-ดีน-
‘จะทำยังไงดีวะ’
ผมกำลังนอนคิดมากเรื่องของไอ้แกน ถ้าหากว่ามันสภาพรักกับผมขึ้นมาจะทำยังไง ขนาดเรื่องอพาร์ทเม้นท์มันยังจัดการเองเสร็จสรรพ ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างนอนไม่หลับ ระหว่างนั้นผมเอื้อมไปหยิบกุญแจห้องของไอ้แกนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง เฮ้อ... ไม่เคยรู้สึกหนักใจแบบนี้มาก่อน
รุ่งเช้าผมตื่นมาแบบไม่สดชื่นนัก ผมแต่งตัวเตรียมไปทำงานเหมือนอย่างที่เคย ระหว่างทางที่ไปทำงานผมไม่เจอไอ้แกน ก็ดี ผมคิดในใจ ก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไว้เป็นอาหารเช้า ผมยังคงใช้รถมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท
พอมาถึงออฟฟิศ ผมเข้ามาที่สตูฯ ทักทายคนในห้องอย่างคุ้นเคย ตอนนี้ทางทีมของผมกำลังทำโปรเจ็คของคอนโดในใจกลางเมือง นับวันคอนโดก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ผมนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเริ่มงาน ปกติตอนเรียนส่วนใหญ่ก็เน้นงานที่ไม่ได้ใช้คอมฯเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่เคยลงเรียนคอมฯออกแบบ ส่วนมากงานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นพวกงานศิลป์ภาพวอลเปเปอร์ ศิลปะสื่อผสม ไอ้พวกออกแบบจัดวางเป็นหน้าที่ของอินทีเรีย กว่าจะได้งานออกมาก็ต้องประชุมแล้วประชุมอีก
“เออ ดีน แบบที่มึงส่งมากูชอบทั้งอันที่สองที่สุดล่ะ มึงลุยงานนั้นเลย”พี่สรหัวหน้าทีมเดินมาที่โต๊ะบอกผม เจ้าตัวจบสายสถาปัตย์มา เก่งมาก งานขายต้องยกให้พี่เขาเลย พี่สรลักษณะเหมือนเด็กสายอาร์ตตามปกติ ดูมีชาติตระกูล ใช้ของมียี่ห้อ หน้าตาตี๋ๆ
“ได้เลยครับ แล้วพี่เสนองานของเฮียพัฒน์ผ่านไหมครับ”ผมค่อนข้างสนิทกับพี่สรพอตัว เพราะความคิด ไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกันเลยคุยกันไม่ยาก แถมยังไม่มาวางอีโก้ใส่ผม อย่างที่เขาว่าต่อให้งานจะแย่แค่ไหนแค่มีหัวหน้าดีๆก็วินแล้ว โชคดีที่เพื่อนร่วมงานของผม ค่อนข้างดี ไม่ค่อยมาชิงดีชิงเด่นอะไร
“อ้อ สบายมาก เสนอไปล้านแปดไอเดียแม่งมาถูกใจกับไอ้แค่แบบง่ายๆ เปลืองน้ำลายสุดๆ”พี่สรส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ พร้อมกับเหล่ตามามองงานในจอคอมฯของผมอย่างสนใจ
“มึงนี่ก็พัฒนาขึ้นเยอะนึกว่าจะเอ๋อไปสักสองสามเดือน ฮ่ะๆ”พี่แกพูดติดตลก
“ได้พี่ๆช่วยนั่นแหละครับ ดีที่ไม่โหดใส่ผมไม่งั้นตายแน่”ผมพูด ซึ่งก็จริงนั่นแหละครับถ้าโหดจริงๆผมคงไม่ผ่านช่วงทดลองงานแน่ๆ พี่สรมาแก้งานผมอยู่หลายนาทีก่อนจะเดินไปทำงานที่โต๊ะประจำของตัวเอง
ตลอดทั้งวัน ทีมของผมก็ทำงานกันจนเสร็จ มาประชุมกันรอบสุดท้ายเพื่อที่พี่สรจะไปเสนองานกับบอสอีกทีหนึ่งก่อนที่จะไปขายงานให้ลูกค้า วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เลิกดึก 2 ทุ่มแล้วผมเก็บของใส่กระเป๋า พวกพี่สรพาไปเลี้ยงข้าวมื้อดึกฉลองที่เคลียร์โปรเจ็คเสร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่พ้นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้า
ไอ้แกนมันไลน์มาหาผม
-เลิกงานดึกอีกแล้ว กูซื้อโจ๊กไว้ให้ถุงนึงแขวนไว้หน้าห้องนั่นแหละ
-สัปดาห์นี้กูไปสัมมนากับบริษัท ไม่อยู่สักพักนะ ฝากให้อาหารปลา แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดนะเว้ย ถ้างงก็โทรหานะ
ผมมองข้อความอย่างจนใจ มันเผด็จการอีกแล้ว
“เฮ้ย ดีน กินเยอะๆนะ เห็นมึงเงียบๆ มีใครดูแลยังวะ”อยู่พี่สรแกก็เอ่ยขึ้นมาแบบนี้ พี่ๆบนโต๊ะก็ขำกันเหมือนเห็นเป็นโจ้กสนุกๆ ผมแค่ยิ้ม
“ขอบคุณครับพี่”ผมรับแก้วเหล้ามาจากพี่สรที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับถ้วยยำทะเลมาจากพี่ๆที่คอยเติมอาหารให้ ผมยังไม่อยากเมาเท่าไหร่
“เฮ้ยนี่ถามจริงๆนะ”พี่สรเอนมากระซิบ ผมหัวเราะ
“มีแต่ภาระแหละพี่”ผมนึกถึงไอ้แกน พี่สรทำหน้าย่น
“แหนะ ข้ออ้างล่ะสิ มึงก็ดูเหงาๆนะ”พี่สรแกพูดให้ผมได้ยินคนเดียว ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เริ่มกรึ่มๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“ไม่หรอกพี่”ผมไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเอง พี่สรแกชอบทำตัวเป็นป๋าเอ่ยปากเลี้ยงเด็กคนนั้นคนนี้ บางทีก็พูดจริง บางครั้งก็แค่แซวสนุกปาก ผมไม่ชอบเป็นหัวข้อเมาท์ของพี่ๆในที่ทำงานหรอก
“ฮึ จะแซะมึงนี่ยากนะ”พี่สรหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ผมเลยค่อยหายใจคล่องหน่อย เข้าใจว่าพี่เขาคงแกล้งไปแบบนั้น ผมไม่ได้ตอบกลับไอ้แกน ส่วนมากมันก็เป็นฝ่ายพล่ามอยู่แล้ว
หลังจากที่ดื่มกันพอประมาณ พี่ๆเป็นฝ่ายเลี้ยงผมก็ปฏิเสธไม่ได้ เลยแยกย้ายกันกลับ พี่สรก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมแล้ว ผมกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ เห็นถุงโจ๊กแขวนไว้ตรงลูกบิด ผมจับดูยังอุ่นๆอยู่ แต่ก็คงนานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่ง5ทุ่มนิดๆเท่านั้นเอง ผมลองไปเคาะประตูห้องไอ้แกน แต่ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรมา
สงสัยว่ามันไปสัมมนาแล้วหรือเปล่า
-ไม่อยู่ห้องเหรอ
-อือ ออกเดินทางกับรถของบ. ทำไมเหรอมึงไปหากู?
-เปล่า เห็นห้องเงียบๆ
-อือ อย่าลืมนะ ไม่เข้าใจโทรหาได้
ผมอ่านข้อความของไอ้แกนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เอาโจ๊กไปอุ่นให้ร้อน ก่อนจะเดินไปดูปลาของไอ้แกนซะหน่อยไม่รู้ว่ามันให้อาหารทิ้งไว้หรือเปล่า ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องของมัน ก่อนจะเปิดไฟ ภายในห้องเงียบกริบ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลา เห็นว่าพวกมันสบายดี มีร่องรอยการให้อาหารไว้ ทั้งสามตู้ ผมก้มไปดูปลากัด มันเหมือนนอนมากกว่า ผมเห็นกระดาษที่แปะไว้ข้างๆตู้
-ถ้าเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดแล้ว อย่าลืมเอาไรแดงในห้องน้ำให้มันกินด้วยนะ
ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ เลยเดินไปดูในห้องน้ำ เห็นว่ามีถังน้ำขุ่นๆที่เหมือนมีตัวอะไรเล็กๆเหมือนฝุ่นลอยเต็ม ไรแดงสินะ ผมถอนหายใจ เลี้ยงปลาพวกนี้ก็ลำบาก ไม่รู้มันจะหางานให้ตัวเองทำไม
ผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง รู้เหนื่อยล้าขึ้นมา ผมอาบน้ำก่อนจะจัดการกับโจ๊กนั่นจนหมด มาคิดดูอีกที เหมือนไอ้แกนมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ
เฮ้อ เวลาแบบนี้มีพี่กัสอยู่ด้วยก็น่าจะดี ‘ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่เหงา’ พี่กัสต้องตอบผมมาแบบนี้แน่ๆ พอนึกแบบนี้ได้ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพี่กัส เจ้าตัวใจแข็งจริงๆไม่ยอมบอกอะไร แค่บอกว่าอยู่เมืองเบงเกวตแค่นั้น
ผมไม่สามารถติดต่อพี่กัสได้ มีแค่อีเมล์เท่านั้นแหละ เวลาที่ฟิลิปปินส์น่าจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ผมส่งอีเมล์ไปหาพี่กัส ‘ตอนนี้พี่ทำอะไรอยู่ พี่ตองก็ไม่ยอมบอกอะไรแค่บอกว่าพี่สบายดี น่าจะติดต่อหาผมบ้างนะ...’ผมเขียนข้อความไปไม่ยาวมาก ส่วนใหญ่ก็เล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายได้อ่าน ไม่รู้จะเปิดอ่านหรือเปล่า ผมกดส่งเมล์ไปจนได้ ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พี่กัสคงหลับ นั่นสิ ต้องเลี้ยงลูกคงเหนื่อย
ผมนอนไม่หลับ
-กลับถึงห้องหรือยัง?
ไอ้แกนส่งไลน์มาหา ผมมองข้อความนั้นก่อนจะถอนหายใจ
-อืม กำลังนอน
ผมพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนจะหลับตาลง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีก
-ฝันดีนะ
ผมจ้องข้อความนั้นอย่างใจลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างมันถึงต้องมาอดทนกับผมมากขนาดนี้ จะตอบว่าชอบก็เกินไปหน่อย ‘แย่ล่ะ คิดเรื่องของมันอีกแล้ว’
พอกันที ผมจะเลิกคิดเรื่องของไอ้แกนดีกว่า
...
หนึ่งสัปดาห์ที่ไอ้แกนไปสัมมนากับบริษัท ผมรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก เพราะต้องมาดูแลปลากัดของมันน่ะสิ ไอ้ปลาหางนกยูกน่ะเลี้ยงง่าย แค่ให้อาหาร แต่ปลากัดต้องดูแลมันหน่อย เปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนต้นไม้เพราะไม่งั้นมันจะเน่า
จนกระทั่งครบหนึ่งอาทิตย์ที่ไอ้แกนหายหัวไป ผมกลับมาอยู่ที่ห้อง เพราะมันบอกจะกลับมาวันอาทิตย์
ผมเลยใช้เวลาช่วงเช้าลองทำเครปเค้กชาเขียวดู เปิดขั้นตอนในเน็ตเอาเพราะผมเองก็อยากกิน ระหว่างที่เตรียมส่วนผสม โทรศัพท์ก็สั่นเพราะมีสายเข้า ผมหยิบออกมาดู แล้วก็ต้องแปลกใจปนตื่นเต้นเพราะเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศ มีคนอยู่คนเดียวนี่แหละ
“สวัสดีครับ ดีนพูด”ผมรับสาย ในใจขอให้เป็นพี่กัส
[หวัดดีเว้ย นี่พี่กัสเองนะ ดีใจล่ะสิ] ปลายสายเป็นเสียงของพี่กัสจริงๆด้วยล่ะ ผมวางของในมือลงก่อนจะเดินไปนั่งคุยแทน รู้สึกหลากหลายทั้งดีใจ โกรธ ปนกันไปหมด
“พี่นี่ใจร้ายจริงๆ เงียบหายไปนานมากๆ ถ้าผมไม่บ่น พี่ก็จะไม่ติดต่อมาเลยสินะ”
[โทษทีๆ อย่าโกรธกันน่า ฮ่ะๆ มึงโกรธพี่จริงเหรอดีน ]
“ก็นิดหน่อย ก็พี่หายไปเลยนี่”แล้วมาบอกผมว่าติดต่อมาได้ตลอด แต่เจ้าตัวก็หายไปเข้ากลีบเมฆ
[พอดียุ่งๆน่ะ พี่ยุ่งจริงๆนะ]
“ครับ เข้าใจนั่นแหละ แต่ก็น่าจะบอกกันหน่อย ผมไม่ไปรบกวนพี่แน่ๆ”
[น้อยใจเหรอ ขอโทษเว้ย พอดีช่วงนี้กูกำลังเรียน BFA (Fine Art) ที่เกซอนซิตี้อยู่น่ะ] ผมฟังแล้วก็ดีใจกับอีกฝ่ายที่กลับไปเรียน แถมยังเรียนอินเตอร์อีกต่างหาก
“จริงเหรอ ก็ดีเลยสิพี่”
[อืม จะว่าดีก็ดี แต่เหนื่อยมาก เพราะมันอยู่คนละเมืองกัน ก็เลยลำบากกันนิดนึง แล้วมึงโอเคนะเว้ย] เหมือนพี่กัสไม่อยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่ เลยเบนมาที่ผมแทน
“ก็สบายดีแหละพี่ ทำงานก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”
[เออ มีเรื่องอะไรก็เขียนมาเล่าให้รู้บ้างนะ กูก็เปิดอ่านตลอดนั่นแหละ ถ้างั้นก็วางสายก่อนนะ...ไว้ว่างๆจะโทรหาใหม่ แต่ไม่ต้องรอนะเว้ย คงอีกนาน]
“โอเคครับ”คุยกันไม่นาน พี่กัสก็วางสายไป ในเมื่อเจ้าตัวได้เริ่มต้นใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี ผมเดินกลับมาทำเครปเค้กต่อ มันจะยากก็เวลาที่ทอดแผ่นเครปนั่นแหละ หน้าตาออกมาไม่น่ากินเท่าไหร่ ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง พอหันครึ่งซีกแล้วก็หน้าตาใช้ได้อยู่ ยังไม่ได้ลองชิมเลยด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมเดินไปเปิดประตู ก็เจอไอ้แกนยืนอยู่ ในมือมันถือของฝากจากเมืองเหนือ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“ของฝากไง”มันยื่นให้ผมถือ แต่ตัวมันกลับเบียดเข้ามาด้านใน ผมชะงักเมื่อเห็นมันเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ที่ตกใจกว่านั้นคือ รอยสักบริเวณท้ายทอยของมัน ผมเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ผมรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี ผมปิดประตู ก่อนรีบเอาถุงของฝากทั้งอาหารแห้งและของที่ระลึกไปวางไว้ที่โต๊ะ
“มึงทำอะไร”ผมถามมันเสียงดัง ไอ้แกนแค่ไหวไหล่ ก่อนจะยืมกอดอกมองผมด้วยสายตานิ่งๆ
“ทำอะไรล่ะ”
“มึงสักเหรอ”
“เออ สักชื่อมึงไง”มันตอบอย่างชัดเจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ไอ้แกนเดินเข้ามาใกล้ผม
“เพื่ออะไรวะ”ผมอยากถามว่ามันต้องการอะไรต่างหาก ไอ้แกนแค่แค่นเสียงอยู่ในลำคอ มันเหลือบมองมาที่ผม จ้องมองอยู่นาน จนผมเริ่มอึดอัดเลยเสไปมองทางอื่นแทน
“มึงดูแลปลาของกูดีหรือเปล่า”มันเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ทำตามที่มึงบอกนั่นแหละ”ผมตอบมันห้วนๆ
“...มึงสักชื่อกูได้ ไม่ถามกูสักคำ แล้วทำไมกูถึงจะสักชื่อมึงบ้างไม่ได้ล่ะ”ไอ้แกนวกกลับเข้าเรื่องตามเดิม คำตอบของมันทำให้ผมอึ้งไป มันคิดบ้าอะไรของมัน
“มันไม่เหมือนกัน มึงก็น่าจะเข้าใจ”
“อืม ก็เข้าใจ แต่กูต้องขออนุญาตมึงก่อนเหรอไง”มันถามอย่างท้าทาย ก่อนจะก้าวมาหาผม ผมผงะออกตามสัญชาติญาณ ไอ้แกนแค่หยักยิ้มออกมา
“มึงออกไปได้แล้ว”ผมไล่มันไปเพราะไม่อยากเห็นหน้ามันอีก
“อืม กูไปอยู่แล้ว แต่มึงเอานี่ไปใช้ด้วย”ไอ้แกนมันหยิบซองสีน้ำตาลที่ดูนูนๆเหมือนมีของอยู่ด้านใน ผมมองอย่างไม่วางใจ ผมไม่รับของจากมัน
“เอาไปเถอะน่า”มันหัวเราะเยาะ ผมรับมาถือสัมผัสน้ำหนักเหมือนมีหลอดครีมหรืออะไรสักอย่างอยู่ด้านใน ผมเหลือบไปมองมัน
“ลองเปิดดูก็ได้ จะได้ด่ากูตอนนี้เลยเป็นไง”ไอ้แกนทำท่ากวนประสาท มันกอดอกมองผมด้วยท่าทีสบายใจ ผมเม้มปากข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ก่อนจะแกะซองสีน้ำตาลออก พอเปิดออกมา เป็นหลอดครีม Extreme Tattoo Care ผมนิ่งงัน
“เพื่ออะไร”
“กูเพิ่งสังเกตุว่ารอยสักมึงมันเริ่มจาง กูไม่อยากให้มึงต้องไปย้ำสีอีก ตรงๆก็ไม่อยากให้ชื่อกูจางลงไปเรื่อยๆหรอกว่ะ”คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกประหลาด ไม่ได้ตกใจ แต่วิธีการที่มันแสดงออกทำให้ผมทึ่งอยู่เสมอ
“มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ มึงสนุกรึไงวะ”ผมมองหน้ามัน
“ไม่นี่ กูแค่เป็นห่วงมึงเท่านั้นเอง มาตอนนี้แล้วมึงยังตะขิดตะขวงใจอะไรอีก ทำไมมึงไม่ทำตัวเหมือนปกติ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่หว่า”ไอ้แกนพูด แววตาดุดันคู่นั้นสะท้อนประกายความรู้สึกบางอย่าง โกรธผมที่ไม่เข้าใจตัวมันงั้นเหรอ
“มึงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก”ผมพูด คงไม่มีทางที่ผมจะเป็นแบบนั้นกับมันได้แน่ๆ การเป็นเพื่อนมันง่ายกว่าเยอะ
“กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ”ไอ้แกนพูด ผมมองหน้ามัน ใช่ มันไม่เคยพูดออกมาอยู่แล้ว แต่มันหน้าด้านที่จะแสดงออกมาในทำนองนั้น
“เออ ช่างเถอะ มึงกลับไปได้แล้ว”ผมบอก ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย
“กูสักชื่อมึงไว้ไม่ใช่เพราะกูอยากจดจำมึงหรอก... กูแค่อยากให้มึงเห็นก็เท่านั้นแหละ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะ ที่เห็นชื่อตัวเองบนตัวคนอื่น”ไอ้แกนพูดอย่างไม่ลดละ ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังพูดด้วยอารมณ์ไหน ที่มันพูดผมก็ไม่เคยเก็บเอามาคิดจริงๆจังๆในมุมของมันหรอก ว่ามันรู้สึกยังไงเวลาเห็นชื่อตัวเองบนตัวผมน่ะ...
“มึงเลิกกดดันกูได้ไหม”
“ช่างเถอะ กูก็คิดอยู่แล้วไม่มีทางได้คำตอบจากมึงแน่ๆ”มันพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องของผมไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งออก ก่อนจะมองครีมในมือ ความหมายก็ตรงตามชื่อนั่นแหละ ไว้สำหรับดูแลบำรุงเพื่อให้รอยสักสีสดและใหม่ ตั้งแต่ผมสักชื่อมัน ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้ต้องการความสวยงามนี่ มาตอนนี้ก็จางลงกว่าเดิมแล้ว
ผมเก็บของในครัว รู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไป
แล้วมันรู้สึกยังไงกันล่ะ? มันเองก็ไม่เคยบอกผมสักครั้ง
...
ตั้งแต่วันนั้น ไอ้แกนก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ตอนเช้าแค่เจอกันหน้าอพาร์ทเม้นท์มันไม่ได้คุยกับผม มันโกรธงั้นสิ ผมนึกย้อนดูแล้วมีตรงไหนที่ผมไปทำให้มันโกรธ อีกอย่างก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมด้วย ช่วงที่ผมอยู่ที่บริษัท พี่สรก็เหมือนคนละคนกับเวลาเหล้าเข้าปาก พี่แกก็สุภาพตามปกติ ผมไม่เก็บมาใส่ใจ บางวันทีมของผมก็ออกไปเก็บงานข้างนอก ก็เหมือนได้ออกไปเปิดหูเปิดตา
ดูเหมือนว่าไอ้แกนจะหายหน้าไปจากผม รู้สึกเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นไปแล้วนั่นก็คือช่วงที่ฝึกสหกิจตอนปี4 มันก็หายไปสักพัก พอกลับมาก็มาวุ่นวายกับผมต่อ ผมเดาอารมณ์มันไม่ถูกหรอก
“ดีนๆ ลองไปดูไอ้แกนหน่อยสิ มันดีขึ้นหรือยัง”ลุงเปาเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยอพาร์ทเม้นท์พูดขึ้นมา เมื่อผมออกมาซื้อน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับขนมปังสังขยา
“ทำไมหรอครับ”ผมแปลกใจ
“ก็เมื่อสองสามวันก่อน ไอ้แกมมันดูหงอยเป็นหมาป่วยเลย มันมาซื้อน้ำเต้าหู้ ท่าทางคงป่วยมั้ง”
“มันป่วยเหรอครับลุง”ผมถามงงๆ ไม่คิดว่ามันจะป่วยจริงๆ
“คงอย่างนั้นแหละ สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ แกก็อยู่ชั้นเดียวกับมัน ลองไปดูมันหน่อยสิ ไม่ใช่ว่านอนขึ้นอืดอยู่ในห้องนะ ฮ่ะๆ”ลุงเปาพูดติดตลก ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เลยลองไลน์ไปหามันดู
-ไม่สบายหรือไง
มันไม่อ่าน จนผ่านไป10 นาทีก็ยังไม่อ่าน ผมเองก็ยังไม่ได้ไปเคาะห้องมันดูเผื่อว่ามันจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ผมหยิบกุญแจห้องของมันพร้อมกับน้ำเต้าหู้ไปด้วย ผมเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านในห้อง พอเปิดประตูเข้ามา ภายในห้องมืดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟบวกกับเป็นเวลาพลบค่ำตะวันตกดินแล้ว
“ไอ้แกน”ผมลองเรียกดู มันอยู่ห้องแน่เหรอ ทำไมเงียบ ผมเดินเข้าไปที่ห้องนอนของมัน บนเตียงปรากฏรอยยับย่นมีร่องรอยการนอนของเจ้าของเตียง ผมเดินไปเปิดไฟ ในห้องสว่างวาบ เดินไปดูที่ห้องครัว ห้องน้ำก็ไม่มี ผมกะว่าจะโทรหาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของมันวางอยู่บนโต๊ะ
‘คงไม่อยู่ห้อง’ผมคิดแบบนั้น ตั้งใจจะกลับ แต่สายตาดันไปสะดุดกับกลุ่มควันบางเบาที่ด้านนอกระเบียง เพราะเป็นกระจกสีดำ ตอนแรกจึงไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้น ผมถอนหายใจแรง ไอ้แกนนั่นเอง มันนั่นสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก
ผมเลื่อนประตูกระจกออก ก่อนจะก้าวออกมานอกระเบียง ไอ้แกนนั่งอยู่บนพื้น ข้างๆกายมันมีกระป๋องเบียร์4-5กระป๋อง สภาพก็เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำ
“กูนึกว่ามึงตายหรือป่วยซะอีก”ผมพูด
“แล้วมึงแคร์ด้วยหรือไง”มันย้อนผมกลับมา เพิ่งเห็นว่ามันเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมากกว่าเพราะมันไม่ได้โกนหนวดเลยด้วยซ้ำ
“อย่ามาเล่นลิ้น กูนึกว่ามึงป่วยเลยซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ มึงแดกอะไรหรือยัง”ผมถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมา ทำให้อารมณ์พุ่งปรี๊ด
“มึงได้ยินหรือเปล่า...เรื่องของมึงเถอะ กูกลับล่ะ”ผมบอกทิ้งท้ายก่อนจะจับประตูเลื่อนออก
“ดีน...”มันเรียกชื่อผม ไม่เคยชินที่ไอ้แกนเรียกแบบนี้สักครั้ง
“มีอะไร”ผมหันกลับมามองมัน ไอ้แกนดับบุหรี่ขยี้มันลงกับพื้นห้องจนมอดดับไป มันเงยหน้ามองผมนิ่งๆ
“ที่จริงกูก็เหมือนคนป่วยนั่นแหละ”มันพูด
“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำกินยาสิวะ”
“ทำไมวะ มึงเป็นห่วงกูจริงๆเหรอวะ หรือแค่ได้ยินลุงเปาพูดถึง”มันพูดเหมือนรู้ดี
“แล้วไง”
“ตอบมาสิ”
“กูก็นึกว่ามึงจะตายซะก่อน เห็นหายหน้าหายตาไปหลายวัน ตกลงมึงแค่อยากประชดชีวิตใช่ไหมวะ”อยู่ผมก็เหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ ช่วงที่ผมเมานั่นแหละ อนาถพอกัน
“งั้นเหรอวะ”
“มึงไปอาบน้ำดีกว่า งั้น—เดี๋ยวกูไปซื้ออะไรให้มึงกินเอง”ผมลองทำใจดีดูบ้าง เผื่อมันจะลุกจากสภาพเน่าๆนี่เสียที
“เหลือเชื่อแฮะ ไอ้ดีนจะเป็นห่วงกู”
“เออ กูเป็นห่วง ถ้าเกิดมึงตายกูคงรู้สึกผิด”ผมบอกมัน ไอ้แกนแค่เงียบไป ผมเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง ก่อนจะเดินออกจากห้องของมันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มันเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
เมื่อบอกว่าจะซื้อข้าวให้มันกิน ผมจำต้องไปซื้อข้าวต้มทรงเครื่องจากร้านข้างๆอพาร์ทเม้นท์มาสองถุง เผื่อว่าตัวผมอาจจะหิวขึ้นมากลางดึก และแวะซื้อยาพารามาหนึ่งแผง ไม่รู้ว่ามันป่วยจริงหรือป่วยปลอม ผมกลับมาที่ห้องของไอ้แกน ได้ยินเสียงอาบน้ำมาจากห้องน้ำ ผมถอนหายใจ ก่อนจะจัดการเทข้าวต้มใส่ถ้วยให้มัน เพิ่งนึกขึ้นได้ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลากัด เห็นว่ายังอยู่ดี เลยหย่อนอาหารปลาไปให้พวกมัน ขนาดท่าทางเหมือนคนไร้วิณญาณมันก็ยังอุตส่าห์ดูแลปลาพวกนี้อยู่
ไอ้แกนอาบน้ำเสร็จ มันมองผมแวบเดียวก่อนจะเดินไปแต่งตัว ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะกลับห้องตัวเองดีไหม ในเมื่อมันก็กลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว
“อยู่ด้วยกันสิ มึงซื้อมาสองถุงไม่ใช่เหรอ ก็กินมันด้วยกันนั่นแหละ”มันบอก ผมนิ่ง กำลังประมวลผล แต่ไอ้แกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเลยเซ็งๆตาม คงไม่เสียหายอะไร ผมเดินไปหยิบถ้วยมาแกะถุงข้าวต้ม สายตาดันไปเห็นไอ้แกนกำลังสวมเสื้อยืด ผมเห็นรอยสักตัวอักษร DEEN ที่ท้ายทอยเริ่มชัดเจนขึ้นเยอะ มันหยิบครีมมาทาบริเวณรอยสัก ปกติเวลาสักใหม่ก็ต้องบำรุงอยู่แล้ว เพราะมันจะตึงและแห้ง ลดอาการคันได้มาก
ไอ้แกนเดินมาหาผมที่โต๊ะกินข้าว ผมเงียบ ทำเป็นไม่สนใจมัน
“ขนาดรอยสักมึงกูยังดูแลดี”มันพึมพำ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“หายบ้าแล้วเหรอวะ”
“หึ เลิกพูดเถอะ”มันไม่เถียง แค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้ม ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่
“ตกลงมึงป่วยหรือเปล่า”
“ป่วย...แต่หายแล้ว”
“จริงเหรอ”
“เออ หึ ถ้ากูรอมึงจริงๆก็คงได้เน่าคาห้องไปแล้วนั่นแหละ”มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผมรีบจัดการข้าวต้มจนหมด เห็นไอ้แกนหยิบยาในลิ้นชักออกมากิน มันป่วยจริงๆนั่นแหละ ยังจะมาทำปากแข็ง ผมมองเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว 4 ทุ่มนิดๆ
“งั้นกูกลับล่ะนะ หัดดูแลตัวเองบ้าง”มัวแต่ดูแลปลาอยู่ได้ ผมมองไอ้แกนค่อยล้มตัวนอนบนเตียง มันมองหน้าผม ก่อนจะเรียกให้เข้าไปหา ผมลังเล
“มาเถอะน่า ไม่ทำอะไรหรอก”มันบอก ผมเลยเดินไปหาไอ้แกนที่นอนอยู่บนเตียง
“อืม ว่ามาสิ”ผมรอให้มันพูด
“มึงจะใจดีกับกูบ้างไม่ได้หรอดีน”
“นี่กูก็ใจดีแล้วไง”
“มึงยังชอบพี่กัสอะไรนั่นอยู่เหรอ”อยู่ๆไอ้แกนก็พูดถึงพี่กัสขึ้นมา ผมมองมันแล้วส่ายหน้า กับพี่กัส ผมแค่หวังให้เจ้าตัวมีความสุขก็เท่านั้น ผมยังเคารพพี่แกเสมอไม่เปลี่ยน
“เปล่า ไม่ได้ชอบ ก็แค่เป็นพี่”ผมบอกมัน ไอ้แกนเงียบไป
“งั้นเหรอ...แต่คนๆนี้มีอิทธิพลต่อมึงมากนะ รู้ตัวหรือเปล่า”
“อืม แต่ตอนนี้ไม่แล้วนี่ พี่แกก็ไปอยู่กับครอบครัวแล้ว”ผมบอกมัน เพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ไอ้แกนกัดปากเหมือนคิดอะไรอยู่
“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะดีน...”ผมไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ มันคว้าแขนผมให้นั่งลงบนเตียง แถมยังไม่ปล่อยมืออีกด้วย ผมจ้องมันเขม็ง รับรู้ถึงแรงที่กำรอบข้อมือของผม มือของมันหยาบตามปกติของผู้ชายที่ทำงานหนัก
“ว่ามาสิ”
“ให้กูอยู่ข้างๆมึงไม่ได้เหรอวะ...”
ผมนิ่งงัน ไม่ได้ตกใจ เพราะผมคิดว่าสักวันมันต้องทำตัวบ้าๆแบบนี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังเรียกร้องอะไร ในเมื่อครั้งสุดท้ายมันเคยพูด
“กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ” ตอนนี้มันพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาแล้ว
“เพื่ออะไร”ผมถาม เหมือนทุกครั้ง ว่าเพื่ออะไร?
“เพื่อตัวกูเองแหละ มึงก็รู้ว่ากูมันคนเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอวะ กูหน้าด้านใช่ไหมล่ะ”
“เออ”
“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กูแค่—ให้กูได้อยู่ข้างๆมึงแบบนี้ไง มึงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก”ไอ้แกนพูด สีหน้าดูสับสน ผมยังเคยคิดว่ามันกำลังสับสนมากกว่า เพราะหลายปีที่ผ่านมามันคอยตามผม ที่จริงผมกับมันก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆเท่านั้น
“มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าคิดแบบนี้จริงๆน่ะ”
“กูไม่ได้โง่นะเว้ย แล้วก็ไม่ใช่เด็กๆที่แยกไม่ออกว่ากูรู้สึกยังไงกันแน่”มันยังคงดึงดัน
“...มึงรู้สึกยังไงเหรอ ที่เห็นกูสักชื่อมึงน่ะ”ผมถาม เพราะยังไม่เคยได้คำตอบเผื่อว่าอะไรๆจะดีขึ้น ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะไปในทิศทางไหน ผมไม่เคยคิดว่าไอ้แกนกับผมจะเป็นแบบไหน จะเดินหน้าไปยังไง ผมแค่เห็นว่ามันเป็นตัวอันตราย ก็แค่นั้น
ไอ้แกนดูแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ แน่ล่ะสิ
“...ก็...บอกไม่ถูกหรอก ลึกๆแล้วก็ควรจะรู้สึกไม่ใช่เหรอ ก็คงแปลกๆมั้ง มึงเกลียดกู แต่สักชื่อกูไว้ หึ กูควรรู้สึกยังไงเหรอ...”
“...”ผมเงียบ ปล่อยให้มันพูดไป
“กูเสียใจมากกว่า ที่มึงเกลียดกูขนาดนั้น ถึงกับสักชื่อกูไว้”มันพึมพำ เบนหน้าไปทางอื่นแทน มือที่จับแขนผมไว้คลายออก ผมนั่งนิ่ง มันก็ถูก
“อือ ก็เคยเกลียด”
ไอ้แกนหันกลับมามองผมอีกครั้ง ถ้าตาไม่ฝาดเหมือนว่ามันจะ...นั่นน้ำตาหรือเหงื่อกันล่ะ
“ทำไมมึงใจร้ายจังวะ”อยู่ๆมันก็พูดขึ้นมา อาจจะหมายถึงผมพูดไม่ดีกับมันสินะ ผมไม่ได้เกลียดมันเท่าเมื่อก่อน ก็แค่เฉยๆ มันคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก
“กูว่ากูใจดีกับมึงแล้วนะ”ผมบอก ถ้าเกลียด ผมไม่มีทางมานั่งกับมันแบบนี้แน่นอน
“ขอบคุณ”
“อือ”
“กูพูดจริงๆนะ”มันบอก ผมพยักหน้า “เออ กูเข้าใจ”
“เรื่องที่ขออยู่ข้างๆมึง”ไอ้แกนจ้องผม
“อืม”
“มึงรู้สึกยังไงล่ะ”มันถามเสียงห้วนในแบบของมัน
“ไม่รู้...กูควรรู้สึกยังไงดีล่ะ”ผมพูด
“กูถึงได้บอกว่ามึงใจร้าย ไอ้ดีน”
“กูกลับห้องดีกว่า มึงเริ่มเพ้อแล้ว”ผมลุกขึ้นยืน มองไอ้แกนที่นอนนิ่ง สายตาจับจ้องมาที่ผม ‘เมื่อไหร่จะเลิกจ้องซะที’ผมคิดในใจ ถ้าเป็นปลากัดคงออกลูกเป็นพรวนแล้วล่ะมั้ง ชักเพี้ยนล่ะ ปลากัดตัวผู้ก็ต้องกัดกันสิวะ
“ตอนเช้าให้กูไปส่งนะ”มันบอก
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะว่ะ”
“เออ กูหายแน่ รับปากมาสิ”มันสั่งสินะ ให้ตาย มันกำลังขอให้ผมไปกับมันแต่ดูรูปประโยคสิ
“อือ กูไปได้หรือยัง”ผมหันหลังเดินออกจากห้องของมันน่าจะดีที่สุด
“ขอบใจนะเว้ย ดีน”ไอ้แกนตะโกนไล่หลัง
ผมปิดประตูห้องไอ้แกนลง ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ‘เฮ้อ อึดอัดเป็นบ้า’ ผมทุบที่หน้าอกสองสามที พอคิดไปคิดมา ลุงเปาร้านน้ำเต้าหู้ต้องโดนไอ้แกนติดสินบนแน่ๆ ไอ้แกนมันก็ไม่ได้ป่วยมากมายอะไร แค่ทำสำออยเพื่อให้ผมเข้าไปหานั่นแหละ
อืม...แต่มันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ยังไปหา
“น่ากลัวจริงๆนะ”
ไอ้แกนน่ะ ------------ The End ------------
มาแล้วจ้า สำหรับบทสรุปของทุกคู่
คู่หลักอย่างท็อปสองก็ปล่อยให้หวานกันไป
ส่วนอีกสองคู่ถือว่าเป็นไปตามนั้นล่ะกันเนอะ
สำหรับนิยายเรื่องนี้ถือว่าจบอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ เราจะไม่มาอัพต่อล่ะค่ะ
ยังไงก็ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกๆคนทั้งหน้าเก่า เราจำได้หมดเลยนะ
รวมถึงหน้าใหม่ที่เข้ามาอ่าน หรือทิ้งคอมเม้นไว้ สำหรับนักเขียนแน่นอนแหละว่ามันถือเป็น
กำลังใจเล็กๆน้อยๆให้เรามีแรงผลักดันในการปั่นนิยาย
สุดท้ายนี้สามารถติดตาม ข่าวสารการรวมเล่มได้ที่แฟนเพจของ สนพ. ได้เลยค่ะ
>>> Rainynightpublishing<<< >>> คลิ๊กแฟนเพจของเราเองค่ะ RindadaRin <<< ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกันในเรื่องถัดไป แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้เน้อ
ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ รักนะ