ตอนที่ 3
นี่คือสถาน แห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาสู่~ (อีกแล้ว)
ผมยืนมองป้ายประตูห้อง ‘B8002’ มาสักพักใหญ่ๆ นิ่งๆ
คือตอนแรกผมก็คิดว่า ลาแล้วลาลับ ไม่กลับย้อนมา เพราะผมก็ขอบคุณเขาที่ช่วยผมจากการโดยรุมตีไปเมื่อคราวก่อนแล้ว แต่พอหลังเลิกงานเมื่อวานผมก็เห็นกางเกงของเขาที่ผมใส่ออกมาเช้าเมื่อวาน นึกไปนึกมา ก็ยังติดค่าแท็กซี่เขาอีก คิดอีกรอบ ยังทำให้เขาโดนแม่ด่าอีก! orz
ความผิดผมใหญ่หลวงอะครับ ก็เลยระหกระเหินกลับมาที่ห้องนี้อีกครั้งพร้อมกางเกงที่ผมซักมาให้กับมือ แถมแบงค์ยี่สิบอีกหลายใบที่ม้วนเอาไว้เป็นค่าแท็กซี่คราวนู่น
แต่ทำไมผมยังไม่ยอมเคาะห้องสักทีน่ะหรอ
...
คือกลัวโดนด่าอะคร๊าบบบ เมื่อวานก่อนออกจากห้องนี่ หน้าตาเขาเหมือนจะพุ่งมาแดกหัวผมเลย ถ้าผมไม่ใช้สกิลเนียน คิดว่าผมยังมีชีวิตรอดมาเล่าตอนต่อไปให้ฟังอย่างนี้ไหมละคร๊าบบบบ
เพราะไม่อยากเจอหน้าเจ้าของห้องเนี่ยแหละ ผมก็เลยลังเลไม่กล้าเคาะสักที จะมาวันอื่นผมว่าเขาน่าจะทำงาน คงคืนให้ไม่ได้ จะมาคืนตอนกลางคืน ผมก็เลิกงานสี่ทุ่มทุกวัน เดี๋ยวก็โดนหาว่าเป็นผู้ชายขายน้ำอีก (พูดแล้วก็ขึ้น!) ผมก็เลยตัดสินใจว่าวันนี้ วันอาทิตย์ตอนบ่ายเนี่ยแหละคืนของได้ชัวร์สุด!
เอางี้ พอประตูห้องเปิดปุ๊บ ผมก็รีบคืนรีบชิ่งเลยดีกว่า ถ้าท่าไม่ดี ก็โยนม้วนแบงค์ยี่สิบใส่หน้าแม่ง! เนี่ยแหละ เวิร์ก!
ว่าแล้วผมเคาะประตูสามทีเสียงดังฟังชัดแล้วยืนสงบนิ่งให้เจ้าของห้องมาเปิด
...เงียบ
แต่ทว่าทุกอย่างกลับนิ่งสนิท ผมก็เลยตั้งท่าจะไปเคาะอีกรอบ แต่ทันใดนั้นประตูไม้อัดสีขาวก็เปิดแง้มออกเพียงเล็กน้อยเพราะล็อคที่เป็นตัวโซ่ยังคล้องไว้อยู่
“มาหาใครคะ?”
“...” ผมเงียบไม่ตอบ เดินถอยหลังออกมาเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองป้ายประตูห้องอีกทีเพื่อความแน่ใจว่าผมไม่ได้มาผิดห้อง เมื่อแน่ใจว่าห้องนี้แหละห้องเดียวกับที่ผมมาเมื่อครู่จึงค่อยบอกจุดประสงค์แก่ผู้หญิงที่เปิดประตูห้องออกมา “ผมมาคืนของให้คุณตุลย์ครับ”
เธออายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบต้นๆ คราวที่แล้วผมเดาผิดจากแม่เป็นเมีย คราวนี้แหละเมียชัวร์!
“อ๋อ คือว่าตอนนี้คุณตุลย์...”
“ป้าสร้อยอย่าเปิดประตูให้เขาครับ! ครูบอกที่หนึ่งมาแล้วว่า คนขายตัวน่ะ เป็นคนไม่ดี”
ปึด
เส้นเลือดที่หน้าผากของผมปูดโปนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่า ‘คนขายตัว’ ก้มหน้ามองหาเจ้าของเสียงเล็กๆ น่ารักของเด็กชายอายุ 9 ขวบที่กำลังแทรกตัวผู้หญิงที่เรียกว่า ‘ป้าสร้อย’ ออกมาประจันหน้ากับผม แต่เพราะว่าประตูที่เปิดอ้าไว้ มีโซ่คล้องอยู่แง้มได้เพียงเล็กน้อย ผมเลยเห็นใบหน้าท่าทางกวนตีน (ในความคิดของผม) ได้เพียงนิดเดียว
“ว๊าย หนูหนึ่ง พูดอะไรแบบนั้นลูก ขายตัวอะไรกัน” ป้าสร้อยย่อตัวตะครุบปากของเด็กที่ชื่อ ‘ที่หนึ่ง’ ไว้ แต่ผมก็เห็นสายตาของป้าแกที่มองผ่านประตูมาระคนสงสัย
โว๊ยยย! ช่วยไปใส่แว่นแล้วมาดูหน้าผมให้ชัดๆ ครับ! หล่อๆ แบบนี้ ไม่มาขายตัวหรอกครับป้า!
“ฉันไม่ใช่คนขายตัวสักหน่อย ไปเอามาจากไหน?” ผมถอนหายใจยาวก่อนจะพูดกับไอ้เด็กเวร เอ๊ย น้องที่หนึ่งด้วยความใจเย็น
“ที่หนึ่งได้ยินที่ย่าพูดเมื่อวานหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่แล้วจะมานอนค้างบ้านพ่อทำไม!?” มันแว๊ดใส่
ปึด…
ผมนั่งยองๆ ให้สายตาอยู่รระดับเดียวกับไอ้เด็กที่อยู่อีกฝั่งของประตู
หมับ!
สอดมือเข้าไปในช่องแคบๆ ที่ประตูเปิดแง้มเอาไว้แล้วบีบแก้มมันจนปากเป็นสระโอ ผมยิ้มให้ ใช้รอยยิ้มอันสดใสและหัวใจที่สวยงามสื่อความหมาย
‘กูไม่ใช่นางงาม กูไม่รักเด็ก ตอนเด็กๆ กูดูซีอุยด้วย อยากลองกินเด็กอยู่ มึงอยากมาเป็นมื้อแรกกูไหม๊?’
“ฟังพี่เอสคนนี้ดีๆ นะครับสุดหล่อ พี่ไม่ได้ขายตัว คุณย่าของสุดหล่อเข้าใจผิดนิดหน่อย พี่ทำงานขายรองเท้าตอนเช้า ขายหมูกระทะตอนดึก ไม่มีอาชีพเสริมอื่นเข้าใจไหมครับ?” แต่เพราะความเป็นมนุษยธรรมมันค้ำคอผมอยู่ เลยต้องสวมบทเป็นพี่ชายใจดีแล้วค่อยๆ คลายมือออกที่บีบแก้มออก
นี่ถ้าไม่เกรงใจว่ามีป้าสร้อยอยู่ในฉากด้วยจะส่งนิ้วกลางให้รัวๆ
“ไม่ต้องมาพูดเลย ไอ้คนเลว! ไอ้อันธพาล! นิสัยไม่ดี รังแกที่หนึ่ง เด็กตัวเล็กๆ ตาดำๆ อายุแค่ 9 ขวบ!” ไอ้เด็กนั่นไม่สนใจคำพูดแสนดีของผมแต่อย่างใด มันลูบแก้มตุ้ยนุ้ยของตัวเองเบาๆ โดยมีป้าสร้อยคอยปรามเด็กนั่นไว้
อื้อหือ นี่ดีนะครับที่มันยังแค่อายุ 9 ขวบยังรู้คำศัพท์ไม่เยอะ ลองนึกว่ามันด่าผมตอนอายุ 16 สิ รับรองว่าจัดหนัก จัดเต็ม!
“น้องที่หนึ่งครับ”ผมยิ้ม ยังคงยิ้มอย่างงดงามแม้ว่าตอนนี้เส้นเลือดที่หน้าผากของผมจะปูดโปนออกมาแล้วทุกเส้น “น้องที่หนึ่งปากดี ด่าพี่ตอนที่มีประตูกั้นอยู่สินะครับ แบบนี้เรียกขี้ขลาดนะครับรู้ไหม หรือไม่ก็ขี้แพ้ หดหัวเหมือนต่ำ เกิดเป็นผู้ชายต้องวิถีคนจริง เปิดประตูสิ แล้วมาสู้กันสิครับ”
กูจะพามึงไปจุ่มในหม้อแล้วต้มน้ำใส่เส้นมาม่า /กัดฟัน
“ก็เอาดิ! คิดว่าที่หนึ่งกลัวหรอ? ที่หนึ่งไม่ขี้ขลาด ที่เป็นผู้กล้า! อยู่แล้ว” ไอ้เด็กนั่นยุขึ้น รีบเอื้อมไปปลดโซ่ที่คล้องประตูไว้ออก ผมนี่ยิ้มกริ่มเลยครับ เตรียมคว้ามันออกมาสู้รบปรบมือนอกห้อง (เข้าไปในห้องไม่ได้มียังยันต์ป้าสร้อยอยู่)
“เมื่อวานก็ทำเรื่องกับแม่ฉัน วันนี้ยังจะมาตีกับลูกฉันอีกหรอ?”
ชะอุ้ย เสียงนี้...
“อ้าวกลับมาแล้วหรอตุลย์?”
“ครับ” เขาขานรับป้าสร้อย “ไปๆ ถ้าจะตีกันไปตีกันข้างใน เดี๋ยวห้องข้างๆ เขาก็ออกมาด่าเอาหรอก” ประตูไม้อัดสีขาวถูกเปิดกว้างออก ผมที่นั่งยองๆ อยู่ก็โดนเท้าเขี่ย รู้ตัวอีกที่ประตูก็ปิดลงโดยมีผมอยู่ข้างในเสียแล้ว...
ว๊ากกกก!!
“ป้าสร้อยเดี๋ยวป้ากลับเลยก็ได้นะครับ ขอบคุณมากนะครับที่มาดูตอนต้นกับที่หนึ่งให้”
“งั้นป้ากลับแล้วนะจะให้ป้ามาช่วยดูเด็กๆ ตอนไหนอีกก็ไปเคาะห้องบอกได้นะ”
“ได้ครับ” เจ้าของห้องกับป้าสร้อยลากัน หลังจากที่ป้าสร้อยออกจากห้องไปแล้ว ผู้ชายที่มีชื่อว่าตุลย์ก็หันมาทางผมกับเด็กที่หนึ่ง
“เอ้า ตีกันได้เต็มที่ แต่อย่าส่งเสียงดังละ”
“เอ่อ ไม่ครับ เมื่อกี้ล้อเล่...”
“เออ! มาๆ เข้าห้องมาแล้วก็สู้กันเลย ที่หนึ่งไม่ขี้ขลาด ไม่ขี้แพ้ เป็นผู้กล้าอยู่แล้ว” ไม่ทันทีที่ผมจะปฏิเสธไอ้เด็กนั่นก็โพล่งขึ้นมา พร้อมตั้งท่าจดมวยแล้วเรียบร้อย
โอ้โห ตัวยังกับมดทำเป็นใจใหญ่
แต่ผมก็เมินมันนะ หันไปหาเจ้าของห้องที่กำลังถอดสูทปลดเนคไท “ผมแค่จะเอาของ...”
ปึก!
ไอ้เด็กนั่นต่อยผมเข้าที่สีข้าง ถึงแม้แรงมันจะไม่ได้เยอะอะไร แต่ก็ทำให้เจ็บแปลบๆ
ผมกัดฟันกรอด
ทำไมไอ้คุณหลานกับคุณย่าแม่งเหมือนกันเลยว่ะ พ่อกับคุณปู่ไม่สอนหรอว่าแหย่ราชสิงห์ (?) เดี๋ยวก็โดนมันกัดเอาอะ!
หมับ!
ผมกางมือกว้างจับหัวมันแล้วดันสุดแขนเพื่อไม่ให้มันต่อยผมโดน ทีนี้มันก็เลยใช้เท้ายกเตะเลยครับ! แต่ผมก็เอี้ยวตัวไม่โดนอีกเหมือนกัน พอเห็นไอ้เด็กที่หนึ่งนั่นฮึดฮัดทำอะไรผมไม่ได้ ผมก็ทำหน้าเหนือ หน้าเดียวกับที่ให้คุณย่าของมันเมื่อวานพร้อมแลบลิ้นปริ้นตาให้เสร็จสรรพ พอเห็นว่าไอ้เด็กนั่นแผลงฤทธิ์ไม่ได้แล้ว ก็หันกลับไปหาเจ้าของห้องที่หายหัวไปแล้ว
อ้าว...ไปไหนวะ
“คนอะไรขี้โกง! คนเรามันต้องสู้กันอย่างยุติธรรม เท่าเทียมสิ ทำแบบนี้มันขี้โกงชัดๆ” ไอ้เด็กที่ผมผลักหัวมันอยู่ร้องแหกปากโวยวายขึ้นมา
นอกจากประโยคข้างต้นแล้ว มันยังมีคำด่า น่ารักๆ แบบ ‘คนขี้โกง’ ‘นิสัยไม่ดี’ อะไรแบบนี้แถมท้ายมาอีกยาวยืดด้วยนะครับ
“แล้วจะให้ทำไงวะ? จะให้ตัดแขนตัดขาให้มันเท่ากันหรือไง๊?”
“ไม่รู้แหละ ถ้าไม่ยุติธรรมก็ไม่ใช่การต่อสู้! ไม่เล่นกับคนขี้โกงหรอก ไม่แน่จริงแล้วยังมาว่าคนอื่นขี้ขลาดอีก ตัวเองนั่นแหละขี้ขลาด!”
โอ้โห ผมนี่ขึ้นเลย ขึ้น!
หันซ้ายมองขวาก่อนจะเจอกับของเล่นบางอย่างที่ตั้งอยู่ท่ามกลางของเล่นอีกหลายชิ้นหน้าโซฟา ผมชี้นิ้วไปที่ของเล่นนั่นอย่างองอาจ
“ได้มาเลยย งั้นสู้กันเลย เกมดึงแท่งไม้ จะแขนยาว ตัวเตี้ย ขาสั้น หลังค่อม หูหนวกอะไรก็ไม่มีผลทั้งนั้น โอเคปะละ”
“ได้!”
“ได้!”
ผมกับเด็กนั่นเดินตึงๆ ช่วยกันกวาดของเล่นชิ้นอื่นที่อยู่บนพื้นออกไปให้ออกนอกลู่นอกทาง นั่งกันคนละด้านแล้วตั้งแท่งไม้ขึ้น
Fight Start!
โครม!
แท่งไม้ที่ง่อนแง่นร่วงลงขณะที่ไอ้เด็กนั่นกำลังเขี่ยไม้ออก ทันทีที่มันล้มโครมลงผมก็ยืนขึ้นชูมือสองข้าง ดีใจแบบออกนอกหน้านอกตา
“ว๊ายยยย ขี้แพ้นี่หว่า” ผมหัวเราะเสียงดังแบบตัวร้ายในละคร ยิ่งเห็นใบหน้าเจ็บแค้นผมยิ่งยิ้มเยาะ หันตูดโยกไปโยกมาใส่ด้วย “ว๊ายยยย นี่ขนาดของเล่นของตัวเองนะเนี่ย ยังแพ้เลยเอ๊าะ”
“มันเพิ่งจะคะแนนแรกเท่านั้นแหละ ตอนนี้ 1-0! ยังไม่ถือว่าชนะหรอก!”
“คุณน้องที่หนึ่งครับ คุณน้องที่หนึ่งเลือกเลยครับอยากแข่งเล่นเกมไหนต่อ เอามาโลด จำชื่อพี่ไว้นะครับ พี่เอส คนนี้พร้อมไฝว้กับน้องทุกเกม”
“ได้ ต่อมาก็ปาเป้า!”
“ได้!”
“เล่นอย่างอื่นเถอะลูก เดี๋ยวลูกดอกโดนน้อง” เสียงของคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารเยื้องไปทางด้านบนจากห้องนั่งเล่นที่ผมกับไอ้เด็กที่หนึ่งนี่กำลังแข่งกันอยู่ดังขึ้น แต่สายตาไม่ได้ละออกมาจากหน้าจากโน๊ตบุ๊ค ดูเหมือนว่าผมคงจริงจังกับเกมดึงแท่งไม้มากไปหน่อยเลยไม่รู้ตัวว่าเจ้าของห้องมานั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากนั้นผมและไอ้เด็กที่หนึ่งก็เพิ่งสังเกตว่ามีเด็กอีกคนกำลังคลานไปมาอยู่บริเวณห้องนั่งเล่นด้วย
ถ้าจำไม่ผิด ไอ้เด็กแก้มย้วย น่ารักๆ คลานไปมานี่ชื่อ ‘ตอนต้น’ สินะ
“งั้นแข่งไรกันดีอะ อันธพาล”
“ชื่อเอสโว๊ย” ผมแหกปาก
แต่พอเกมการแข่งขันมันหยุดชะงัก ผมก็เหมือนจะดึงสติได้ รีบคว้ามือถือเครื่องเก่าขึ้นมาดูเวลาทันทีอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่าอีกสองชั่วโมงครึ่งถึงจะเข้างาน ก็โล่งอก
“เอาๆ ยังพอมีเวลาจะแข่งอะไรแก้มือก็เอามาโลด บอกแล้วไงไอ้น้อง เกมไหนก็แพ้ ไม่ต้องเสียเวลาแข่งยังรู้เลย ว่าพี่ชนะใสๆ”
“พูดมาก” ไอ้เด็กนั่นทำหน้ามุ่ยพร้อมกับสะบัดหน้าเชิดใส่ผม “เดี๋ยวไปคิดเกมก่อน อยู่ที่นี่แหละ แป๊บนึง!”
“เออ ไปดีมาดี” ผมว่าพลางดูไอ้เด็กนั่นลุกไปที่กล่องของเล่นพลาสติกที่ผมเห็นเมื่อวาน ขุดคุยหาของ เสียงดังแกรกๆ ระหว่างที่ผมกำลังนั่งรอก็มีเสียง ‘ก๊อกๆ’ ดังสอดประสาน ผมหันไปตามเสียงก่อนจะเห็นว่าไอ้เด็กอ้วน (พอนั่งแล้วพุงมายื่นออกมาเยอะมากครับ) ตัวน้อยอายุประมาณหนึ่งขวบกำลังหยิบชิ้นส่วนเลโก้อันใหญ่เคาะกับพื้นกระเบื้อง แต่ถ้าคุณลองตั้งใจฟังอีกจะได้ยินเสียง ‘ต๊อกแต๊กๆ’ จากการพิมพ์คอมฯ จากคุณพ่อตุลย์ที่นั่งอยู่ในครัว
...
ผมเพิ่งสังเกตว่าบ้านนี้มันบรรยากาศแบบว่า...อึมครึม?
คือผมไม่รู้จะบรรยายว่ายังไงอะครับ อึดอัด? คือมันเงียบแบบ เหมือนต่างคนต่างอยู่อะครับ นอกจากไอ้เสียงสามเสียงนี่ในบ้านก็มีแค่เสียงแอร์หึ่งๆ เท่านั้นเอง
...หรือมันเป็นเรื่องปกติของทุกบ้านอยู่แล้ว แต่บ้านป้าผมที่เคยอยู่มันโหวกเหวกโวยวายมากไปเองวะ?
“ฟิ้วววววว” ผมหลุดออกจากภวังค์หลังจากได้ยินเสียงเลียนแบบเครื่องบินจากไอ้เด็กที่เมื่อกี้มันกำลังรื้อกล่องของเล่นอยู่
ไหนบอกจะหาเกมมาแก้มือไงวะ!
แต่ผมก็ไม่ได้แย้งอะไร นั่งอยู่กับพื้น ดูไอ้เด็กที่หนึ่งวางเครื่องบินบังคับวิทยุไว้กับพื้นแล้วหยิบรถบังคับมาไถลเล่นแทน พอเห็นว่าทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ (ซึ่งผมว่ามันอึดอัด) ผมก็ตั้งท่าจะลุกไปหยิบกางเกงกับม้วนแบงค์ยี่สิบที่ยังวางไว้อยู่หน้าห้องมาคืนกับมาใช้หนี้เจ้าของห้อง ที่ยังนั่งพิมพ์งานต๊อกแต๊กหน้าเครียด แต่ขณะที่ผมกำลังจะลุก เด็กอ้วนนามตอนต้นก็คลานไปหาพี่ ใช้มือป้อมๆ ที่มีติ่งห้าอันงอกออกมาจับรถบังคับวิทยุที่กำลังไถลอยู่ไว้
ที่หนึ่งหันขวับมองคนที่มาแย่งของเล่น ตอนต้นก็ทำตาปริบๆ อินโนเซ้นมองกลับไปแต่มือก็ไม่ขยับ
สายตาของสองพี่น้องที่จ้องแบบไม่มีใครยอมใคร แทบจะมีกระแสไฟออกมาจากสายตาของทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อตุลย์ที่มุดหัวอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คก็ไม่รู้สึกถึงศึกสายเลือดนี้แต่อย่างใด
เดี๋ยว! แล้วทำไมกูต้องมาอยู่เป็นกรรมการตรงเน้!
พรึ่บ!
หลังจากที่จ้องกันอยู่ได้สักพัก คนที่เป็นน้องอาศัยจังหวะที่พี่พุ่งความสนใจไปในเกมจ้องตามากกว่าคว้ารถของเล่นไปได้ในที่สุด คนเป็นพี่อ้าปากค้างกับความพ่ายแพ้ที่เกิดสองครั้งติดและจากสองคน กว่าจะหายเงิบไอ้ตัวเด็กอ้วนก็เอารถไป...
เอิ่ม! มันเอารถบังคับวิทยุที่ราคาน่าจะสูงอยู่ไปเคาะกับพื้นกระเบื้องเสียงดัง โครมๆ แล้วคร๊าบบ!
ผมอึ้งแดก
คือถ้าจำไม่ผิดนี่ราคาเป็นพันนะรู้สึก ถ้ามึงจะเอามาเคาะเล่นวัดความแข็งแรงของกระเบื้องแบบนี้ นู่นมึงไปเล่นนกกระดาษไปไอ้อ้วน!
“อย่านะ!” เสียงเล็กๆ ของที่หนึ่งร้องขึ้นก่อนจะชาร์จสกิลใส่น้องช่วยรถบังคับวิทยุที่ถูกกระทำได้ทันท่วงที ในที่สุดรถน้อยกลับมาสู่อ้อมอกของเจ้าของอีกครั้ง
อื้อหือ นี่ขนาดผมไม่ได้ตั้งใจจับผิดนะ ผมเห็นตรงไฟหน้ารถแม่งแตกเลยอะ
“ฮึก...”
เสียงนี้...
“ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”
ไอ้เด็กอ้วนมันร้องครับ!
เกิดมาผมไม่เคยได้ยินเสียงเด็กร้องมาก่อน เลยหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก จะเอาผ้าเช็ดเท้ามาอุดปากมันไว้ก่อนก็ไม่กล้า ผิดกับเด็กอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะรำคาญมากกว่า ไม่ได้สนใจใยดีเสียงร้องจ๊าดังนั้นเลย
“ที่หนึ่งทำอะไรน้องนะ? อย่าไปแย่งของเล่นน้องเขาสิลูก” ผมเงยหน้ามองคุณพ่อตุลย์ที่เดินเท้าเอวเข้ามายังห้องนั่งเล่น มองรถบังคับวิทยุในมือของลูกชายเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ส่งคืนไป
“...”
ผมหันมองไอ้เด็กที่หนึ่งที่มันก็มองหน้าพ่อตัวเองกลับ สายตากับใบหน้านั่นทำให้ผมรู้สึกสะอึกเล็กๆ ในอก เหมือนกับภาพของผมเองที่กำลังซ้อนลงไป ก่อนที่ผมจะเห็นว่าเด็กนั่นก็ยอมเอารถบังคับวิทยุให้อีกคนแต่โดยดีไม่ปริปากพูดอะไร พอเห็นทุกอย่างเรียบร้อยสงบ เด็กตอนต้นเลิกร้องไห้ คุณพ่อตุลย์ก็กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะกินข้าวต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...เมื่อกี้ผมบอกว่าไอ้เด็กที่หนึ่งนั่นก็คืนให้แต่โดยดี โดยไม่พูดอะไรใช่ไหมครับ ถ้ามองเผินๆ ก็ดูเหมือนเป็นเด็กดีที่เชื่อฟังพ่อธรรมดาๆ แต่ถ้ามองหน้าเด็กนั่น มองสายตานั่นก็จะเห็นว่าเขากำลังพูดอะไรมากมาย
ถ้าไอ้แก่นั่น (สรรพนามเปลี่ยนไปตามอารมณ์) มองตาลูกตัวเองสักหน่อย คงไม่ตัดปัญหา ด้วยวิธีปัญญาอ่อนแบบนี้!
ผมมองไอ้เด็กที่หนึ่งที่หันหลังให้น้องตัวเองไปเล่นของเล่นอื่นที่วางระเนระนาดอยู่ที่พื้นสลับกับมองไอ้เด็กอ้วนตอนต้นที่เอารถบังคับวิทยุมากระแทกๆ กับพื้นอีกรอบ
....
หมับ!
ผมคว้ารถบังคับวิทยุที่กำลังจะถูกกระแทกลงพื้นมาจากมือของเด็กตอนต้น แน่นอนตามระเบียบหลังจากที่อึ้งค้างก็ร้องไห้เสียงทันที เล่นเอาพี่ที่หนึ่งกับคุณพ่อตุลย์สะดุ้งกันเป็นแถบๆ
“ร้องไห้ทำไม!? คิดว่าร้องไห้แล้วจะได้ของคืนไหม? ประสาท” ผมว่าไอ้เด็กตอนต้น ไม่สนใจสายตาดุๆ ของตาแก่ ตาลุง ไอ้คุณพ่อมักง่ายที่กำลังจ้องมองตรงมา นำซ้ำผมยังเอารถที่น่าสงสารนั่นไถลไปกับพื้นต่อหน้าไอ้เด็กอ้วนกับพ่อมันด้วย “อันนี้เขาเอาไว้เล่นแบบนี้ ถ้าเล่นไม่เป็นก็ไม่ต้องเล่น พี่เขาเล่นอยู่ไปแย่งมาทำไมละเอ้ออออ”
“แงงงงงงงงงงงงงง ฮึก นื้อออ แงงงงงงงง” ไอ้เด็กนั่นยังแหกปาก
“จะร้องทำไมเนี่ย เกิดเป็นลูกผู้ชายเปล่า โตขึ้นอยากใส่กระโปรงงั้นดิ ถึงได้แหกปากอยู่ได้ อยากเล่นก็เล่นให้มันเป็น เอาไปกระแทกๆ กับพื้นแบบเนี่ย คิดว่ามันราคา 2 บาทไง ไอ้เด็กxxx” คำท้ายนี่ผมแอบพูดเสียเบา คือพูดมากอารมณ์มันก็มาเต็มครับ แต่ลืมไปว่าพ่อแม่งก็อยู่ไง เลยยั้งตัวเองพูดให้ได้ยินแค่ผมกับไอ้เด็กอ้วน
“แงงงงงงงง ฮึก แงงงงงงงงงงง” มันยังร้องอยู่ครับ
“หรือว่าเตรียมตัวกับการเป็นกุ๊ย เป็นนักเลงถึงได้แย่งของๆ คนอื่นตั้งแต่เด็ก” ผมคว้าเลโก้ตัวใหญ่ยัดใส่มือป้อมๆ ของไอ้เด็กตอนต้น “อายุแค่นี้ก็เล่นแค่นี้ไปก่อน ไม่ใช่โจวซิงฉือ อย่ามาเป็นคนเล็กเล่นของเล่นใหญ่ เข้าใจป๊ะ!?” ผมถามเสียงสูง พุ่งหน้าแทบจะไปติดกับหน้าของไอ้เด็กนั่นพร้อมทำหน้าตานักเลงใส่
“แอ๊…”
เอ้า หยุดร้องซะงั้น ไอ้เด็กนั่นเลิกร้องเฉยเลยครับ แถมยังโบกแขนไปมาประหนึ่งว่าตัวเองเป็นผีเสื้ออ้วน ยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับผมเป็นพระอาทิตย์ในการ์ตูนเทเลทับบี้
กูเป็นแบดบอยนะรู้ปะ ตอนนี้โหด จริงจังอยู่ อย่ามายิ้มเดี๋ยวปั๊ด! โบกให้ นึกไม่พอ ผมนี่ง้างมือเลยครับ แต่ผมไม่ได้จะทำจริงนะ! ขู่เฉยๆ ถึงผมจะหล่อแต่ผมก็มีมนุษยธรรมนะครับ! ไม่ดื้อ ไม่โหด ไม่ร้าย!
“ที่นายด่าอยู่ นั่นลูกฉันนะ”
“แล้วก็น้องที่หนึ่งด้วย”
ผมชะงัก เลื่อนสายตามองเจ้าของห้องที่กำลังยืนกอดอกค้ำหัวผมอยู่ก่อนจะเลื่อนมาอีกทางเห็นไอ้เด็กที่หนึ่งกำลังกอดอกมองผมอยู่เช่นกัน
ไอ้เด็กนี่ นี่กูทำเพื่อนมึงนะเนี่ย!
“...”
ผมยืนขึ้น แหวกวงล้อมจากไอ้ครอบครัวห้อง B8002 ไปตรงประตูห้อง มือจับไว้ที่ลูกบิดแน่นพร้อมกับการเปิด ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วคลายออกช้าๆ ระหว่างดูไอ้เจ้าของห้องที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาผม
หน้าตาดุไปอะพี่ชาย
แม้ใจจะหวาด แต่มาดผมยังเนี๊ยบ ว่าแล้วผมก็ลูบผมที่ใส่แว๊กหวีเสยไปด้านหลังหนึ่งที
“เป็นเด็กเป็นเล็กก็ต้องด่าบ้างแหละ ก็มันทำผิดก่อนอะ ไอ้เด็กอ้วนนั่นมันแย่งของเล่นก่อนอะ ไอ้คุณพ่อมันก็ห่วยไง แทนที่จะแก้ปัญหาดีๆ กับใช้วิธีมักง่าย ผมไม่ด่าพ่อมันไปด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว!”
ผมว่าเสร็จ ไอ้คนที่กำลังก้าวย่างสามขุมมาเมื่อกี้แทบเปลี่ยนมาเป็นกระโจนใส่! แต่ผมสกิลสปีดเต็มแม็ก! เปิดประตูออกไปแล้วปิดปัง! คว้ากางเกงกับม้วนแบงค์ยี่สิบแล้วพุ่งตรงลงบันไดทันที ลิฟต์เลิฟต์งานนี้ไม่มีพึ่ง!
งานนี้ขอลาก่อนแล้วกัน ไปละ บรัยยยส์!!
TBCมาแล้วลูกทั้งสองของคุณพ่อตุลย์ น่ารักน่าหยิกเลยใช่ม๊าาา
#daddybelover