดีครับคุณพ่อ” ผมตัดสินใจที่จะพูดออกมาเพื่อแสดงความจริงจังและจริงใจในการสักการะวิญญาณของบุคคลผู้ล่วงลับ “ผมชื่ออะตอมนะครับ เป็นลูกชายของพ่อเมฆ ผู้รับเหมาขุดเจาะทราย คนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้...”

“ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” แทนแทรก เขาคงกลัวว่านี่อาจจะทำให้ผมกลับไปเศร้าอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร พูดออกมานั่นแหละดีแล้ว.... ผมขอโทษนะครับที่ครอบครัวของผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณพ่อเสียชีวิต ผมขอรับผิดแทนครอบครัวทั้งหมดที่ไม่มารับผิดชอบเก็บงานให้เรียบร้อยจนเกิดอันตรายขึ้น ผมคงไม่หวังให้วิญญาณของคุณพ่อให้อภัย และก็ไม่ได้หวังให้แทนให้อภัยด้วย แต่แค่อยากบอกให้คุณพ่อรู้ว่าผมเสียใจ หากตอนนั้นครอบครัวของผมไม่ได้พบกับการสูญเสียคนในครอบครัวเช่นกัน พวกเราไม่มีทางทิ้งสิ่งที่ต้องทำไว้แบบนี้แน่นอน แต่ในเมื่อเวลามันย้อนกลับไม่ได้แล้ว ผมจึงพูดได้แค่ขอโทษ และเพื่อชดเชยสิ่งที่ครอบครัวผมทำเอาไว้ ผมสัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งใดก็ตามที่ลูกชายของคุณพ่อร้องขอ จะช่วยเหลือและอยู่ข้างๆเขา ขอให้วิญญาณของคุณพ่อจงสงบสุขนะครับ”

ได้พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว แม้จะเศร้าแต่ก็สบายใจขึ้นมามากจริงๆ

“อะตอม” แทนเรียกผม “พูดจริงเหรอที่ว่าจะอยู่ข้างๆกัน”

“จริงซิ” ผมตอบทันที “จะอยู่ข้างๆ จะคอยช่วย จะทำสิ่งที่แทนขอร้อง ถึงแม้ที่ผ่านมาแทนจะเป็นคนที่ช่วยมาตลอด แต่ต่อไปนี้...”

“ไม่ต้องหรอก” เขาตัดบท “ขอแค่ประโยคที่พูดว่าจะอยู่ข้างๆกันก็พอ แค่นี้ก็ทำให้รู้แล้วว่าที่ตัดสินใจตามหาอะตอมในวันนี้ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด”

“...............” ผมเข้าใจนะ เขาคงต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองมาไม่น้อย แต่เล่นพูดตรงๆแบบนี้ คนฟังก็เขินเป็นนะ “ไอ้บ้า พูดอะไรไม่รู้จักอาย เอาดอกไม้ไปวางดีกว่า”

“ระวังนะ มันลื่น” คนข้างหลังเตือน



ผมค่อยๆเดินผ่านสายน้ำตื่นๆระหว่างขอบตะหลิงเพื่อเอาดอกไม้ธูปเทียนไปวางยังตอหม้อบนแทนปูนที่สามารถวางได้



ผมยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่จะหันกลับมา

โอเค แค่นี้ก็รู้สึกสบาย.....



“ระวัง!!!”

เชี่ยยยยยย

จู่ๆผมก็เสียหลักเพราะเหยียบก้อนหินลื่นๆใต้ผิวน้ำ ดีนะที่แทนคว้าตัวผมไว้ได้ก่อน

ผมพยายามช่วยเหลือตัวเองให้ขึ้นมายืนทรงตัวเหมือนเดิมจากการถูกประคองเอวไว้

“ขอบใจน......................................................................”



ผมตกใจนิดหน่อยที่ดวงตาของผมและคนตรงหน้าอยู่ใกล้กันมากถึงเพียงนี้........



ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าเขามีนัยตาสีน้ำตาลอ่อนที่ระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟ

ไม่เคยรู้เลยว่าขนคิ้วที่ดำหนาพวกนั้นเรียงเส้นสลับไปมาได้อย่างเป็นระเบียบ

แม้จะเคยเห็นหน้ากันบ่อยแล้ว แต่ก็เพิ่งเห็นว่าเขามีจมูกที่สูงตรงจนเกือบชนกับใบหน้าของเรา

และก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าสัมผัสของริมฝีปากเรียวตรงจะให้สัมผัสเช่นนี้......



“แทน!”

นี่มันอะไรกัน

ผมพยายามดึงสติตัวเองกลับมาไม่ให้เคลิบเคลิ้มด้วยการผลักตัวเองออกจากคนตรงหน้า

ที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ ผมเพิ่งจะถูกเขา.... จูบ ใช่ไหม

“ท...ทำแบบนี้ทำไม” เสียงของผมมันติดขัดอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ

“อ...” แทนเอาแต่อ้าปากค้างและขมวดคิ้ว สายตาของเขามองอยู่แต่ที่พื้น “ไม่รู้ ข...ขอโทษ เราขอโทษ จู่ๆมันก็... ควบคุมตัวเอง...ไม่ได้ ขอ...ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรๆ” ทำไมผมถึงกลายมาเป็นคนพูดปลอบล่ะ ผมโดนกระทำนะ แต่พอเห็นสายตาที่ไม่มั่นคงของคนตรงหน้าแล้ว มันทำให้ผมรับรู้ถึงความสับสนที่อาจก่อตัวเป็นความสับสนที่ไม่สิ้นสุด ผมจึงต้องห้ามไว้ก่อน “ไม่เป็นไรนะ เมื่อกี๊ มันแค่... อุบัติเหตุ... ใช่ไหม”

“เปล่า” อ้าว อะไรของมึงวะ อุส่าจะหาสาเหตุให้ ปฏิเสธซะเร็วเชียว “เรา... เราตั้งใจ... ทำ”

“.........” ไปต่อไม่ถูกเลยกู

“ต...แต่....คือ....ทำไม..... ม....ไม่เข้าใจเลย” เพิ่งเคยเห็นแทนมีท่าทีไม่มั่นใจแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย เขาดูสับสนและเครียดจริงๆ

“ช่างมันเถอะ” งั้นก็ช่างแม่งละกัน ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนิ ไม่เข้าใจกันทั้งสองฝ่ายแบบนี้ จริงๆผมเองก็ควรจะสับสนด้วยซ้ำ “กลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้มีบล็อกกิ้งแต่เช้า”

“เดี๋ยว” ผมถูกรั้งไว้ในวินาทีที่จะเดินสวนเพื่อขึ้นไปบนถนน

“..............” ผมไม่ถามว่ารั้งผมไว้ทำไมด้วยซ้ำ แค่ยืนนิ่ง ความรู้สึกมากมายมันหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมดเลย

“เราเลิกเป็นเพื่อนกันเถอะ”

“ห๊ะ” จะบ้าเหรอ แค่....จูบกันนิดเดียว ถึงขั้นต้องเลิกเป็นเพื่อนกันเลยเหรอ

เออ แต่ก็เข้าใจได้แหละ อยู่ดีๆก็จูบผู้ชายด้วยกัน เป็นใครก็ต้องวิตกจริตเป็นธรรมดา ไม่อยู่ใกล้กันน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

บ้าเอ๊ย เพิ่งจะปรับความเข้าใจกันได้ เกิดเรื่องใหม่ให้ต้องปล่อยมือออกจากกันอีกแล้ว

“เห้ย! เดี๋ยวๆ ทำไรอ่ะ” จู่ๆผมก็ถูกดึงให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของไอ้คนสับสน

“.................” แทนกอดผมนิ่งอยู่แบบนั้น นิ่งสนิท นิ่งเหมือนกับว่ากำลังมีความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัว

“เอ่อ....แทน” ผมเรียกทั้งๆที่ถูกกอดอยู่แบบนั้น

“เราไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแล้วได้ไหม” นึกว่าจะพูดอะไร สุดท้ายก็พูดประโยคเดิม “ถ้าขืนยังเป็นเพื่อนกันต่อไป...........









.............เราคงไม่กล้าเริ่มใหม่ในฐานะอื่น”

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
หูยๆ เอาแล้วๆ เค้าจะขยับสถานะกันแล้วจ้า  :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 15 : ยอม
«ตอบ #54 เมื่อ08-10-2018 22:55:48 »

​ตอนที่ 15 : ยอม









(ในมุมมองของบุ๋น)



“กูเข้าใจนะว่ามึงกำลังเศร้า แต่มึงก็นั่งนิ่งแบบนี้มานานแล้วนะ ไปหาอะไรกินไหมเพื่อน”

“กูไม่หิว” ผมตอบ

ตั้งแต่ลากไอ้ตองออกมา ผมก็ขอให้มันมานั่งฟังเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระหว่างผมกับพี่ท๊อปที่สวนเทเลทับบี้(สวนสาธารณะ)ข้างคณะวิทยาศาสตร์

ไอ้ตองเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ค่อนข้างเข้าใจผมมากที่สุด มันไม่ถามซักไซ้ แค่ถามถึงสาเหตุนิดหน่อย ที่เหลือส่วนใหญ่ก็คือให้มันมานั่งข้างๆผมเท่านั้น ผมไม่พร้อมที่จะอยู่คนเดียว แม้ผมจะเป็นคนตัดสินใจเดินออกมาจากพี่ท๊อปเอง แต่การหายไปของคนที่เคยอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมพยายามที่จะทำทุกอย่างให้เด็ดขาด ผมไม่เช่าบ้านต่อ ผมจ้างคนให้ไปขนข้าวของออกจากบ้านเช่า นั่นไม่ใช่ว่าผมเข้มแข็ง แต่เพราะผมรู้ตัวดีว่าจิตใจของผมอ่อนแอ ถ้ามีแม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ผมจะเห็นหน้าของพี่ท๊อป ผมก็จะใจอ่อนทันที

อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ ผมไม่ใช่ไม่รักพี่เขา แต่ด้วยความรักที่มากมายนี้ต่างหากที่ทำให้ผมตัดสินใจทำแบบนี้ ถึงแม้พี่ท๊อปจะดูเป็นคนฉลาด แต่ผมรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผม พี่เขาจะเป็นคนดื้อและไร้เหตุผล และเพื่อป้องกันไม่ให้พี่ท๊อปทิ้งความพยายามและอนาคตของตัวเองในเกาหลีไป ผมต้องเป็นคนลงมือทำอะไรสักอย่างเอง



#เสียงโทรศัพท์

“รับโทรศัพท์หน่อยไหมเพื่อน” ไอ้ตองเตือนผมหลังจากที่ผมปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น

“กู...ไม่กล้าดู” ผมสารภาพ

“กลัวพี่ท๊อปจะโทรมาอะดิ” มันพูด ผมแค่พยักหน้า “เอามานี่ กูรับให้เอง”

ไอ้ตองดึงโทรศัพท์ออกไปจากกระเป๋ากางเกงของผม

“หึ!นี่เบอร์ของกูนิ” ไอ้ตองบอก จากนั้นมันก็รับสาย “ฮัลโหล”

“.............................”

“อ้าว ชาเองเหรอ” ไอ้น้ำชานั่นเองที่โทรมา

“............................”

“พี่ลืมโทรศัพท์ไว้ที่นั่นหรอกเหรอ แล้วชามีอะไรครับ”

“............................”

“นั่นซิ พี่ออกมานานแล้วนี่นา ลืมไปเลยว่าชายังไม่ได้กินอะไร”

“............................”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับ อยากกินอะไรครับวันนี้” เห็นไอ้ตองแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแฟนมันแล้ว ผมก็รู้สึกอิจฉาและเจ็บจี๊ดในใจขึ้นมาทันทีเลย “...........ครับ ได้ครับ รอแป๊บนึงนะ”



“มึงไปเถอะ” ผมเอ่ยปากก่อนที่ไอ้ตองจะทันได้พูดอะไร “กูจะอยู่ตรงนี้แหละ”

“เห้ย ไม่ได้ กูไม่ปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวหรอก ไปๆ ชาหิวข้าวแล้ว”

“กูไม่ไปไง” ผมก็มีมุมดื้อนะ

“แล้วมึงจะกลับยังไง รถมึงจอดอยู่คณะสังคมโน่นนะ จำได้หรือเปล่าว่ามึงเอารถกูออกมา”

“เออ กูหาทางกลับเองได้”

“เอ๊ะ มึงนี่ดื้อเกินไปแล้วนะ ถ้ามึงเป็นน้ำชาก็จะจับปล้ำแม่งตรงนี้แหละ กูยิ่งอารมณ์ค้างอยู่ด้วย”

“ไอ้เวรตอง”

“เออ กูพูดเล่น ไปๆๆ อยากให้กูพูดมากกว่านี้นะ ไม่งั้นกูจะจับมึงลากไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“เออๆๆ” ไปก็ไปวะ ขืนไม่ไปไอ้ห่าตองมันลากผมไปจริงๆแน่ ไอ้นี่แม่งเถื่อนกับผมตลอด





“หายไปไหนกันมาตั้งนานอ่ะ” นี่คือคำพูดแรกของไอ้น้ำชาเมื่อผมเดินทางมาถึงห้องซ้อมคณะสังคม

“มีเรื่องคุยกันนิดหน่อยน่ะ” ไอ้ตองตอบ

“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ ชาหิวมากกกกเลย”

“แล้วไม่ได้กินขนมปังที่ซื้อมาเหรอ”

“ก็...กิน แต่มัน...หิวอีกแล้ว”

“โห ชากินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่รู้ๆ หิวก็หิวไง” ไอ้น้ำชาโวยวายเฉยเลย “พี่บุ๋น ไปกันเถอะพี่ ชวนพี่ท๊อปไปกินข้าวด้วยกันก็ได้นะ ไปเจอกันที่ร้าน วันนี้ผมอยากกินซูชิ เห็นว่าพี่ท๊อปชอบ....”

“ชา!!!” ไอ้ตองคงเห็นว่าผมหน้าเสียที่ได้ยินชื่อพี่ท๊อปจึงรีบเข้าไปห้ามแฟนตัวเอง

“ทำไมอ่ะ” ก็เป็นธรรมดานั่นแหละที่ไอ้น้ำชาจะงง มันยังไม่รู้เรื่องของผมกับพี่ท๊อปนี่นา “ก็ชวนพี่ท๊อปไง พี่ท๊อปชอบกินซูชิ ชาจำได้”

“ชอบไม่ชอบก็.... เอาเป็นว่าเราไปกันแค่นี้แหละ” ไอ้ตองพยายามแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น ใจผมก็อยากจะพูดว่าไม่เป็นไรนะ แต่จริงๆมันไม่ใช่ ผมเป็น เป็นหนักด้วย “แล้วกินซูชิได้ด้วยเหรอ ไหนบอกไม่กินอาหารดิบไง”

“ก็.... ลองกินดู เผื่อจะอร่อย”

“ชาแปลกๆนะวันนี้”

“ไม่แปลกอะไรทั้งนั้นแหละ ไปกินได้หรือยัง หิวจะแย่อยู่แล้ว”

“โอเค ไปก็ไป”



กว่ามันสองคนจะเคลียร์ปัญหาครอบครัวกันได้ ในที่สุดก็ได้ออกมาหาอะไรกินซะที



พอมาถึงร้าน ผมกลับรู้สึกจิตตกอีกครั้ง พี่ท๊อปชอบกินซูชิมากๆ ผมแค่เห็นหน้าซูชิก็พลอยทำให้นึกถึงหน้าของเขา



“พี่บุ๋นเป็นอะไรหรือเปล่า” ไอ้น้ำชาถามผม ตอนนี้เรานั่งอยู่ในร้านซูชิร้านหนึ่ง ซึ่งไอ้น้ำชาเป็นคนเลือกเอง เห็นมันบอกว่าดูในรีวิวร้านอาหารมา ท่าทางน่ากิน “ทำไมหน้าเศร้าจัง”

“ชา” ไอ้ตองพยายามเตือนแฟนตัวเองอีกครั้ง

“อะไรอ่ะ” ไอ้น้ำชาเริ่มไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น “พี่ตองเอ็ดชาอีกแล้วนะ นี่มีอะไรที่ชาควรจะต้องรู้หรือเปล่า”

“มานี่ ออกไปคุยกับพี่ข้างนอก” ไอ้ตองพยายามลากแฟนมันออกไป

“ทำไมอ่ะ ออกไปทำไม”



“ไม่ต้องหรอก” ผมขอเป็นคนพูดเรื่องเองก็ได้ ถึงยังไงซะไอ้น้ำชาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล รู้จากไอ้ตองหรือจากผมก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก “กูจะบอกมึงอยู่แล้ว”

“บอก?บอกอะไรอ่ะ” ไอ้น้ำชาถาม

“กูกับพี่ท๊อป....” เห้อ พูดยากจังวะ พูดๆไปเถอะ “ไม่ใช่กูกับพี่ท๊อปอีกแล้ว”

“เอ่อ... ยังไงนะ แล้วพี่กับพี่ท๊อปเป็นใครไปแล้วอ่ะ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“กูกับพี่ท๊อปเลิกกันแล้ว” ต้องให้กูพูดตรงๆใช่ไหมถึงจะเข้าใจ

“จ...จริงดิ เมื่อไหร่อ่ะพี่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเลิกกัน แล้วพี่ท๊อปเป็นไงบ้าง แล้วต่อจากนี้จะเป็นยังไง...”

“ชาครับ” ไอ้ตองแทรก “บางทีตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาตั้งคำถามพวกนี้นะ ให้บุ๋นมันทำใจหน่อย มันเองก็คงเสียใจ”

“แต่ชาเป็นห่วงนี่นา จู่ๆมาได้ยินเรื่องแบบนี้ พี่ท๊อปจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ว่าแต่...แค่บอกชามาว่าทำไมถึงเลิกได้ไหม”

“เพื่อพี่ท๊อป” ได้ อยากฟัง งั้นเดี๋ยวกูบอกให้ “พี่ท๊อปกำลังทิ้งอนาคตทุกอย่างเพราะกู เขากำลังจะทิ้งความพยายามเกือบสองปีที่เกาหลีเพื่อมาอยู่กับกู ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย กู...ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ กูไม่ได้ไม่รักเขานะ แต่ที่ต้องเลิกกันก็เพราะว่ารักนี่แหละ เพราะงั้นอย่าถามอะไรกูอีกเลยนะ”

“................” มันไม่ถามอะไรผมต่อจริงๆ แต่ขมวดคิ้วและมีสีหน้าของความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน

“มึงสงสัยอะไรอีก” ก็มันทำหน้าชวนให้ถามอ่ะ ผมก็ต้องถามซิ

“เปล่าพี่ ผมแค่ไม่เข้าใจตรรกะของพี่ พี่กับผมก็เด็กเอกเลขทั้งคู่นะพี่ แต่ผมไม่เข้าใจวิธีการให้เหตุผลของพี่จริงๆ เพราะรักก็เลยต้องเลิกเนี่ยนะ ถ้าทุกคนคิดกันแบบนี้ งั้นคนรักกันก็ต้องเลิกกันหมดโลกแล้วอะดิ”

“แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเจอเรื่องเดียวกับกูนะ”

“ผมกับพี่ตองก็ไม่ได้เจอเรื่องเดียวกับพี่ แต่ถ้าตราบใดที่พี่ตองยังมีความรู้สึกกับผมอยู่ และผมก็รู้ใจตัวเองแน่ชัดว่าผมยังเต็มไปด้วยความรู้สึกรัก จะปัญหาแบบไหนผมก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่รู้ซิพี่ แต่ปีนึงที่ผ่านมา ก็ทำให้ผมเข้าใจอย่างนึง อุปสรรคไม่ได้ถูกสร้างมาให้เรายอมแพ้ ผมกลับมองว่ามันเป็นเครื่องพิสูจน์ซะด้วยซ้ำ”

ไม่อยากยอมรับเท่าไหร่เลยว่ารู้สึกจุกเหมือนกับว่าโดนไอ้น้ำชาต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง แต่... “กูตัดสินใจไปแล้ว แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว”

“งั้นเหรอพี่.... แต่ก็อาจจะดีอย่างที่พี่พูดก็ได้ หลังจากนี้สาวๆในมหาลัยคงได้คลุ้มคลั่งกันแน่ๆ”

“หมายความว่าไงวะ”

“อ้าว ก็พี่ท๊อปโสดแบบนี้ พวกสาวๆคงก่อสงครามหย่อมๆเพื่อแย่งชิงคนอย่างพี่ท๊อปแน่ๆ หล่อ ฉลาด การศึกษาดี มีอนาคต นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่พี่ท๊อปเป็นคนซื่อสัตย์และจริงจังกับความรักอีกนะ”

ไอ้บ้าเอ๊ย โดนหมัดที่สองเข้าให้

นี่กูตัดสินใจอะไรผิดไปหรือเปล่าวะ

ไม่ๆๆๆ เราทำถูกแล้ว

“ก็ช่างดิ” กูต้องหนักแน่นในการตัดสินใจของตัวเอง “หลังจากนี้มันไม่ใช่เรื่องของกูแล้ว เขาจะไปมีใครใหม่ก็ไม่ใช่สิทธิ์อะไรของกู”

“ก็จริงแหละ แต่ถ้า...”

“ชาาาาาา” ไอ้ตองแทรกอีกครั้ง “พอเถอะ พี่ว่าชาพูดความในใจเยอะไปแล้วนะ ไหนบอกว่าอยากกินซูชิไม่ใช่เหรอ อาหารวางอยู่ตรงหน้าตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะกินซะที”

“เอ่อ....” ไอ้น้ำชาดูลังเล นี่มันอยากกินจริงๆหรือเปล่าเนีย“น่ากินดีนะ แต่ขอกินดื่มก่อน คอแห้ง”

“ชาทำตัวแปลกๆจริงๆด้วย มีอะไรหรือเปล่า”

ไอ้ชาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “อ๊อก! อ๊อกๆๆๆ”

“ค่อยๆดื่มซิครับ” ไอ้ตองรีบหยิบกระดาษทิชชูไปเช็ดน้ำที่หกเลอะเทอะเพราะแฟนมันสำลักน้ำออกมา “เปียกหมดเลย”

“ข...ขอโทษ” ไอ้น้ำชากล่าวขอโทษ “ซูชิเปียกหมดเลย เดี๋ยวชาไปหยิบชิ้นใหม่ก่อนนะ”

แล้วมันก็ลุกออกจากโต๊ะ แต่ไปได้ยังไม่ถึงสิบวินาทีก็เดินกลับลงมานั่งเหมือนเดิม พร้อมกับตัวแข็งทื่อ

“เป็นไร” “มีอะไรครับ” ผมกับไอ้ตองถามทันที ก็ท่าทางแบบนี้ ไม่ให้สงสัยก็ไม่ใช่คนแล้ว

“ป...เปล่า ไม่มีอะไรเลย” เนี่ยนะไม่มีอะไร โกหกชัดๆ

“แล้วไหนซูชิ” ไอ้ตองยังสงสัย “จะไปเอาซูชิไม่ใช่เหรอ”

“คือ...เอ่อ...ไม่อยากกินแล้ว”

“อะไรนะ” ไอ้ตองพยายามหันไปดูว่าไอ้น้ำชาไปเจอกับอะไรมา

“หันไปไหน” ไอ้น้ำชาร้อง นี่ไง โคตรของโคตรมีพิรุจเลย “มองอะไร ไม่มีอะไรหรอก บอกว่าไม่อยากกินแล้วไง ไม่ต้องมองไปทางนั้นนะ”

“ไม่จริงอ่ะ ต้องมีอะไรแน่ๆ พี่ไปดูหน่อยดีกว่า”

“ไม่มี ไม่ต้องไป บอกว่าไม่ต้องไปก็ไม่ต้องไปไง” มันรั้งไอ้ตองไว้สุดชีวิต “กินกันเถอะ พี่บุ๋นก็รีบกินได้แล้ว เราจะได้รีบกลับนะ ผมมี...เอ่อ...ธุระต้องไปทำอีก”

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเรื่องที่ไอ้น้ำชากำลังแสดงพิรุจนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับผมสักอย่าง

“ธุระไหน” ไอ้ตองก็สงสัยไม่เลิก

“ธุระก็ธุระซิ กินได้แล้ว เร็วๆ.... เดี๋ยวๆ พี่บุ๋นจะไปไหน ไปไม่ได้นะ”



เออ ยิ่งมึงห้ามกูยิ่งอยากรู้ ต้องมีอะไรแน่ๆ

ไหนวะ มีอะไร



“........................” น.....นั่นมัน..... พี่ท๊อปนี่นา กำลังกินซูชิอยู่กับผู้หญิงที่ไหนวะ ไม่เคยเห็นมาก่อน สวยด้วย สวยพอที่จะเป็นดาวมหาวิทยาลัยได้เลยด้วยซ้ำ



เชี่ยยยยยย

ผมรีบหลบ

สงสัยจะยืนมองเขาสองคนนานเกินไป เกือบไปแล้ว เกือบโดนเห็นตัวแล้ว

รีบกลับโต๊ะดีกว่า



“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าไป” นั่นคือที่ไอ้น้ำชาพูดหลังจากที่ผมกลับมาถึงโต๊ะ

“...........” ใครจะไปรู้วะว่าจะไปเจออะไรแบบนั้น

ว่าแต่ ทำไมพี่ท๊อปถึงไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นได้วะ พี่ท๊อปไม่มีพี่น้องนี่นา ญาติก็ไม่เคยเห็น เพิ่งเลิกกันไปแค่วันเดียว มีคนใหม่แล้วเหรอ ไม่เสียใจบ้างเลยหรือไงวะ

“พี่บุ๋น”

“ห๊ะ” ผมถูกเรียกสติกลับมา

“โอเคไหมพี่ เราไปกินร้านอื่นกันไหม”

“เออ...”

“เห้ยๆๆๆ” ไอ้ตองร้องแทรก “พี่ท๊อปเดินมาแถวนี้แล้ว”

ห๊ะจริงดิ เมนู เมนูอยู่ไหน เอามาปิดหน้าไว้ก่อน

“ทำอะไรของพี่เนี่ย” ไอ้น้ำชาดึงกระดาษเมนูที่ผมเอาขึ้นมาบังใบหน้าของตัวเองออก “นี่ไม่ใช่ละครนะพี่ ทำแบบนี้มีแต่พี่ท๊อปจะจับได้ว่าพี่อยู่ตรงนี้ ทำตัวปกติไว้ซิ ที่สำคัญพี่เลิกกับเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ต้องแสดงออกว่าพี่สบายดีดิ ไม่ใช่ลุกลี้ลุกล้นแบบนี้”

เออ ก็จริง

แต่มันก็ยากอยู่นะ

ผมหันกลับมาสนใจกับอาหารของตัวเองและนั่งอย่างเปิดเผย



“พี่ว่าไปดูหนังก็ได้นะ มีหนังใหม่กำลังเข้า เรื่องนี้น่าดู”

“ก็ดีค่ะ เอาที่พี่ท๊อปอยากทำเลย ครีมตามใจพี่ค่ะ”



‘ครีมตามใจพี่ค่ะ’เชอะ ทำเป็นพูดดี



สุดท้ายพี่ท๊อปกับผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกจากร้านไปโดยไม่สังเกตเห็นผมที่นั่งอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว



“เหมาะสมกันดีเนาะ” ไอ้ชามองตาม

“ไม่เห็นจะเหมาะเลย” เหมาะตรงไหนวะ

“กูก็ว่าเหมาะนะ” ไอ้ตองสนับสนุน

“มึงดูยังไงว่าเหมาะวะ ผู้หญิงสวยๆแบบนี้ ดูแป๊บเดียวก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นคนจริงใจได้หรอก”

“มึงหัวเสียอะไรเนีย”

“หัวเสีย หัวเสียอะไร กูไม่ได้หัวเสียอะไรทั้งนั้นแหละ” ยิ่งพูดยิ่งโมโห “ไม่แดกแล้ว ไม่เห็นจะอร่อยเลย ไอ้ซูชิอะไรเนีย แดกกันเข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้”

“อ้าว แล้วมึงจะไปไหน”

“เรื่องของกู”

“อ้าว”



อย่าหาว่าผมแอบตามสองคนนั้นออกไปเลยนะ แต่อยากไปดูให้เห็นกับตาจริงๆดิ คนแบบไหนวะที่จะสามารถคุยกับคนใหม่ได้เลย ทั้งๆที่เพิ่งเลิกกับกูไปเมื่อวานนี้เอง ไม่คิดจะเสียใจสักหน่อยเลยหรือไงกัน

ถ้าไม่ติดว่ามีผู้หญิงอยู่ด้วยกูจะวิ่งเข้าไปต่อยหน้าไอ้บ้าท๊อปเดี๋ยวนี้เลย



นี่มาดูหนังกันจริงๆเหรอ สองต่อสองเนี่ยนะ ทำแบบนี้ได้ไงวะ



#เสียงโทรศัพท์



“อะไร” ผมตะคอกใส่โทรศัพท์ เพราะรู้ว่าเป็นไอ้ตองที่โทรมา

“มึงอยู่ไหนเนีย มึงลืมกุญแจรถไว้ที่โต๊ะเนีย”

“กู.... ออกมาซื้อของ”

“แล้วจะกลับมาตอนไหนกูจะได้รอ”

“ไม่ต้องรอ มึงกลับไปเลย”

“แล้วรถมึงอ่ะ”

“เอากุญแจไว้ที่มึงนั่นแหละ หรือก็หาใครมาขับไปไว้ที่คอนโดฯของมึงก่อนก็ได้ เดี๋ยวว่างกูเข้าไปเอา”

“เออๆ เดี๋ยวกูให้น้ำชาขับกลับไปเก็บไว้ที่คอนโดฯก่อนก็แล้วกัน”

“เออ”

“ว่าแต่... มึงไม่ได้ตามพี่ท๊อปออกไปใช่ไหม”

“ม...ไม่ได้ตาม” จะให้บอกความจริงได้ไง บ้าเหรอ เสียฟอร์มหมด

“จริงอ่ะ”

“ถามไรมากวะ แค่นี้แหละ กูจะ...คุยกับพนักงาน กูซื้อของอยู่ แค่นี้นะ” วางแม่งเลย จะได้ไม่ต้องถาม



อ้าว สองคนนั้นหายไปไหนแล้ว

โน่นไง กำลังเข้าไปในโซนโรงหนังกันแล้ว ว่าแต่ ดูเรื่องอะไรกันวะ โรงไหนก็ไม่รู้

บ้าเอ๊ย มัวแต่คุยโทรศัพท์ ก็เลยคลาดกันเลย กะว่าจะตามเข้าไปถึงในโรงหนังซะหน่อย

งั้นก็นั่งรอแถวๆนี้แหละ

ไม่ได้ๆ ขืนนั่งแถวนี้ ถ้าสองคนนั้นดูหนังเสร็จแล้วเดินออกมา ก็ต้องเห็นว่าเรามานั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้อะดิ  งั้น.... ไปนั่งรอแถวๆม้านั่งตรงโน่นก็แล้วกัน



ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้วที่ผมนั่งอยู่ในห้าง

นี่กูบ้าหรือเปล่าวะที่มานั่งแอบมองคนออกจากโรงหนัง รปภ.จะหาว่ากูมาแอบวางระเบิดหรือเปล่าเนีย แล้วหนังบ้าอะไรถึงได้นานขนาดนี้ จะสองชั่วโมงแล้วนะ ยังไม่ออกกันมาอีก



หึ! นั่นไง เดินออกมาแล้ว

แหม คุยกันยิ้มแย้มเชียวนะ ขัดหูขัดตาชะมัด

เดี๋ยวๆๆๆ เวรแล้วไง ทำไมเดินมาแถวนี้วะ



“ขอบคุณนะคะที่พาครีมออกมาเลี้ยงอาหาร” โล่งอกไปที สองคนนั้นไม่เห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้

“ยินดีครับ” แหวะ

“แถมยังพามาดูหนังด้วย ไม่นึกว่าผู้ชายจะชอบดูหนังรักแบบนี้ด้วย นึกว่าพี่ท๊อปจะเบื่อซะอี” พี่ท๊อปก็พากูมาดูหนังออกจะบ่อย กูไม่เห็นจะต้องพูดเลย ทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ก็บอกแล้วไงว่ายินดี วันหลังถ้าครีมอยากไปไหนก็บอกพี่นะ”

“พี่ท๊อปใจดีจัง คิดไม่ผิดเลยที่ครีมคุยกับพี่”

“พี่ต่างหากล่ะที่ต้องพูดแบบนั้น ครีมให้เกียรติออกมาเที่ยวกับพี่แบบนี้ ขอบคุณนะครับ”

“พูดแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่าเนีย”

“ไม่หรอกครับ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ”

“หวังว่าครีมคงเป็นคนสำคัญแค่คนเดียวนะ”

“ก็...ถ้าพี่จะสารภาพตามตรงว่าพี่เพิ่งโสดได้ไม่นาน ครีมจะหาว่าพี่คุยกับครีมเร็วเกินไปหรือเปล่า” ทำไมกล้าใช้คำว่า เพิ่ง วะ แบบนี้เรียกว่า เมื่อวาน ต่างหาก

“ไม่เลย ต่อให้พี่เพิ่งโสดแค่วันเดียวแล้วมาคุยกับครีม ครีมก็ไม่สนใจ ขอแค่ครีมเป็นคนที่คุยกับพี่ท๊อปแค่คนเดียวก็พอ” ผู้หญิงอะไร ไม่มีหัวคิด กล้าคุยกับผู้ชายที่เพิ่งโสดเมื่อวานเนี่ยนะ สติดีอยู่หรือเปล่า

"ครับ ขอบคุณนะครับ" จะไปขอบคุณมันทำไมวะ

“นี่ก็เย็นมากแล้ว งั้นครีมขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ”

“ให้พี่ไปส่งไหม” บ้าหรือเปล่า อาสาไปส่งเนี่ยนะ

“ไม่เป็นไร ครีมกลับเองได้ แล้ว... พี่ท๊อปจะทำอะไรต่อคะ”

“ก็เดี๋ยวว่าจะกลับเลยเหมือนกันครับ แต่ขอเข้าห้องน้ำก่อน”

“ดื่มน้ำอักลมเข้าไปเยอะ คงจะอยากเข้าห้องน้ำเป็นธรรมดา ขอโทษนะคะที่ครีมสั่งเครื่องดื่มเข้าไปในโรงหนังเยอะไปหน่อย กลายเป็นภาระของพี่ท๊อปเลย”

“ไม่เป็นไรเลย พี่ชอบดื่มน้ำอัดลมอยู่แล้ว” โกหกชัดๆ พี่ท๊อปเนี่ยนะชอบกินน้ำอัดลม

“ค่ะ งั้นครีมกลับแล้วนะคะ ไว้เจอกันใหม่นะ”

“ครับ เดินทางปลอดภัยนะ ถึงห้องแล้วโทรหาพี่ด้วยล่ะ”

“ค่ะ ไปนะคะ” เออ ไปซะทีเหอะ จะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักหนา



ในที่สุดก็จากกันได้สักที

หลังจากสองคนนั้นแยกย้ายกันไป พี่ท๊อปก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างที่พูดไว้ ส่วนผมก็ตามไปอะดิจะมีอะไรมาก

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เราจะตามเขาเข้าไปในห้องน้ำได้ยังไง หรือต่อให้เจอหน้าเขาเราจะพูดว่ายังไง คงบอกว่าแอบตามมาไม่ได้ เอาไงดีวะ

คิดซิคิด ถ้าเป็นไอ้น้ำชามันจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงวะ

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 15 : ยอม
«ตอบ #55 เมื่อ08-10-2018 22:56:37 »

ต่อ Part 2



“เครื่องดูดฝุ่นลดห้าสิบเปอร์เซ็นค่ะ สนใจไหมคะ” เสียงพนักงานหน้าช็อปคนหนึ่งดังขึ้น



อ่าาาาาา นึกออกแล้ว

ผมรีบจัดการตามแผนที่มีในหัวให้เร็วที่สุด ก่อนที่พี่ท๊อปจะออกจากห้องน้ำ



ออกมาหรือยังหว่า.....



หึ! นั่นไง



“โอ๊ย!!” กูเอ๊ย นี่กูมาทำเป็นแกล้งล้มแบบนี้ทำไมเนีย แต่ก็เอาเถอะ ทำไปแล้วนิ

“คุณครับ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า” ขอบคุณสวรรค์ที่มุกนี้ได้ผล คนดีอย่างพี่ท๊อปต้องวิ่งเข้ามาช่วยคนเดือดร้อนอยู่แล้ว

“อ...อ้าว พี่ท๊อป” งานการแสดงก็ต้องมา ตลกตัวเองชิบหาย อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเชียวนะ

“บ...บุ๋น” พี่ท๊อปตาค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ตนวิ่งเข้ามาช่วยพยุงคือผม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่เขายังมีสายตาที่เป็นห่วงผมเหมือนเดิมเลย ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงบอกเลิกคนที่แคร์ผมขนาดนี้ไปได้ แถมตอนนี้เขากำลังเริ่มความสัมพันธ์กับคนใหม่เสียด้วยซ้ำ

“ไม่...ไม่เป็นไรครับ บุ๋นแค่เดินไม่ระวัง พอดีถือกล่องใหญ่ไปหน่อย ก็เลยมองไม่เห็นทาง” ผมแสร้งทำเป็นว่าพยายามลุกขึ้นให้ได้ด้วยตัวเอง “โอ๊ย”

“เจ็บเหรอ” พี่ท๊อปยังคงเป็นห่วง เริ่มรู้สึกผิดแล้วแฮะที่แกล้งทำเป็นสำออย

“นิดหน่อยครับ บุ๋นเดินได้” ผมบอก ก่อนจะหยิบกล่องเครื่องดูดฝุ่นที่เพิ่งซื้อมาอย่างทะลักทุเล นี่ถ้าไม่ติดว่าผมทำเป็นแกล้งอยู่ ไอ้กล้องนี่ก็สร้างความลำบากให้ผมพอสมควรอยู่นะ “ขอบคุณนะครับที่ช่วย บุ๋นขอตัวนะครับ”

เอาวะ มาถึงขึ้นนี้แล้ว แกล้งเดินกระแผกต่อละกัน

“ไม่ให้พี่ช่วยแน่นะ” ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ พี่ท๊อปตามมาจริงๆ

“บุ๋นเดินได้ครับ โอ๊ย” การแสดงไปอีกกกก

“เอามาให้พี่เถอะครับ พี่ถือให้ดีกว่า”

“อย่าเลยครับ บุ๋นไม่อยากรบกวนพี่ท๊อป บุ๋นเกรงใจ”

“ไม่เป็นไร เอามาเถอะ” พี่ท๊อปแย่งกล่องในมือผมไปถืออย่างง่ายดาย “รถจอดไหน เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้”

“บุ๋นไม่ได้เอารถมาอะครับ” ความโกหกนี้ สัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่พูดโกหกต่อเนื่องแบบนี้อีก “บุ๋นนั่งแท็กซี่มา พี่ท๊อปไปส่งบุ๋นที่แท็กซี่ก็ได้ครับ”

“เอ่อ...ถ้าบุ๋นไม่รังเกียจ ให้พี่ไปส่งก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องแบกของหนักๆลงรถเอง”

“บุ๋นไม่รังเกียจหรอก แต่บุ๋นแค่เกรงใจ ที่สำคัญเราสองคนก็...” นี่กูรีบเข้าประเด็นเร็วเกินไปไหมนะ

“นั่นซินะ พี่ลืมไปว่าเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว บุ๋นคงไม่อยากให้พี่ไปส่งหรอก งั้น... พี่คืนของให้บุ๋นดีกว่า”

ห๊ะ เดี๋ยวๆๆ อะไรมันจะเปลี่ยนอารมณ์ง่ายขนาดนั้น

เพียงอึดใจเดียว กล่องสินค้ากล่องใหญ่ก็กลับมาอยู่ในมือของผม

“โอ๊ย!!!” มารยาในโลกนี้ กูต้องเอามาใช้ให้หมด แสดงความเจ็บปวดออกมาซะ

“เจ็บเหรอ” พี่ท๊อปรีบหันกลับมา

“ป...เปล่าๆ บุ๋นแค่ทิ้งน้ำหนักมากไปหน่อย พี่ท๊อปกลับเถอะครับ บุ๋นรู้ว่าพี่ท๊อปคงโกรธบุ๋นอยู่ ถ้าไปส่งบุ๋นแบบนี้คงทำให้พี่อึดอัด”

“เอาเป็นว่า... ช่างมันเถอะ พี่ไปส่งดีกว่านะ เอากล่องมานี้ครับ” แล้วพี่ท๊อปก็รับกล่องกลับไป เห้อออออ โล่งอก “เดินไหวไหม”

“ไหวครับ”



ผมต้องพยายามรักษาสภาพการแกล้งเป็นคนขาเดี้ยงไปเรื่อยๆจนถึงรถยนต์ของพี่ท๊อป

ไม่ได้นั่งรถยนต์คันนี้แค่วันเดียว รู้สึกอยากนั่งอย่างน่าประหลาด



“ขอบคุณนะครับที่ไปส่งบุ๋น” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง

“ครับ” อ้าว ปิดประโยคไวจัง หรือว่าเขาเพิ่งจะสำนึกได้ว่าไม่ควรพูดคุยกับผม

“พี่ท๊อปมาทำอะไรที่ห้างเหรอ”

“มากินข้าวแล้วก็ดูหนังครับ”

“มา...คนเดียวเหรอครับ”

“เปล่าครับ มากับน้องผู้หญิงคนนึง” นี่ จะโกหกให้กูใจชื้นหน่อยก็ได้นะ ตอบตรงเกินไปแล้ว “บุ๋นละครับ มาทำอะไร”

“มา...ซื้อเครื่องดูดฝุ่น”

“อ๋อ ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ คงต้องทำความสะอาดเยอะซินะครับ” นี่ไม่ได้กำลังประชดใช่ไหม

“ประมาณนั้นแหละครับ”

“.........................” อ้าว เงียบอีกแล้ว



เราต่างฝ่ายต่างเงียบกันตลอดทาง มีเพียงการพูดบอกทางของผมเท่านั้นที่พอจะทำลายความเงียบได้ เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้านเช่าหลังใหม่ของผม



“คนมาส่งของแล้วนิ” ประโยคแรกของพี่ท๊อปเมื่อเห็นบ้านของผม ก็ตอนนี้มีพนักงานขนย้ายของสี่ห้าคนกำลังขะมักเขม้นเอาสิ่งของเครื่องใช้ของผมจากบ้านเช่าหลังเก่าลงบ้านเช่าหลังใหม่ “น่าอยู่ดีนะ”

“ก็.....” คงพูดว่า มาอยู่ด้วยกันซิ ไม่ได้ซินะ แถมในสถานการณ์ที่มาคนเอาของมาลงแบบนี้ยิ่งพูดไม่ได้ใหญ่เลย เป็นจังหวะที่ไม่ดีเอาซะเลยยยย “ขอบคุณนะครับที่มาส่ง บุ๋นขอหยิบกล่องเครื่องดูดฝุ่นแป๊บนึงนะครับ”

“พี่ยกให้ดีกว่านะ” พี่ท๊อปรีบอาสาเดินลงมาถือของให้ ผมไม่รู้ว่าควรดีใจดีไหม เพราะจริงๆแล้วพี่เขาอาจจะแค่เป็นสุภาพบุรุษตามนิสัยดั่งเดิมก็ได้ แต่ถึงยังไงผมก็ดีใจอยู่ดี



“เอ่อ... คุณศิวากร ราศรีหรือเปล่าครับ”พนักงานคนหนึ่งเดินมาหาพี่ท๊อป

“ผมครับ” ผมรีบออกตัว

“อ๋อ เรารับของทั้งหมดตามที่ลูกค้าสั่งมาลงให้แล้วนะครับ” เขาบอก อ้อ เสร็จพอดีงั้นเหรอ “ผมขออนุญาตคืนกุญแจให้นะครับ”

“ครับ” ผมรับกุญแจบ้านเช่าหลังเก่าคืนมา

“ถ้ามีปัญหาของไม่ครบตามรายการหรือของหาย สามารถแจ้งทางเราได้เลยนะครับ ทางบริษัทจะรับผิดชอบตามสัญญาจ้างครับ”

“โอเคครับ”

“ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ”



พนักงานทุกคนจากไปหลังจากจบการสนทนาไม่นาน



“มาครับ เดี๋ยวพี่เอากุญแจไม่คืนเจ้าของบ้านเช่าให้” จู่ๆพี่ท๊อปก็วางกล่องเครื่องดูดฝุ่นลงกับพื้นทั้งๆที่ยังอยู่หน้าบ้าน

“ครับ?”

“บุ๋นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเอากุญแจไปคืนเองไง เพราะถึงยังไงพี่ก็ยังต้องกลับไปย้ายของของพี่ออกจากบ้านหลังนั้นเหมือนกัน”

“.................” ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้สีหน้าของผมแสดงอารมณ์อะไร รู้แต่ว่ามือมันส่งกุญแจไปให้คนตรงหน้าจริงๆ

“งั้นพี่ว่าพี่ขอตัวก่อนดีกว่านะครับ”

“พี่ท๊อป!” ผมเกือบจะตะโกนออกมา

“ครับ?”

จะไปจริงเหรอ... ผมอยากพูดแบบนี้นะ แต่ไม่รู้อะไรมันเย็บปากไว้ ก็เลยได้แค่พูดว่า... “พี่จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่เหรอ”

“ก็ต้องอย่างนั้นซิครับ พี่คงไม่เข้มแข็งเหมือนบุ๋นหรอก พี่ทนอยู่ที่เดิมไม่ได้แน่ๆ”

ถ้าร้องว่าโอ๊ยได้ ก็จะร้องออกมาเลย ทำไมถึงพูดแทงใจดำกันได้เจ็บขนาดนี้ ก็รู้อยู่หรอกว่าสถานะของเราสองคนมันเป็นยังไง แต่เจอพูดตรงๆเข้าให้แล้วร้องไม่ออกเลย

“พี่ไปแล้วนะ”

“พี่ท๊อป!” คราวนี้กูตะโกนอกมาจริงๆซินะ

“มีอะไรอีกครับ”

"..........." มีอะไรอีกงั้นเหรอ มันจำเป็นต้องทำตัวห่างเหินกันขาดนี้เลยเหรอ

“ว่าไง ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอ...”

“พี่ท๊อปจะไปอยู่ที่ไหนอ่ะ หาได้แล้วเหรอ ถ้ายังหาไม่....”

“ยังหาไม่ได้หรอก” คนตรงหน้าพูดแทรกอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะมีสีหน้าเรียบเฉยอย่างน่ากลัว “แต่ก็อยากออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แถวนี้ก็น่าอยู่นะครับ เพียงแต่พี่คง.... ช่างมันเถอะครับ พี่ขอตัวจริงๆแล้วดีกว่านะ ไว้เจอ... ไม่ซิ โชคดีนะครับ”

ห๊ะ ไปจริงเหรอ ไปจริงดิ

เดี๋ยวซิ เดี๋ยวก่อน

“พ...พี่...” ตุ๊บ“โอ๊ย!!!”

ไอ้กล่องเครื่องดูดฝุ่นบ้านิ มาวางขว้างกูอะไรตรงนี้วะ ทำกูล้มหัวคะมำเลย

“พี่...พี่ท๊อป... โอ๊ย!” เชี่ยแล้วไงกู จากเมื่อกี๊ที่แกล้งทำเป็นเจ็บ รู้สึกว่าตอนนี้จะเจ็บเข้าจริงๆแล้วล่ะ ข้อเท้าแพลงหรือเปล่าวะ จะมาซุ่มซ่ามอะไรตอนนี้เนี่ย

“นี่บุ๋นจะแกล้งหกล้มอีกรอบแล้วเหรอ พี่ไม่มีเวลามาให้บุ๋นปั่นหัวเล่นแบบนี้ตลอดไปหรอกนะ”

“..................” อะไรนะ นี่อย่าบอกนะว่าพี่เขารู้มาตลอดว่าที่กูแกล้งเจ็บมาตลอด แต่... “แต่ว่าครั้งนี้บุ๋น...”

“พอเถอะนะ พี่ขอร้อง” พี่ท๊อปใจแข็งอย่างถึงที่สุด พี่เขาหันหลังและรีบเดินจากผมไป

“พ...พี่ท๊อป พี่ท๊อปอย่าเพิ่งไป” ช่างแม่งแล้ว กูต้องรั้งพี่เขาไว้ให้ได้ กูจะตะโกนให้สุดเสียงเลย ต่อให้มีน้ำตาไหลออกมากูก็จะตะโกนอย่างไม่อายใคร “พี่ท๊อป ไม่นะ ขอร้องล่ะ อย่าไปนะ พ...พี่ท๊อป ฮื่ออออ” ผมทำได้แค่ตะโกนและคลานลากขาตัวเองที่เจ็บเพื่อตามคนเบื้องหน้าไป

“...................................” พี่ท๊อปหยุดนิ่งแล้ว แต่เขาเอาแต่ก้มหน้าและไม่หันกลับมา ก็ไม่รู้หรอกว่ากำลังเห็นใจหรือสมเพศตัวผมอยู่ แต่อย่างน้อยก็หยุดเดินแล้ว

“พี่....พี่ท๊อป ย...อย่าไปเลยนะ บุ๋นขอโทษ อย่าจากบุ๋นไปได้ไหม บุ๋นทำผิดไปแล้วจริงๆ อย่าทิ้งบุ๋นไป.... อย่าทิ้งบุ๋นไปได้ไหม...พี่ท๊อป....พี่ท็อป....ฮื่อออออ พ...”



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย คิดว่าพี่จะทนดูบุ๋นในสภาพนี้ได้หรือไง”

น...นี่ผมกำลังถูกกอดอยู่เหรอ

พี่ท๊อปหันกลับมากอดผมจริงๆน่ะเหรอ



“บ....บุ๋นขอโทษ ฮื่อออออ บุ๋นขอโทษ” คราวนี้ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อแน่ชัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

พี่ท๊อปกอดผมไว้อย่างอบอุ่น

“ม...ไม่ต้องร้องไห้นะครับ” แม้พี่ท๊อปจะพูดเช่นนั้น แต่ก็เหมือนว่าพี่เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เท่าไหร่นัก “พี่อยู่ตรงนี้แล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ให้ทนอะไรก็ทนได้ แต่พี่ทนเห็นบุ๋นเสียใจไม่ได้จริงๆ”

จะบ้าเหรอ ยิ่งพูดแบบนี้ก็ยิ่งหยุดไม่ได้ซิ ทั้งๆที่เราเป็นฝ่ายทำไม่ดีกับเขาไว้ก่อนแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังแสดงความรักต่อเราได้มากขนาดนี้ กูมันโง่จริงๆด้วยที่ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ปล่อยพี่ท๊อปไปไหนอีกแล้ว



“พ...พี่ท๊อป” ผมพยายามออกจากกอดของพี่ท๊อป

“ครับ” พี่ท๊อปสงสัย

“บุ๋นขอโทษจริงๆนะ บุ๋นเครียดแล้วก็กังวลไปหมด บุ๋นไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี”

“ครับ ไม่เป็น......”

การอธิบายด้วยคำพูดอย่างเดียวสำหรับผมไม่มากพออีกต่อไปแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจแสดงความรักผ่านริมฝีปากทันที อย่างจริงจังและอย่างเปิดเผย



“...............................................................................................” ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าผมไม่อยากหยุดที่จะส่งผ่านความรู้สึกและคำขอโทษมากมายจากการสัมผัสริมฝีปากของกันและกัน



“บ....บุ๋น” จู่ๆคนตรงหน้าก็ถอนการกระทำที่กำลังเคลิบเคลิ้มออก

“ท...ทำไมอ่ะ พี่ท๊อปยังไม่หายโกรธบุ๋นอีกเหรอ” ใจไม่ดีเลยตอนนี้

“เปล่าครับ แต่.... พี่ไม่อยากทำให้บุ๋นเจ็บ บุ๋นไม่รู้หรอกว่าพี่หวังให้เรากลับมาคืนดีกันแค่ไหน ด้วยความปรารถนาทั้งหมดนี้ พี่คงอดกลั้นความรู้สึกที่อาจจะ...รุนแรงไว้ไม่ได้ ขืนเรายังทำแบบนี้ต่อไปพี่คง....”

ให้ตายเถอะ นึกว่าจะพูดอะไร

“งั้นอย่าอดกลั้นมันไว้นะ บุ๋นยินดีแบกรับมันไว้ทั้งหมด ขอแค่...พี่ท๊อปยกโทษให้บุ๋นก็พอ พี่จะทำอะไรบุ๋นยอมหมดเลย”

“ถ้างั้น....” พี่ท๊อปดูยังลังเลนิดหน่อย “พี่ขอโทษนะครับ”

“อื้อออออออ.....” ผมถูกจู่โจมอีกครั้งในที่สุด อาการเจ็บขาที่เพิ่งได้รับมา ดูเหมือนจะไร้ผลต่อร่างกายของผมไปเลยเมื่อถูกกลบด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าของคนสองคน



ผมไม่รู้เลยว่าตัวผมและพี่ท๊อปเข้ามาอยู่ภายในบ้านได้ยังไง ผมอาจจะเดินมาหรือถูกอุ้มเข้ามา... ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“จะบอกเลิกพี่อีกไหม”

“ม...ไม่...ไม่แล้ว...อาซซซ์”

“รับโทษที่บอกเลิกพี่ซะเจ้าเด็กดื้อ..... รับเข้าไป รับเข้าไปอีก”

“อื๊อ....อ....อ...อ...อ...อ...อ...อื้ออออออ”

มันช่างเป็นการร่วมรักที่เต็มไปด้วยบทสนทนาตลอดเวลา

ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ บ้านเช่าหลังใหม่รกไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจายทั่วห้อง กิจกรรมความรักอันรุนแรงของพี่ท๊อปและผมส่งผลให้เราไม่ต้องแกะกล่องเครื่องใช้ที่เพิ่งขนย้ายมาถึงเลย บ้างล้ม บ้างคว่ำ บ้างก็ถึงขั้นแตกหักเสียหาย แต่เชื่อเหอะว่าผมไม่รู้สึกสนใจอะไรพวกนี้เลยในนาทีนี้ ต่อให้ทุกอย่างพังหรือพี่ท๊อปตีเนื้อก้นของผมจนแดงแสบหรือจับแขนขาไปในท่าทางฝืนธรรมชาติแค่ไหน ผมก็จะไม่อิดออด แม้กระทั่งการเสร็จภารกิจซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวลาใกล้ๆกัน ผมก็ไม่คิดจะบ่นออกมาเลย

ผมยอมแล้ว ยอมทุกอย่างเลย ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกที่สูญเสียอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตไป ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะรักษาคนๆนี้ไว้ ไม่ยอมให้ใครแย่งไปเด็ดขาด





“จ....เจ็บ....เจ็บไหมครับ...เห้อ” พี่ท๊อปหายใจหอบอย่างหนัก หลังจบกิจกรรมความรักของเราเป็นรอบที่.... เอ่อ... ช่างเถอะ นับไม่ไหวแล้ว “บุ๋น....เจ็บไหม พ....พี่....พี่ขอโทษนะ”

“ไม่...ครับ” กูก็ช่างหน้าด้านตอบเนาะ ทั้งเหนื่อยทั้งชายังมีหน้าปฏิเสธอีก “ไม่เจ็บเลยสักนิด บุ๋น...ยังไหว”

ผมพยายามอย่างหนักที่จะยกแขนตัวเองขึ้นไปพาดกอดคนข้างๆ เราทั้งสองนอนเปลือยอยู่ท่ามกลางบ้านที่เต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจาย แถมเนื้อตัวของผมยังเลอะไปด้วยเหงื่อและของเหลวจากคนข้างๆ ช่างเป็นภาพที่น่าอายซะจริง

“พี่....รู้ว่าบุ๋น...ไม่ไหวแล้ว” พี่ท๊อปยังพูดหอบๆ “พอแค่นี้เถอะครับ.... ดึกเกินไปแล้ว”

“ก็....ก็ได้” ผมตอบ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

“ข้าวของพวกนี้ล่ะ... เราควรเก็บกวาดดีไหม”

“ช่างมันเถอะ... เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ บุ๋นอยากนอนกอดพี่ท๊อปไว้แบบนี้ก่อน ได้ไหม”

“นี่ถ้าพี่ไม่หมดแรงซะก่อน บุ๋นจะต้องโดนอีกรอบแน่ๆ พูดอะไรน่ารักๆแบบนี้ รู้ไหมว่ามันทำให้พี่ใจสั่น”

“บุ๋นจะพูดแบบนี้กับพี่บ่อยๆนะ สัญญา”

“เห้ออออ เหมือนได้แฟนใหม่เลยแฮะ..... ขอบใจมากนะ น้ำชา”

“อะไร?” เมื่อกี๊พี่ท๊อปพูดถึงชื่อไอ้น้ำชาเหรอ พูดผิดหรือเปล่า กูชื่อบุ๋นนะ ผมนี่ขึ้นเลย “พี่พูดขอบใจไอ้น้ำชาทำไมอ่ะ นี่พี่คิดว่าบุ๋นเป็นใครอยู่เนีย”

“ใจเย็นซิครับ พี่พูดถูกแล้ว พี่ไม่ได้คิดว่าบุ๋นเป็นคนอื่นซะหน่อย แต่พี่ขอบใจน้ำชาจริงๆ”

“ไปขอบใจมันทำไมอ่ะ ทั้งๆที่บุ๋นเป็นคนยอมพี่ทั้งหมดนี้เลยนะ”

“ครับบบบ พี่รู้แล้ว” พี่ท๊อปคว้าตัวผมกลับลงไปนอนกอด “แต่พี่ขอบใจน้ำชาที่วางแผนให้บุ๋นยอมพี่ไง”

“ห๊ะ!?”

“จะโกรธก็ได้นะ แต่พี่คิดว่ามันก็คุ้ม น้ำชาดูเหมือนจะรู้จุดอ่อนของบุ๋นดีนะ เขาถึงได้วางแผนให้บุ๋นแสดงความรู้สึกจริงๆของตัวเองออกมาได้ เรื่องที่บุ๋นไปเจอพี่อยู่กับน้องครีม นั่นน่ะ น้ำชาวางแผนไว้ทั้งหมดเลย”

“ว่าไงนะ นี่ไอ้น้ำชามัน...”

“อย่าไปโกรธน้ำชาเลยน่า ไม่ดีเหรอที่น้องเขาทำให้เราสองคนปรับความเข้าใจกันได้ เอาเข้าจริงๆพี่ก็แอบหวั่นใจนิดๆนะ กลัวจะไม่ได้ผล แต่ก็ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อเลย น้ำชามีบุญคุณกับพี่ตลอดเลย ตั้งแต่ปีที่แล้ว ถ้าไม่ได้น้ำชา เราสองคนก็คงไม่ได้เป็นแฟนกันหรอก.... จริงไหม”

“ไม่รู้แหละ” จะว่าดีก็ดีแหละ แต่มันเคืองๆยังไงไม่รู้

“อย่าโกรธน้องเลยนะ ถือว่าพี่ขอล่ะ”

“แต่ว่ามัน...”

“นะครับบบบ นะ พี่สัญญาว่าครั้งหน้าพี่จะเป็นคนวางแผนง้อบุ๋นด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้พี่ต้องเพิ่งความอัจฉริยะของน้ำชาจริงๆ อย่าโกรธน้องเลยนะ นะครับ”

“เออๆๆ ก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าบุ๋นยอมรับเรื่องที่พี่ท๊อปจะง้อบุ๋นครั้งต่อไปหรอกนะ เพราะว่าต่อไปนี้.................









................บุ๋นจะเป็นคนง้อพี่เอง”

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
บุ๋นคนใหม่ใส่ใจพี่ท็อป 555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบทุกคู่เลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 16 [คุณค่า Part 1]
«ตอบ #59 เมื่อ14-11-2018 21:26:39 »

ขอบโทษที่หายไปนานนะครับ แต่ทุกอย่างยอมมีเหตุผลของมัน เหตุผลง่ายๆของผมเลยก็คือ..... "คอมพังงงงงงงงงงงง" ไหนๆคอมพังแล้วก็เลยใช้โอกาสนี้กลับไปวางโครงเรื่องให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยนะครับบบบบ

.........................................................................​


ตอนที่ 16 : คุณค่า (Part 1)









“ไม่ใช่ครับ.... ไม่ไช่ๆ!! ต้องให้น้องผู้หญิงแนะนำตัวให้หมดก่อน น้องผู้ชายถึงจะเริ่มเดินนะ.... ใช่ๆ ยืนรอตรงนี้ก่อน   ไม่ๆ   ก็พี่บอกให้รอก่อนไง......”



เห้ออออออออออออ

เหนื่อยไปไหมเนี่ยกู

ไอ้เด็กพวกนี้นิ สอนไม่รู้จักจำกันซะที แค่ลำดับการเดินขึ้นลงเวทีแค่นี้เอง ไม่ได้มีเวลาซ้อมให้ทั้งวันนะ



“เป็นอะไรวะมึง” ไอ้สุ่ยเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่ผมปล่อยให้น้องปีหนึ่งซ้อมแนะนำตัวด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ “ทำไมเครียดจัง”

“นี่เป็นชั่วโมงแล้วนะ” ผมตอบ “น้องยังจำลำดับก่อนหลังกันไม่ได้เลย”

“นี่ผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง เรามีเวลาทั้งเช้าเลยนะ จะเครียดอะไรนักหนาวะ ต้องให้กูเตือนความจำไหมว่ามึงคือเจ้าชายน้อยน้ำชา ผู้นำเชียร์อัจฉริยะบนหอคอยเกียรติยศ เรื่องแค่นี้มึงทำได้อยู่แล้ว”

“ใครตั้งฉายานี้วะ เว้อชิบหาย แล้วทำไมต้องเจ้าชายน้อยด้วยวะ”

“ก็พี่ตองของมึงเป็นเจ้าชายไปแล้วไง มึงก็ต้องเป็นเจ้าชายน้อยดิ เดี๋ยวทับไลน์กัน”

“เพ้อเจ้อนะมึงอ่ะ ว่างมากก็ไปสอนน้องเลยไป”

“น้องมันก็ซ้อมกันดีอยู่แล้ว ปล่อยให้ทำอีกสองสามรอบก็โอเคแล้ว”

“ให้มันได้จริงๆเหอะ พรุ่งนี้มีกล้องมาถ่ายทอดทั้งมหาลัยนะมึง ถ้าคณะเราทำผิดพลาดขึ้นมา อายเขาตายเลย นี่มันคณะวิทย์นะ แม่ง ทำไมกูต้องมาเลือกเรียนคณะที่ทุกคนคาดหวังกับงานลีดขนาดนี้ด้วยวะ”

“เอาจริงๆนะไอ้น้ำชา กูว่ามึงเครียดกว่าปกตินะ เป็นอะไรกันแน่วะ”

“.............”

“อ้าว เงียบซะงั้น.... มีไรก็บอกมา ปรึกษากูได้นะ กูก็เพื่อนมึงนะ”

“กูก็แค่... อยากทำหน้าที่รุ่นพี่ให้เต็มที่อ่ะ ไม่รู้ดิ ช่วงหลายวันมานี้เหมือนกูจะถูกทำให้เขวไปกับปัญหารอบตัวเต็มไปหมด จนกูเกือบจะลืมไปแล้วว่าหน้าที่ของกูจริงๆคือการที่ต้องสร้างลีดรุ่นใหม่ให้มีคุณภาพ กูก็ไม่รู้หรอกนะว่ารุ่นพี่ปีที่แล้ว เขามีเรื่องมากกว่าการสอนลีดหรือเปล่า แต่กูรู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่ตรงนี้ได้ไม่ถึงครึ่งของพวกพี่เขาเลย มันผิดหวังในตัวเองได้ไงไม่รู้วะ”

“อือหือ... ปรึกษาซะยาวเลย.... เอ่อ... แล้วปัญหาที่บอกว่าทำให้เขวเนีย คือปัญหาอะไรวะ”

“หลายเรื่องอ่ะ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับกูเท่าไหร่หรอก”

“หนึ่งในนั้นมีเรื่องของไอ้น้องโซนิคกับขนมปังหรือเปล่า”

“หึ!! มึงรู้เรื่องด้วยเหรอ” มันรู้ได้ไงวะ

“เออ ก็พอรู้บ้าง ทำอย่างกับมึงรู้เรื่องได้คนเดียวอย่างงั้นแหละ มึงมีอะไรก็บอกกูหรือบอกคนอื่นบ้างก็ได้นะ ห่วงคนอื่นอ่ะมันก็ดี แต่ไม่จำเป็นต้องมากเกินไปหรอกเว้ย ถามจริงเหอะ มึงกับไอ้ต้อมเคยได้มีโอกาสเจอกันบ้างหรือเปล่าวะ มึงมีเพื่อนเยอะแยะเลยนะที่จะให้ปรึกษา ไม่ใช่มาทำหน้าเครียดแบบนี้คนเดียว โลกไม่ได้หยุดรอบตัวมึงนะ”

“บ่นซะกูเป็นเด็กเลย.... แต่มึงก็พูดถูกนะ เรื่องของไอ้น้องโซนิคนั่นกูก็ควรจะปรึกาไอ้ต้อมเพราะมันเป็นญาติกัน กูเก็บทุกเรื่องไว้กับตัวเองจริงๆ พอมาเป็นรุ่นพี่แบบนี้แล้วมันรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบชีวิตรุ่นน้องยังไงก็ไม่รู้วะ กูควรปล่อยวางบ้างใช่ป่ะ”

“เออ คิดได้ก็ดี กูเข้าใจว่าตอนปีหนึ่งมึงเจออะไรมาเยอะ แต่ตอนนี้มึงมีชีวิตอยู่ในฐานะรุ่นพี่ปีสอง มันคือโลกอีกใบที่มึงก็ต้องเผชิญ แต่ถ้ามันมากไปก็คุยกับเพื่อนบ้าง เดี๋ยวไอ้ต้อมมันก็น้อยใจหรอก”

“เออๆ เดี๋ยวกูโทรหาให้มันมาเจอวันนี้แหละ... เออ ใช่ บ่ายนี้มึงก็ไปด้วยดิ กูต้องสอนเพลงมิ่งขวัญให้น้องอ่ะ”

“กูก็ต้องไปอยู่แล้วเปล่าวะ นั่นมันคณะสังคมนะ ข้าวเจ้าอยู่นั่น ขืนไม่ไปรับ กูก็อดแดกข้าวเย็นกันพอดี”

แหมมมมม คบกันมาเป็นปียังจะมาอวดความเลี่ยนให้กูฟังอีก



“น้ำชาๆ” เกตุเรียกมาจากด้านบนเวที “มาคุยกับเจ้าหน้าที่เวทีหน่อย”

อ้าว งานมาแล้ว แยกย้ายกันทำงานต่อซิครับ หมดเวลาเม้าท์



ตลอดทั้งเช้า ผมก็อยู่แต่ที่คณะวิทยาศาสตร์ บล็อกกิ้งให้น้องๆอย่างเดียว ถึงจะไม่มีอะไรมากแต่ก็กินเวลายันเที่ยงเลย



หลังจากจบภารกิจที่คณะแล้ว ผมก็ตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมคณะสังคม โดยให้ไอ้ต้อมมารับ แฮ่ๆ เรียกมันมาหาบ้าง รู้สึกว่าช่วงนี้จะห่างหายไปจากการสนทนากับไอ้ต้อมอย่างที่ไอ้สุ่ยบอกจริงๆนั่นแหละ



“คิดไงชวนกูมาเนีย” ไอ้ต้อมเอ่ยถามขณะที่ผมกับมันจอดรถที่คณะสังคมเรียบร้อยแล้ว

“กูคิดถึงเพื่อนบ้างไม่ได้ง่ะ” ผมตอบขำๆ เดินไปคุยกันไป

“หรา... พี่ตองมึงไปไหนแล้วล่ะ”

“อยู่คอนโด ช่วงนี้เริ่มเก็บของแล้ว อีกสามสี่ต้องไปดูงานที่อังกฤษอ่ะ”

“โห่ แล้วงี้เจ้าชายน้อยจะอยู่กับใครล่ะจ๊ะ คิดถึงพี่ตองแย่เลย”

“เชี่ย กูไม่ชอบฉายานี้เลย ใครแม่งตั้งวะ....”





“จะทำอะไรอ่ะ!!!”

หือออออ!!!???

เสียงใครในห้องซ้อมวะ คุ้นๆเหมือนกันแฮะ อย่าหาว่าผมขี้เสือกเลย ชาติที่แล้วผมคงทำบุญด้วยลำโพงละมั้ง ชาตินี้ถึงได้บังเอิญได้ยินอะไรๆ อยู่ตลอด



ผมกับไอ้ต้อมหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องซ้อมคณะสังคม ก่อนจะมองหน้ากันเชิงว่า จะเข้าไปดีหรือไม่



“เป็นอะไรครับ ผมแค่อยากรู้เฉยๆว่าพี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร ผมว่ามันหอมดี” ตอนนี้ผมคิดว่าผมพอจะเดาออกแล้วว่าใครอยู่ในนั้น “แต่ตัวพี่หอมจริงๆนะ”

“อ...ออกไปเลยนะ” อีกเสียงเริ่มโวยวาย เสียงนี้ผมก็รู้แล้วเหมือนกันว่าเป็นใคร “ไม่งั้นผมจะเรียก รปภ. จริงๆด้วย”

“เรียกมาทำไมเหรอครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรก็แค่นั้นเอง ไหน ผมขอดมใกล้ๆกว่านี้หน่อยนะ กลิ่นคุ้นๆนะครับ ทั้งหอมทั้ง....น่ากิน หรือว่าจะเป็นกลิ่น....ขนมปัง”

“อย่า...”



“โซนิค!!!” อ้าว ไอ้เวรต้อม มึงพรวดพลาดเข้าไปอย่างงี้เลยเหรอ ไม่ส่งสัญญาณบอกกูบ้างเลย

“พ...พี่ต้อม” ไอ้น้องโซนิคตกใจตาค้างไปเลยที่เห็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเข้ามา.... เอ่อ.... จะเรียกว่าไงดีล่ะ ภาพที่เห็นเหมือนกับไอ้น้องโซนิคมันพยายามดันขนมปังติดกับผนังกระจก นี่ถ้าไม่คิดในแง่ร้ายเกินไป ผมคงคิดว่าขนมปังกำลังจะถูกไอ้เด็กนี่....ขืนใจ



“โอ๊ย!!!”

“เห้ยยยยย” อันนี้เสียงผมเอง จะไม่ให้ผมร้องเสียงหลงได้ไงล่ะ ก็ในเมื่อไอ้บ้าโซนิคมันผลักขนมปังออกไปจากตัวเองอย่างแรง เล่นเอาขนมปังเสียหลักล้มไปกองกับพื้นเลย

“ผ....ผม” อะไรของไอ้โซนิควะ มึงผลักเขาแต่ก็ทำตาระห้อย แล้วตกลงว่ามึงจะช่วยหรือมึงจะยืนดู

ช่างแม่ง กูช่วยเองก็ได้วะ

“เป็นไรไหมขนมปัง” ผมรีบพุ่งเข้าไปประคองขนมปังขึ้นมา เป็นไรไหมละเนีย ยิ่งตัวเล็กๆอยู่

“ข...ขอบใจน้ำชา โอ๊ย!” ขนมปังเหมือนจะเจ็บแขนนิดหน่อย สงสัยข้อศอกจะกระแทกพื้น

“เจ็บมากไหม” ผมถาม แต่แล้วก็หันไปหาไอ้ตัวการ “ทำบ้าอะไรของเอ็งเนี่ยโซนิค ผลักพี่เขาทำไม”

“เอ่อ....คือ....คือผม....” ดูมัน ไม่ขอโทษ แต่ก็เหมือนสำนึกผิด ทำท่าทางอยากจะช่วย แต่ก็เหมือนขาโดนล็อกไว้

“ยังจะยืนปื้ออีก...”

“โอ๊ย!!!” ขนมปังร้องเจ็บออกมาอีกครั้ง

“โทษทีๆ” ผมเผลอจับแรงไปหน่อย ก็อารมณ์มันขึ้นนี่นา “เจ็บมากไหมขนมปัง เราพาไปหาหมอไหม”

“ไม่...ไม่เป็นไร” ถึงปากจะพูดกับผม แต่สายตาของขนมปังกลับมองไอ้คนที่เพิ่งผลักตัวเองอย่างเอาเลือดเอาเนื้อ

“ขอ...ขอโ...”



“โซนิค” จู่ๆไอ้ต้อมก็แทรกขึ้นมา “ออกมาคุยกันหน่อย”

ไอ้ต้อมเรียกและเดินออกจากห้องไปทันที อย่างกับรู้ว่ายังไงไอ้น้องโซนิคก็ต้องตามออกไปอยู่แล้ว

เออวะ มันตามออกไปจริงๆด้วย ไม่มีลังเลเลย แถมยังทำหน้าหงอยๆ มันอะไรกันวะไอ้พี่น้องคู่นี้



“เราขอดูหน่อยนะ” ผมหันมาสนใจคนเจ็บข้างๆ “ก็มีรอยช้ำนิดนึงอ่ะ แต่ไม่น่าจะรุนแรงมาก”

“เราก็ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่หรอก” ขนมปังตอบ “เมื่อกี๊ตกใจเกินไปหน่อยก็เลยร้องเสียงดัง ยังไงก็ขอบใจนะที่เป็นห่วง”

“ดีแล้วล่ะ ว่าแต่... เกิดอะไรขึ้นอ่ะ ทำไมโซนิคถึงผลักขนมปังลงมาล่ะ”

“อย่าไปพูดถึงคนๆนั้นเลย” หึ พูดงี้เลยเหรอ “เราขอตัวกลับก่อนดีกว่านะ พอดีข้าวเจ้าขอให้เรามาเปิดห้องซ้อมไว้ให้อ่ะ เสร็จธุระของเราแล้ว เราขอตัวก่อนนะ”

“ไม่อยู่ดูน้องซ้อมด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวพวกเพื่อนเราก็จะมาที่นี่อีกหลายคนเลย อยู่ด้วยกันซิ สนุกดีออก”

“ไม่อ่ะ” ปฏิเสธไวกว่าแสงอีก “เรากลับก่อนดีกว่า”

“ขนมปัง” ผมพยายามที่จะคุยกับเขา “มีปัญหาอะไรบอกเราได้นะ ปรึกษาเพื่อนๆบ้างก็ได้ สุ่ยกับข้าวเจ้าคงเป็นห่วง ถ้าเห็นขนมปังหน้าตาอมทุกข์แบบนี้” เหตุการณ์นี้ทำไมมันคุ้นๆวะ เหมือนกูก็เพิ่งจะถูกพูดมาแบบนี้ นี่ต้องมาพูดกับคนอื่นต่อแล้วเหรอ

“.............” ไม่ตอบซะงั้น มีอะไรในใจกันน่า เห็นแบบนี้แล้วเป็นห่วงจัง

“มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างขนมปังกับโซนิคใช่ไหม” พูดตรงๆซะเลยละกัน

“..............” ไม่ตอบเช่นเคย แต่จากสถานการณ์ก็เดาได้ว่ามีอะไรในก่อไผ่แน่ๆ

“ถ้าโซนิคทำอะไรให้ขนมปังไม่พอใจบอกเราได้นะ เดี๋ยวเราจัดการให้ แต่... เราก็พอดูออกนะ ว่ามีความรู้สึกบางอย่างระหว่างขนมปังกับเด็กคนนั้น...”

“ไม่ใช่ซะหน่อย” ทีอย่างงี้ละรีบพูดเชียว

“ที่พูดว่า ‘ไม่’ หน่ะ พูดกับเราหรือพูดกับตัวเองกันแน่” งานนักปราชญ์ก็มาว่ะ “ไม่ต้องบอกเราก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ขนมปังเอาไว้บอกตัวเองเถอะ แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ก็... ลองใช้เวลากับมันอีกสักหน่อยดีไหม โซนิคไม่ใช่เด็กที่เลวร้ายนะ เขาอาจจะโผงผางไปบ้าง แต่เราคิดว่าเด็กคนนี้ก็มีเสน่ห์ในแบบของเขานะ คุณค่าของคน บางทีมันก็ต้องใช้เวลานานหน่อยเพื่อจะพิสูจน์ให้เห็น”

“ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนน้ำชาหรอกนะ”

“โชคดี? เราเนี่ยนะ โชคดียังไง?”

“ก็ที่ได้เจอคนดีๆ คนที่ไม่ทำร้ายน้ำชา แล้วก็รักน้ำชาตั้งแต่แรกแบบไม่ลังเล”

“ไม่ลังเล? รักเรา? อ๋ออออ.... ถ้าจะหมายถึงพี่ตองละก็ ขนมปังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยแหละ พี่ตองทั้งร้ายกาจกับเรา ไม่เคยมองหรือพูดกับเราดีๆเลยเกือบสิบปี นอกจากจะไม่มีความรู้สึกดีๆกับเราแล้ว ดูเหมือนว่าแต่ก่อนพี่ตองจะเกลียดเราเข้าไส้เลยด้วยซ้ำ เกลียดแบบที่เห็นหน้าก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงเราก็ไม่ได้ แค่เราหายใจใกล้ๆยังผิดเลย เทียบกับที่โซนิคทำกับขนมปังแล้วถือว่าคนละชั้นเลยแหละ แบบนี้สำหรับเราไม่เรียกว่าโชคดีนะ”

“จริงเหรอ” ขนมปังทำหน้าเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่เฉลยว่าไม่มีเซนตาครอสอยู่จริง

“นี่ไม่ใช่หนึ่งในเรื่องที่เราคิดจะโกหกเลย มันไม่ได้น่าภูมิใจสักนิดเดียว”

“แล้วทำไมน้ำชากับพี่ตองถึง...”

“เวลาไง เวลาให้คำตอบได้ทุกอย่างนั่นแหละ แต่ที่สำคัญคือตัวเราเอง เรายอมรับว่าเรามีความจริงใจมากๆ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้หวังให้พี่ตองเห็นใจหรือชอบเรามากขึ้นหรอกนะ เราแค่ทำเพื่อพี่เขาให้ดีที่สุดก็แค่นั้น ไม่รู้ซิ สมองมันบอกให้ทำ ทั้งๆที่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก สุดท้ายก็...อย่างที่เห็น  คือเราไม่อยากเต๊ะท่าเป็นผู้เชียวชาญนะ แค่อยากจะบอกว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อรอใครสักคนอยู่ ขนมปังอย่าเพิ่งรีบปิดโอกาสตัวเองเลย หรือถ้าขนมปังยังติดใจเรื่องโซนิคกับเราอยู่ เราบอกได้เลยนะว่า น้องมันเข้าใจตัวเองช้าไปหน่อย เชื่อเถอะว่า โซนิคไม่ใช่รายแรกหรอกที่สารภาพความรู้สึกกับเราโดยไม่รู้ใจตัวเองจริงๆ” คงรู้นะว่าผมหมายถึงพี่ท๊อป

“เรา......” แอบได้ผลนิดนึงเหมือนกันแฮะ คนเบื้องหน้าผมลังเลนิดหน่อย “...เรากลับก่อนนะ”

อ้าว

“โอเค” อ่ะๆ กลับก็กลับ “เดินทางปลอดภัยนะ แล้วก็ขอบใจนะเรื่องที่มาเปิดห้องซ้อมไว้ให้”

“งั้นเราไปแล้วนะ”

“อืม ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม”

“ไม่แล้วล่ะ ไปนะ”



แล้วบั๊ดดี้เหล็กดัดฟันก็เดินเอื่อยๆออกไปจากห้องซ้อมในที่สุด



ว่างล่ะ ไหนๆว่างแล้วก็ซ้อมเพลงมิ่งขวัญมัณฑนารอพวกน้องปีหนึ่งดีกว่า





“กูถือเองได้ มึงก็ถือของตัวเองไปดิ”

“ก็แทนอยากถือให้ ไม่เห็นเป็นไรเลย กระเป๋าใบแค่นี้  ไม่ได้หนักอะไร”

เสียงคนคุยกันมาจากนอกห้องอีกแล้ว

“กูไม่ได้พิการซะหน่อย ถือเองได้ ไม่ต้องมาแย่งเลย เอามือออกไปๆ”

“ก็บอกว่าอยากถือให้ไง”

“ไอ้บ้าแทน อย่างี่เง่าได้ไหม ไม่งั้นจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

“แค่อยากถือของให้นิดๆหน่อยๆนี่มันเป็นเรื่องงี่เง่าตรงไหน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แทนก็แค่อยากแสดงออกว่า....”

“หยุด ไม่ต้องพูดอะไรออกมาเลยนะ”

ขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้เป็นคนขี้เสือกขนาดนั้นนะ แต่ทำไมถึงชอบมีอะไรมาเข้าหูตลอด แล้วก็เป็นโรคอะไรไม่รู้ที่จะต้องไปเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา อย่างกรณีนี้ก็เหมือนกัน ฟังดูก็รู้ว่าอะตอมกับแทนง้องแง้งกันอีกแล้ว



“จะเข้ามาได้ยัง” ผมไม่รีรอที่จะเปิดประตูออกไปเรียกไอ้เด็กสองคนที่ยังคงยื้อแย่งกระเป๋าสะพายอยู่หน้าห้องซ้อม “ไม่ต้องเถียงกันเรื่องกระเป๋าแล้วมั้ง นี่มันถึงห้องซ้อมแล้ว”

“พ...พี่น้ำชา” ตกใจอะไรรึอะตอม นี่พี่เอง ทำหน้าเหมือนเห็นผี “ข...ขอโทษครับ จะเข้าไปแล้วครับ... ปล่อยมือซิ”

“อะตอมก็เข้าไปซิ เดี๋ยวแทนถือเข้าไปให้เอง” ดูมัน ไอ้น้องแทนยังจะมีน้ำใจอีก

“เอ๊ะ มึงนี่ยังไง...”

“พอ” กูไม่ทนฟังแล้ว ผมออกจากห้องก่อนจะดึงกระเป๋าเจ้าปัญหามาไว้กับตัว “เอามานี่ กูจะถือให้เอง เข้าไปห้องซ้อมกันซะที.... ยังจะมามองหน้าอีก เข้าไปได้แล้ว ไปๆๆๆ”



เออ เข้าไปกันได้ซะที จะอะไรกันนักหนา หุ๊



“รีบทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อยนะ” ผมสั่งทันทีเมื่อตามเข้ามาในห้อง



“......ก็บอกว่าทำเองได้ไง”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวแทนทำให้....”

“อย่านะ” ผมเตือน ผ่านไปแค่นาทีเดียว ง้องแง้งกันอีกแล้ว “อย่าให้ต้องขึ้นเสียงอีกรอบนะ ช่วยกันทำความสะอาดเดี๋ยวนี้เลย”

จะบ้าตาย กว่าจะลงมือทำอะไรกันได้แต่ละอย่าง เถียงกันอยู่นั่นแหละ ไอ้น้องแทนก็ไปกินยาอยากเป็นสุภาพบุรุษที่ไหนมาก็ไม่รู้ ค่อยแต่จะอาสาช่วยอะตอมตลอดเวลาอยู่นั่นแหละ



ไม่นานไอ้ต้อมก็กลับเข้ามา แต่ไม่ยักกะเห็นไอ้น้องโซนิคแฮะ หายไปไหนนะ



“โซนิคอ่ะ” ผมถามไอ้ต้อม

“เดี๋ยวก็ตามเข้ามา” มันบอกพร้อมกับยิ้มมุมปาก “มันขอเวลาดูใจตัวเองแป๊บนึง”

ดูใจอะไรของมันวะ ทำไมต้องพูดเป็นปริศนา

“เออๆ ซ้อมไปเหอะ เดี๋ยวมันก็ตามเข้ามา”

อ่ะๆๆ ก็ได้วะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด