Internal Love
ตอนที่ 13
Every day is a new start and a chance to make right what went wrong yesterday.
“กูว่าร้านนู้นดูสะอาดกว่านะ”
เมืองแมนกระซิบบอกคนข้างๆที่ยืนซื้อมะม่วงดองกับแม่ค้าอยู่ เพลิงกัลป์เหลือบมองตามแล้วกระซิบตอบ
“เปลี่ยนไปร้านนู้นทันมั้ย”
“ถ้าไม่กลัวโดนแม่ค้าด่าเอานะ” เมืองแมนพูดแกมหัวเราะ ยืนรอให้อีกคนจ่ายเงินจนเสร็จ ถุงมะม่วงดองและของกินต่างๆนานาเต็มมือของเพลิงกัลป์ไปหมดจนเขาอดพูดไม่ได้ “ไหนใครบอกเดินนิดเดียว รีบซื้อรีบกลับนะ ซื้อมาเยอะกว่ากูอีก” ในมือเขามีแค่ถุงลูกชิ้นหมูปิ้งกับขนมโรตีสายไหมเอง
“อย่าเห็นว่าแอบกินของกูนะ” เพลิงกัลป์บอก
“ใครแอบกิน เดี๋ยวเขียนชื่อแช่ตู้เย็นเอาไว้เลย” คนชอบหิวตอนดึกเริ่มร้อนตัว “ที่กูกินไป..เอ่อ...บางอย่าง เพราะเห็นมันใกล้จะหมดอายุแล้ว เดี๋ยวเสียของโว้ย”
“ครับ เชื่อมากๆ” เพลิงกัลป์ตอบ ร่างสูงหยุดชะงักหน้าแผงขายปลาหมึกย่างตัวอวบอ้วนน่ากิน แถมยังมีไข่ด้วย เล่นเอาคอปลาหมึกแบบเขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“ระวังท้องเสีย” เมืองแมนดักคอ เห็นดวงตาคมเข้มเป็นประกายมองปลาหมึกย่างบนเตาแล้วหันมามองเขาพลางกระพริบตาปริบๆ “มีแมลงวันบินว่อนเลย ไม่เห็นหรือไง”
“กูธาตุแข็ง ไม่ท้องเสียง่ายๆหรอก”
“เตือนแล้วนะ อยากกินก็ตามใจ”
เพลิงกัลป์ซื้อปลาหมึกมาสองไม้ เนื้อปลาหมึกชิ้นหนากับน้ำจิ้มรสเด็ดทำเอาชายหนุ่มสูดปากด้วยความอร่อย คนที่เดินอยู่ใกล้ๆเหลือบมอง ชักเริ่มอยากกินบ้าง
“อย่าแม้แต่จะคิด” เจ้าของปลาหมึกรีบพูด “ท้องเสียขึ้นมาเดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่หรอกมึงน่ะ” พอเห็นสีหน้าคนจะค้าน เพลิงกัลป์ก็รีบพูดต่อ “กูท้องเสียได้ไม่เป็นไร แต่ถ้ามึงท้องเสียเดี๋ยวอันตราย เข้าใจ๋”
“ไม่ยุติธรรมนี่หว่า” เมืองแมนพึมพำ แต่ก็ไม่ได้รบเร้าขอ ‘ชิม’ ปลาหมึกอีก
พวกเขาแวะกินบะหมี่เจ้าดังในตลาด เมืองแมนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ด้วยเพื่อไว้ติดต่อใครๆ โดยเฉพาะเวลาทำงาน
“สุดตลาดมีร้านขายโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่มีไอโฟนหรอกนะ” เพลิงกัลป์เงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่ “น่าจะซื้อมาใช้แก้ขัดไปก่อนได้”
“เสียดายมือถือชะมัด น่าจะลงไปงมเนอะ” เมืองแมนถอนหายใจ “ตัวเครื่องก็ไม่เท่าไหร่ แต่เมมโมรี่ในเครื่องนี่สิ เสียดายจัง”
“มีอะไรให้เสียดายนักเหรอ....รูปถ่ายคู่กับเพื่อนสนิทชื่อเจมส์อะไรนั่นหรือไง” จู่ๆคนตรงหน้าก็พูดขึ้นมา เมืองแมนมองหน้าแล้วก็เมินไปทางอื่น
“ใช่...แต่ไว้กลับไปถ่ายใหม่ก็ได้”
“อิ่มแล้ว ป้าครับ เก็บตังค์หน่อย” เพลิงกัลป์วางตะเกียบลง ทั้งที่เมื่อกี้ยังคีบเส้นเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยอยู่แท้ๆ “มึงกินเร็วๆ คนเขารอเก้าอี้นั่งกันอยู่” เขาพยักพเยิดไปทางหน้าร้านรถเข็นที่มีคนยืนรอนั่งเสียบแทนคนที่กินเสร็จแล้ว
พวกเขาเดินเรื่อยๆตัดตลาดคนเดินที่มีของขายมากมายตั้งแต่แว่นตาแฟชั่นไปจนถึงเสื่อน้ำมันและหนังสือท่องเที่ยว เมืองแมนเดินไปก็หยุดแวะเป็นระยะๆ ดูของบ้าง ซื้อของกินเล่นบ้าง ตอนแรกคนตัวสูงก็ทำท่าจะบ่นที่เดินยังไงก็ไม่ถึงร้านขายมือถือสุดตลาดซักที แต่ตอนหลังก็เลิกบ่น หันไปสนใจ ‘อย่างอื่น’ แทน
อย่างอื่นที่ว่าคือบรรดาสาวๆสาวเล็กสาวใหญ่ที่แต่งตัวสวยงามมาประชันกันสุดฤทธิ์ บ้างก็แต่งสั้นโชว์เรียวขาเรียบเนียน บางคนก็ใส่สายเดี่ยวเว้าหน้าเว้าหลังอวดเนินอกท้าทายสายตา
“เช็ดน้ำลายหน่อยมั้ย จะหยดใส่เสื้อแล้ว” พอมองตามสายตาของฝ่ายนั้น เมืองแมนก็อดไม่ได้ หลุดปากพูดออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆแล้วหันมายักคิ้วให้
“ข้างหลังอย่างแจ่มเลย” คนพูดพูดจบก็ก้มลง ใช้มือจับแขนเสื้อของเมืองแมนขึ้นมาเช็ดปากตัวเองเหมือนล้อเลียน
เจ้าของแขนเสื้อสีขาวสะอาดที่ตอนนี้มีรอยคราบสีส้มจากน้ำจิ้มอะไรสักอย่างจากริมฝีปากของคนเช็ดถึงกับร้องโวยวาย ดึงเสื้อออกจากมือ
“ทำอะไรเนี่ย เสื้อกูเปื้อนหมด”
“เอ้า...ก็บอกให้เช็ดปากไม่ใช่หรอ” เพลิงกัลป์พูดหน้าตาย “มึงก็เช็ดเหงื่อบ้าง หน้ามันแผล็บเชียว” เจ้าตัวไม่พูดเปล่า จับชายเสื้อของตัวเองขึ้นเช็ดซับเหงื่อของอีกคนให้ ได้ยินเสียงกรีดเบาๆจากสาวๆที่แอบมองซิคแพ็คภายใต้เสื้อยืดที่เลิกขึ้นของเขาอยู่
เมืองแมนผงะหลบแทบไม่ทัน อุทานอย่างฉุนเฉียว รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจโชว์ของให้สาวเห็น
“สิวขึ้นหมด ไอ้.... จะโชว์ซิคแพ็คทำไมไม่ถอดเสื้อเลยล่ะ”
“เดี๋ยวมึงเป็นลมตาย” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาแกมหัวเราะ ยอมเอาเสื้อลงแต่โดยดี
เมืองแมนด่าอีกสองสามคำแล้วก็รีบเดินจ้ำหนีออกมาจากตรงนั้น รู้สึกว่าพวกเขาทำตัวเป็นเป้าสายตามากไปแล้ว พูดให้ถูกก็คือ ไอ้รูมเมทของเขาคนเดียวมากกว่า แค่มันเดินธรรมดาก็โดดเด่นเตะตาชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ไปถึงไหนต่อไหน
“ร้านอยู่ทางซ้าย” เสียงห้าวๆดังขึ้นข้างหลัง บอกว่าอีกฝ่ายคงเดินตามหลังเขามาติดๆ
เมืองแมนก้าวเข้าไปในร้านขายโทรศัพท์เล็กๆที่มีโทรศัพท์มือถือวางเรียงรายอยู่ในตู้กระจกหลากหลายยี่ห้อ บางยี่ห้อเขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มก้มๆเงยๆเลือกอยู่นาน เลือกไม่ถูกซักที
“จะเหมาร้านเขาหรือไง” คนมาด้วยกระซิบถาม “เลือกมาสักเครื่องนึงสิ”
เมืองแมนกวาดสายตามองโทรศัพท์สองเครื่องตรงหน้าที่เขาเข้าตามากที่สุด
“เครื่องนี้สเป็คดีอ่ะ แต่เหลือแค่สีเดียวเป็นสีเขียว ส่วนเครื่องนี้สเป็คต่ำกว่า ถูกกว่า แต่ดีไซน์สวย สีดำด้วย...” เขาพึมพำ “เป็นมึงจะเอาเครื่องไหน”
“เอาสองเครื่องเลย กูรวย”
“กูจะขอความเห็นมึงดีๆหน่อยไม่ได้เลยใช่มั้ย”
“เอางี้ เลือกมือถือก็เหมือนเลือกสาว มึงชอบนิสัยตรงสเป็คหรือชอบสวยๆแต่กลวงหน่อยก็เลือกเอา”
“งั้นผมเอาเครื่องนี้ครับ” เมืองแมนเลือกโทรศัพท์สีเขียว ยังไม่ทันหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิด คนข้างๆก็ชิงส่งบัตรเครดิตให้คนขายก่อนแล้ว
“กูจะสะสมแต้ม” เพลิงกัลป์ตอบคำถามขุ่นข้องในสายตาคู่นั้น “จะได้เอาพอยท์ไปแลกตั๋วเครื่องบิน ไม่ต้องทำหน้างั้น กูไม่ได้ซื้อให้ฟรีหรอก”
“เดี๋ยวกูโอนเงินคืนให้” เมืองแมนบอก “บอกเลขที่บัญชีมา”
“ไว้ทีหลัง” อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ไหนลองดูเครื่องซิ มีอะไรติดขัดจะได้รีบเปลี่ยนเครื่องก่อน” เพลิงกัลป์หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่มาลองเล่นดู “ก็ลื่นดีนะ ดูคุ้มราคา” ชายหนุ่มกดเข้าแอพต่างๆทดสอบดูโดยมีเจ้าของตัวจริงยืนชะเง้อมองอยู่ข้างๆ “ไหนลองกล้องถ่ายรูปหน่อย”
เขาเปิดกล้องหน้าแล้วยกชูขึ้น
“โผล่หน้าเข้ามาเร็ว ถ่ายรูป หนึ่งสองสาม...ยิ้ม” เสียงแชะดังขึ้นก่อนคำว่าสามเสียอีก เมืองแมนในรูปหน้าเหวอแบบไม่ทันตั้งตัว เขาดึงโทรศัพท์กลับมาแต่อีกฝ่ายไม่ยอม
“ลบรูปเลยนะ” เมืองแมนพูดเสียงดัง “ถ่ายใหม่”
“ทำไมล่ะ น่ารักดีออก...เหมือนปลาคราฟขึ้นมาฮุบอากาศ” คนพูดหัวเราะ จัดการกดส่งรูปเข้ามือถือของตัวเองจากนั้นก็ตั้งรูปนั้นเอาไว้เป็นรูปหน้าจอของโทรศัพท์เมืองแมน “ตั้งเป็นหน้าจอเลย ห้ามลบห้ามเปลี่ยน”
เมืองแมนคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับมา หาทางกดเปลี่ยนหน้าจอให้กลับเป็นเหมือนเดิมพลางบ่นพึม เพลิงกัลป์มองใบหน้าอ่อนใสเหมือนเด็กมัธยมนั้นแล้วอมยิ้ม ยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปอีกฝ่ายยามเผลอ
“เห้ย...ถ่ายอะไร” เจ้าตัวได้ยินเสียงแชะเบาๆ เลยเงยหน้าขึ้นมาโวย
“ไม่ได้ถ่ายมึง กูถ่ายน้องผู้หญิงขาวๆหลังมึงต่างหาก” เขาตอบหน้าตาย เก็บโทรศัพท์ลง
“......เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” เมืองแมนด่าต่ออีกหลายคำ
ขากลับเพลิงกัลป์พาเขาเดินเลาะกลับอีกด้านหนึ่งของตลาดที่คนน้อยกว่า เส้นทางเลาะเรียบไปกับแนวคูเมืองที่ทางจังหวัดตกแต่งไฟเอาไว้สวยงาม ลมพัดเย็นสบาย
“นั่นอะไรน่ะ” เมืองแมนหยุดเดิน ชี้มือไปยังอีกฟากหนึ่งของคูเมืองที่มีแสงสีประดับประดามากเป็นพิเศษ แถมยังมีเสียงดนตรีเป็นจังหวะผสมมากับเสียงหัวเราะปรบมือของคนที่รวมกลุ่มกันอยู่ด้วย
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ลองข้ามไปดูก็ได้” เพลิงกัลป์บอก เดินนำเขาสะพานไปยังอีกฝั่ง
“รำวง?” เมืองแมนอุทาน เขาอ่านเอาจากป้ายที่ติดเอาไว้ว่า ‘รำวงย้อนยุค’ มองเข้าไปในกลุ่มคนที่ยืนล้อมวงกันอยู่นั้น กลางวงเป็นหนุ่มสาวหลายคู่กำลังฟ้อนรำกันอยู่อย่างสนุกสนาน ถ้าสังเกตดูดีๆก็ไม่เชิงหนุ่มสาวนักหรอก น่าจะค่อนไปทางวัยกลางคนขึ้นไปมากกว่า
เสียงดนตรีเป็นจังหวะสนุกๆให้ผู้เฒ่าผู้แก่ออกมาโยกย้ายกับลูกหลานที่พามาด้วย เมืองแมนยิ้มออกมาเมื่อเห็นยายเฒ่ารำคู่กับหนุ่มน้อยที่น่าจะเป็นหลานชาย
“น่ารักจัง”
“อยากร่วมวงไหม” คนข้างๆถามขึ้น คนฟังส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ ยืนดูอยู่ตรงนี้ดีกว่า”
“ไม่ใจเลย อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว ไม่ได้เห็นกันง่ายๆนะ” เพลิงกัลป์พูด
หญิงชราคนหนึ่งแต่งกายสวยงามย้อนวัยเดินตรงมาทางชายหนุ่มทั้งคู่ เธอเอื้อมมือมาหาเพลิงกัลป์แล้วกวักเรียก ทำเอาคนถูกชวนส่ายหน้าหวือ รีบโบกมือปฏิเสธ
“อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว จะพลาดได้ไง” เมืองแมนย้อนประโยคเดิมที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป
“กูรำเป็นเสียที่ไหน” เพลิงกัลป์กระซิบ
“ก็โบกมือตามเขาไปน่ะ สู้ๆนะ” เมืองแมนพูดจบก็ผลักหลังเพื่อนออกไปกลางวง ยายเฒ่าหัวเราะร่าจนเห็นฟันดำปี๋เพราะเคี้ยวหมาก จับมือเพลิงกัลป์พาเข้าไปร่วมวงด้วย
เพลิงกัลป์หันมาเข่นเขี้ยวชี้หน้าคาดโทษรูมเมททีนึง ก่อนจะเริ่มโบกมือตั้งวงตามคนข้างๆไป สักพักชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาด้วยความสนุก
เมืองแมนหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ขึ้นมาถ่ายรูปร่างสูงใหญ่ที่เดินเก้ๆกังๆอยู่ในวงไปหลายรูป เพลิงกัลป์รำไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ไม่รู้เป็นเพราะแขนขายาวเก้งก้างหรือว่าการเดินคร่อมจังหวะเพลงตลอดเวลากันแน่ ทว่าใบหน้าคมเข้มนั้นก็ดูชอบอกชอบใจมากทีเดียว หัวเราะพลางจับมือแม่เฒ่าเดินไปเรื่อยๆ
พอวนมาถึงตรงหน้าที่เมืองแมนยืนอยู่ แม่เฒ่าก็เดินเข้ามาจับมือเมืองแมนจูงออกมาบ้าง เมืองแมนไม่ได้ปฏิเสธ เขาตั้งวงเดินคู่กับแม่เฒ่าอย่างสนุกสนาน หางตาเห็นเพลิงกัลป์มีสาวๆรายอื่นมาขอรำคู่ด้วย
จบไปสี่เพลงพอให้เหงื่อชุ่มตัว เมืองแมนโค้งตัวให้กับคุณป้าที่เขารำคู่ด้วยเป็นคนสุดท้าย เขาถอยออกมาจากวง เห็นรูมเมทยังคงติดพันอยู่กับสาวน้อยอีกคนที่เขาเห็นรำด้วยกันมาตั้งแต่เพลงที่สาม
...สงสัยจะติดใจ
พิศดูหญิงสาวคู่รำของฝ่ายนั้นก็เห็นว่าขาวๆตัวเล็กน่ารักดีอยู่ คงเป็นสเป็คของฝ่ายนั้นอยู่แล้ว ...แล้วนี่เขาควรจะต้องยืนรอเพลิงกัลป์อยู่ตรงนี้หรือเปล่า หรือว่าปล่อยให้อีกฝ่ายได้ ‘ออกรอบ’ ตามสบาย ส่วนเขาก็หารถกลับโรงพยาบาลเอาเอง
“คุณหมอหรือเปล่าคะ มาเที่ยวหรือคะ” เสียงใสๆดังขึ้นข้างตัว เมืองแมนเหลียวไปมอง เห็นสาวน้อยเจ้าของร้านอาหารที่เขาชอบไปกินบ่อยๆยืนส่งยิ้มมาให้อยู่ก่อนแล้ว
“คุณ...กี้ สวัสดีครับ” เขานึกชื่อของเธอได้ทัน
“ไม่ไปรำสักหน่อยหรือคะ หรือว่ารำเสร็จแล้ว”
“รำไปหลายรอบแล้วครับ” เมืองแมนตอบ “คุณกี้ล่ะครับ” พูดออกไปแล้วก็รู้สึกเสียใจกับความปากไวของตัวเอง เพราะหญิงสาวตอบกลับมาทันทีว่า
“ยังเลยค่ะ อยากรำสักเพลงจัง”
จะบอกปัดก็กระไรอยู่ ดูท่าแล้วหญิงสาวคงมาคนเดียวเสียด้วย เขาก็เลยออกปากชวนเธอไปรำวงด้วยกัน เธอยิ้มหวานตอบตกลง
“คุณหมอมากับใครหรอคะ” กี้เอ่ยปากถามขณะที่รำวงอยู่ด้วยกัน
“มากับเพื่อนครับ”
“ใช่คุณหมอเพลิงกัลป์หรือเปล่าเอ่ย...กี้เห็นแวบๆน่ะค่ะ” เมืองแมนอดรู้สึกแปลกกับคำพูดของเธอไม่ได้ ในเมื่อร่างสูงใหญ่ของเพื่อนเขาออกจะโดดเด่นเสียขนาดนั้น เรียกว่าแทบจะเป็นยักษ์ในหมู่คนแคระที่รายล้อมอยู่
“ใช่ครับ” เขาตอบแค่นั้น
“กี้มาคนเดียวค่ะ ชอบมาเดินตลาดคนเดียว คุณหมอว่าแปลกไหมคะ” เธอพูดทั้งที่เขาไม่ได้ถาม “แต่ก่อนมีพี่สาวมาด้วยกันยังพอช่วยกันเลือกของได้ เดี๋ยวนี้พี่ไม่อยู่แล้ว...”
“พี่สาวคุณกี้ที่เป็นหมอใช่ไหมครับ เขาทำงานที่โรงพยาบาลไหนครับ หรือว่าไปเรียนต่อแล้ว” เมืองแมนถามต่อ ไม่ให้ดูเงียบจนเกินไป
“พี่สาวกี้ไม่ได้ไปเรียนต่อหรอกค่ะ เธอ...อุ้ย คุณหมอเพลิงกัลป์ สวัสดีค่ะ ดีใจจังที่ได้เจอกัน” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆเมื่อรูมเมทของเมืองแมนเดินเข้ามาหาหลังจากเพลงจบลง
“สวัสดีครับคุณกี้ แปลกใจจังมาเจอกันที่นี่ มาเดินบ่อยหรอครับ”
“ถ้าว่างก็มาค่ะ คุณหมอเพลิงกัลป์ล่ะคะ ชอบมาเดินตลาดนัดหรอ”
“เรียกเพลิงเฉยๆก็ได้ครับคุณกี้” ชายหนุ่มตอบ ส่งยิ้มละลายใจให้หญิงสาว เมืองแมนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นนิสัยที่แก้ไม่ได้ไปแล้วเมื่อเจอผู้หญิงสวยน่ารัก “คุณกี้มากับใครครับ ซื้ออะไรมาบ้างครับเนี่ยเยอะเชียว”
เมืองแมนถอยลงไปเดินข้างหลังทั้งคู่อย่างตั้งใจ อดรู้สึกไม่ได้ว่าหญิงสาวดูอยากคุยกับรูมเมทของเขามากกว่าจนเห็นได้ชัด ส่วนเพลิงกัลป์ก็ตอบสนองได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน
“แล้วนี่กลับยังไงครับ เอารถมาหรือเปล่า” คุณหมอหนุ่มถามขึ้น
“กี้มาสามล้อค่ะ ที่บ้านไม่ให้ขับมอเตอร์ไซค์เพราะกลัวอุบัติเหตุ กี้เคยรถล้มครั้งนึงเกือบตายแน่ะค่ะ คุณแม่เลยไม่ให้ขับอีก จะไปไหนมาไหนต้องเรียกสามล้อเอา ไม่ก็คุณแม่ขับพาไปส่ง”
“คุณกี้ไม่หัดขับรถล่ะครับ”
“กี้ก็ว่าจะหัดอยู่เหมือนกันค่ะ คุณเพลิงแนะนำได้มั้ยคะว่าเริ่มขับยังไงดี”
“ผมเคยเห็นที่นี่มีโรงเรียนสอนขับรถอยู่นะครับ ลองหาดูน่าจะดีนะ” เพลิงกัลป์ตอบ เหลียวมองหารูมเมทเห็นเดินทอดน่องอยู่ข้างหลัง “แมน...กูว่าจะแวะไปส่งคุณกี้ที่บ้านก่อนค่อยกลับโรงพยาบาล โอเคหรือเปล่า”
“อืม” เมืองแมนรับคำในลำคอ ก้าวขึ้นไปนั่งข้างหลังรถ ให้หญิงสาวนั่งคู่กับเพลิงกัลป์ข้างหน้าแทน คนขับขมวดคิ้วแวบหนึ่งแล้วคลายออก สตาร์ทรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณหมอหนุ่มขับรถมาส่งหญิงสาวที่ร้านอาหารของเธอ กี้บอกว่าบ้านของเธออยู่ข้างหลังร้านอาหารนั้น ถ้าพวกเขาว่างวันไหนก็มาได้ เธอจะพาไปเยี่ยมคุณแม่ของเธอ เนื่องจากคุณแม่เริ่มมีปัญหาเจ็บหัวเข่าทั้งสองข้าง
“จริงๆพามาตรวจที่โรงพยาบาลจะมีเครื่องมือพร้อมกว่านะครับ”
“แม่กี้ไม่ชอบมาโรงพยาบาลน่ะค่ะ คนแก่ก็ขี้กลัวหมอกลัวพยาบาลอย่างนี้ล่ะ....ขอบคุณมากนะคะที่แวะมาส่ง ขอบคุณคุณหมอด้วยค่ะที่รำวงเป็นเพื่อนกี้ ไว้เจอกันที่ร้านนะคะ กี้จะลดให้พิเศษเหมือนเดิม” เธอก้าวลงจากรถแล้วโบกมือให้ เสียงใสๆที่ทำให้บรรยากาศในรถไม่อึมครึมหายไปแล้ว เหลือทิ้งเอาไว้แต่ความเงียบที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เบากับความขุ่นข้องของเขา
เพลิงกัลป์เหลือบมองกระจกมองหลัง เห็นคนที่นั่งเงียบมาตลอดทางกำลังมองวิวนอกกระจกรถนิ่งอยู่