ตอนที่ 59
เพราะดัฟฟ์กับนาซัสเข้าเรียนช้าจึงต้องมานั่งฟังวิทยากรที่ได้รับเชิญมาพูดเรื่องประวัติศาสตร์ดินแดนปีศาจ ทำให้ร่างสองพี่น้องจึงมายืนงงกันอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนปีศาจเด็กๆ นั่งกันเต็มไปหมดซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นนักเรียนใหม่ที่ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับดินแดนปีศาจน้อยมากทั้งนั้น
ดัฟฟ์ชะเง้อคอพยายามมองหาที่นั่ง "นาซัส เจ้าว่ามันจะมีที่ให้เจ้ากับข้าไหมง้า แก๊ซ"
นาซัสที่ป้องมือหาอยู่เหมือนกันตอบตามความเป็นจริง "ข้าว่าเราได้นั่งพื้นแน่เลย.."
ปีศาจเด็กตนอื่นๆ ที่อยู่ห้องปกติต่างพากันกระซิบกระซาบกันอย่างสนุกสนาน เมื่อมีเด็กห้องพิเศษที่มีกิตติศักดิ์อันเลื่องชื่อต่างๆ มากมายมาปรากฎตัวในห้อง
"นี่ๆ เจ้ารู้เปล่า พวกเด็กห้องพิเศษเป็นเด็กที่โง่และเรียนห่วยที่สุดล่ะ" ปีศาจตนหนึ่งกล่าวกับเพื่อนขณะที่เหลือบมองท่าทีลุกลี้ลุกลนหาที่ของดัฟฟ์ "คงจะจริงแน่เลย ฮ่าๆ"
"จริงดิ แต่แม่ข้าบอกว่ามีแต่พวกรวยๆ กับพวกมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นนะถึงจะได้อยู่ห้องนี้"
ปีศาจตนเดิมขมวดคิ้วมุ่นส่ายนิ้วไปมา "รวยแล้วไง โง่ก็คือโง่สิ เจ้าจำไม่ได้เหรอที่ท่านผู้อำนวยการอะไรนั่นส่งเจ้าพวกห้องพิเศษไปป่าเฟอร์นอสนะ!"
"อ้อ ใช่ๆ ข้าจำได้แล้ว แต่พวกเขาก็กลับมาอย่างปลอดภัยนี่นา"
"แล้วไงใครสน ว่าแต่เจ้าพวกนี้มายุ่งอะไรกับงานนี้ ฟังแล้วจะเข้าใจเหรอ ฮ่าๆ"
ปีศาจตนนั้นยังคงพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างสนุกปากซึ่งก็มีคนมามุงพูดคุยส่งเสียงอือออเห็นด้วยกันครึกครื้นโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าข้างหลังมีปีศาจตนหนึ่งพยายามควบคุมอารมณ์หงุดหงิดอยู่
"พนันได้เลยว่าเจ้าอ้วนนั้นต้องหลับตั้งแต่อาจารย์พูดประโยคแรก ฮ่าๆๆ"
"ข้าก็ว่างั้น เจ้าว่าไอ้อ้วนนั้นเป็นปีศาจอะไร? ข้าว่าหมูแน่เลย อ้วนขนาดนี้"
"เจ้าก็พูดไป ฮ่าๆ มังกรดำต่างหากล่ะ ข้าเคยเห็นเจ้านั่นแปลงเป็นมังกรอยู่"
"บ้าไปแล้ว อย่างเจ้าอ้วนนั้นเป็นมังกรดำแล้วข้างๆ เป็นอะไร? มังกรแสงงั้นเหรอ"
"ไม่รู้สิ อาจจะใช่ล่ะมั้ง แลดูหน้าโง่เหมือนกัน"
เส้นสติขาดผึงก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงตวาดดังลั่นห้องโถง
"หุบปากไปซะ!!"
เกิดแสงสว่างวาบภายในห้องจนตาพร่า
"โอ้ย ตาข้า! ร้อนนน" ปีศาจขี้นินทาร้องลั่นน้ำตาไหลพรากๆ เมื่อรู้สึกโดนอะไรแผดเผาร่างกาย
"เจ้า เจ้าทำอะไรเพื่อนข้า!" ปีศาจตนอื่นชี้หน้าต้นเหตุด้วยสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ
หากแต่ปีศาจที่เป็นต้นเหตุก็ยังคงใบหน้านิ่งงันไร้อารมณ์ได้อย่างเหนียวแน่นแม้ในหัวจะเกิดคำสบถด่ามากมายซึ่งถ้าหากพวกเด็กๆ ได้ยินคงต้องร้องไห้หาแม่แน่นอน
"อ้ะ ฟรังงงงงงงงงงงงงงก์!!"
ดัฟฟ์เป็นหนึ่งในปีศาจที่สะดุ้งกับเสียงตะโกนลั่นแต่พอรู้ว่าเป็นใครก็ร้องลั่นบ้าง ไม่รอช้าดึงแขนนาซัสรีบวิ่งไปหาฟรังก์ที่รอบข้างถูกเว้นไว้หนึ่ง เหมือนถูกรังเกียจยังไงยังงั้น
"ข้านั่งด้วยนะ! แก๊ซ" ดัฟฟ์ยิ้มจนตาหยีซึ่งกริสเซลบอกว่ามันชวนให้ใจอ่อนมาก ดัฟฟ์จึงใช้รอยยิ้มนี้ในการอ้อนขอสิ่งที่ต้องการบ่อยๆ
นาซัสไม่รอคำตอบอะไรทิ้งตัวลงนั่งไปก่อนแล้วเงียบๆ
เจ้าของชื่อเหลือบมองนิ่งๆ "อืม" ก่อนจะหันไปมองพวกปีศาจปากจัดเมื่อกี้ที่ตอนนี้นั่งสงบเสงี่ยมกันที่เก้าอี้แล้วเพราะอาจารย์วิทยากรที่ว่ามาถึงแล้ว
"พวกเจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดมาก? หึ เจ้าสามารถถูกเจ้าอ้วนที่เจ้าว่าฆ่าได้โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ ไม่เคยได้ยินรึไง เพลิงกาฬ ถ้าเจ้าอยากลองก็พูดอีกสิ" แม้เจ้าตัวจะพูดด้วยสีหน้านิ่งสนิทแต่ในหัวกลับคิดไปเยอะแยะมากมาย
บัดซบ ข้าจะพูดอะไรนักหนา? นี่ไม่ใช่ตัวข้าสักนิด นี่มันเรื่องของคนอื่น ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจด้วยซ้ำไป ไอ้อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านนี่น่ารำคาญชะมัด ทำไมข้าต้องรู้สึกด้วยนะ ให้ตายสิ ถึงข้าอยากจะเข้าใจอารมณ์คนอื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความข้าอยากสับสนในตัวเองด้วยนะ
ปีศาจที่โดนคาดโทษส่วนใหญ่ขนลุกเกรียวแต่ก็ยังไม่พอใจอยู่ดีโดยเฉพาะปีศาจปากจัดตนนั้นพออาการแสบร้อนทุเลาลงก็เปิดปากต่อทันที
"ฮึ่ย เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?"
"เจ้าคุยกันใครน่ะ แก๊ซ" ดัฟฟ์ยื่นหน้าไปหาฟรังก์ที่ตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดจนน่ากลัว
"เปล่า" ฟรังก์ไหวไหล่ตัดสินใจเลิกสนใจเรื่องไร้สาระทั้งหมด
ดัฟฟ์ตั้งใจจะพูดอะไรต่อแต่พอเห็นอาจารย์จ้องเขม็งมาก็ได้แต่หดคอไปนั่งที่เดิมแล้วนั่งอย่างสงบเสงี่ยม
ผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นยกสูงนั้นเป็นชายร่างโปร่งไม่สูงมากนักมีหูกับหางจิ้งจอกสีส้มพวกใหญ่ส่ายไปมาบอกถึงสายพันธุ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี
"อืมม งั้นข้าจะแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ข้าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่จบเอกประวัติศาตร์ดินแดนปีศาจมาได้ไม่กี่ปี ถึงข้าจะเพิ่งจบมาแต่ข้าท่านปู่ข้าเกิดทันในยุคสงครามฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้นะ อ้าว ทำหน้างง ให้ตายสิ แค่เรื่องเก่านิดเก่าหน่อยของดินแดนตัวเองก็ยังจำไม่ได้"
ปีศาจจิ้งจอกผู้เป็นวิทยากรว่าพลางส่ายหน้า "ข้าชื่ออาร์เดน แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องจำหรอก ยังไงซะข้าก็ไม่ได้ประจำอยู่ที่นี่อยู่ดี"
นั่นเหมือนจะเป็นมุขแต่น่าเสียดายที่ไม่มีนักเรียนคนไหนหัวเราะให้แม้แต่คนเดียว จะว่ายังไงดีหางพวงส้มที่ส่ายไปส่ายมาอย่างกระตือรือร้นข้างหลังอาจารย์นั่นดูน่าสนใจกว่าประวัติศาสตร์เป็นไหนๆ
"ข้าอยากจับจัง นาซัส! ทำไมหางเจ้าไม่เห็นดูนุ่มแบบนั้นมั้งเลยง้า" ดัฟฟ์กระซิบกับนาซัส มองหางอาร์เดนตาเป็นประกาย มันดูหนานุ่มน่าขยำมาก
นาซัสย่นคิ้ว "ข้าว่าเป็นที่แชมพูล่ะมั้ง คงจะใช้สำหรับพวกขนสัตว์โดยเฉพาะ ข้าจำได้ว่าเคยเห็นคอร์สเอามาอาบน้ำอยู่"
"เจ้าว่าถ้าข้าขอจับ อาจารย์จะให้จับไหม แก๊ซ!"
นาซัสส่ายหน้าดิกเป็นพัลวัน "ไม่มีทาง"
ดัฟฟ์จึงได้แต่ยั้งตัวเองไม่ให้กระโจนเข้าไปหาหางพวงนุ่มที่ล่อตาล่อใจนั่น
ความเงียบกริบภายในห้องทำเอาอาร์เดนใจแป้วไม่น้อยแต่ก็ถือว่าดีไปอีกแบบ "อ่า งั้นข้าจะเริ่มเล่าประวัติดินแดนปีศาจแล้วนะ! อืมมม มีใครรู้บ้างว่าใครเป็นคนสร้างดินแดนปีศาจ!?" พยายามพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแต่ผลตอบรับคือความเงียบเช่นเดิม
ข้าจะร้องไห้แล้วนะ
อาร์เดนคิดพลางยิ้มแหยๆ ให้นักเรียนที่ยังคงนั่งตาแป๋ว
นี่พวกเจ้าไม่รู้จริงๆ งั้นเหรอว่าใครเป็นคนสร้างดินแดนปีศาจ?
"ท่านโฟเทียส" เสียงหนึ่งดังเอือยๆ ติดจะรำคาญตอบ
"เก่งมาก! ใช่ท่านโฟเทียส" อาร์เดนยิ้มกว้างดีใจมากส่งผลให้หางส่ายไปมาเร็วกว่าเดิม สิ่งที่อาร์เดนไม่รู้คือที่นักเรียนไม่ตอบคำถามเพราะมัวแต่สนใจหางตัวเองนั่นแหละ
"เก่งจัง ฟรังก์ เจ้ารู้ได้ไง" ดัฟฟ์มองฟรังก์ด้วยสายตาเป็นประกาย
ฟรังก์พยักหน้าส่งๆ ไม่ใส่ใจนัก
ผิดกับนาซัสที่มือไม้เย็นเฉียบปวดหัวตุบเลือดในกายร้อนฉ่าราวกับว่าสายเลือดกำลังโกรธจัดเมื่อได้ยินชื่อของผู้สร้างโลกใบนี้ นาซัสตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังควบคุมตัวเองให้นั่งนิ่งๆ เงียบๆ ได้
ท่านโฟเทียส? ทำไมชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูและข้าถึงรู้สึกขยะแขยงนัก..
นาซัสคิดอย่างงุนงง
"ท่านโฟเทียสเป็นผู้สร้างโลกใบนี้แล้วยังสร้างดินแดนปีศาจของเราด้วย ดินแดนปีศาจของเรานี่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมากแต่ที่มีการจดบันทึกจริงๆ จังๆ ก็ช่วงสงครามแดนเหนือกับแดนใต้" อาร์เดนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังและตื่นเต้นทำให้เด็กๆ เริ่มกลับมาฟังและจดบันทึกตามลงในสมุดเพราะออกสอบ
"พวกเจ้าเกิดมาในช่วงที่สงครามสงบแล้ว คงจะไม่รู้ว่าความโหดร้ายของสงครามเป็นยังไง" ปีศาจจิ้งจอกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแววตาเศร้าซึมเพราะทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานนัก สงครามการแย่งชิงตำแหน่งราชาปีศาจที่เพิ่งสงบลงโดยท่านคาร์บิลัส
"ทุกอย่างกลายเป็นทะเลเพลิง บ้านเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีที่ใดปลอดภัย เจ้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนแม้แต่ในดินแดนของตัวเอง" อาร์เดนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดให้เด็กฟังแต่ในเมื่อมันเป็นความจริงก็ควรรู้ไว้ "พวกเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อที่จะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก เจ้าไม่อยากรู้หรอกว่ามีปีศาจมากมายแค่ไหนที่ตายไปกับสงครามแต่ละครั้ง"
ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจนักแต่บรรยากาศอึดอัดในห้องกลับทำให้เด็กๆ รู้สึกเศร้าจนน้ำตาคลอ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้เรื่องอะไรหรือเพราะแววตาของอาจารย์นั้นแจ่มชัดไปด้วยความเจ็บปวดถึงเพียงนั้น
"พอๆ ข้ามาเล่าประวัติศาสตร์ไม่ได้มาเทศน์พวกเจ้า" อารเด็นไหวไหล่ควบคุมให้ตัวเองกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง "ดินแดนปีศาจช่วงแรกๆ ถูกแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ตอนแรกก็ดีกันอยู่หรอกแต่ไปๆ มาๆ ก็ทำสงครามกันเองซะงั้น ต้นเหตุของสงครามคือความไม่ไว้ใจกัน ความหวาดระแวงกันเอง ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ทุกอย่างทำให้ดินแดนปีศาจตอนนั้นวุ่นวายสุดๆ จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่งที่แต่ละฝ่ายต่างอ้อนวอนให้ท่านโฟเทียสช่วย"
อาร์เดนกลืนน้ำลายเอือกแล้วหลับตาลง "แต่ท่านช่วยให้สงครามมันลุกลามมากขึ้นไปอีก"
นักเรียนเริ่มส่งเสียงฮือฮา เดิมทีพวกเขาก็รู้แหละว่าใครเป็นคนสร้างดินแดนปีศาจแต่ไม่กล้าตอบเฉยๆ เพราะพ่อแม่ปีศาจส่วนใหญ่จะเล่านิทานท่านโฟเทียสผู้มากไปด้วยเมตตาอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาย่อมเชื่อพ่อแม่มากกว่าคนนอกอยู่แล้ว ทำให้เริ่มเกิดสายตาหวาดระแวงในตัวอาร์เดน
"ท่านอาจารย์ แต่ท่านแม่ของข้าบอกว่าท่านโฟเทียสใจดีมากนะ!" ปีศาจตนหนึ่งโวยวาย
"ใช่ๆ ท่านพ่อข้าก็บอกเหมือนกันว่าสงครามจบได้เพราะท่านโฟเทียสช่วย"
ปัง!!
อาร์เดนกระแทกเท้าจนเกิดเสียงดังลั่นทำให้นักเรียนในห้องที่ทำตัววุ่นวายกลับมานั่งสงบอีกครั้ง
ใบหน้าที่ประกอบไปด้วยตาเรียวๆ เริ่มสั่นไหวเล็กๆ ความนึกคิดของผู้อื่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากที่สุดแล้ว.. "ข้าไม่ได้ขอให้พวกเจ้าเชื่อข้าแต่ข้าขอให้พวกเจ้าเชื่อความจริง บางอย่างที่พวกเจ้ารู้มาตลอดอาจจะไม่ใช่ความจริง ตรองให้ดี เจ้าไม่เคยได้ยินนิทานของมนุษย์งั้นเหรอ? หมาป่ากับหนูน้อยที่แสนซื่อ เจ้าหมาป่าเพียงแค่สวมชุดคลุมแบบมนุษย์กับปกปิดใบหน้าก็สามารถหลอกกินหนูน้อยได้แล้ว นั่นแหละ ตัวอย่างที่เจ้าเชื่อบางสิ่งบางอย่างโดยทันทีเพราะคิดว่าไว้ใจได้"
อาร์เดนพูดจบหอบแฮ่กแต่ก็ยังไม่หยุดพูดพยายามพูดต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นแววตาแข็งข้องของเด็กบางคนเริ่มอ่อนลง "ปีศาจฝ่ายเหนือได้รับพลังแห่งแสงสว่าง ปีศาจฝ่ายใต้ได้รับพลังแห่งความืด ทั้งสองดินแดนต่างเตรียมจะนำมันมาห้ำหั่นกัน แต่ข้าไม่แน่ใจว่าได้ปะทะกันหรือเปล่าเพราะมันถูกบันทึกไว้เพียงเท่านี้เหมือนกับมันถูกฉีกทิ้งไปซะเฉยๆ ข้าว่าคงเป็นใครสักคนในสงครามนั่นแหละที่ทำมันหรือไม่ก็.."
อาจารย์จิ้งจอกตั้งใจจะพูดชื่อท่านผู้นั้นออกมาแต่ก็กลืนลงไปซะก่อนเพราะดูๆ แล้วเด็กๆ ก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ที่จะมาว่ากล่าวในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาตลอด
เดิมที่อาร์เดนก็เคยเป็นเช่นนั้นเคยหัวแข็งมากกว่านั้นเคยเถียงคอเป็นเอ็นมากกว่านั้นแต่พอได้ไปเรียนรู้ในประวัติศาสตร์จริงๆ ก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้นั้นก็แค่เศษเสี้ยวของความจริงเท่านั้น โลกใบนี้ถูกแต่งเติมด้วยผู้ชนะส่วนผู้แพ้ก็กลายเป็นแค่ไอ้ชั่วไร้ค่าตัวหนึ่งเท่านั้น
"เอาล่ะ จบไปแล้วกับช่วงแรกของดินแดนปีศาจ" อาร์เดนตบมือดังแปะ "ข้าจะปล่อยพักสิบนาทีแล้วจะพูดต่อเรื่องสงครามกลางเมืองที่เพิ่งเกิดไปเร็วๆ นี้"
พอพูดถึงเรื่องนี้อาร์เดนก็อดเลื่อมใสในตัวราชาปีศาจไม่ได้ ท่านคาร์บิลัสต่างจากผู้ชนะสงครามคนอื่นตรงที่เขียนประวัติศาตร์ตามความเป็นจริงทุกประการไม่มีการยกยอตัวเองให้ดูดีเลิศกว่าผู้อื่นแต่งอย่างใด
ฟรังก์จึงหยิบหนังสือที่ตัวเองเตรียมมาอ่านขึ้นมาอ่าน แต่พอเห็นข้างๆ เงียบผิดปกติก็หันไปดู
"... นี่เจ้าหลับ?"
ดัฟฟ์สลบเหมือดคาโต๊ะน้ำลายยืด
มังกรแสงมองนิ่งๆ แล้วมองเลยไปอีกเพื่อดูว่าปีศาจที่มากับดัฟฟ์นอนด้วยหรือไม่ "..เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?" ถ้าอาการทางร่างกายฟรังก์พอจะมองออกเพราะไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรมาก
เพราะนาซัสนั่งหอบหายใจอย่างน่ากลัว ตาแดงก่ำมองฟรังก์ "...ข้าไม่รู้"
ฟรังก์กำลังจะพูดอีกคำก็ต้องเบิกตากว้าง
"นาซัส!!!"
เพราะนาซัสจู่ๆ กลับคืนร่างกลายเป็นจิ้งจอกขาวขนาดยักษ์!
โฮ่งๆๆ
"บัดซบ ทำไมข้าต้องมานั่งเลี้ยงหมาวะ ไอ้แพะเวร"
หงิง
ฟาร์คัสสบถอย่างฉุนเฉียน ไอ้แพะปัญญาอ่อนมันนึกอะไรให้ข้าทำไม่ออก ก็เลยบอกให้ข้ามาเลี้ยงหมา ซึ่งตอนนี้ข้าก็ต้องมานั่งอาบน้ำให้พวกงูเวลล์ที่ตอนนี้อยู่ในร่างลูกหมาส่งเสียงหงุงหงิงน่ารำคาญประมาณสิบตัว ไม่แน่ใจว่ามันเห็นข้าเป็นแม่หรืออะไรถึงได้ตามติดแจ เกาะหน้าเกาะหลัง
"อยู่นิ่งๆ ข้าจะถูสบู่ให้ อย่าให้ข้าต้องใช้เวทย์มัดเจ้านะ" ฟาร์คัสขู่ลูกงูเวลล์ที่ตอนนี้ดิ้นไปมาพยายามตะเกียกตะกายหนีเพราะกำลังถูกจับอาบน้ำในห้องอาบน้ำ
หงิงงงง
ลูกงูเวลล์ที่ถูกจับอยู่ร้องครางออกมาอย่างน่าสงสารทั้งๆ ที่ตัวมันเต็มไปด้วยฟองสบู่ มันมองเพื่อนมันที่อาบน้ำแล้วแห้งแล้ววิ่งเล่นอยู่ไกลๆ ตาละห้อย
"อย่าดิ้นสิ เจ้าทำข้าเปียกนะ" ซึ่งก็ไม่น่าทันแล้ว ชุดปีศาจทะมัดทะแมงเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเปียกแนบลำตัวไปแล้วเรียบร้อยโชคดีที่เลือกสีดำมาไม่ใช่สีขาว
หงิงงงงง
"จะร้องอะไรนักหนา" ฟาร์คัสบ่น "แม่เจ้าก็นอนอยู่นี่เนี่ย"
ฟ่อ
คล้ายกับตอบรับ ร่างงูขนาดยักษ์ที่นอนขดอยู่ใกล้ๆ ขู่ฟ่อตอบอย่างสบายอกสบายใจ หลังจากที่เกือบถูกย่างสดเพราะไม่ยอมเชื่อฟังราชาปีศาจตอนนี้มันเชื่อฟังแล้วกลายเป็นงูที่เชื่องมาก
โฮ่ง
เมื่อรู้ว่าร้องยังไงฟาร์คัสก็ไม่มีวันเห็นใจ เจ้าหมาก็เลยนั่งจ้องฟาร์คัสด้วยตาแป๋วๆ แทน
"เอ้าเสร็จแล้ว" ฟาร์คัสหลุดยิ้มเล็กๆ พลางร่ายเวทใส่เจ้าหมาทำให้มันแห้งภายในพริบตาแล้วจึงปล่อยให้มันวิ่งสุดชีวิตไปหาเพื่อนที่กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อที่บินไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฟาร์คัสหลับตาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาเลี้ยงฝูงหมาและรู้สึกเหนื่อยกับแค่การอาบน้ำหมาขนาดนี้
"หรือว่าข้าไม่ออกกำลังกาย?" ฟาร์คัสคิดเรื่อยเปื่อยด้วยความว่างจัด เมื่อก่อนก็แข็งแรงดีอยู่หรอกเพราะต้องลงลานประลองบ่อยๆ เพราะต้องรักษาตำแหน่งในนกบอกลางเอาไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องฝึกด้วยซ้ำในเมื่อคนที่นอนด้วยเป็นถึงราชาปีศาจที่พลังล้นเหลือและเก่งมากซึ่งแพะปัญญาอ่อนนั้นก็มีคู่ซ้อมประจำอยู่แล้วก็คือชาคอส
"ทำไมจะไม่ออก"
ฟาร์คัสสะดุ้งเฮือกไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกรวบตัวไปนั่งบนตักหนาๆ ของคาร์บิลัส
ใบหน้าคมคายของราชาปีศาจยิ้มพรายเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่แนบไปกับลำตัวฟาร์คัส ดูเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก "ก็ออกบนเตียงกับข้าไง"
คาร์บิลัสเคยคาดหวังปฎิกิริยาน่ารักๆ จากฟาร์คัสแต่ความจริงส่วนใหญ่ที่ได้รับคือ
"บัดซบ ปล่อยข้าลง!" ฟาร์คัสหน้าแดงติดจะหงุดหงิดพยายามขืนตัวลงแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ราชาปีศาจผิดหวังเล็กๆ จึงเลือกที่จะฝังหน้าลงกับซอกคอฟาร์คัสเป็นรางวัลปลอบใจตัวเอง "แล้วเลี้ยงหมาเป็นไงบ้าง สนุกไหม?"
ลมหายใจที่พ่นรดต้นคอชวนให้รู้สึกจั็กจี้ทำเอาฟาร์คัสพูดเสียงสั่นพร่า
"สนุกกับผีสิ เจ้าหมาพวกนี้มันลืมไปแล้วมั้งว่าข้าไม่ใช่แม่มัน"
ไม่รู้เวรกรรมอะไรนักที่ไม่ว่าเด็กที่ไหนก็มักจะเห็นข้าเป็นแม่เสมอ
ฟาร์คัสคิดอย่างหงุดหงิดแต่ได้ไม่นานนักก็สะดุ้งเฮือกเมื่อถูกกัดเข้าที่ต้นคออย่างแรงซึ่งฟาร์คัสค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นรอยแน่ๆ
"คาร์บิลัส" เรียกเสียงเย็นเยียบ
"ก็ข้านึกไม่ออกนี่นาว่าจะให้เจ้าทำอะไรดี แต่ตอนนี้ข้าคิดออกแล้วนะ" คาร์บิลัสไม่สนใจเสียงเย็นของฟาร์คัส ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรที่ทำให้คาร์บิลัสรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าหนาขึ้น มีภูมิต้านทานอารมณ์หงุดหงิดน่าเอ็นดูของฟาร์คัส
"เจ้าเป็นหมารึไง มากัดคอข้า มันไม่ใช่แผลที่เวทย์จะรักษาได้นะ" ฟาร์คัสสบถพลางใช้มือลูบบริเวณที่แสบๆ คันๆ ด้วยหน้าบูดบึ้ง
"ถ้าเจ้าอยากให้เป็นอีก ข้าก็เป็นได้นะ" คาร์บิลัสหัวเราะ
"..." ฟาร์คัสกลอกตาเซ็งๆ "แล้วจะให้ข้าทำอะไรถ้าไม่เลี้ยงหมา"
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้าง "ก็ให้เจ้าเป็นคนช่วยข้าอาบน้ำแต่งตัวไง ดีใช่ไหมล่ะ หึๆ กว่าข้าจะคิดออกนี่เป็นเดือนเลยนะ"
ปัญญาอ่อนชะมัด ทำไมข้าต้องรู้จักแพะปัญญาอ่อนนี่ด้วยวะ
ฟาร์คัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ทั้งๆ ที่หน้าแดง
"คาร์บิลัส เจ้ามีอยู่ชุดเดียวไม่ใช่เหรอชุดเจ้าน่ะ อีกอย่างเจ้าก็ร่ายเวทย์ใส่ทุกวันไม่เคยเห็นมานั่งจัดอะไรสักที"
"จะยากอะไร ข้าก็เลิกใช้เวทย์แล้วให้เจ้าแต่งตัวแทนไง นี่ไง ข้าฉลาดไหม ฟาร์คัส"
"ข้าไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าเจ้าจริงๆ " ฟาร์คัสถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบทิ้งตัวพิงอกแกร่งอย่างเหนื่อยอ่อน "ไหนๆ ก็มาแล้วพาข้ากลับห้องหน่อยสิ ข้าไม่มีแรงจะเดินแล้ว"
"น้อมรับบัญชาขอรับ"
คาร์บิลัสโน้มหน้าลงจูบริมฝีปากฟาร์คัสซึ่งฟาร์คัสก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรแล้วรวบตัวฟาร์คัสขึ้น ร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายแล้วกระโดดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
----------
ข้างบนแลตึงเครียด ข้างล่างหวานแหวว
เบื่อออ แพะปัญญาอ่อน 55555
กอดทุกคอมเมนต์