ท่าเรือที่ 10
อาการเหมือนคนเมาเรือ
ม.ยูน่ารัก พร้อม!
พร้อม!
3….4..!
ม.ยูน่ารัก น่ารักเวลาลงเล่น ม.ยูใจเย็นๆ เวลาลงเล่น น่ารัก น่ารัก
“น้องซัน การ์ดตกค่ะ”
“น้องว่าน ดูโซนด้วย”
“งั้นเดี๋ยวพี่ขอ ม.ยูน่ารักอีกรอบนะ มาค่ะ เต็มที่นะทุกคน”
“คร้าบบบบบ/ค่าาาาาา”
เสียงตอบรับประสานกันอย่างพร้อมเพรียง แต่คนขานแต่ละคนนี่อยู่ในสภาพที่ อืม แย่มาก ก็จะไม่ให้มีสภาพนี้กันได้ยังไงล่ะครับ เพราะเราซ้อมลีดกันมา 3 ชั่วโมงแล้ว เต้นเพลงเดิมมานับรอบไม่ถ้วน ผมนี่การ์ดตกแล้วตกอีก ฮืออออ ก็มันเมื่อยอ่ะ ผมก็เข้าใจพี่เขานะว่าอยากได้ความพร้อมเพรียง ความเป๊ะ แต่ด้วยความอ่อนล้าจากการซ้อมที่สะสมมาเป็นเวลาหลายวัน ก็พลอยทำให้แต่ละคนไม่สามารถตั้งการ์ดไปได้ดีกว่านี้แล้ว มันเป็นธรรมดาของมนุษย์จริงๆ ที่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ถูกระบุไว้ว่า ‘สุดท้าย’ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ที่สิ่งนั้น อย่างเช่นวันนี้ ที่เป็นการซ้อมลีดวันสุดท้ายก่อนที่พี่ๆจะหยุดพักให้พวกเราไปอ่านหนังสือ ใจแต่ละคนก็คงจดจ่อที่เวลาเลิกซ้อมแล้วแหละ
“รอบเมื่อกี้ดีแล้วนะคะ แต่พี่ขออีกรอบนะ” พี่ดรีมเอ่ยปากชม แต่ก็เหมือนลูบหัวแล้วตบตามดังแป๊ะ
“โหยยยยย พี่ดรีมครับ เหนื่อยแล้วอ่ะ” สิ้นฤทธิ์เลยสิมึงไอ้ซัน คือหน้ามันไม่ไหวแล้วจริงๆ ฮ่าๆ
“งั้น รอบนี้รอบสุดท้าย นะๆ ทำให้เต็มที่ ถ้าดีพี่ปล่อยเลย โอเคมั้ย”
“เย้! โอเคค่ะ เห้ย พวกเรา มาตั้งใจกันนะ รอบเดียวเอง” เพื่อนผู้หญิงเอ่ยปลุกพลังที่เหลือค่อนขีด
“โอเคๆ”
แล้วก็จัดเต็มกันในรอบสุดท้าย แรงมีเท่าไหร่ก็ดึงมาเหวี่ยงการ์ดให้หมด หมุนกันจนไหล่ร้าว ผมว่าผมสมใจหมายกับการอยากมีกล้ามแล้วแหละครับ มาเป็นก้อนเชียวที่แขนเนี่ย
ขณะที่เต้นอยู่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเพื่อนผู้มาใหม่ มันยกมือขึ้นมาทักทายตามประสาความสนิทสนมกัน ไอ้ภาคเองครับ วันนี้ซ้อมวันสุดท้ายมันก็คงมารอผมซ้อมเหมือนกับหลายๆวันที่ผ่านมาตลอด 3 สัปดาห์ของการซ้อม แต่ก็แปลกทำไมวันนี้มันมาคนเดียว ปกติจะต้องมีมนุษย์หน้านิ่งอย่างพี่เกียร์ตามติดมาด้วยตลอด วันไหนไอ้ภาคมันติดทำงานกลุ่ม พี่มันก็ยังมา บางทีผมก็ถามนะว่าปี 3 มันว่างขนาดนั้นเลยหรอ ถึงได้มาเฝ้าผมอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ส่วนคำตอบที่ได้รับเหรอครับ ‘ยุ่ง’ แค่นั้นแหละ ผมเลิกถามเลย
การมาวนเวียนตรงบริเวณที่ผมซ้อมในทุกๆเย็นของพี่เกียร์ กลายเป็นเรื่องชินตาไปแล้ว ข่าวหน้าแฟนเพจก็มีบ่อยจนบรรดาเพื่อนผมมันเหนื่อยที่จะแซว ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่ดูคลุมเครือก็ไม่มีใครได้คำตอบว่าแท้จริงแล้วคือความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ ให้ผมตอบก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ แต่รู้แค่ว่าการมีพี่เกียร์มาอยู่ข้างๆมันดีต่อใจผมเหมือนกัน พี่เกียร์มันทำตามที่มันพูดจริงๆ จีบจริงเลยแหละ ตอนแรกๆก็เขินมากจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอถึงตอนนี้ หึหึ หยอดมาเถอะ เดี๋ยวเจ้าเอาคืน ฮ่าๆ รู้สึกเหมือนได้อัพเลเวลยังไงก็ไม่รู้ งั้นเรื่องความสัมพันธ์ก็ไม่ต้องนิยามก็ได้เนอะ ส่วนเพื่อนขี้อาย(?)อย่างอินก็มาบ้างตามความสะดวกของมัน แต่ขากลับที่ผมจะเห็นบ่อยจนไม่คิดจะถามแล้วก็คงเป็นการที่พี่พีเดินกลับบ้านไปพร้อมกันนั่นแหละ เดาจากสายตาท่าทางพี่พี ก็คงไม่ต่างกับที่พี่เกียร์มองผมเท่าไหร่ ออกจะอบอุ่นกว่าด้วยซ้ำ
หลุดเข้าไปในภวังค์ได้ไม่นาน รู้ตัวอีกทีรุ่นพี่ก็เรียกรวมให้ไปฟังคำนัดแนะการซ้อมหลังจากผ่านพ้นการสอบไป หลังจากนี้ผมคงต้องได้จมอยู่กับการอ่านหนังสือจนหัวระเบิดแน่ๆ เพราะช่วงซ้อมผมได้ทบทวนเนื้อหาน้อยมาก กลับถึงบ้านในแต่ละวันก็แทบหมดแรง ไหนจะขุดตัวเองออกจากเตียงในเช้าวันต่อมาเพื่อมาเรียนอีก บอกเลยงานนี้ถ้าไม่ได้อินช่วยสะกิดในห้องเรียน ผมมีหลับน้ำลายไหลเปื้อนชีทแน่นอน
“งั้นวันนี้เลิกซ้อมได้ค่ะ เจอกันนะน้องๆ ขอให้สอบผ่านทุกคนเลย”
“สาธุ เพี้ยงงงงงง” แต่ละคนนี่ไม่ค่อยเลยนะ ยกมือรับพรกันอย่างไว
ผมเลยโบกมือลาบรรดาสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมกันนิดหน่อยแล้วถึงเดินไปหาไอ้ภาคที่นั่งส่องสาวรออยู่
“ไงมึง ไม่ต้องชะเง้อคอมองหาหรอก พี่เกียร์ฝากมาบอกว่าติดธุระ เลยให้กูไปส่งมึงที่บ้านแทน” ทำหน้าทะเล้นอธิบายกูอีกนะ
“ใครชะเง้อ ไม่มีเหอะ แล้วพี่มันมีธุระอะไร ไม่เห็นบอก” ปกติพี่เกียร์จะโทรมาบอกนะว่าวันไหนไม่มา
“หึหึ เป็นเมียเขาหรอ เขาถึงต้องบอกมึงอ่ะ”
“ไอ้เชี่ยภาค!” ปากมึงนะ
“ฮ่าๆๆๆ”
“ไม่ใช่เมียโว้ย กูอาจจะเป็นผัวก็ได้นะ” ผมตอบมันแล้วยักคิ้วใส่แถมให้ด้วย
“เจ้า เอากระจกมั้ย ไม่ก็ฝันอยู่หรอ มึงเอาอะไรคิดเนี่ยยยยยย สภาพอย่างมึง ถ้าเป็นผัวพี่เกียร์ได้ กูคงมีเมียเป็นแพนด้าได้อ่ะ ฮ่าๆๆ” โอ้โห ดูถูกกูเกินไปแล้วไอ้ภาค
“โอ้ย มึงแม่ง นี่กูเพื่อนมึงนะ” งอนแม่งซะเลย
“ฮ่าๆ โอ๋ๆ ไม่งอนนะน้องเจ้า วันนี้พี่ภาคจะพาไปกินบิงซูก่อนกลับบ้านเอามั้ย เลี้ยงเลยอ่ะ” แหม เอาบิงซูมาล่อ คิดว่าจะใจอ่อนง่ายๆหรือไง
“เออ! ไม่งอน เลี้ยงกูด้วย” แหะๆ เจ้าอยากกินง่ะ
“กูเลี้ยงแน่นอน เพราะไม่ใช่ตังค์กู ฮ่าๆ”
“อ่าว ตังค์ใครวะ” มันเลี้ยง แต่ไม่ใช่ตังค์มัน นี่ผมงงหรือผมโง่
“ตังค์พี่เกียร์ พี่มันฝากมาให้พามึงไปเลี้ยงก่อนกลับบ้าน ฮ่าๆ”
“โหย ไอ้ขี้เนียน!!” ผมแหวใส่มันเสียงดัง เนียนเชียวนะมึง
“ฮ่าๆๆ...ละนี่ไอ้อินไปไหน ไม่เห็นมาเฝ้ามึง” เพื่อนตัวสูงเอ่ยถามคำถามที่ผมก็ไม่อยากตอบ เห้อ สงสารเพื่อน
“กลับบ้านไปแล้วว่ะ ปัญหาเดิมแหละ”
“เห้อ สงสารไอ้อินว่ะ กูนี่แทบอยากให้มันย้ายมาอยู่บ้านกู ป้ามันก็นะ ด่าซะกูนึกว่าเพื่อนกูไปฆ่าใครตาย” ไอ้ภาคบ่นยาวให้กับปัญหาของเพื่อนที่ไม่สามารถจะยื่นมือไปช่วยอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ
“เราก็คงทำได้แค่ให้กำลังใจแหละว่ะ” แค่นี้จริงๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่มันขอความช่วยเหลือที่มากกว่านี้ ผมจะไม่ลังเลสักนิดเลยที่จะยื่นมือไปช่วยมัน
“งั้นปะ กินที่สยามเนาะ” ไอ้ภาคถามพร้อมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวไปที่รถ
“อือ ไงก็ได้”
ยังไม่ทันที่ผมกับไอ้ภาคจะพาตัวเองออกจากสถานที่ตรงนี้ ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาทางเรา คนที่ผมรู้สึกคุ้น และพอเขาเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมก็รู้ว่า ผมรู้จักเขา
“ไงน้องเจ้า เพิ่งเลิกซ้อมหรอครับ” คนมาใหม่เอ่ยทักทาย
“ครับพี่ไนซ์” รุ่นพี่ปี 2 คณะสถาปัตย์ที่เราเคยเจอกันถึงสองครั้งแบบที่มีบทสนทนา และครั้งต่อๆมาที่พบเจอกันบ้างตอนเดินในมอ แล้วพี่เขามาทำอะไรที่นี่วะ
“แล้วนี่จะกลับเลยปะ ให้พี่ไปส่งป่าว” พี่ไนซ์อาสาด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พอดีผมกลับกับเพื่อนอ่ะ นี่ ไอ้ภาค เพื่อนผม” ไอ้ภาคนี่ยืนนิ่งตาขวางเลยแหละ เอ่อ คือมึงอย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนจะต่อยพี่เขาแบบนั้นสิ “ไอ้ภาค นี่พี่ไนซ์ เรียนอยู่สถาปัตย์อ่ะ” ผมก็เลยแนะนำพี่เขาให้เพื่อนสุดหล่อรู้จัก
“อือ หวัดดีครับ” เอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้ด้วยใบหน้าที่โคตรนิ่ง
“อ่อ งั้นไว้คราวหน้าแล้วกันเนาะเจ้า วันนี้พี่ว่าจะไปกินข้าวที่สยาม ไปด้วยกันมั้ย ชวนเพื่อนด้วยก็ได้” เอ่อ พี่ครับ ยังไม่ท้ออีกหรอ ดูหน้าเพื่อนผมก่อน ฮือออ
“เอ่อ…”
“ไอ้เจ้า มึงโทรบอกพี่เกียร์ยังว่าเลิกแล้ว ถึงเวลาแล้วไม่โทรบอกเดี๋ยวพี่มันก็เกรี้ยวกราดหรอก ยิ่งหวงๆมึงอยู่ เร็ว รีบโทร จะได้รีบไป จะกินมั้ยบิงซูมึงเนี่ย” โอ้โห ยาวเลย นี่มึงจะโหดไปไหนไอ้ภาคคคค
“เอ่อ เออๆ แปบดิ หยิบโทรศัพท์ก่อน” ผมใช้มือล้วงไปในกระเป๋าสะพายคู่ใจเพื่อหาโทรศัพท์สำหรับโทรบอกคนตัวสูงที่ปกติเขาจะให้ผมโทรบอกทุกครั้งเวลาที่เขาไม่ได้มารับเอง “เอ่อ พี่ไนซ์ครับ วันนี้คงไม่สะดวกอ่ะครับ พอดีผมนัดกับเพื่อนไว้แล้ว” การปฏิเสธคงเป็นทางที่ดีที่สุด
“หรอครับ งั้นไว้คราวหน้าพี่จะมาชวนใหม่นะ งั้นพี่ไปก่อนนะ” พี่ไนซ์ยกมือขึ้นมาโบกลาผมด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปทางหน้าอาคาร
“หึ เนื้อหอมนักนะมึง”
“อะไรของมึงเล่า”
“แล้วนี่โทรยัง ถ้าไม่โทร เดี๋ยวกูรายงานเอง” มึงไม่ต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์เลยนะไอ้ภาค
“เออ โทรแล้วๆ” พูดจบก็กดปุ่มโทรหาคนตัวสูงทันที
“ฮัลโหล..เลิกซ้อมแล้วนะ..อือ..ก็อยู่นี่แหละ..มันบอกแล้ว..ก็เดี๋ยวไปกินที่สยาม..คร้าบ..แล้วนี่ทำอะไรอยู่อ่ะ..อ่อ..อือฮึ..”
“พี่เกียร์ เมื่อกี้มีคนมาจีบไอ้เจ้า!!” ไอ้เชี่ยภาค มึงจะพูดทำไมเนี่ย โอ้ยยย
“ไม่มีอะไร..มันพูดมั่ว..ก็..โอ้ยอย่าเพิ่งหัวร้อนสิ..ไม่มีอะไร..พี่เขามาทักเฉยๆ..ชื่อไนซ์อยู่ถาปัตฯ..อือ..รู้แล้วววว..โหย..ใครมันจะกล้ามาจีบผมอีกเล่า ก็เล่นเป็นข่าวกับพี่อยู่เต็มหน้าเฟซไม่เลิกแบบนี้..ฮื่ออออออ..รู้แล้วๆ..ไปทำงานได้แล้ว เอาเปรียบเพื่อนหรอ...หึหึ..ครับ...ไม่...ไม่บอก...โอ้ยยย เออ! คิดถึง! พอใจยัง! ชิ” กดวางแม่ง ก็ใครใช้ให้มาสั่งผมพูดอะไรที่มันน่าอายเล่า ไอ้ภาคก็อีกคน มายืนทำหน้ากรุ้มกริ่มเตรียมล้อผมเต็มที่
“แหม มีบอกคิดทงคิดถึง แหนะๆ หวั่นไหวล่ะสิ”
“เออ! หวั่นไหวสิ นี่กูคนนะ ไม่ใช่หิน ไม่ใช่ต้นไม้ จีบขนาดนี้จะได้ไม่รู้สึก” ยอมรับมันโต้งๆนี่แหละ
“หวาย ยอมรับเฉย ฮ่าๆ” ยัง ยังไม่เลิกแซ็วอีก
“ยอมรับสิ เถียงมึงกูก็เหนื่อยเปล่า แล้วนี่จะไปได้ยัง หิวแล้วนะ” ชาวบ้านเขากลับหมดแล้ว มีแต่ผมกับมันเนี่ยที่มัวแต่ยืนเถียงกัน
“ครับๆ ไปครับคุณหนูเจ้า อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปสิ ฮ่าๆ”
“กวนตีน” ขอสักทีเถอะ ให้ผมได้ด่าสักทีเถอะ หมั่นไส้มัน
เย็นวันนี้ผมก็เลยได้ฝากท้องกันที่สยาม ไอ้ภาคมันเลี้ยงทั้งข้าว ทั้งบิงซูตามที่มันบอกนั่นแหละ มาดเสี่ยมากพูดเลย แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าสรุปแล้วเงินใครที่ใช้จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด พี่เกียร์ก็นะตัวไม่มาก็ฝากไอ้ภาคมาเปย์ ตั้งแต่พี่มันออกตัวจีบผมโดยไม่สนสิ่งใดๆบนโลก พี่เกียร์ก็ดูแลเอาใจใส่ ตามรับ ตามส่ง แบบที่คนตามจีบเขาทำกัน จนมีครั้งหนึ่งที่ผมต้องโวยวายกลับไปว่าผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาเอาอกเอาใจขนาดนั้น อย่ามาทำเหมือนเป็นช่วงโปรโมชั่น เพราะมันจะรู้สึกแย่มากถ้าวันนึงไอ้การดูแลเอาใจใส่มันลดลงตามระยะเวลา เถียงเรื่องนี้กันอยู่เป็นวันจนผมงอนพี่มันถึงยอม หลังจากนั้นก็กลับสู่พี่เกียร์สายเถื่อนคนเดิม ทั้งด่า ทั้งแกล้ง ทั้งดุ สารพัดจะทำ เหอะ พอไม่ให้เอาใจ พี่มันก็มาแนวนี้เลยครับ แต่เอาจริงๆผมกลับชอบแบบนี้มากกว่า ผมไม่ได้ต้องการคนมาดูแลในทุกเรื่องขนาดนั้น ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ก็ได้เรียนรู้ตัวตนแท้ๆของกันและกันด้วย เพื่อที่เราจะได้ยอมรับและเข้าใจในความเป็นตัวตนนั้น แล้วผมก็ได้รู้จริงๆว่าพี่เกียร์อ่ะ ชอบผมมาก ฮ่าๆ
และแล้วสัปดาห์การเริ่มต้นอ่านหนังสือสอบก็เริ่มขึ้น เพราะสัปดาห์ถัดไปนั้นพวกเราชาวมอยูก็ต้องรวบรวมความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดเพื่อลงสู่สนามสอบกลางภาคกันแล้วครับ
เขาว่ากันว่า
การสอบ เป็นเหมือนการประลองวิทยายุทธเพื่อหาเจ้าแห่งยุทธจักร
ใครที่มีพลังกล้าแกร่งก็จะสามารถสยบได้ทุกหลักวิทยายุทธ
ซึ่งพลังที่มีก็ต้องเกิดจากการฝึกฝนและบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน
ตัวผมเองที่พยายามทบทวนตำราอย่างสม่ำเสมอ ใช้หลักการเรียนเหมือนสมัย ม.ปลาย ทำความเข้าใจในห้องเรียนให้ได้มากที่สุด การอ่านหนังสือก่อนสอบก็เลยไม่ค่อยหนักหนาสักเท่าไหร่ แต่หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผลจากการตั้งใจซ้อมลีด ทำให้ผมไม่ได้ทบทวนเนื้อหาเท่าที่ตั้งใจไว้และนี่มันก็คือการสอบครั้งแรกในรั้วมหาวิทยาลัยของผม เหมือนทหารฝึกหัดกำลังจะไปออกรบสู้กับหน่วยซีลอ่ะ ความกลัวข้อสอบก็ถาโถมมาให้ได้เครียดจนหัวยุ่งเหยิงอยู่ไม่น้อย ตั้งใจจะคว้ามดคว้านกมาเป็นความภาคภูมิใจต่อวงตระกูล ตอนนี้ขอแค่ไปผจญภัยเหนือมีนให้ได้ก็พอครับ
วันนี้เราชาวแก๊งคนหล่อ 2017 ตามชื่อกลุ่มไลน์ก็ได้นัดกันมาอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งแถวมอ แต่ร้านนี้มันพิเศษตรงที่เขาเปิดให้อ่านหนังสือตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแค่เราต้องสั่งเครื่องดื่มจากทางร้าน สั่งแก้วเดียวก็สามารถนั่งยิงยาวข้ามวันได้ ภายในร้านก็จัดแบ่งโซนไว้หลากหลายมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ รวมไปถึงเบาะนุ่มๆไว้อำนวยความสะดวก บางมุมมีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ไว้ให้ล้มทับชวนหลับใหลมากกว่าอ่านหนังสือ และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความเย็นของเครื่องปรับอากาศเป็นที่เลื่องลือมากๆครับ ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเขาได้แรงบันดาลใจมาจากไหน กำไรเขาก็คงไม่หวังมากมาย แต่ร้านนี้กลับเป็นสถานที่ยอดฮิตให้นักศึกษาจากสถาบันต่างๆมาสุมหัวแลกเปลี่ยนความคิดทั้งการทำรายงาน อ่านหนังสือ ไม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย แต่ในช่วงสอบกลางภาคเช่นนี้ จำนวนผู้ใช้บริการหนาตาขึ้นเป็นเท่าตัวจากช่วงเวลาปกติ ต้องอาศัยความรวดเร็วในการจับจองที่นั่ง ตัวแทนของกลุ่มผมซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไอ้อิน ผู้ที่สามารถฝากความหวังในการจองที่ครั้งนี้ได้
-คนหล่อ2017-
Inn-Touch
ถึงไหนกันแล้ววะ
รีบมานะเว้ย คนโคตรเยอะ
JAO-YA
เออๆใกล้ถึงละ
Inn-Touch
ไอ้ภาค มึงถึงไหนละเนี่ย
JAO-YA
มันจะตื่นยังวะ
GU PHAK
ตื่นแล้วสิมึง อยู่บนรถ รถติดชิบหาย
Inn-Touch
เออ ให้ไว กูจองโต๊ะใหญ่ แต่นั่งคนเดียว
เกรงใจเขาจะตายละเนี่ย
JAO-YA
จะถึงแล้ว อีก 5 นาที เจอกัน
ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีจริงๆครับ ผมก็ถึงร้านกาแฟตามที่นัดกันไว้ เดินเข้าไปก็พบว่าคนเยอะจริงๆสมกับเป็นช่วงสอบมาก สอดส่ายสายตามองหาเพื่อนตัวเล็ก ซึ่งก็ไม่ยากที่จะเจอ นู่น อินมันเลือกทำเลดีมาก โต๊ะญี่ปุ่นใหญ่สำหรับ 4-5 คน แต่ชิดมุมในสุด มีเบาะรองนั่ง แอร์ก็ไม่ตกใส่ สบายละงานนี้
“อิน!”
“เห้ย จะเรียกเสียงดังทำไมเนี่ย เดี๋ยวโต๊ะข้างๆเขาก็ด่าหรอก”
“ฮ่าๆ ไง เริ่มอ่านแล้วหรอ”
“เพิ่งอ่านไปได้สองหน้า” มันตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้าขีดๆเขียนๆบนเอกสารการเรียนมันอยู่
“มึงต้องช่วยติวให้กูด้วย กูนี่ซ้อมลีดจนไม่ค่อยได้อ่าน อ๊ากกกก ตายแน่ๆมิดเทอมนี้” ตัดพ้อชีวิตพร้อมทั้งเอาหัวไถไปบนโต๊ะญี่ปุ่น เห้อ เจ้าจะรอดมั้ย
“หึหึ อย่างเจ้าพระยาไม่ต้องติวก็ได้มั้ง”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนอ่ะไม่ แต่คราวนี้ต้องแล้วว่ะมึง นะๆ ติวเคมีพาร์ทหลังๆให้กูที” อ้อนวอนมันจนแทบจะกราบกราน ช่วยกูเถ้อะะะะ
“เออ งั้นมึงติวอิ้งให้กูด้วย”
“โหย ได้เสมอ ภาษาบ้านเกิดกูเอง ฮ่าๆ” ขอคุยโวหน่อยเถอะ ผมที่ท็อปอิ้งเสมอต้นเสมอปลายมาก
“เก่งเหลือเกินนนนน..ว่าแต่เมื่อไหรไอ้ภาคมันจะมาวะ วิชาแคลฯนี่เราคงต้องพึ่งมันละวะ กูไม่ถนัดเท่าไหร่”
“ฮ่าๆ มึงถามมันก่อนว่ามันถนัดมั้ย แม่งเรียนวิศวะ แต่กูก็เห็นมันบ่นแต่แคลฯ แต่ฟิฯ ฮ่าๆ” จริงนะครับ มันโอดโอยตลอดเวลามีสอบย่อย แถมมีบางทีเอาแคลฯมาถามผมอีก
“นินทาอะไรกูฮะ” ตายยากไปอีกกกก เสียงนี่มาก่อนตัวเลย
“เปล๊า ไม่มี๊”
“เสียงสูงกว่าตัวมึงอีกนะเจ้า ฮ่าๆ”
“สัดภาค” โดนย้อนเฉยเลย เป็นอะไรกับความสูงกูนักเนี่ย
“ฮ่าๆ เออ มึงมีสอบกันกี่ตัววะ” มันเอ่ยถามพลางหยิบเอกสารการเรียนมันออกมาจากกระเป๋า
“6 ละมึงอ่ะ” อินเงยหน้ามาตอบ
“โหย กูนี่ 8 ตัว! สอบโคตรเยอะ นี่ขนาดไม่นับแลป ไอ้เชี่ยยย กูมาเรียนอะไรวะเนี่ย” มันบ่นสีหน้าจริงจังมากครับ ฮ่าๆ
“ก็ไหนว่าชอบ มึงเลือกเองนะ พ่อมึงให้ไปเรียนบริหารก็ไม่เรียน สมหน้า!” จำได้ว่ามันต่อรองกับพ่อมันนานมาก พ่อมันยอมเพราะมันโม้ไว้ว่าจะเอาเกรดไม่ต่ำกว่า 3.5 ไปให้ดูทุกเทอม คือมึงฝันเอาหรอภาค ฮ่าๆ
“ก็ไม่รู้ว่ามันจะยากขนาดนี้นี่หว่า ไอ้ชอบมันก็ชอบแหละ แต่กูคงยังปรับตัวไม่ได้ ห่า ก็คิดว่าเรียนวิศวะฯจะได้เจอแค่ฟิ แคล จ่ะ กูต้องเรียนสังคมกับภาษาไทยอีก เพื่อออออ”
“ฮ่าๆ ก็เพื่อให้มึงพูดภาษาคนรู้เรื่องตอนไปทำงานไง ไอ้ง่าว”
“เก่งเหลือเกินนะคุณเจ้าพระยา เดี๋ยวกูก็ไม่ติวแคลฯให้หรอก” มันยักคิ้วทำหน้าเป็นต่อใส่ผม
“แล้วใครง้อมึงมิทราบฮะคุณภาคภูมิ” มึงเอาตัวเองให้รอดจากวิชาฟิสิกส์สำหรับวิศวกรมึงก่อนเถอะ
“หึหึ ไอ้เจ้ามันไม่ง้อมึงหรอกภาค มันมีคนติวให้มันอยู่แล้ว” แหนะ เอาอีกละไอ้นี่
“เออว่ะ กูก็ลืมว่ามันมีคนเทพอย่างพี่เกียร์มาจีบ ไงล่ะ ไปอ้อนให้เขามาติวยังล่ะ หื้มมมมม” กูเกลียดหน้าเจ้าเล่ห์ของมึงจังภาค
“พอ อ่านไปเลย เดี๋ยวตกกูจะขำให้ หยุด ไม่ต้องมาแซว” ผมแหวใส่เพื่อนตัวแสบทั้งสอง ก็เล่นมาแซวทำไมเล่า คนยิ่งต้องการสมาธิ คนตัวสูงที่ถูกกล่าวถึงมันยิ่งจิกจะตามมาอยู่
พอเถียงกันจนได้ที่ก็สำนึกกันได้ว่าควรก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเอาความรู้เข้าสมองตัวเองได้แล้ว พวกผมเลือกที่จะอ่านแคลคูลัส1ก่อนเพราะเป็นวิชาที่ทั้งสามคนมีเรียนเหมือนกัน เนื้อหาความเข้มข้นของคณะเภสัชฯก็อาจจะไม่เท่ากับพวกวิศวะฯเท่าไหร่ แต่ก็คงต่างกันแบบน้อยนิดมากอ่ะ เผื่อมีอะไรไม่เข้าใจจะได้ช่วยอธิบายกันได้ ผมที่พอไหวกับวิชานี้ก็ยังคงต้องฝึกทำโจทย์ให้หลากหลาย เวลาเจอในข้อสอบจะได้ไม่นั่งเอ๋อ ส่วนความสามารถด้านการคำนวณของไอ้ภาคก็คงจะช่วยอธิบายให้ผมกับอินเข้าใจได้มากขึ้น
“ภาคๆ ลิมิตข้อนี้หายังไงวะ” ผมเจอข้อที่เป็นปัญหาเข้าแล้วจริงๆ
“อ่อ มึงจำนิยามลิมิตได้หมดมั้ย”
“อือ พอได้นะ” พอได้ในที่นี้คือต้องแอบดูนิดหน่อย แหะๆ
“โอเค งั้นมึงดูฟังก์ชัน แล้วก็ดูตรงนี้ แล้วก็เอามันมาแทน คราวนี้มันต้องจัดรูปใช่มั้ย มึงก็ใช้นิยามมาช่วยจัดรูป มันก็จะได้แบบนี้ คราวนี้ก็คิดเลขปกติ นี่ตัดนี่ อ่ะ ได้ละ เข้าใจปะ” โอ้โห มึงพร่ำอะไรของมึงเนี่ย
“เข้าใจก็บ้าละ สมองกูยังอยู่บรรทัดแรกอยู่เลย มึงอธิบายช้าๆดิ๊ ฮื่อออ ทำไมยากจังวะ”
“ฮ่าๆ ยากตรงไหน มึงอ่ะไม่เข้าใจเอง” อ่าว สรุปผมโง่หรอ
“มึงก็อธิบายให้กูเข้าใจสิ อินมึงเข้าใจที่มันพูดมั้ย มันอธิบายโคตรเร็วเลยเนาะ”
“หึ คือหาพวก? แต่มึงอธิบายเร็วจริงแหละ กูขอตรงนี้ใหม่”
“โอ้ยยยย พวกมึงนี่ กูไม่ถนัดสอน ทำไงดีวะเนี่ยยยย” ไอ้ภาคมันเริ่มโอดครวญ เรื่องความเก่งมันเอาไป 9 เลย แต่คะแนนการอธิบายมึงติดลบนะภาค
“เดี๋ยวกูสอนเอง”
“เห้ย/เห้ยพี่/พี่” สามเสียงจากพวกผมอุทานพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงเรียบนิ่งที่คุ้นเคย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับมนุษย์ตัวสูง 3 คนยืนค้ำหัวพวกผมอยู่
“มาได้ไงอ่ะ” เป็นผมที่เอ่ยออกไป
“ขับรถมาสิเอ๋อ กูคงไม่เดินมาหรอก” มาถึงก็กวนตีน นี่สิพี่เกียร์ตัวจริงเสียงจริง
“เออ มันก็ต้องขับรถมามั้ย แต่ที่ถาม หมายความว่าตามมาได้ไง”
“ใครบอกว่าตาม กูมาอ่านหนังสือกับเพื่อน” ไม่พูดเปล่า พี่มันถือวิสาสะมานั่งแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้ภาค พลอยให้ไอ้ภาคต้องขยับไปนั่งฝั่งตรงข้าม โดยพี่มายด์ก็ทรุดนั่งลงข้างๆมัน
“แหมมมม ตอแหลนะไอ้เกียร์ ใครมันโทรตามกูยิกๆบอกว่าให้มาเป็นเพื่อน จะมาหาน้องเจ้า หึหึ” เมื่อเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด แฉความจริงให้ผมได้ฟัง ฮ่าๆ
“สัด! เงียบไปเลยมึง”
“ว๊ายๆ เขินเลยสิ ฮ่าๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ภาคก็ร่วมหัวเราะไปกับพี่มายด์ด้วย
“หึหึ อยากมาหาก็บอกตรงๆก็ได้นะพี่เกียร์ ผมไม่ว่าอะไรหรอก ไม่ต้องเขิน อิอิ” จะล้อให้อายไปเลยยยย
“กล้าแซ็วกูหรอเตี้ย อย่าให้ถึงทีกูนะ” ร่างสูงข้างตัวหันมายกนิ้วชี้หน้าผม แต่สีหน้าไม่ได้จริงจังอะไร “แล้วไหน ไม่เข้าใจตรงไหน”
“เห้ย พี่จะติวให้ผมใช่ปะ” ผมถามเสียงใสแสดงความดีใจที่คนตัวสูงจะสอนทำโจทย์
“อืม จะติวให้”
“เย้!”
“แต่…” เดี๋ยว ทำไมต้องมีแต่ แล้วหน้าเจ้าเล่ห์แบบนั้นคืออะไร
“แต่อะไร”
“ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“หือ? ต้องมีด้วยหรอ พี่ไม่ใจบุญติวให้ผมฟรีๆหรอ ไหนว่าจีบไง ก็ต้องเอาใจใส่ผมสิ” อย่ามาหัวหมอกับเจ้านะ จะเอาคืนซะให้เข็ด
“ไม่” อ้าว..
“งั้นไม่ต้องติว เดี๋ยวผมให้ไอ้ภาคติวให้ก็ได้...ไอ้ภาคมึง-…”
“กูไม่ว่าง ให้พี่มายด์สอนอยู่” ไอ้เพื่อนเลว ทิ้งกูได้ไงเนี่ย
“หึหึ จะให้ใครสอนอีกล่ะครับ ชักช้ากูอ่านหนังสือของกูละน้าา” เกลียดหน้าพี่มันตอนนี้มาก โอ้ยยยย
“น้องเจ้า พี่ว่ายอมๆมันไปเถอะ มัวแต่เถียงกัน นู่น ดูคู่นู้น เขาติวกันไป 3 ข้อละ อิอิ” พี่มายด์เปลี่ยนเป้าหมายไปแซวเพื่อนหน้านิ่งอีกคนที่กำลังสอนแคลฯไอ้อิน
“เสือก!” นั่นแหละครับ สั้นๆสไตล์พี่พี แต่เจ็บไปหลายนาทีเลยแหละ ฮ่าๆ
“เลิกสนใจคนอื่นได้ละ ตกลงจะให้ติวมั้ย”
“แล้วผมต้องเอาอะไรแลกล่ะ แต่..พี่อย่ามาขออะไรแผลงๆนะ ผมด่าจริงๆด้วย” ผมไว้ใจความคิดประหลาดพี่เกียร์ไม่ได้แน่ๆ
“ก็แลกกับการที่…”
“...??.”
“หลังสอบเสร็จ มึงต้องไปเดทกับกูนะไอ้น้องเจ้า” พูดด้วยรอยยิ้มหน้าระรื่นเชียวนะ
“ห๊ะ! เดท!”
“ตกใจอะไรเอ๋อ ก็เดทไง” เออเดทไง คือต้องเดทหรอวะ
“เอ่อ..”
“ยังไง ตกลงมั้ย?” นี่ก็เร่งจัง คิดก่อนสิว้อย คือมันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรมั้ง ก็พี่มันจีบผม แล้วมาชวนไปเดท ปกติ๊ ปกติ แหะๆ
“เออ! เดทก็เดท” ไม่มีอะไรจะเสียแล้วมั้ง เหอะๆ “แต่..พี่ต้องติวให้ผมผ่านครึ่งนะ”
“ได้ แต่คะแนนสอบมันออกช้า แต่กูจะไปเดทหลังสอบเสร็จเลย งั้นคะแนนออก ถ้าผ่านครึ่งก็ไปอีกรอบเนาะ” หือ แปลกๆนะ รอยยิ้มนั่นก็น่าดีดปากมาก
“เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ละๆ”
“ใช่สิ พอเลิกเถียง ตกลงตามนี้ มาติว ไหนข้อไหน อืม ข้อนี้ใช่มั้ย” แล้วพี่มันก็ตัดบท ตัดทุกอย่าง ตัดแม้กระทั่งสติผม เห้ย ยังคุยกันไม่จบเลย แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจาก
ตามนั้น…
เรา 6 คนอ่านหนังสือกันไป อธิบายกันไป ช่วงที่ผมทำโจทย์พี่เกียร์ก็จะหันไปอ่านชีทตัวเอง เห็นแว้บๆว่าวิชาวิเคราะห์โครงสร้างอะไรสักอย่าง เห็นแค่ผ่านๆผมยังยอม พี่มันอ่านไปได้ยังไงนานขนาดนั้น เหมือนสมาชิกกลุ่มพี่เกียร์จะหายไปคนนึงใช่มั้ยครับ พี่โซ่คนสวย หญิงเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มไง จำได้กันหรือเปล่า ผมแอบถามพี่เกียร์มาแล้วว่า พี่โซ่ติดธุระจะตามมาตอนบ่ายๆ ต่างคนก็เลยต่างจมเข้าสู่ห้วงสมาธิตัวเอง เพ่งทุกอย่างไปที่เนื้อหาตรงหน้า ทั้งตัวเลข สมการ นิยาม อะไรต่างๆมากมายก็ทำให้สมองเบลอได้เหมือนกันครับ
“เอาอะไรกันมั้ย กูกับไอ้ภาคจะออกไปยืดเส้นแล้วก็หาอะไรกินว่ะ” พี่มายด์ปิดหน้าเอกสารแล้วถึงเงยหน้ามาถามพวกผม
“เจ้า หิวมั้ย” เสียงทุ่มนุ่มของคนตัวสูงเอ่ยถามผม
“หื่อออ ยังไม่หิว แต่ง่วงง่ะ”ผมที่พกเสื้อไหมพรมแขนยาวมาด้วยเพราะรู้ว่าที่นี่แอร์เย็น ก็เอามันมาวางรองศีรษะเพื่อพักสายตา
“หึหึ แน่ใจนะ” พี่เกียร์ยังคงถามซ้ำ
“อื้อ เดี๋ยวค่อยออกไป เจ้าอยากนอน ขอพักแปบนึงนะ” เสียงอู้อี้หลุดออกจากปากผม เพราะแก้มแนบจมไปกับกองเสื้อไหมพรมที่วางต่างหมอน
“น้องเจ้านี่เวลาง่วงนี่ขี้อ้อนจังวะ” เสียงเบาๆลอยเข้ามาในโสตประสาท ซึ่งผมเดาก็คงจะเป็นพี่มายด์ ตอนนี้ผมขอพักสายตาก่อนละกัน ใครจะไปไหนยังไงก็แล้วแต่ล่ะครับ
“หึหึ ปลาทองเอ้ย”
(ต่อด้านล่าง)