Chapter 16
วันนี้เป็นวันย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์ของเด็กๆ กนธีรู้สึกเหงานิดหน่อย เขาช่วยเก็บข้าวของแล้วขับรถไปส่งที่ห้อง พอรถวิ่งเข้าไปจอดด้านหน้า เขาก็เห็นปาลินยืนรออยู่ตรงทางเข้าตึก
“อ้าว..มาช่วยเพื่อนหรือ” กนธีดับเครื่องแล้วลงมาทักเด็กหนุ่ม
ปาลินกระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้า เขารู้จากโอ๊ตว่าจะย้ายห้องเลยมาช่วยขนของ เห็นว่าที่นี่ไม่มีลิฟท์ ส่วนห้องก็อยู่ชั้นสี่ คงต้องขึ้นลงหลายรอบหน่อย
“ดีเลย กำลังคิดว่าจะจ้างรปภ.ให้ช่วยยก พี่เห็นจะไม่ไหว กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยแข็งแรง” เขาคลำเอวตัวเองป้อยๆ
อินทัชส่ายหัวยิ้มๆ พี่กุนต์ชอบพูดเกินไป คนกระดูกไม่แข็งแรงคนนี้ วันก่อนยังทุ่มคนตัวใหญ่เทอะทะอย่างไอ้พันลงไปนอนกองเลย แล้วไม่ใช่กระดูกข้อนิ้วหรอกหรือที่ใช้ซัดมันจนเลือดโชกหน้าน่ะ
“ถ้างั้นขนของลงก่อน เดี๋ยวพี่จะเอารถไปจอด” กนธีเปิดท้ายรถให้ ส่วนมากก็มีพวกเสื้อผ้า หมอน ผ้าห่ม โต๊ะพับได้ พัดลมตัวเล็ก ข้าวของเครื่องใช้จิปาถะ แล้วก็ลังใส่หนังสือเรียน
อ้นประคองกระบะเพาะต้นอ่อนทานตะวันลงมา รากมันเริ่มงอกให้เห็นแล้ว เด็กชายนั่งลุ้น มองอยู่ทุกวัน
“ขึ้นไปกันก่อนนะ อยากกินน้ำอะไร พี่จะซื้อมาให้ หน้าปากซอยมีกาแฟเจ้าหนึ่งอร่อยมาก ขายมาตั้งแต่รุ่นพ่อ” ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน ในเมื่อให้หลับตาเข้าซอยยังจำได้เลย “เอ้า..ใครกินอะไรว่ามาครับ”
ปาลินยิ้มเก้อเขิน ช่วยแบกของไปวางที่บันไดทางเข้า อินทัชเห็นแล้วเลยตอบแทน
“ผมกับน้องกินนมเย็นด้วยกันก็ได้ ส่วนสนเอาชาเย็นครับ”
“สามคนจะไปแบ่งกันดูดทำไม เดี๋ยวอร่อยแล้วต้องลงมาซื้อเองนะ” เขาหันไปถามเด็กๆ น้องอ้นอยากกินโอวัลตินเย็น ส่วนน้องอุ้มขอกินนมเย็น “โอ๊ตล่ะ..ลองกาแฟเย็นไหม อร่อยนะ”
อินทัชพยักหน้ารับ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย บอกให้น้องๆวิ่งตามพี่สนไปก่อน ส่วนตัวเขาเองได้แต่ยืนมองหน้าพี่กุนต์นิ่งๆ ท่าทีอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
“มีอะไรหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มถอนหายใจ ส่ายหัวเนือยๆ “กาแฟ..เอาเข้มหน่อยก็ได้ครับ คืนนี้ทำงาน”
กนธีมองสีหน้าเหน็ดเหนื่อยแล้วตบบ่ากว้างแผ่วเบา “โอเค..ขึ้นไปจัดของแล้วก็นอนเอาแรงซะ”
อินทัชมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย เขาระบายลมหายใจยาวก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปตามลำพัง
ห้องที่พี่กุนต์หามาให้ ดีกว่าห้องในบ้านเช่าหลายเท่า ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่นี่แล้วแต่ไม่ได้ขึ้นมาดูห้อง พี่กุนต์แค่พามาทำเอกสาร ที่นี่มีอยู่หกชั้น ส่วนใหญ่ปล่อยเช่า บางห้องก็ขายขาด คนซื้อจะปล่อยเช่าต่อก็ได้ แต่จะต้องให้ผู้เช่ามาแจ้งตัวตนว่าจะย้ายเข้ามา ในนี้จะมีนิติบุคคลคอยดูแลเรื่องอาคาร น้ำไฟ และคอยตรวจสอบคนเข้าออกที่ไม่ใช่คนใน ถึงจะไม่ได้เคร่งครัดนัก แต่ก็นับว่าสภาพแวดล้อมดีกว่าในซอยเก่ามาก
ตอนที่ขึ้นไปถึงด้านบน อ้นกับอุ้มกำลังตื่นเต้นกับห้องใหม่ เขามองแล้วก็ยิ้ม ไอ้แสบสองตัวจองเตียงบน ส่วนเขาก็นอนเตียงล่างเหมือนเดิม เวลาไม่ใช่ก็เลื่อนรางกลับเข้าที่ จะได้ประหยัดพื้นที่ห้อง
“หูย..มีห้องน้ำด้วย ห้องน้ำสวยจัง” อ้นเดินสำรวจบริเวณ
ตรงหน้าต่างมีประตูออกไปที่ระเบียง ตรงนั้นมีพื้นที่กว้างพอประมาณ พี่กุนต์ให้ปูกระเบื้องลายไม้และจัดสวนเล็กๆให้ อ้นเลยเอากระบะต้นอ่อนทานตะวันไปวางบนโต๊ะไม้ใกล้กับคอมเพรสเซอร์แอร์
“ดีจัง ดูสบายกว่าห้องเก่าเยอะเลยโอ๊ต” ปาลินยิ้ม ช่วยเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ตรงหน้าห้องน้ำ
อินทัชมองความสะดวกสบายทั้งหลายที่ได้รับ ในห้องมีตู้เย็นขนาดเล็กไว้แช่ของได้นิดหน่อย มีเตาไมโครเวฟ ทีวี แอร์ เครื่องทำน้ำร้อน เห็นว่าพี่กุนต์เคยทำเป็นห้องเช่าให้นักศึกษา แต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้
“นี่เดือนละห้าร้อยจริงๆหรือ”
“เอาเข้าจริงก็คงหลายพัน แต่พี่เขาใจดีกับพวกเรามากน่ะ” อินทัชพูด มองฟูกนอนใหม่เอี่ยมที่ฝ่ายนั้นซื้อมา
น้องอุ้มลงไปกลิ้งอยู่กับโซฟาในห้อง ดูท่าจะชอบเอามาก
“อย่าทำห้องรกนะ แล้วก็ห้ามทำสกปรก ห้ามเขียนอะไรบนกำแพงด้วย” เขาปรามน้อง “นี่ไม่ใช่ห้องของเรา พี่กุนต์เขายังต้องเอาไปปล่อยเช่าต่ออีก”
อุ้มตะเบ๊ะรับ นั่งแบบสงบเสงี่ยมเรียบร้อยแทน
“แล้วพวกน้องๆไปโรงเรียนยังไง” ปาลินถาม
“ปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์ ไว้จ้างไปส่งอ้นกับอุ้มได้ พรุ่งนี้เราว่าจะไปคุย”
ปาลินกับอินทัชลงไปขนของขึ้นมาอีกสองรอบก็ครบ พวกเขาช่วยกันหิ้วลังพลาสติกใส่หนังสือของสามพี่น้องที่หนักกว่าเพื่อน พอขึ้นมาถึงชั้นสี่อีกทีก็หอบเบาๆ
“เอ้า..ลุกขึ้น จะได้ยกเข้าห้อง” ปาลินกระตุ้นเพื่อนที่นั่งพักหน้าห้อง
อินทัชเอนศีรษะพิงกำแพงด้านหลัง หน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มสมกับที่ได้ห้องใหม่ ปาลินเลยออกปากถาม
“มีอะไรหรือเปล่า ดูไม่ค่อยดีเลย” เขายื่นมือออกไปแตะหน้าผากเพื่อน
ร่างสูงหลับตานิ่ง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่จากข้อมืออีกฝ่าย
“โอ๊ต..”
“อืม..” เขาถอนหายใจ จับข้อมือเล็กแล้วกำไว้หลวมๆ “เหนื่อย..หมดแรง บางทีก็ไม่อยากทำอะไรเลย”
ปาลินขยับเข้าไปใกล้ วางมือลงบนไหล่หนาอย่างให้กำลังใจ อินทัชไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง เขาเพียงแต่แตะปลายนิ้วคนข้างกายไว้ บีบกระชับบางเบา
“คืนนั้น..มีคนบอกว่าผู้จัดการเรียกโอ๊ตเข้าไปคุยหรือ”
อินทัชไม่ตอบ แต่ปาลินไม่ยอมปล่อยให้เพื่อนเก็บเรื่องไม่สบายใจไว้คนเดียว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เจ้าตัวมองอย่างกังวล “เกี่ยวอะไรกับที่ตำรวจมาวันนั้นไหม”
เพื่อนสนิทของเขาถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อคิดได้ว่าปกปิดไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียอีกคนก็ต้องรู้อยู่ดี เลยจำใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ปาลินมุ่นหัวคิ้ว พอรู้ว่ามีคนปากโป้ง เที่ยวดิสเครดิตอินทัช เขาก็โกรธเอามาก
“อย่าให้เรารู้นะว่าเป็นใคร” ปาลินคิดอย่างคั่งแค้น เพื่อนเขาไม่เคยไปมีเรื่องบาดหมางกับคนอื่น มีแต่คนอื่นนั่นแหละที่มีดีไม่เท่า แล้วหาทางจะกดคนสูงกว่าเพื่อหาที่ให้ตนเอง
“เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำอะไรไม่ได้หรอก” อินทัชพึมพำ “เรามีเวลาถึงสิ้นเดือน..ต้องหางานใหม่ให้ทัน”
“แล้วจะไปทำที่ไหน”
“ลองมองๆไว้แล้ว แต่วุฒิเราแค่ ม.หกเอง งานมันเลยแคบ แล้วยังเรื่องเวลาอีก หาพาร์ทไทม์ตอนเย็นหรือตอนกลางคืนไม่ค่อยได้” อินทัชลืมตาขึ้น เหม่อมองไปไกล “แต่ก็ยังดีที่ต้นเดือนหน้าจะปิดเทอมแล้ว ทำอะไรได้เต็มที่หน่อย”
หลังจากสอบไฟนอลจะมีหยุดยาวอีกเกือบสามเดือน เขาพอจะใช้เวลาว่างช่วงนี้หางานทำในตอนกลางวันได้ โชคดีที่มีเงินเก็บหลักแสน แต่ถ้าคิดคำนวณเรื่องค่าใช้จ่าย มันก็พอที่จะอยู่ต่อไปได้ไม่นานนัก
“ขอให้พี่กุนต์ช่วยได้หรือเปล่า” ปาลินเสนอ
อินทัชส่ายหัว “เราไม่ได้หยิ่งหรืออีโก้สูงขนาดจะไม่ขอความช่วยเหลือใครนะ แต่เรารบกวนเขาบ่อยมากทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกัน..ถ้าเรากวนเขาบ่อยๆ เขาจะมองเรายังไงล่ะ”
“มันก็จริง..”
“เราอยากพยายามด้วยตัวเองก่อน ไม่ไหวจริงๆ จะขอให้เขาช่วยหางานให้ ไอ้ที่จู่ๆจะงอมืองอเท้า นิดๆหน่อยๆก็เรียกหา มันดูเหมือนเด็กอมมือไป ถ้าเป็นเราก็คงไม่อยากช่วยไอ้คนที่ไม่คิดจะลองทำอะไรเองก่อนหรอก”
ปาลินหัวเราะอย่างระอา “เอาไงก็เอา..เราจะช่วยหาประกาศรับสมัครงานด้วยอีกแรงนะ เผื่อย้ายตามโอ๊ตไปด้วยเลย”
“อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว จะออกไปลำบากทำไม”
“ไม่มีโอ๊ต เราก็ไม่มีเพื่อนรู้ใจแล้ว ทำไปก็ไม่มีความสุขหรอก”
อินทัชมองเพื่อนสนิท เอื้อมมือไปโยกหัวอีกฝ่าย
“ลุกได้แล้ว ไปเก็บของแล้วจะได้เตรียมตัวทำงานคืนนี้” ปาลินบอก “ตักเงินให้เต็มคราบเลย มีทิปเท่าไรลงกระเป๋าตัวเองให้หมด ไม่ต้องเข้าส่วนกลางหรอก หึ..”
“ร้ายนะเรา”
“ในเมื่อไม่มีความดี จะทำไม่ดีนิดหน่อย ก็ไม่เห็นเป็นไร”
คนฟังหัวเราะ ลุกขึ้นยืนไล่ความเมื่อยขบแล้วช่วยกันลากกล่องหนังสือเข้าห้องไป
......
สองทุ่มครึ่ง เด็กหนุ่มทั้งสองคนมาทำงานตามปกติ อินทัชวางแผนไว้ว่า ภายในสิ้นเดือน เขาต้องหาเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นทุนสำรอง หลังจากนี้เขาจะไม่ไปช่วยชงเครื่องดื่มอีก แต่จะร้องเพลงและนั่งกับแขกอย่างเดียว โชคดีที่พี่นักดนตรีสนิทกับเขาพอประมาณ พอรู้ต้นสายปลายเหตุจากอินทัชเลยจะช่วยจัดคิวให้ทุกวัน
คืนนี้ ปาลินเองก็ทำหน้าที่เพื่อนที่ดี คอยยุแขกหลายโต๊ะให้เรียกอินทัชไปนั่งด้วย คิดว่าเพื่อนเขาน่าจะหาเงินได้หลายพัน ทำต่อเนื่องไปตลอดระยะเวลางานที่เหลือ ก็น่าจะได้หลายหมื่น
อินทัชขึ้นเวที เปิดด้วยเพลง Hotel California ที่เขาเคยใช้หัดเล่นกีต้าร์ครั้งแรก และดูท่าว่าแขกทั้งหลายจะชอบเอามาก เขาถึงได้ทิปเต็มไปหมด
“ขอบคุณมากครับ” อินทัชก้มหัวให้ ยิ้มน้อยๆ “ท่านไหนอยากได้เพลงอะไร เขียนใส่กระดาษบอกมาได้เลยนะครับ”
ปาลินเป็นคนรับโน้ตขอเพลง ทั้งยังเป็นคนเก็บทิปที่ได้มาพร้อมกับกระดาษด้วย เขาจงใจไม่เอาไปใส่กล่องทิปรวม ในเมื่อแขกชอบใจเพื่อนเขา โอ๊ตก็ควรจะได้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ
“หนู..” หญิงสาวที่เป็นแขกขาประจำเรียก “บอกเขาว่าฉันอยากฟัง How can I tell Her ของ Lobo ถ้าร้องได้ถูกใจ ฉันให้สองพัน”
ร่างเล็กวิ่งหน้าตั้งมากระซิบบอกเพื่อนที่เวที อินทัชยิ้มแล้วมองสาวคนเดิม เธอยังคงถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกจริงๆ แต่เขาเองยังไม่ใจอ่อนตามไปด้วยง่ายๆ
“ต่อกันด้วยเพลงนี้นะครับ..ให้คุณผู้หญิงข้างหน้าของผม” เขาเริ่มดีดกีต้าร์ตามทำนองเพลง “She knows when I’m lonesome and she cries when I’m sad. She’s up in the good times. She’s down in the bad. Whenever I’m courage, she knows just what to do. But girl she doesn’t know about you.”
ดวงตาเรียวรีที่จ้องมองแสดงความชื่นชม เธอหยิบค็อกเทลสีสดในแก้วขึ้นจิบโดยไม่ยอมละสายตาไปจากเด็กหนุ่มตรงหน้า
“How can I tell her about you. Girl...please tell me what to do. Everything seems right whenever I’m with you........” เขาทอดเสียงนุ่ม “So girl won’t you tell me, how to tell her about you.”
ปาลินเดินไปบริการโต๊ะถัดไป มีแขกบางคนยื่นทิปให้ เขาเลยยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เด็กหนุ่มนับเงินแล้วนึกดีใจ เลยหันไปชูนิ้วโป้งให้กำลังใจเพื่อนสนิทที่ร้องเพลง อินทัชหันมาแล้วยิ้มให้เขาเช่นกัน
..คืนนี้น่าจะได้ไม่ต่ำกว่าห้าพัน..
เขาเอาเครื่องดื่มมาบริการให้แขก จากนั้นก็เดินไปเก็บโต๊ะริมที่เพิ่งทานอาหารเสร็จ เช็ดให้เรียบร้อยและยกถาดไปไว้ในครัวแล้วเดินวกเข้าห้องน้ำไปล้างมือในส่วนของพนักงานชาย
ในนั้น ปาลินเจอเพื่อนพนักงานด้วยกันยืนล้างมืออยู่ เขามองหน้า แต่ไม่ได้ทักอีกฝ่ายเพราะไม่ค่อยถูกชะตานัก หมอนี่เป็นพวกขี้อิจฉา และถ้าจะให้นึกคาดเดาว่าใครที่เป็นคนคาบเรื่องของอินทัชไปบอกแขก เขาพนันว่าเป็นไอ้คนนี้นี่แหละ
“ไง..เดินวนเสียรอบเลยนะ” อีกฝ่ายออกปากทักก่อน “ได้ทิปมาเท่าไรล่ะ”
“เยอะ..แขกของเราใจดี คิดว่ากว่าจะหมดคืนก็ได้มาหลายพัน” เขาตอบส่งๆ แกล้งพูดให้มันอิจฉาเล่น “แล้วนายล่ะ..ได้มากี่ร้อย”
คนฟังเหยียดปาก รู้สึกหงุดหงิดแต่พยายามระงับอารมณ์ไว้
“ก็ไม่ค่อยเยอะนักหรอก แต่ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกนาน อยู่รับทิปได้จนกว่าจะเบื่อ ในเมื่อไม่ได้ถูกผู้จัดการไล่ออกแบบไอ้คู่หูของนาย”
ปาลินหันมอง กำหมัดแน่น “รู้เรื่องนี้ได้ยังไง” เขาไม่คิดว่าโอ๊ตจะเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้คนไม่สนิทฟัง และไม่คิดเหมือนกันว่าทางเจ้านายจะออกมาป่าวประกาศ เพราะเพื่อนเขายังไม่ทันได้ส่งใบลาออกอย่างเป็นทางการเลย
“อ้าว..หรือไม่จริง? ทำเรื่องงามหน้าไว้ จริงๆผู้จัดการไม่น่าจะปล่อยผ่านนี่นา” ฝ่ายนั้นยักไหล่ “แต่จะว่าไป ถึงโดนไล่ออกแล้วจะทำไมล่ะ ถ้าเก่งจริงก็ไปหางานใหม่ซะสิ เอ..หรือไม่เดือดร้อนเพราะว่ามีรายได้จากการค้ายาอยู่แล้ว”
ปาลินกัดฟันกรอด มองด้วยดวงตาโกรธจัด
“นายใช่ไหมที่เป็นคนเอาเรื่องนี้ไปบอกแขก”
“ถ้าเราบอกแล้วจะทำไมหรือ” เขาหัวเราะ “ยังไงแขกก็รู้ไปแล้ว..”
ร่างเล็กพยายามปรับลมหายใจที่พลุ่งพล่านของตน เขามองคนที่เดินออกไป ไม่อยากโต้เถียง แต่แล้วเลขหนึ่งถึงสิบที่นับในใจก็มีอันได้หยุดอยู่แค่สามเพราะได้ยินเสียงฮัมเพลงไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเพื่อนร่วมงาน
ปาลินก้าวยาวๆเข้าไปหา เขาก็กระชากคอเสื้อของมัน เจ้านั่นหันกลับมาอย่างงุนงง และโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันคาดคิด เขาก็ง้างหมัดชกเข้าสุดแรงจนมันเซถอย ล้มกระแทกพื้นเสียงดังโครม
“เชี่ยเอ๊ย..” คนตัวใหญ่กว่ายกหลังมือขึ้นเช็ดจมูก เลือดกำเดาไหลเป็นทาง “วอนตีนซะแล้วมึง!”
ปาลินไม่หลบ เขายอมแลกกันอีกหมัด ถ้าโดนเรื่องทะเลาะวิวาท ยังไงโทษก็เบากว่าทำร้ายร่างกาย
“มึงเริ่มก่อนเองนะ!” มันเงื้อกำปั้นสูง
ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือของใครคนหนึ่งคว้าหมับเข้ามาที่แขน แรงจากด้านหลังนั่นมากพอที่จะหยุดทุกการกระทำให้ชะงัก ตัวต้นเหตุหันไปมอง ตั้งใจจะเปิดปากด่าคนที่เข้ามาขัด แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นแขกวีไอพี
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทยืนนิ่ง ดวงตาคมกริบมองเด็กทั้งสองคน
“ที่นี่คัดพนักงานยังไง ถึงได้จ้างคนที่ชอบใช้ความรุนแรงมาบริการแขก”
“ผมเปล่านะ! ไอ้นี่มันชกผมก่อน!”
ชายหนุ่มใช้สายตานิ่งเย็นมอง มือกำแขนอีกคนแน่นขึ้นไปอีกจนฝ่ายตรงข้ามนิ่วหน้า แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กเมื่อวานซืนกลัวจนต้องล่าถอยไปเอง พอถูกปล่อยก็รีบสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ปาลินก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตาคนเบื้องหน้า
“ขอบคุณนะครับ..คุณภวินท์”
ภวินท์เพียงแต่ยืนเฉย ไม่ตอบรับคำขอบคุณ ปาลินยืนเก้กัง ทำตัวไม่ถูกโดยเฉพาะเมื่อมีนัยน์ตาสีเข้มจ้องมอง ถึงจะไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆบนสีหน้าเฉยชานั้น แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมองเขาติดลบไปแล้ว
“เอ่อ..ผมขอตัว” เขาค้อมตัวเมื่อเดินผ่านคนอายุมากกว่า
“ทำตัวให้ดีหน่อยปาลิน” เสียงเย็นชาพูดขึ้น “อย่าให้พี่ชายของนายต้องผิดหวังไปมากกว่านี้”
ร่างเล็กชะงัก ได้แต่พึมพำรับคำแล้วรีบเดินออกไป ความรู้สึกย่ำแย่ไม่รู้มาจากไหน เพียงแค่ถูกตำหนิด้วยคำไม่กี่ประโยค เขาก็รู้สึกตันขึ้นมาในลำคอ
“สน..” อินทัชเพิ่งลงจากเวที เขาได้ยินว่าเพื่อนพนักงานถูกปาลินต่อยเลยรีบตามหา “มานี่..ทำอะไรลงไปน่ะ”
ภวินท์ก้าวออกมาจากทางเดินไปห้องน้ำพนักงาน เขาเห็นเด็กหนุ่มอีกคนดึงแขนปาลินไว้แล้วลากตัวไปทางห้องพัก แขนข้างนั้นโอบรอบไหล่ สีหน้าแสดงความกังวลตอนที่พูดคุยกัน
ชายหนุ่มเหยียดริมฝีปาก ไม่คิดสนใจอีกแล้วเดินกลับไปยังห้องรับรองแขกตามเดิม
อินทัชลากแขนปาลินไปที่ห้องพนักงาน เขาจับตัวอีกฝ่ายสำรวจว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า
“เราไม่ได้โดนทำอะไร เราต่างหากที่ไปชกมัน” เจ้าตัวหัวเราะ
“ทำไมใจร้อนแบบนี้นะ”
“ก็มันเลือดขึ้นหน้านี่” เขายักไหล่ “อย่างมากก็ถูกไล่ออก ข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงาน”
“สน..” อินทัชถอนหายใจ “หัดคิดให้มากๆก่อนทำได้ไหม”
“ก็มันเป็นคนเอาเรื่องของโอ๊ตไปบอกแขก ต่อยหมัดเดียวยังน้อยไ..” ปาลินนิ่งอึ้งเมื่อทั้งตัวถูกอีกฝ่ายลากไปกอด อ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดจนตัวเขาแทบจมหายลงไปกับแผ่นอกหนา “โอ๊ต..”
อินทัชก้มหน้าลง ปลายจมูกซุกลงกับกลุ่มผมนุ่ม ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายนั้นทำให้ใจเขาเต้นแรง
“ขอบคุณนะ..ที่อยู่ข้างเรา”
ปาลินเงยหน้ามอง เพื่อนสนิทยังกอดกันแนบแน่น เขาเลยได้แต่ยกมือขึ้นโอบแผ่นหลังกว้างโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก พวกเขากอดอีกฝ่ายอยู่เงียบๆอย่างนั้นร่วมนาที กระทั่งมีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาถึงได้ผละออก
“เอาล่ะ..ไอ้ตัวแสบ” อินทัชบิดจมูกเชิดรั้น “เราไปทำงานก่อน ส่วนนายก็นั่งอยู่ในนี้จนกว่าจะอารมณ์ดีขึ้น แล้วอย่าไปต่อยใครไม่เลือกอีกล่ะ”
“รู้แล้วน่า” ปาลินยิ้ม ชูนิ้วโป้งให้ “สู้ๆนะ..”
“อืม..” เขายิ้มตอบ จัดแจงตัวเองแล้วออกไปบริการแขกตามเดิม
......
อินทัชกลับถึงห้องพักตอนตีสอง เขาไขกุญแจเข้าไปอย่างเงียบเชียบ มีแสงจากสายไฟประดับที่พี่กุนต์ซื้อมาให้อ้นกับอุ้มแต่งห้องเป็นตัวให้ความสว่าง
เขายิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงตอนกลางวันที่พี่กุนต์กลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มสารพัด แล้วก็เอาสายไฟที่ห้อยหลอด LED ทรงกลม พันด้วยเส้นไหมพรมหลากสีมาให้น้องๆของเขา จากนั้นผู้ใหญ่กับเด็กก็ช่วยกันแขวนไว้ตรงขอบหน้าต่าง
“ไม่ยักรู้ว่าพี่เป็นคนโรแมนติก” เขาออกปากแซว
พี่กุนต์หัวเราะ “เปล่า..พี่เห็นว่าโอ๊ตกลับดึกๆแล้วไม่กล้าเปิดไฟเพราะกลัวน้องจะตื่นใช่ไหม พี่เลยซื้ออันนี้มาให้ เปิดแล้วมันเป็นแสงสีนวลๆ เสียบไว้ตลอดคืนก็ไม่รบกวน โอ๊ตก็จะได้มองเห็นด้วยไง” เขาไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะนึกถึงเขาขนาดนี้
อินทัชยิ้มจาง ล็อกกุญแจห้องแล้วถอดรองเท้าไว้ตรงทางเดิน แสงสีเหลืองนวลเหนือเตียงส่องให้เห็นน้องชายทั้งสองคนที่นอนหลับอุตุ กอดกันตัวกลม ห่มผ้ามิดถึงคอ แอร์คงจะเปิดไว้เย็นเกิน เขาเลยปิดแล้วเปิดพัดลมแทน
ดึกดื่นป่านนี้ แต่เขายังนอนไม่หลับ พออาบน้ำเสร็จให้หัวมันเย็นลง เขาก็มานั่งคำนวณค่าใช้จ่ายที่โต๊ะหนังสือ เปิดไฟหลอดเล็ก แสงจะได้ไม่แยงตาน้องๆ
ถึงแม้จะตัดภาระเรื่องค่าเช่าห้องออกไปได้บ้าง เขาก็ยังมีเรื่องอื่นๆต้องจ่ายแบบเลี่ยงไม่ได้ แต่ละวัน จะมีค่ากินมื้อเช้ากับมื้อเย็นประมาณสองร้อย เงินที่ให้น้องไปใช้จ่ายที่โรงเรียน อ้นหนึ่งร้อย อุ้มห้าสิบ และเงินในส่วนของเขาเองอีกสองร้อย เท่ากับว่าเฉพาะส่วนนี้ ก็ปาเข้าไปเดือนละหมื่นหกแล้ว รวมค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ เฉลี่ยแล้วหนึ่งพัน เป็นหมื่นเจ็ด
เขายังต้องจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซค์ทุกวัน ทั้งเช้าและเย็น ค่าข้าวของเครื่องใช้บางอย่างในบ้าน ค่าโทรศัพท์ ค่ารักษาพยาบาลที่ส่งให้ยายเดือนละหมื่น ทั้งค่าหมอ ค่ายาเบาหวาน แล้วยังค่าฟอกไต รวมกับเงินค่าจ้างคนดูแลยายอีกหลักพัน และเมื่อถึงเวลาแต่ละเทอม เขาก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้น้องชายสองคน ค่าชุดนักเรียนใหม่ ค่าหนังสือ และอะไรอีกมากมาย ส่วนตัวของเขาเอง แม้ว่าปีหนึ่งจะได้ทุนจากมหาวิทยาลัย แต่ขึ้นปีสอง เขาอาจจะไม่ได้อีก เท่ากับว่าต้องเตรียมเงินไว้สำรองอีกเยอะ
อินทัชฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขายังไม่ถึงกับเดือดร้อนก็จริง แต่ก็ต้องวางแผนล่วงหน้าให้ดี เขาเพิ่งจะปลดหนี้จำนวนแสนต้นๆจากสมัยที่แม่ยังอยู่ได้ เลยไม่ต้องการซ้ำรอยเดิม
เด็กหนุ่มเปิดสมุดบัญชี คำนวณว่าหากไม่ได้งานในเร็ววันนี้ จะพออยู่พอกินไปได้อีกนานแค่ไหน แล้วถ้างานที่หาได้ ทำให้รายได้น้อยลงกว่าเก่าเกินครึ่ง เขาจะต้องทำอย่างไรต่อ
เขาถอนหายใจ จัดการลิสต์รายชื่อแต่ละที่ที่จะไปสมัครงาน เงื่อนไขที่ฝ่ายนั้นต้องการและจำนวนเงินค่าจ้าง พอเทียบกับงานเก่าแล้ว เขาต้องพยายามทำใจกับเงินที่ลดน้อยลงมาครึ่งหนึ่ง อยู่ที่เลาจน์ เขาก็แค่ร้องเพลง เสิร์ฟอาหาร นั่งกับแขก แล้วถ้ายอมทำตามความต้องการของแขกบางคน ให้จับบ้าง จูบบ้างนิดๆหน่อยๆ เขาก็ได้เงินมาง่ายๆแล้ว
อันที่จริง ถ้าเขายอมไปกับแขกตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ทำงาน ป่านนี้คงสบายไปแล้ว กับเพื่อนบางคนก็ยอมลาออกไปเป็นเด็กเลี้ยงของคนมีเงิน เจอกันอีกทีก็เห็นว่าอยู่ดีมีความสุขกว่าเก่ามาก
เขาส่ายหัว พยายามปัดแรงจูงใจแบบนั้นออกไป แต่แล้วก็พาลคิดไปถึงคำพูดของหญิงสาวที่ตามตื๊อ
“ถ้าอยากนอนคุยกับเธอ..สามหมื่น ยอมหรือเปล่า” แค่คืนเดียว..ได้สามหมื่น เป็นเงินที่มาแบบง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรนักหนาเลย
..ก็แค่..ขายบริการ..
อินทัชถอนหายใจ เขาเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมานับเงิน คืนนี้เขาหาได้ประมาณหกพัน หนึ่งในนั้น มีเงินสองพันที่เขาได้จากการร้องเพลง How can I tell her ให้กับแขกสาวคนเดิม ไม่ต้องสงสัยก็รู้ว่าเธอรวยแค่ไหน แค่ร้องเพลงให้เพลงเดียวยังได้ทิปหนักขนาดนี้
แสงไฟสีขาวจากโต๊ะส่องให้เห็นเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนด้วยดินสอบนเนื้อธนบัตร มีรูปหัวใจอันน้อยอยู่ด้านข้าง
อินทัชหัวเราะ กำลังจะลบเบอร์ของเธอทิ้งเพื่อความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย แต่แล้วไม่รู้คิดอย่างไร ถึงได้จดเบอร์ของเธอเอาไว้ตรงปฏิทินเล่นๆ
..ใครจะไปรู้ เผื่อว่าวันหนึ่ง เขาอาจต้องการเงินสามหมื่นต่อคืนขึ้นมา..
ร่างสูงปิดไฟ เดินเนือยๆไปตรงเตียงล่างที่เจ้าอ้นกับอุ้มจัดไว้ให้แล้ว เขาล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผาก มีเสียงขยับตัวเล็กน้อยจากอ้น เขาหันไปมอง เห็นน้องเพิ่งจะลืมตา ปากน้อยๆอ้าหาวเสียกว้าง
“พี่โอ๊ตไม่ง่วงหรือ” อ้นนอนตะแคง ตากลมโตจ้องพี่ชาย
“กำลังจะนอน แล้วทำไมเรายังไม่นอนล่ะ” เขาลูบหัวเล็ก “พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่หรือไง”
“นอนแล้วตื่นแล้ว เห็นพี่โอ๊ตนั่งกลุ้มอยู่ที่โต๊ะตั้งนาน มีอะไรอ่ะ”
เขาส่ายหัว ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้น้องมากังวลไปด้วย “เปล่า..”
“เหนื่อยหรือครับ” อ้นยื่นมือมาลูบแก้มพี่ “เหนื่อยก็พักได้นี่นา”
อินทัชยิ้ม เขามักได้กำลังใจจากน้องๆเสมอ “อืม..หายเหนื่อยแล้ว”
“หยุดสงกรานต์อาทิตย์หน้า กลับไปหายายไหมพี่โอ๊ต”
เขานิ่งคิด อันที่จริงไม่อยากใช้เงินพร่ำเพรื่อนัก แต่ว่าในหนึ่งปีจะมีหยุดยาวแค่ครั้งเดียว แล้วยายก็แก่แล้ว ไม่เห็นลูกหลานนานๆ แกคงจะน้อยใจ อีกอย่าง..ถือว่ากลับไปหนุนตักยาย พักเอาแรงเสียหน่อย มีกำลังใจแล้วจะได้กลับมาสู้ต่อ
“กลับก็ได้..พรุ่งนี้บอกอุ้มด้วยนะ”
......................................................................................
[ต่อด้านล่าง]