บทที่ 15
::หลงกล::
**
อีกไม่กี่วันกรัณย์จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับจ้าน คนเป็นเพื่อนสนิทจึงเดินมาหาในห้องสมุดเพื่อดูตำราที่จะนำไปติวเพิ่มเติมให้ ช่วงนี้กรัณย์ขยันเป็นพิเศษหากเทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่เคยใส่ใจการเรียนสักครั้ง ชายหนุ่มถือหนังสือหลายเล่มไว้ในเต็มมือ แต่ก็ยังเดินไปตรงหมวดหนังสือคณิตศาสตร์แบบสรุปเนื้อหาและสังคมทั่วไปเพื่อดูอีกสองสามเล่ม
“ไอ้จ้าน!”
เสียงคุ้นหูทักทายเขาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปดูก็พบว่าเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของตน เขาจึงกล่าวทักทายกลับ ก่อนจะหันมาเลือกหนังสือตรงหน้าต่อ
“ทำอะไรอยู่วะ ธีสิสยังไม่เรียบร้อยอีกหรอ” ติณณ์เห็นจ้านถือหนังสือเต็มมือ จึงคิดไปว่าบางทีเจ้าเพื่อนคนนี้อาจเข้ามาในห้องสมุดด้วยสาเหตุเดียวกัน “ของกูแม่งไม่เข้าร่องเข้ารอยสักทีว่ะ เจอแต่ปัญหาร้อยแปดอย่าง หลายวันมานี้กูแทบไม่ได้นอน สงสัยต้องหาตัวช่วยแล้วมั้ง”
ตัวช่วยที่ว่าคงหมายถึงกลุ่มคนที่รับจ้างทำงานวิจัย จ้านคิดอย่างนั้นเพราะติณณ์เคยเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ ซ้ำยังบอกว่าถ้าเป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ เขาคงตัดสินใจทำ โดยเหตุผลหลักๆ อาจเกิดจากการที่ติณณ์ไม่อยากเรียนบริหารอยู่แล้ว แต่เพราะต้องเชื่อฟังคำสั่งพ่อจึงทำให้เจ้าตัวไม่มีทางเลือก
“ทำอะไรด้วยตัวเองไปเถอะน่า เวลามันสำเร็จมึงจะได้รู้สึกภูมิใจ... อีกอย่าง คนอย่างมึงถ้าตั้งใจทำอะไรก็ทำได้อยู่แล้วไม่ใช่ไง” จ้านยังเอ่ยปากปรามติณณ์เหมือนเคย แน่นอนว่ามันทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความหวังดี แต่จากการพูดไปด้วยสนใจหนังสือตรงหน้าไปด้วย กลับสร้างความไม่พอใจเล็กๆ จนก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นมา
“มึงหาหนังสือพวกนี้ไปทำไมวะ หรือจะรับจ้างสอนพิเศษ” ติณณ์พูดติดตลก
“จะเอาไปให้ไอ้รัณย์อ่าน อีกไม่ถึงอาทิตย์มันต้องสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว” คำตอบนั้นทำให้ติณณ์หน้าตึง ขบกรามกรอด ใจมันร้อนรุ่มเหมือนกำลังมอดไหม้ เขาพยายามแสดงสีหน้าเรียบเฉยเพื่อปกปิดสิ่งที่ตัวเองคิด สุดท้ายกลับไปไม่รอด
“มันอยากเรียนต่อจริงเหรอ ทำไมอยู่ๆ...” พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง จ้านก็หันขวับมาจ้องหน้าติณณ์อย่างรวดเร็ว
“คนเราจะคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างไม่ได้รึไง”
“เพราะเป็นไอ้รัณย์ต่างหากกูถึงสงสัย” น้ำเสียงเริ่มสูงขึ้นจากอารมณ์ที่ส่งผ่าน “ตั้งแต่รู้จักกันมามันเคยคิดจะหาความรู้ใส่หัวด้วยหรอ ที่มันเรียนจบม.ปลายมาได้ก็เพราะพวกเราคอยช่วยมันทั้งนั้น หรือมึงจะเถียงว่าไม่จริง”
“ที่นี่ห้องสมุด เงียบเสียงหน่อย” จ้านเอ็ดพร้อมแสดงแววตาเอาเรื่อง กำลังจะพาตัวเองออกจากความตึงเครียดที่ไม่ได้เป็นคนก่อ แต่กลับโดนอีกฝ่ายเดินมาดักหน้าไว้
“ทำไมเราต้องมีปากเสียงแล้วก็ต้องหมางเมินกันเพราะไอ้รัณย์ตลอดเลย กูพูดความจริงไม่ได้เลยใช่มั้ย ถามจริงเหอะ มึงจะปกป้องมันไปจนถึงเมื่อไหร่ อย่าลืมสิว่ามึงก็มีชีวิตของตัวเองเหมือนกัน จำได้รึเปล่าว่าในอนาคตมึงอยากเป็นทนายที่ประสบความสำเร็จ หรือต้องให้ไอ้รัณย์ฉุดลงไปกว่านี้ก่อนมึงถึงจะตาสว่างสักที” ติณณ์พยายามคุมเสียงพูดให้เบาที่สุด โดยหวังว่ามันคงดังพอที่จะสะท้อนบางอย่างให้คนตรงหน้าได้ตระหนักและถึงคิดสิ่งที่เขาพูดบ้าง สักนิดก็ยังดี
“มึงยังเห็นไอ้รัณย์เป็นเพื่อนอยู่มั้ย”
นับเป็นคำพูดที่ติณณ์ไม่คิดว่าจะได้ยิน แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืมว่าจ้านกับกรัณย์เป็นเพื่อนสนิทกันก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไป ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจากวัยเยาว์เป็นเรื่องน่าอิจฉาสำหรับเขามาตลอด อีกทั้งยังรู้ดีว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่อาจแทรกกลางได้ จะว่าไป คำถามของจ้านทำให้ติณณ์ฉุกคิดทั้งๆ ที่มีคำตอบในใจมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นมันคงถึงเวลาที่เขาจะพูดเรื่องในใจออกมาสักที
“กูจำได้ว่ามันเป็นเพื่อนที่ทำให้เรามีความทรงจำร่วมกัน แต่ทุกวันนี้... คนที่ทำให้กูมองมันเปลี่ยนไปก็คือมึง” ดวงตายังคงจับจ้อง แม้ในใจสั่นไหวก็ไม่อาจทำให้เขากระพริบตา “กูไม่อยากให้มันมาทำลายมึงถึงได้คอยเตือนอยู่แบบนี้ แต่แล้วยังไง สุดท้ายมึงก็เห็นว่ากูเป็นคนใจร้ายอย่างนั้นใช่มั้ย”
จ้านยืนฟังโดยไม่มีคำพูดใดออกมาจากปาก
“กูจะบอกให้นะ… คนที่ไม่เห็นไอ้รัณย์เป็นเพื่อนแล้วไม่ใช่กู แต่เป็นมึงต่างหาก!”
ติณณ์รับรู้มานานแล้วว่าในใจจ้านคิดเกินเลยกับรัณย์มาตลอด เริ่มจากการปกป้อง ตามใจทุกอย่าง แม้ถูกทำให้ผิดหวังเสียใจก็ยังให้อภัยเหมือนคนโง่ จ้านทำแบบนี้จนกลายเป็นความเคยชิน และเมื่อมารู้ตัวอีกทีก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกนั้นได้แล้ว ถึงจ้านจะหลงคิดว่าตัวเองปกปิดมิดชิด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
จ้านอยู่ในสายตาติณณ์เสมอมา และมันไม่ยากเลยที่จะมองการกระทำของเพื่อนสนิทคนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในเมื่อเขาเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้เช่นกัน...
“ไหนๆ ก็พูดแล้ว กูขอเตือนอะไรมึงไว้อย่าง” ติณณ์ตัดสินใจพูดหลังจากยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ “รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ไอ้รัณย์กลับไปหาลูเซียนอีกแล้ว ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลดตัวไปเป็นพนักงานที่นั่น แต่กูก็มั่นใจว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ถ้ามึงยังเล่นตามน้ำไปกับไอ้รัณย์อยู่อย่างนี้ มึงก็คงเป็นได้แค่เพื่อนที่เคยแก้ปัญหาให้มัน หรือไม่แน่บางทีมึงอาจต้องทำใจที่จะเห็นมันไปได้กับคนอื่นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด”
ใช้ความกล้าพูดออกไปโดยไม่กลัวผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ติณณ์เดาปฏิกิริยาตอบสนองของจ้านไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธเสียงแข็ง หรือยืนนิ่งแล้วทำเฉย
จนกระทั่ง...
“กลับไปทำงานวิจัยของมึงให้เสร็จเถอะ” ว่าจบก็กำลังจะเดินจากไป การกระทำเย็นชานั้นทำให้ติณณ์โกรธจนลมออกหู ท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไง จะทำเหมือนกับคำพูดเขาเป็นอากาศ ไร้ความหมาย หรือจะปล่อยมันผ่านไปโดยไม่ใส่ใจอย่างนั้นใช่มั้ย
ได้! งั้นก็ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงว่าจะทำให้ใครเสียใจกันแล้ว
“ไอ้รัณย์บอกมึงหรือยังว่ามันกำลังจะไปอยู่กับลูเซียน”
จ้านชะงักฝีเท้า แสดงสีหน้าคร่ำเคร่งอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีทาง”
“เมื่อคืนกูแอบฟังตอนที่สองคนนั้นคุยกัน”
ติณณ์นึกย้อนถึงตอนไปดื่มเหล้าที่ไนต์คลับเมื่อคืน บังเอิญเห็นรัณย์เดินไปทางห้องส่วนตัวของลูเซียน เขาจึงเดินตามไปทั้งๆ ที่ยังมีอาการอึนๆ เพราะฤทธิ์เหล้าเล็กน้อย แต่ถึงจะมีสติไม่เต็มร้อย เขาก็มั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดแน่
ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิทที่เรียนคณะนิติศาสตร์พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย ใบหน้าเรียบเนียนเงยขึ้นตามความสูงของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายให้ได้คิด
“ตราบใดที่พวกเขายังเจอกันอยู่แบบนี้... ความหวังของมึงก็ไม่มีทางเป็นจริงหรอก”
จ้านปล่อยให้ติณณ์พูดจนจบ และยังมองตามหลังเจ้าของเสียงจนเดินลับออกไป หลังจากถูกทิ้งให้ยืนอยู่กับกองหนังสือในมือ ชายหนุ่มเม้มปากหนัก พ่นลมหายใจออกอย่างกระฟัดกระเฟียด ดึงเนกไทที่รัดอยู่ให้คลายออกเล็กน้อยเพื่อคลายความโมโห ก่อนจะนำหนังสือที่แบกไว้ไปวางลงบนชั้นของหนังสือที่อ่านแล้ว เขาไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรต่อ กำลังจะเดินออกจากห้องสมุดด้วยความผิดหวัง แต่พอมาคิดดูอีกที ความตั้งใจของรัณย์ในหลายวันมานี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ เลยพลอยทำให้เขาตัดใจทิ้งไม่ลง จนต้องเดินกลับมาแล้วแบกหนังสือทั้งหมดไปยังเคาน์เตอร์เพื่อทำการยืม
**
ผมเอาเรื่องที่ลูเซียนเสนอไปคิดทบทวน ถ้าให้บอกตามตรงผมคงไม่ปฏิเสธว่ากำลังลังเลใจ เพราะนอกจากจ้านแล้วผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น อีวานยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดเรื่องผ่านมาหลายอาทิตย์ ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเลย ผมทั้งเกลียดทั้งกลัวเขา อยากพาตัวเองหนีไปให้พ้นๆ ถึงขนาดยอมไปขอความช่วยเหลือจากลูเซียน ผู้ที่เป็นตัวต้นเหตุให้ผมต้องเจอกับฝรั่งตาสีฟ้านั่น ผมยอมเสี่ยงเพื่อไม่ให้จ้านต้องเดือนร้อนด้วย และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าทางเลือกคือการเข้าไปอยู่ที่บ้านของลูเซียนชั่วคราว ผมก็ควรหาเหตุผลดีดีที่ฟังขึ้นไปพูดกับจ้านเพื่อให้เขาเห็นด้วย
ระหว่างกำลังจัดเรียงขวดเหล้าที่บาร์แทนยักษ์ที่ป่วยกะทันหัน ผมก็นึกไปถึงเรื่องที่ลูเซียนพูดไว้
‘ในฐานะที่เป็นคู่ขาของฉัน... คิดว่าตัวเองควรทำอะไรล่ะ’พอจับใจความได้ผมก็ตกใจสุดขีด ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของลูเซียน
‘ไหนคุณบอกว่าไม่มีทางนอนกับผมไง’ แววตาฉายความกังวล แต่ตอนนั้นเขากลับขมวดคิ้วใส่ผม
‘คิดไปถึงไหน’‘แล้วคุณพูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงล่ะครับ’‘คู่ขาของคนทั่วไปจะปฏิบัติต่อกันยังไงก็ช่าง แต่ระหว่างฉันกับนาย’ ลูเซียนจ้องผมเขม็ง ก่อนจะเอ่ยประโยคสั้นๆ ออกมาในขณะที่ผมตั้งใจฟังเต็มที่
‘ฉันให้ได้แค่คนอาศัย’ตอนแรกก็พยักหน้าเข้าใจ แต่พอเวลาผ่านไปอีกหน่อยผมก็เริ่มร้อนที่ใบหน้าจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ขายหน้าชะมัด!
“เฮ้!” เสียงดังจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบหันไปมอง
ให้ตายเถอะ เป็นไทด์นั่นเอง... จะมีสักวันที่เขาไม่ทำเสียงดุใส่ผมบ้างมั้ยนะ
“หน้าที่นายรึไง”
“ยักษ์ไม่สบาย ผมเลยทำงานแทนเขา”
“ใครสั่ง”
“ผมทำเองครับ”
จู่ๆ ไทด์ก็หรี่ตามองผมอย่างสงสัย ยืนจดจ้องโดยไม่พูดอะไรต่อ ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขาในหลายวันมานี้เลย ทำไมจะต้องคอยใช้สายตาแบบนั้นมองผมด้วย มีเรื่องอะไรในใจทำไม่ไม่พูดออกมาตรงๆ เอาแต่ทำหน้ามุ่ยเหมือนไม่มีอะไรได้ดั่งใจ แล้วก็พลอยขุ่นเคืองใส่ผมอย่างนี้มันใช่เรื่องหรอ
“จะบอกให้ว่าทำไมการต่อยนายถึงไม่ทำให้ฉันเกลียดขี้หน้านายน้อยลง”
“ฮะ?”
“ตามมา”
ผมยังจับใจความประโยคแรกไม่ได้ทั้งหมด เจ้าของคำพูดก็เดินนำไปซะแล้ว มันเรื่องอะไรวะ ผมยกมือเกาหัวตัวเองก่อนจะตัดสินใจผละจากงานตรงหน้าเพื่อเดินตามไทด์ไป
ห้องน้ำ?
ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าทางเข้าทั้งๆ ที่ไทด์เดินเข้าไปเป็นนาทีแล้ว ถ้าให้เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ผมไม่ควรเข้าไปเด็ดขาด อยู่ๆ เขาก็จะบอกเรื่องที่ว่าทำไมถึงเกลียดผมอะไรสักอย่าง ฟังยังไงก็ไม่ปกติ หรือเพิ่งคิดได้ว่าต้องเอาคืน มันอาจเป็นผลจากที่ผมไปท้าให้เขาต่อยหน้าก็ได้ แย่ล่ะสิ รูปร่างสูงใหญ่ขนาดนั้นคว่ำผมได้สบายๆ เลยนะ
“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ปลอบใจตัวเองเสร็จก็หายใจเข้าให้เต็มปอด
จนเมื่อเดินตามไทด์เข้าไปในห้องน้ำ สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเขากำลังปลดเข็มขัดกางเกง...
ปลดทำไมอ่ะ?
ผมถอยหลังครูดไปติดกำแพงโดยอัตโนมัติ ในใจคิดว่ารอก่อน เขาคงรู้ตัวแหละว่ากำลังทำอะไรอยู่ จากนั้นก็มองรอบๆ สลับกับดูไทด์ปลดเข็มขัดออกจนลามไปถึงซิปกางเกง มันชัวร์ตรงที่ว่าในห้องน้ำไม่มีใครนอกจากเรา แต่ไม่ชัวร์คือเจ้าคนตรงหน้าผมนี่
ตั้งใจจะทำของเขาวะเนี่ย!
“ดูให้ดี” ไทด์พูดแค่นั้น ก็จัดการแหวกกางเกงให้เห็นเชิงกรานที่มีรอยอะไรบางอย่าง
ผมเอียงคอสงสัย รู้ว่าตัวเองเห็นอะไรแต่ยังไม่ชัดพอ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกนิด และอีกนิด จนสุดท้ายผมต้องก้มมองดูอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่ามันคือ ‘แผลเป็น’ ลักษณะนูนเป็นทางยาวตรงเชิงกรานไปจนถึงสะโพก
“นี่มัน...”
“ฝีมือนาย”
ผมอ้าปากค้างจนต้องยกมือขึ้นมาปิด แผลนั่นดูท่าจะเคยได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสมาก่อน ในใจอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงแต่กลับถามไม่ได้ ในเมื่อเขาบอกเองว่าผมเป็นคนทำก็แปลว่าผมต้องรู้เรื่องเหตุการณ์นั้นดี
ไม่อยากเชื่อว่าผมจะทำร้ายคนอื่นจนมีแผลเป็นติดตัวแบบนี้ การชดใช้เพียงแค่ชกกลับมันน้อยเกินไปจริงๆ ถ้าเทียบกับแผลเป็นที่ต้องติดตัวคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิต
“ผมขอโทษ” คงพูดได้เพียงเท่านี้ ผมคิดคำอื่นไม่ออกจริงๆ
“ถ้าให้ฉันเอาคืน นายจะยินดีมั้ยล่ะ”
ไทด์ท้าทายผมด้วยสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังยิ้มเยาะเหมือนทีเล่นทีจริง ผมเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดจริงมั้ย จนเมื่อเขาหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา หัวใจผมเต้นแรงระส่ำระส่าย นึกไปว่าถ้าจิตใจเขาสามารถเยียวยาด้วยการเห็นความเจ็บปวดของผมได้ มันก็สมควรทำ
ไม่รอช้า ผมดึงเสื้อเชิ้ตออกจากกางเกงขายาว ก้มปลดตะขอพร้อมถลกเสื้อขึ้น
“ถ้ามันจะพอชดใช้ให้คุณได้ ก็ทำเถอะครับ” หลังจากพูดจบ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไทด์ยิ้มกว้างขนาดนั้น เสียงเดินย่ำกับพื้นกระเบื้องทำให้รู้ว่าเขากำลังเดินเข้ามาใกล้ ผมยืนตัวแข็ง ริมฝีปากผมสั่นระริก กระทั่งอีกฝ่ายมายืนตรงหน้าเพียงหนึ่งไม้บรรทัด ผมก็ค่อยๆ หลับตาลงในที่สุด
“แผลนี่ ฉันได้มาตอนรถมอเตอร์ไซค์ล้มเมื่อสองปีก่อน...”
“ครับ ผมเป็นต้นเหตุเอง” ทำเหมือนเป็นความรับผิดชอบ แต่ไม่อาจคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นได้
“สองปี... ก่อนที่ฉันจะรู้จักนาย”
เอ๊ะ?
“อะไรนะครับ” ผมลืมตาขึ้นมาถามอย่างฉงนใจ ทว่าคนตัวสูงกว่ากลับดันผมติดกำแพงก่อนจะเอามือขึ้นมาคั่นผมด้วยการเท้ากำแพงไว้ทั้งสองข้าง
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สถานการณ์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ อยากทักท้วงเรื่องเมื่อสองปีก่อนให้หายข้องใจ แต่เหมือนผมถูกสะกดไว้ด้วยแววตาที่ฉายแววจริงจังของคนตรงหน้า
“นายเป็นใครกันแน่”
เป็นคำถามที่ทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เพิ่งปล่อยไก่ตัวใหญ่ไป ให้ตายเถอะ อยากขย้ำหัวตัวเองแล้วดึงแรงๆ จริงๆ เลย คิดบ้าอะไรถึงได้หลวมตัวเชื่ออะไรง่ายๆ บื้อซะไม่มี
“คุณหลอกผม?” ถึงจะมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังอยากถาม
“นายมาเป็นพนักงานในไนต์คลับแทนที่จะไปใช้ชีวิตหรูหรา ใส่เสื้อผ้าเกรดต่ำ ไม่ใส่นาฬิกาแบรนด์เนม คำพูดคำจาเปลี่ยนไปยังกับคนละคน แล้วยังจะกินกุ้งเข้าไปเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองแพ้นั่นอีก... ฉันเลยคิดเล่นๆ ว่าอาจมีวิญญาณคนอื่นมาเข้าสิงนาย แต่บังเอิญว่าฉันไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ไร้สาระนั่น” ไทด์ยังยืนท่าเดิม ไม่ได้รู้สึกตัวเลยหรอว่ากำลังทำให้ผมอึดอัด โดนจ้องหน้าใกล้กันแค่นี้ แถมหลังยังติดกำแพง จะมุดออกไปก็หาจังหวะไม่ได้ เลยต้องยืนฟังอีกฝ่ายพูดต่อไป “พอเห็นวันก่อนนายไปหาหมอเกี่ยวกับสมอง ฉันก็เลยคิดไปว่าสมองนายอาจกระทบกระเทือนจนทำให้บุคลิกเปลี่ยนไป แต่เมื่อกี้นายดันเชื่อเรื่องแผลเป็นที่ฉันกุขึ้นมาด้วย แปลว่านายจำอะไรไม่ได้... เพราะอะไรล่ะ? ความจำเสื่อมงั้นหรอ?”
การตีความของเขาเล่นซะผมอึ้งไปเลย
“คุณน่าจะเอาเรื่องนี้ไปแต่งนิยายขายนะครับ” เห็นจังหวะสบโอกาส ผมรีบมุดออกไปจากการกักตัวของคนตัวสูงกว่า แต่รอดไปได้ไม่ถึงหน้าประตูทางออกน้ำห้อง ผมก็โดนคว้าหมับที่แขนซะก่อน
“ไม่ต้องเดินหนี!” ไทด์จับต้นแขนผมไว้แน่น “นิยายงั้นหรอ? ก็ดี ฉันจะเอาไปบอกให้คนอื่นฟังด้วย ดูซิว่ามันจะบันเทิงแค่ไหน”
“อย่านะครับ!”
“ก็บอกมาตรงๆ สิ”
ถูกคาดคั้นจนได้ วันนี้คำแก้ตัวไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ยิ่งหาทางดิ้นความจริงยิ่งรัดตัวเอง ไทด์เห็นผมที่โรงพยาบาลวันนั้น ถึงได้ประติดประต่อเรื่องให้เข้ากันก่อนจะมาพิสูจน์ด้วยการลองเชิงผม สุดท้ายก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
เอาเถอะ! ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว
“คุณพูดถูก... ผมสูญเสียความทรงจำ”TBC
ไม่ได้มาตามนัดอีกแล้ว รู้สึกผิดจัง
หลังจากนี้เลยกะว่าจะไม่ระบุวันและเวลาลงไปสักระยะ แฮะๆ
ยังไงก็ขอบคุณที่เฝ้าคิดตามกันน๊า รู้ว่ายังมีคนตามอ่านอยู่ก็ยังพอมีแรงฮึดที่จะแต่งต่อไป
เนื้อเรื่องหลังจากนี้ยังมีอะไรพีคๆ อีกเยอะ รอลุ้นไปด้วยกันนะจ๊ะ