Episode 19.2
ปล่อยให้ความกลัว
กลายเป็นเพียงเรื่องสมมติ วันนี้ผมไม่ได้ไปอยู่เฝ้าธงทัพที่โรงพยาบาล เพราะบริษัทผมค่อนข้างเข้มงวดเรื่องวันลา จะหยุดงานกะทันหันเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนมัน แบบที่มันเคยโดดงานมาอยู่กับผมไม่ได้เลยต้องปล่อยให้มันอยู่โรงบาลคนเดียวไปก่อน ได้แต่ส่งข้อความไปหาตอนเที่ยงเพื่อถามอาการ ทางนั้นยังมีแรงตอบไลน์กลับมา แถมถ่ายหน้าบวมน้ำเกลือของตัวเองแบบเต็มๆ จอส่งมาให้ดูอีกจึงวางใจได้ว่าอาการดีขึ้น
วันนี้ทั้งวันก็ยังมีงานในส่วนที่ผมต้องรับผิดชอบมายมายไม่ต่างกับวันอื่น ผมเงยหน้าขึ้นมองสิ่งรอบตัวน้อยมาก เพราะอยากให้งานเสร็จไวๆ แต่มันช่วยไม่ได้ที่จะต้องละสายตาออกจากหน้าจอคอมพ์บ้างเพราะอาการปวดตาที่เป็นๆ หายๆ อยู่ทั้งวัน
หันมองนาฬิกาเป็นครั้งที่สองของวัน เข็มสั้นก็ชี้ไปที่เลขห้าบ่งบอกเวลาเลิกงานพอดิบพอดี ผมเผลอยิ้มกว้างจนแก้มแทบแตก
"อะไรกันน้องภู อยากเลิกงานขนาดนั้นเชียว"
"พี่ผมไม่สบายอยู่โรงบาล ต้องรีบไปหามันน่ะครับ"
"พี่เหรอ?"
"พี่...ครับ"
"พี่ชาย?"
ผมเลิกหัวคิ้วขึ้นนิดๆ แล้วพยักหน้าตอบคำถามนั่น ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจสายตาคั้นคะยอและรอยยิ้มที่ต้องการแซวกัน จะให้พูดว่าธงทัพเป็นอะไรถ้าไม่ใช่พี่ ถ้าไม่ใช่พี่ก็...
แฟนหรือเปล่านะ
ก็ยังคงไม่กล้าพูดคำนั้นออกไปอย่างเต็มปาก แม้เราจะข้ามขั้นของคำว่าพี่น้องจนความสัมพันธ์ชัดเจน ย่นระยะห่างทั้งกายและทางใจ เรื่องราวหยุดซับซ้อนและเข้าใจง่ายขึ้นผ่านค่ำคืนนั้นที่ลืมไม่ลง มันก็คงไม่ผิดถ้าจะใช้คำๆ นั้น แต่ธงทัพเองก็ยังไม่เคยพูดมันออกมาเลยด้วยซ้ำ เราจะประคับประคองความสัมพันธ์อันเรียบง่ายและซื่อตรงให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้หรือไม่ได้นะ...
...
กว่าผมจะมาถึงโรงพยาบาลก็ใช้เวลานานจนฟ้าเปลี่ยนสี ความมืดที่เข้ามาแทนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าควรรีบกว่านี้อีกสักหน่อย แต่การรอคอยบางอย่างก็เร่งเร้าอะไรไม่ได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่กำลังรอข้าวต้มปลาร้านโปรดของธงทัพที่ถ่อมาไกลเพื่อซื้อให้มันกิน หลังจากที่โทรมาบ่นเมื่อครู่ว่ากินข้าวของโรงพยาบาลไม่ได้เลย ความออดอ้อนแปรผันตามอาการป่วยจนไม่อยากจะขัดใจ ผมเลยต้องดันทุรังฝ่ารถติดมาซื้อข้าวต้มปลาไกลคนละฟากจากโรงพยาบาล แล้วย้อนกลับไปหามันตอนเข็มนาฬิกาขยับไปเป็นเวลาเกือบทุ่ม
เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย คนที่หันมาทักผมก่อนก็คือปอ ที่ธงทัพมันบอกตั้งแต่ตอนโทรหาแล้วว่าอยู่ด้วยกัน
"พี่ภูมาแล้ว!"
"รถติดอะ เลยมาช้าหน่อย โทษที"
"ผมกลับเลยนะ"
"เฮ้ย กินข้าวด้วยกันก่อนดิ"
"ไม่เป็นไรครับ จริงๆ ผมไปรับบรีฟงานลูกค้าแทนพี่ทัพมา เลยเอางานมาให้ดูเฉยๆ ตั้งใจจะกลับตั้งนานแล้วแหละ แต่เห็นว่าพี่เขาอยู่คนเดียวเลยอยู่คุยเป็นเพื่อนก่อน"
"อยู่คุยเป็นเพื่อนเหรอ แหม! กูป่วยจะตายห่ายังหาเรื่องเอางานมายัดใส่สมองอีก บอกหัวหน้ามึงเลย กูลาพักร้อนสักครึ่งเดือนได้ไหม"
"โธ่พี่ จริงๆ ผมก็อยากทำแทนพี่แหละ แต่ฝีมือข้าน้อยยังอ่อนนัก แล้วลูกค้าเขาก็รีเควสพี่ด้วยไง เพราะทั้งบริษัทไม่มีใครเก่งเกินพี่อีกแล้ว นี่พูดจริง!"
"มึงไม่ต้องสรรเสริญกูเพื่อใช้งานกูเลย"
"แหะๆ งั้นผมกลับเลยนะ วันนี้ไม่มีงานค้าง อยากนอนเร็วๆ บ้าง"
"งั้นเอาไปกินที่บ้านด้วยดิ พี่ซื้อมาเผื่อแล้วอะ ไม่งั้นคงไม่มีใครกิน"
"ก็ได้ฮะ ขอบคุณมากนะครับ กำลังคิดอยู่เลยว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี" ปอยกมือไหว้ผมก่อนจะรับข้าวต้มปลาที่ยื่นให้ไปอย่างนอบน้อม ก่อนหอบเอาทั้งงานและกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง แต่เสียงของธงทัพเรียกเด็กนั่นเอาไว้ก่อน
"ปอๆ"
"ครับ?"
"เอาไปกินดิ" ธงทัพว่าพลางหยิบนมแลคตาซอยแพ็กหนึ่งที่เดาว่ามีคนเอามาเยี่ยมส่งมันให้ปอ
"พี่เก็บไว้กินเหอะ คนเขาเอามาเยี่ยมพี่นะ"
"มึงเอาไปเหอะ มึงชอบไม่ใช่เหรอ"
"เกรงใจจัง แต่ก็ขอบคุณครับ ผมคงจะอิ่มไปสามวัน" หยิบเอานมแพ็คนั่นไปกอดไว้ในมือรวมกับข้าวของชิ้นอื่นอย่างพะรุงพะรัง เพราะมือไม่ว่างเลยก้มหัวสองสามทีเป็นเชิงบอกลาแล้วออกไปจากห้อง
"น่ารักดีนะ เด็กคนนี้"
"อะไรนะ"
"ปอไง นิสัยดี"
"เด็กเอ๋อล่ะสิไม่ว่า"
"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหัวมึง" ผมถามเพราะเห็นคลิปหนีบผ้าหนีบอยู่ที่ผมหน้าเพื่อเปิดหน้าผากไม่ให้ผมปรกลงมา
"ไอ้ปออะดิ มันบอกรำคาญผมหน้ากูเลยเอาที่หนีบผ้ามาติด นี่ก็เพิ่งตัดผมนะ แต่มันยาวอีกแล้วอะ" ประโยคหลังคล้ายบ่นพึมพำกับตัวเองพลางถอดคลิปนั่นออกด้วยใบหน้ายุ่งๆ ส่วนผมเดินไปหาชามมาเทข้าวต้ม มีความคิดหนึ่งที่ไม่ได้ไม่พอใจหรือหงุดหงิดอะไร แต่อยากถามเฉยๆ จึงเอ่ยออกไป
"ปกติไม่ชอบให้ใครเล่นหัวไม่ใช่เหรอ"
ธงทัพวางคลิปนั่นลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วหันมองผมพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้างงๆ
"หึงเหรอ"
"นั่นสิ"
ผมต้องถามตัวเองเหมือนกันแหละว่ามันคืออะไรกัน...ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ ไม่ทันไร ก็งี่เง่าเอาเรื่องแล้วเหรอภูผา
"จะหึงทำไม กับไอ้ปอเนี่ยนะ"
"ไม่อยากให้มึงใจดีกับใคร เห็นแก่ตัวเนอะ"
"กูใจดีกับทุกคนแหละ แต่รักมึงคนเดียวนะ"
ผมชะงักมือที่กำลังเทข้าวต้มนั่นแล้วหันขวับไปมองคนบนเตียง
"อะ...อะไรของมึง..."
"หิวอะ โคตรหิวเลย"
กลายเป็นผมที่มือสั่นทำอะไรผิดๆ ถูกๆ รวบสติ เทข้าวต้มใส่ชามแล้วยกไปให้มัน แต่ด้วยอาการป่วยที่ยังไม่หายดี ผมรู้ว่ามันทรมานที่จะฝืนกินข้าวสักคำ ไม่ใช่ว่าอาหารของโรงพยาบาลไม่อร่อยหรอก แต่จังหวะนี้ต่อให้ไปเอาบุฟเฟต์ทะเลเผาของโปรดของมันมาปิ้งให้กินตรงนี้มันก็คงกินไม่ลง
"เจ็บคอเหรอ"
"อือ"
"ต้องกินหน่อย จะได้กินยา"
ผมบังคับให้ธงทัพฝืนกินอีกสองสามคำ ก่อนจะตามด้วยยาเม็ดที่มันเกลียดยิ่งกว่าอะไรดี ตอนนี้กลายเป็นมันนั่นแหละ ที่เหมือนเด็กน้อยน่าสงสาร มีน้ำตาคลอบ่งบอกว่าอยากจะร้องไห้เต็มทน แต่ความขี้เก๊กก็ทำให้ต้องกล้ำกลืนฝืนกินยานั่นลงคอไป ไม่ถึงสองนาทีอาการพะอืดพะอมก็ออกฤทธิ์ให้เห็น
"ภูผา...กูจะอ้วก"
"จะอ้วก?"
มันพยักหน้ารับ ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าเข้าไปหา ตัวมันก็วิ่งตัวปลิวจนเข็มน้ำเกลือหลุดแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำ สำรอกของเหลวออกจากมาหมดทั้งข้าวทั้งยา ผมละทุกอย่างในมือทิ้งแล้วตามมันเข้าไปในห้องน้ำ ยกมือลูบหลังเบาๆ เพียงเพราะมองเห็นความทรมานของอีกคนด้วยความสงสาร...หัวใจผมก็อยู่ไม่เป็นสุขเลย
"โอเคขึ้นไหม"
มันพยักหน้ารับแล้วยันตัวเองขึ้นมาอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง
"ล้างหน้าก่อน"
"กูทำเองได้"
"กูทำให้! มึงอะคนป่วย ทำหน้าที่คนป่วยของมึงให้ดี ที่เหลือกูจัดการเอง เข้าใจไหม!" ต้องโดนผมดุจนได้ มันถึงยอมให้ผมเป็นคนจัดการทำความสะอาดให้ ก่อนพามันกลับไปนั่งที่เตียง ใช้ทิชชูซับเลือดที่หลังมือจากรอยเข็มที่หลุดไปเพื่อรอให้พยาบาลมาจัดการให้ใหม่ เมื่อเห็นว่าเสื้อเปียกไปฝั่งหนึ่งผมก็ยื่นมือไปถอดออกให้ ไม่มีการขัดขืนอะไรแล้วเพราะมันน่าจะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ
ยอมให้ผมถอดเสื้อออก แต่ก่อนที่จะสวมตัวใหม่เข้าไป ผมเผลอวางสายตาอยู่ที่รอยสักบนอกข้างซ้ายของมันอยู่ครู่หนึ่ง ตัวมันเองก็ก้มลงมองตามไปด้วย
"ภูเขา ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าเป็นรูปภูเขา"
"ทำไมต้องภูเขา"
"จะให้บอกว่าภูผาไหมล่ะ"
ผมเงียบ กำเสื้อตัวใหม่ที่กำลังจะใส่ให้จนเป็นรอยยับ
"หูแดงเลย"
"ใคร!"
"มึง"
ผมไม่เถียงพลางยกมือปิดหูตัวเอง ส่ายหน้าเรียกสติ แล้วสวมเสื้อให้มันอย่างรวดเร็ว พูดให้ถูกคือ แค่สวมให้ลวกๆ ที่เหลือให้มันจัดการต่อเอง ธงทัพไม่ยอมผูกเชือกที่เสื้อเส้นสุดท้าย แล้วยกมือลูบรอยสักตัวเองอีกครั้ง
"กูรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งต้องได้มึงมาเป็นแฟน"
"..."
"เลยสักรูปภูผาเอาไว้ตรงนี้"
"..."
"ตรงหัวใจเลย"
เม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มสุดชีวิตแล้ว แต่ฝืนไม่ไหวกลายเป็นยิ้มกว้าง ผมได้ยินคำว่าแฟนหลุดออกจากปากธงทัพเป็นครั้งแรก...ธงทัพแกล้งผม แกล้งให้หน้าผมร้อนผ่าวเดาว่าแดงกล่ำไปถึงหูด้วยคำพูดพวกนั้น
เขิน...ที่กำลังเป็นอยู่นี่คงเรียกว่าอย่างนั้น จากคนที่ยิ้มไม่เก่งอย่างผม กลับหุบยิ้มไม่ลงเพราะอาการเขินระยะรุนแรง ธงทัพมีผลต่อหัวใจมากมายขนาดที่ผมอธิบายไม่ได้เลย...ไอ้หมาบ้า
"ยิ้มใหญ่เลยนะ" ได้ทีแซวใหญ่ ซ้ำยังยกมือขึ้นบิดแก้มพองๆ ของผมอย่างดูชอบใจ
"ครืด..." เสียงประตูห้องเลื่อนเปิดออก ทั้งผมและธงทัพหันมองคนที่เดินเข้ามา สองมือของธงทัพรีบชักออกจากแก้มของผม ตัวผมเองก็ถอยหลังไปอีกทางด้วยความตกใจเล็กน้อย ผมยกมือขึ้นไหว้ทักทายในจังหวะเดียวกับที่ธงทัพเอ่ยเรียกคนที่ก้าวเท้าเข้ามา
"พ่อ"
"อืม" ตอบรับธงทัพแล้วหันมาพยักหน้ารับไหว้ผม
"พ่อมาทำไม"
"ก็มาดูหน่อยว่าจะตายหรือยัง"
"กลับไปเลยพ่อ"
ลุงวุธหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนผมจะเลื่อนเก้าอี้ข้างเตียงให้เขานั่ง
"แล้วพ่อรู้ได้ยังไง"
"แม่แกโทรบอกน่ะสิ แต่แม่ไม่ว่างเลยให้พ่อมาดูแทน"
"ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย แม่ก็ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่"
ความรู้สึกของคนไม่จำเป็นก็เกิดขึ้นในตอนนี้ ผมก็อยากจะกลายร่างตัวเองให้กลายเป็นอากาศชั่วคราวแต่ทำไม่ได้ วิธีเดียวที่จะหายไปจากตรงนี้คือการใช้สองขาก้าวออกมาจากประตู ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากบอกเบาๆ ให้ลอยไปเข้าหูใครก็ได้
"ภูไปรอข้างนอกนะ"
จะพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม ถ้าให้ผมยืนอยู่ด้วยตรงนั้น ผมอึดอัดจนไม่มีตัวตน สมการของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลุงวุธมันควรสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่แม่ตายไป เพียงแต่ว่าหลังจากที่แม่ตาย ลุงวุธเสนอตัวรับผิดชอบเลี้ยงดูผม และตัวผมในตอนนั้นผมหมดหนทาง เคว้งคว้าง ไม่มีที่ไป ลุงวุธก็เอื้อมมือที่แข็งแกร่งดูพึ่งพาได้เข้ามาช่วยเหลือ ผมจึงไว้ใจลุงวุธยิ่งกว่าใคร อีกทั้งลุงวุธไม่ได้รักกับใครใหม่อีกเลยตั้งแต่แม่ตายไป หรือบางทีอาจเพราะมีเรื่องงานที่ยุ่งวุ่นวายให้ทำ จึงจำเป็นต้องตัดเรื่องที่ไม่ได้สำคัญกับชีวิตออกไปบ้าง ผมจึงไม่รู้จริงๆ ว่าลุงวุธจะลืมหรือว่ายังรักแม่ของผมอยู่
เรื่องราวคล้ายว่าจะเรียบง่ายอย่างที่ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้นอยู่เสมอ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ผมกลับกลายเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นที่ลุงวุธเรียกผมว่า...คนอื่น มันคงมีสักเหตุผลที่ทำให้ลุงวุธไม่เอ็นดูผมเหมือนเก่า...
สักเหตุผลหนึ่งแหละและในทุกครั้งที่ต้องเจอหน้ากัน มันจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมต้องผลักตัวเองออกมาไกลๆ แต่ชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอก ผมยังมีป้าอรที่เอ็นดูผมไม่เปลี่ยน ป้าอรเอาใจผมมากกว่าธงทัพซะอีก ผมรักป้าอรเหมือนแม่ แต่ถึงอย่างไร...ป้าอรก็ไม่ใช่แม่ของผม
จากชั้นเจ็ดของตึกโรงพยาบาลผ่านหน้าต่างกระจกใส ผมมองเห็นความวุ่นวายของรถบนถนนที่ยังแออัดและค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าได้ทีละนิด ทีละหน่อย แต่เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมองบนฟ้ามืด บนนั้นสงบเงียบแม้เพิ่งผ่านพ้นชั่วโมงฝนตกไปเมื่อครู่ ผมปล่อยตัวเองเหม่อลอยมองดูความมืดมิดอยู่ครู่หนึ่งอย่างเงียบงัน เสียงในใจผมพลันเอ่ยแทรกความเงียบอย่างควบคุมไม่ได้
ภูคิดถึงแม่นะ... ไม่ทันได้สนใจดูนาฬิกาแต่ด้วยความรู้สึกก็รู้ว่านานเป็นพักใหญ่ ก่อนที่ลุงวุธจะเดินออกมาจากห้อง ผมทำได้แค่ยิ้มรับ ลุงวุธเปิดบทสนทนาก่อน ผมรู้...ตามมารยาท
"สบายดีนะภู"
"สบายดีครับ"
"ฝากดูแลทัพด้วยล่ะ"
"ครับ"
แสนสั้น...มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ผมยิ้มให้ลุงวุธอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินออกไป ผมจึงกลับเข้าไปหาธงทัพ อย่างที่บอกว่าผมไม่มีอะไรปิดบังธงทัพ ผมบอกให้มันฟังทุกเรื่อง กระทั่งความรู้สึกที่มีต่อลุงวุธ แม้รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่จะทำให้ธงทัพลำบากใจเพราะนั่นคือพ่อของมัน แต่ทั้งชีวิตผมก็มีมันอยู่คนเดียว ผมก็พูดให้มันฟังได้แค่คนเดียว และไม่ว่าผมจะบ่นอะไรออกไป ก็มักจะตั้งใจฟังอยู่เสมอ แต่สำหรับเรื่องนี้ ธงทัพไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีการเข้าข้าง ไม่บอกแนวทางแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ ด้วยการตอบกลับซ้ำๆ ที่ได้ยินจนจำได้ขึ้นใจ
มึงมีกู...กูอยู่นี่...กลัวอะไร ธงทัพก็เป็นแบบนี้แหละ
ผมฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง พลันสายตามองไปเห็นกุญแจรถวางอยู่บนโต๊ะ
"ของลุงวุธนี่"
"สงสัยพ่อลืมว่ะ"
ผมพยักหน้ารับพลางคว้ากุญแจรถนั่นแล้วก้าวเท้าวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อตามลุงวุธให้ทัน โชคดีที่เขายังยืนรอลิฟต์อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น การวิ่งระยะสั้นไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยหอบ เลยยังสามารถสื่อสารกับลุงวุธได้ไม่ติดขัด
"ลุงวุธ ลุงลืมกุญแจรถครับ"
"ใครว่าลืม"
"ครับ?"
"เอาไว้ให้ธงทัพใช้"
"ครับ?"
ผมพูดซ้ำ ดังกว่าเดิมอีกนิด
"ก็อย่างที่พูดนั่นไง เอาไว้ให้ธงทัพใช้ จอดอยู่ที่ลานชั้นสาม ธงทัพมันรู้ว่าคันไหน"
ผมกระพริบตาปริบ ก่อนลิฟต์เปิดแล้วลุงวุธก็เดินเข้าลิฟต์ไป ด้วยสัญชาตญาณผมยกมือไหว้เป็นเชิงบอกลาก่อนประตูลิฟต์ปิด หันหลังกลับไปหาธงทัพทั้งที่ยังงงๆ อยู่ ไม่ใช่ว่าอะไร...ผมแค่ห่วงว่า ลุงวุธจะกลับชลบุรียังไง นี่ก็มืดแล้วนะ
"ทันพ่อป่ะ"
ผมพยักหน้าตอบธงทัพ แต่ยื่นกุญแจรถให้มัน หัวคิ้วของอีกคนขมวดเข้าหากัน ก่อนธงทัพจะถามอะไร ผมก็บอกออกไปก่อน
"ลุงวุธบอกว่า เอาไว้ให้มึงใช้"
"ฮะ!" แม้เจ็บคอจนเสียงแห้งหายแต่ธงทัพก็ร้องออกมาดังลั่นอย่างตกใจ
"ลุงวุธบอกอย่างนั้น"
"..."
"จอดอยู่ที่ชั้นสาม เขาบอกว่ามึงรู้ว่าคันไหน"
ทั้งธงทัพและผมก้มมองกุญแจรถสีดำด้านมีโลโก้ยี่ห้อสีเงินอยู่ตรงกลาง คนที่กำลังถือกุญแจนั่นอยู่เอียงคอมอง สีหน้าดูไม่คลายความสงสัย
"ของจริงป่ะวะ"
ผมหลุดหัวเราะ ตอนที่ธงทัพก็ขำออกมาพร้อมกัน เอ่ยเสียงแหบร้องอย่างดีใจ
"เย้! ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วได้เบนซ์ใช้ รู้งี้กูจะก่อเซลล์มะเร็งตั้งแต่ม.หกละ"
"ไอ้บ้า!" ผมเผลอด่าไม่พอแถมตบปากไปอีกทีหนึ่งด้วย
"ล้อเล่นๆ"
"ทำไมลุงวุธใจดีจัง"
"นั่นดิ แปลกๆ แอบมีเมียน้อยอีกป่ะเนี่ย"
ผมเงียบ ธงทัพเงียบ เมื่อรู้ตัวว่าพูดไม่คิดอีกแล้วก็ยกมือตบปากตัวเอง
"ขอโทษ"
"ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย" ผมพูดปัดๆ ลุงวุธจะมีเมียใหม่ก็ไม่แปลก ลุงวุธกับป้าอรแยกกันอยู่มาตั้งหลายปี แม่ผมก็ตายไปตั้งนาน มันก็คงมีสักวันที่ลุงวุธอาจจะเหงาบ้าง แต่ถือว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมก็แล้วกัน
"พี่ธงทัพ ถามอะไรหน่อยดิ"
"เรียกกูแบบนี้ทีไร เหมือนไข้กูจะขึ้นสูงเลยนะเนี่ย เสียงเครียดมาเชียว"
"เออ! ขอถามอะไรหน่อย"
"อะไร"
ธงทัพหันหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ แต่กลายเป็นผมที่พูดติดๆ ขัดๆ ทั้งกล้าทั้งกลัวแต่ก็อยากจะพูดมันออกไป
"ถ้าสมมติ...."
"..."
"แค่สมมติ..."
"..."
"สมมติว่าลุงวุธไม่ชอบกู..."
"..."
"หมายถึงว่าถ้าลุงวุธไม่ชอบเรา ไม่ชอบเรื่องของเรา ไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้..."
"..."
"เราจะทำยังไงกันดี"
"..."
"แต่ว่า...แค่สมมตินะ"
เหมือนผมจะพูดวกไปวนมา ไม่รู้ว่าคำถามของผมมันชัดเจนพอที่ธงทัพจะเข้าใจหรือเปล่า แต่เพราะธงทัพเป็นคนฉลาดจึงเข้าใจอะไรได้ไม่ยากเย็น มือข้างหนึ่งขยับมาจับมือผมเบาๆ นิ้วโป้งลูบฝ่ามือช้าๆ เนิ่นนานไม่มีคำพูด ผมก้มหน้าเงียบ และเงยขึ้นในตอนที่ธงทัพเอ่ยบางคำ
"ไม่เป็นไร แค่เรื่องสมมติ"
"..."
"แล้วกูก็อยู่นี่ทั้งคน"
"ให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ" คล้ายภาพความทรงจำทับซ้อน ผมได้ยินประโยคนั้นจากแปดปีก่อนลอยเข้ามาในหัว ความทรงจำเลวร้ายกระแทกเข้าที่อกข้างซ้ายจนเจ็บแปลบ เรื่องของผมกับนาวีพุ่งเข้ามาย้ำเตือนว่าเรื่องสมมตินั้นมันควบคุมไม่ได้ เรื่องสมมติมักเป็นสิ่งที่เรากลัว และหากว่าเราโชคร้าย...
เรื่องสมมติก็มักจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่เสมอ To be continued. **แจ้งยื่นใบลา เจอกันอีกทีประมาณกลางเดือนหน้านะคะ แต่ไม่หายไปสองสามเดือนเหมือนแต่ก่อนแล้ว สัญญา 555555 อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว เอาใจช่วยด้วยนะคะ ด่ากันได้ แรงๆ ก็ได้ ทำใจแล้ววววว***