จุมพลกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำคุกกี้ที่แสนยุ่งยาก เปิดกระดาษที่ปริ้นในอินเตอร์เน็ตไปมาหลายรอบ แล้วก็เริ่มใช้ปากกาขีดขั้นตอนวิธีการทำ ผมศึกษามาเป็นอย่างดีครับ ร่อนแป้งใส่ในโถผสม ใส่แป้ง เนย นม ตี ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เนยที่ใช้ต้องแช่เย็นมาก่อน
ตีแป้งให้เข้ากัน ใส่อัลมอนด์อบลงไป แล้วก็ปั้นเป็นแท่ง เอาไปแช่เย็น ก่อนเนยละลายต้องปั้นให้เสร็จ แช่เย็นหนึ่งคืน
พอจะเอามาอบก็ให้มันคลายความเย็นก่อน แล้วค่อยอบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ก่อน แล้วก็เอาไปอบ อบประมาณ 8-10 นาที
เสร็จแล้วเอาออกจากเตามาพักให้เย็น เพียงเท่านี้ก็................จะได้คุกกี้แล้ว นี่เอง.........
จุมพลอ่านขั้นตอนการทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน และลงมือทำเพียงแค่...........เอาแป้งที่แช่เย็นมาวางให้คลายความเย็นแล้วอบเท่านั้นทุกอย่างถูกเตรียมมาเรียบร้อยด้วยฝีมือของลูกน้องที่ให้งบประมาณไปจัดซื้อจัดหามาให้ ตอนแรกไม่คิดจะทำ แต่ถ้ามีทุกอย่างให้ขนาดนี้ ก็เลยลองทำดู หน้าที่ที่ต้องทำมีเพียงแค่เอาไปอบ แล้วก็เอาออกมากินได้
ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าทำคุกกี้ตรงไหน แต่จุมพลไม่ใส่ใจ สิ่งสำคัญ คือการได้คุกกี้อบใหม่กินเอง ส่วนขั้นตอนไม่ใช่สาระสำคัญ
“เยี่ยมจริง ๆ”
ชื่นชมตัวเอง และจัดการเสียบปลั๊กเรียบร้อย วางแป้งที่คลายความเย็นลงไปในเตาอบ และตั้งไฟตามที่อ่านมา
“ทำอะไร”
ทำอะไรเหรอ คุณไอศูรย์คุณมันไม่เข้าใจหรอก ความสุขจากการได้ทำขนมแบบโฮมเมดมันเป็นยังไง คนอย่างคุณก็ทำได้แค่ซื้อกินสินะ แอบเย้ยหยันอีกฝ่ายในใจ และจุมพลก็มองไปที่คนที่กำลังทำงาน เปิดแฟ้มเอกสารไปมา และก็ดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นพัก ๆ
“ทำคุกกี้ที่อร่อยที่สุดในโลก”
ดีนะ ทำคุกกี้ที่อร่อยที่สุดในโลก โดยไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย นอกจากเตาอบที่หิ้วมาจากบริษัทกับแป้งที่ทำสำเร็จแล้ว
“ไม่ให้เขาอบมาให้เลยล่ะ อบเองจะกินได้หรือเปล่านั่น”
อย่าดูถูกฝีมือกันสิวะ เนี่ยแหละสุดยอดแล้ว การอบไม่ใช่ว่าใครจะอบได้นะ มันต้องได้รับการใส่ใจอย่างท่วมท้น จ้องมองไปที่ฝาเตาอบตลอดเวลา เพื่อมองดูคุกกี้ที่กำลังเป็นสีสวยงาม ของแค่นี้ อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะเฮ้ย คุณไอศูรย์
จุมพลผู้ว่างงาน ปกติทุกวันนั่งเล่นเกมส์แต่วันนี้ตั้งแต่กลับมาถึงก็ง่วนอยู่ในครัว เพราะได้ของเล่นใหม่
ตอนแรกไม่คิดจะทำ แต่พอคิดไปคิดมา มันก็น่าลอง คุณไอศูรย์ไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ แค่บอกว่าวันนี้ผมจะทำคุกกี้นะ ก็ให้กำลังใจมาอย่างท่วมท้นด้วยการบอกว่า
“ถังขยะยังใส่ขยะได้อีกเยอะ”
ประชดกันนี่หว่า เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นว่าผมทำได้ครับ และทำได้ดีและโคตรอร่อยเลยด้วย แล้วจะอึ้ง ดูถูกกันดีนัก
คุกกี้ชุดแรก สุกเรียบร้อย และจุมพลก็ใช้ตะเกียบคีบออกมาจากเตา ใส่เอาไว้ในจานข้าว และมองผลงานของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ นี่ไง เสร็จแล้ว ใครว่าผมทำไม่ได้ ดูซะก่อน ดูซะคุณไอศูรย์ แล้วจะอึ้ง
“คุกกี้อัลมอนด์ โคตรหน้าตาดีเลย ยิ่งกว่าที่ทำขายซะอีก”
พูดออกมาลอย ๆ เสียงดัง หวังให้คนที่ทำงานอยู่ได้ยิน แต่ก็เท่านั้นเพราะคุณไอศูรย์ไม่สนใจจะฟังเลย
แม่งอย่างเบื่อ แบบนี้อีกแล้ว ไม่เคยสนใจกันบ้างเลย ต้องให้หาวิธีให้หันมาสนใจตลอด
“คุกกี้อัลมอนด์”
พูดให้ดังเข้าไปอีก และจุมพลก็ถือจานใส่คุกกี้ออกมาด้วย เดินไปหาจนถึงโต๊ะทำงาน และก็วางจานให้คนที่กำลังทำงานหันมาสนใจมอง
“ดูซะก่อน สุดยอดมั้ยล่ะครับ ไม่ต้องทิ้งถังขยะหรอกน่าระดับนี้แล้ว”
แล้วไง
“อืม”
แค่เนี้ยเนี่ยนะ อย่างน้อยก็ช่วยวิจารณ์กันหน่อยสิ ไม่ใช่เมินเฉยกันแบบนี้
“คุณไอศูรย์”
เรียก และคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงบดุล ก็คลิกเมาส์เลื่อนดูว่าตรงกับเอกสารที่แผนกบัญชีส่งมาให้หรือไม่
“คุณไอศูรย์”
เรียกอีกครั้ง และคนที่ไม่สนใจก็เพียงแค่ขานรับแต่ไม่ได้พูดอะไร
“มีอะไรก็พูดมาเลย”
พูดมาเลยอะไรล่ะ ก็หันมาสนใจกันบ้างสิวะ นี่มันคือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเลยนะเฮ้ย คุณคงไม่เชื่อล่ะสิ ว่าผมจะทำของแบบนี้ได้ นอกจากเล่นเกมส์แล้ว ผมทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิดเยอะแยะ เรื่องทำคุกกี้นี่ก็เหมือนกัน ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ดีขนาดนี้ แต่ผมก็ทำของผมได้ เห็นมั้ยว่ามันน่าภูมิใจขนาดไหน
“ผมอนุญาตให้คุณชิมได้ตามใจชอบ”
ผมจำไม่ได้ว่าเคยขอชิมนะคุณจุมพล แล้วก็ไม่ได้ว่างจะชิมด้วย
“ไว้ก่อน”
ห๊ะ ไว้ก่อนเหรอ ไว้ก่อนเหรอวะ ไว้ก่อนเนี่ยนะ
“คุณไอศูรย์”
คราวนี้เสียงสูง และขมวดคิ้วมุ่น ยื่นจานใส่คุกกี้ไปให้คนที่กำลังยุ่งและคุณไอศูรย์ก็เงยหน้าขึ้นมอง และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ตั้งใจจะฆ่ากันหรือไง พรุ่งนี้ผมมีประชุมนะ อยากให้ผมเข้าโรงพยาบาลคืนนี้เพราะอาหารเป็นพิษหรือไง”
เฮ้ยยยยยย นี่คุณยังไม่รู้ถึงความอร่อยของมันเลยนะเว้ยเฮ้ย พูดซะขนาดนี้ ยิ่งยอมไม่ได้
“ชิมซะ”
กัดฟันพูด และคุณไอศูรย์ก็วางแฟ้มเอกสารลง
“ไม่”
ทำไมถึงไม่ล่ะเว้ยยยยยยยยยย
“ชิม”
ก็บอกว่าไม่ไงล่ะ
“ผมไม่ชิม”
โมโหว่ะ โมโห ต้องชิมสิ ต้องกิน ชิ้นเดียวก็ยังดี ต้องกินเดี๋ยวนี้ หงุดหงิดโว้ย หงุดหงิด จุมพลหยิบคุกกี้มาถือเอาไว้ และส่งยิ้มเหี้ยมให้คนที่ทำหน้าดุใส่
“คุณต้องลอง”
ที่จริงแค่ชิมซะมันก็จบ แต่คุณไอศูรย์ที่กำลังเบื่อกับการที่ต้องอ่านงบดุลจนปวดตา กำลังคิดว่าเล่นอะไรบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้กับจุมพลสนุกกว่า คลายเครียด ด้วยการแแกล้งทำเป็นเครียด และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อย ที่ไม่ยอมชิมคุกกี้ที่เจ้าตัวลงทุนอบด้วยตัวเอง รู้ว่ากินได้ และอาจรสชาติดีซะด้วย แต่ถ้าชิมง่าย ๆ มันก็ไม่สนุก อยากรู้ว่าจุมพลจะหาวิธีอะไรมาป่วน
และทุกสิ่งทุกอย่างที่จุมพลทำ มันทั้งขำ ทั้งตลก แล้วก็.....น่ารักดี
ทำให้ความเครียดตลอดทั้งวันคลายลงได้ เพียงแค่เห็นสีหน้าที่มุ่งมั่นจริงจัง แม้จะทำแค่อบคุกกี้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าจุมพลได้ทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่วัน ๆ กลับมาแล้วกินข้าวกันเสร็จ ก็ต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเองไป และนี่ก็เป็นการได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง แม้จะเป็นการใช้เวลาในแบบที่เรียกว่าแกล้งกันก็เถอะ แต่คุณไอศูรย์คิดว่า ชีวิตมีสีสันขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน ตั้งแต่มีจุมพลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
“ทำไมคุณถึงไม่ชิมล่ะ”
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่าอยากแกล้งคุณหรอกนะ
“แล้วทำไมผมต้องชิม”
พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่อง น่าหงุดหงิดจริงโว้ยยยยยยย จุมพลหยิบคุกกี้มาถือเอาไว้ และพยายามจะยัดเยียดใส่ปากให้คนที่ยืนยันคำเดิมว่าไม่กิน
“ไม่”
ไม่....ได้ยังไงล่ะ อย่ามาปฏิเสธผมนะ
“อย่าให้ผมโหด หรือต้องใช้วิธีการที่ผมไม่อยากใช้”
แล้วมันคือวิธีการไหนล่ะคุณจุมพล
“ผมจะทำงานแล้ว”
คุณไอศูรย์หมุนเก้าอี้หันไปอีกทางเรียบร้อย และจุมพลที่รู้สึกว่าโดนปั่นหัว ก็กำลังหงุดหงิดถึงขีดสุด ผมเห็นว่าคุณแอบยิ้มด้วย ผมเห็นอยู่ชัด ๆ
“คุณไอศูรย์”
เรียกให้อีกฝ่ายหันมาอีกครั้ง แต่คุณไอศูรย์ก็ไม่ยอมหัน จุมพลเลยใช้วิธีการดึงไหล่คนที่ไม่สนใจให้หันกลับมา
“กินคุกกี้ซะ”
พูดจาบ้า ๆ บอ ๆ และจุมพลก็หยิบคุกกี้ใส่ปากหนึ่งชิ้น ไม่ได้กินเข้าไป แต่คาบเอาไว้ มือทั้งสองประกบฝ่ามือเข้ากับมือของคุณไอศูรย์ และกำเอาไว้แน่น งอเข่าและขึ้นมาเกยอยู่บนเก้าอี้ตรงหว่างขาของคนที่กำลังงง ว่าจุมพลคิดจะทำอะไร
“อินอ๊ะ เอี๋ยวอิ๊”
อะไรของคุณ ไม่ใช่แค่พูดไม่รู้เรื่อง แต่อีกฝ่ายยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และคาบคุกกี้มาให้จนถึงปากของคนที่หันหน้าหนีพร้อมกับกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
“อะไรของคุณ นี่ต้องลงทุนทำขนาดนี้เลยเหรอ”
ตลกก็ตลก ขำก็ขำ แต่สีหน้าของคนที่พยายามทำบางอย่างก็ดูจริงจัง แกล้งทำเป็นดิ้นรน และพยายามจะผลักมือของจุมพลที่กำฝ่ามือเอาไว้แน่น และก็เห็นว่าจุมพลไม่ยอมปล่อย นี่จริงจังมากเลยนะ จริงจังมาก
“ถ้าผมไม่กินล่ะ”
ไม่กิน ก็ต้องทำแบบนี้แหละวะ จุมพลโน้มใบหน้าลงมาหา และพยายามจะป้อนคุกกี้ให้ถึงปากของคนที่หันหน้าหนีไม่ยอมกิน
“เฮ้ยยยยยยยยย ฮ่า ฮ่า ฮ่า จุ้มเล่นอะไร พอแล้ว”
พออะไร ก็กินซะสิวะ อย่ามาทำตลก นี่ไม่ตลกด้วยเลยนะ
“อินนนนน”
บังคับ และขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าจริงจังมาก จนคุณไอศูรย์ต้องยอมหันมา
“ไม่”
ยังจะไม่อีก
“อินนนนนนนนน”
ไม่ใช่แค่พูด แต่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และคราวนี้คนที่เบี่ยงหน้าหลบก็ไม่ได้หันหนีไปไหน รอยยิ้มน้อย ๆ จุดขึ้นที่มุมปาก แต่ดวงตาคม ๆ กลับจ้องนิ่งไปที่ดวงตาของจุมพลด้วยความรู้สึกหลากหลาย คุณเล่นอะไรผมไม่รู้นะ แต่ผมอยากจะเล่นกับคุณด้วย ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าผมใจร้ายเกินไป ยื่นหน้าเข้าไปกัดคุกกี้หนึ่งคำที่ปากของจุมพล และก็ถอยใบหน้าออกมาห่าง ๆ
เคี้ยวและยังแกล้งยิ้มใส่ตาของคนที่ขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ค่อยรู้รส ไหนลองอีกที”
ได้
ปล่อยมือจากมือของคุณไอศูรย์และจุมพลก็เตรียมลุกขึ้นยืนหลังจากที่คร่อมทับอีกฝ่ายอยู่นาน ตั้งใจจะใช้มือดันคุกกี้เข้าไปในปากของตัวเอง และให้คุณไอศูรย์ลองชิมชิ้นใหม่ที่อยู่ในจาน แต่ก็เหมือนมันจะไม่ทันใจอีกฝ่ายซักเท่าไหร่ เพราะคุณไอศูรย์ยื่นหน้าเข้ามาหา และกัดคุกกี้ที่เหลืออีกนิดจากปากของจุมพล
...............
แค่ปากโดนกันนิดเดียวมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอก ทำกันมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว ที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันก็แค่การอยากเอาชนะกันเท่านั้น
“ยังไม่ค่อยรู้รสเลยนะ”
ยังจะไม่รู้รสอีกเหรอวะ
“ผมจะลองชิมอีกชิ้นก็ได้ แต่ผมไม่ชอบกินอะไรพวกนี้ ถ้าผมกินแค่ครึ่งชิ้นก็คงได้ แต่ที่เหลือคุณต้องเป็นคนจัดการ”
เออได้ ไม่ใช่ปัญหาหรอก
“มาดิ หักแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้”
ไม่ได้หรอก มันต้องแบ่งกันด้วยวิธีนี้ คุณไอศูรย์หยิบคุกกี้อีกหนึ่งชิ้นใส่ปากแต่ไม่ได้กินเข้าไปทั้งชิ้น เหลือเอาไว้อีกครึ่งชิ้นและคาบเอาไว้
ทำอะไรวะ
จุมพลมองหน้าของคนที่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบที่ตัวเองทำด้วยความงง และคุณไอศูรย์ก็ยักคิ้วให้ แบบนี้แม่งยั่วโมโหกันนี่หว่า
“อ่ะ”
อะไรล่ะ เออ มา อยากจะทำแบบนี้ก็ได้ อย่าคิดว่าจะยอมถอยง่าย ๆ จุมพลยื่นหน้าเข้ามาหา และกัดคุกกี้อีกครึ่งชิ้นที่ตกลงกันว่าจะยอมกินที่เหลือก็ได้ และเมื่อกำลังจะผละใบหน้าออกห่างกลับถอยออกไม่ได้เพราะถูกรั้งต้นคอเอาไว้ ริมฝีปากแนบสนิทกับริมฝีปากร้อน ๆ คู่นั้น และร่างกายก็โถมลงมาหาคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมดทั้งตัวเพราะโดนรั้งด้วยอ้อมแขนของคุณไอศูรย์
ต้องใช้มือยันแผ่นอกของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปทั้งตัวแต่ยิ่งขืนตัวเอาไว้ ยิ่งเสียหลัก เพราะไม่ใช่แค่ที่ต้นคอ แต่ยังรวมถึงเอวที่ถูกอีกฝ่ายดึงให้ลงไปหา ริมฝีปากแตะกัน และไม่ใช่แค่แตะ แต่กำลังบดเบียดคลึงเคล้าเข้าหากัน ไม่ได้อยากจะขัดขืน เพราะไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าจะแสดงให้อีกฝ่ายได้รู้บ้างว่าแค่เรื่องจูบก็ไม่ได้อ่อนหัดไม่เป็นงาน สุดท้ายจากศึกบังคับกินคุกกี้
กลายเป็นศึกแข่งกันแสดงความสามารถว่าใครจูบเก่งกว่ากัน คลอเคลียริมฝีปากเข้าหากันแบบนั้นอยู่นาน และสุดท้าย เมื่อได้ชิมรสชาติของกันและกันจนพอใจ คุณไอศูรย์ก็ยอมถอนริมฝีปากออก ปล่อยมือและยอมให้จุมพลเป็นอิสระ
จุมพลยันตัวลุกขึ้น และถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ยกหลังมือขึ้นเช็ดถูที่ริมฝีปากของตัวเอง และยังรู้สึกคล้ายกำลังหอบหายใจ เพราะก่อนหน้านี้แทบขาดอากาศหายใจ
“ใช้ได้เลยนะ”
ใช้ได้อะไร หมายถึง ที่จูบกันนี่เหรอ ของมันแน่อยู่แล้ว ผมจะบอกว่านี่มันแค่เบสิคพื้นฐานเท่านั้น
“แค่ดูดปากกันมันเรื่องเล็ก ๆ”
คุณไอศูรย์กำลังอมยิ้มบาง ๆ และก็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างให้จุมพลหงุดหงิดโมโหมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ผมหมายถึงคุกกี้ ไม่ใช่ปากคุณ”
อ่ะ
................ อืมมมมมมมมมมมมม เหรอออออครับ คุณไอศูรย์
“ผมก็หมายถึงคุกกี้ไง”
เสียงสูงขึ้นมาทันที และรู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ ที่โดนปั่นหัว
“ใช้ได้เลยนะ”
“คุกกี้ที่ผมทำมันก็ต้องรสชาติใช้ได้อยู่แล้วล่ะ ผมอุตส่าห์ตั้งใจขนาดนี้”
ตอบกลับอีกฝ่ายที่กำลังพูดไปขมวดคิ้วไป และหยิบจานใส่คุกกี้เพื่อจะเดินเข้าครัวแต่ก็ยังไม่วายถูกปั่นหัวไม่เลิก
“ผมหมายถึงปากคุณ ไม่ใช่คุกกี้”
ห๊ะ ................. ฮึ่ยยยยยยยยยย
“ก็ปากผมไง ไม่ใช่คุกกี้........ของแบบนี้มันก็แน่อยู่แล้ว”
หงุดหงิดโมโห และจุมพลก็เดินถือจานเข้าไปในครัว ไม่มีอารมณ์จะอบคุกกี้อีกต่อไปแล้ว โดนปั่นหัว โดนปั่นหัว คุณไอศูรย์แม่งปั่นหัวกูอีกแล้ว โมโหโว้ย โมโห จุมพลเก็บของที่กำลังทำอยู่ใส่ถุงและเตรียมยัดใส่ตู้เย็นซะให้จบ ๆ เรื่องไป ไม่มีอารมณ์อยากจะอบคุกกี้อีกแล้ว และคุณไอศูรย์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ใช้นั่งทำงานก็หมุนเก้าอี้เล่น
รอยยิ้มน้อย ๆ จุดขึ้นที่มุมปาก ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากของตัวเอง
เราไม่ค่อยได้จูบกัน จะทำกันก็ต่อเมื่อมีอารมณ์อย่างว่าแล้วต่างฝ่ายต่างช่วยกันเล้าโลมให้มีอารมณ์กับเรื่องที่จะทำมากขึ้น
แต่เมื่อลองทำกันนอกรอบที่ไม่ใช่ในเวลาที่มีอารมณ์แบบนั้น มันกลับทำให้หัวใจเต้นระทึก แปลกตั้งแต่ที่เราจ้องตากันแล้ว และหลังจากได้ทำแบบนั้นลงไปแล้ว คุณไอศูรย์ก็รู้สึกถึงอาการหัวใจพองโตจนคับอก
“จุ้ม”
เรียกคนที่กำลังเก็บของในครัว และจุมพลก็แกล้งทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยิน
“ชงกาแฟให้หน่อยครับ”
ไม่ได้เรียกซ้ำ แต่บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ คุณไอศูรย์ยังคงอมยิ้มน้อย ๆ และก็หันไปสนใจกับเอกสารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ
ถัดจากนั้นอีกไม่กี่นาที กาแฟหนึ่งแก้ว ก็มาวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับคุกกี้ที่จุมพลอบอีกสองชิ้นวางอยู่ที่จานรองแก้วด้วย
เงยหน้าขึ้นมองและก็เห็นคนเสริฟกาแฟทำหน้าเมินเฉย แต่คุณไอศูรย์เห็นว่าน่ามองที่สุด
“รสชาติดีจริง ๆ นะ”
อะไรอีกล่ะทีนี้ จะพูดอะไรอีก
“คุกกี้หรือปากผมล่ะ”
ต่อปากต่อคำไปเรื่อย และคุณไอศูรย์ก็มองหน้าของจุมพลนิ่ง ๆ ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ และก็วางลงช้า ๆ
“ทั้งสองอย่างเลย”
................. นี่เรียกว่าคำชมหรือเปล่าวะ ถ้าเรียกว่าคำชมจะได้ดีใจ จุมพลพยายามกลั้นรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ยิ้มออกมา ทำหน้านิ่งเฉย และพยักหน้ารับสิ่งที่อีกฝ่ายบอก เดินหนีไปที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองที่ตั้งเอาไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา ลงไปนั่ง
แล้วรอยยิ้มก็จุดขึ้นที่ใบหน้าแบบไม่ต้องทนฝืน คุณไอศูรย์มองอยู่ตลอดตั้งแต่จุมพลเดินไปนั่งและก็ยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มได้
ต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างแกล้งทำเป็นยุ่ง คุณไอศูรย์เช็คงบดุลและจุมพลก็นั่งเล่นเกมส์ แต่หลายครั้งต่างฝ่ายต่างก็เผลอลอบมองว่าคนที่เพิ่งสงบศึกกันกำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อคนที่ถูกลอบมองรู้สึกตัว ก็ทำทีเป็นหันหน้าหนี
เป็นแบบนี้อยู่นาน เป็นแบบนี้ทั้งคืน จนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน เสียงปิดคอมพิวเตอร์ของคนที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำให้จุมพลต้องปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองและพับหน้าจอเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินเข้าไปในห้องนอน
“วันหลังลองทำอย่างอื่นดูสิ ผมจะช่วยชิม”
อ่า มาไม้ไหนวะ ทีตอนบอกให้ชิมไม่ยอมชิม ที่ตอนนี้มาบอกว่าจะช่วยชิม จะเอายังไง
“ไม่เอาแล้ว”
ทำไมล่ะ
“โกรธเหรอ”
เปล่า ไม่ได้โกรธ
“......โกรธหรือเปล่าจุ้ม”
“.....นี่....”
คุณไอศูรย์หยุดเดินและหันมามองหน้าของคนที่กำลังเดินตามหลังมาแต่ยังทำสีหน้าเรียบเฉย
“ผมว่ามันแปลก ๆ นะทำไมผมกับคุณต้องทำอะไรล่อแหลมขนาดนั้นด้วยวะ ผมไม่เข้าใจ”
เรื่องนั้นเหรอ
“..........ก็คุณเล่นก่อน ผมก็เล่นตาม คุณต้องถามตัวเองก่อนสิ ไม่ใช่มาถามผม”
ก็ถามตัวเองอยู่นี่ไง ถามแล้วมันรู้คำตอบมั้ยล่ะ ถ้ารู้ผมก็คงไม่ต้องมาถามคุณหรอกวะคุณไอศูรย์ครับ
“.....ให้ผมคิดคำตอบ ผมคิดไม่ไหวหรอกนะ คุณคิดสิจุ้ม....คิดได้แล้วมาบอกผมด้วย.......ผมก็อยากรู้เหมือนกัน....ว่าทำไมพอผมทำแบบนี้กับคุณแล้ว.......ผม....รู้สึกดี”
TBC.