Universe 10th - สับสน
การมาอยู่ร่วมกันกับพี่ภูไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ผมคิด ดูเหมือนว่าพี่ภูจะมองโลกในแง่ร้ายเกินกว่าที่ผมจินตนาการไว้ไปมาก พี่ภูหงุดหงิดทุกครั้งที่มองหน้าผม ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดก็เลยพยายามอยู่เฉยๆ เงียบๆ ในมุมของตัวเอง เพราะไม่อยากให้พี่ภูอารมณ์เสียเพราะผมทำอะไรไม่ถูกใจ แต่ก็กลายเป็นว่าพอผมอยู่เฉยๆ พี่ภูก็เรียกผมเข้าไปหา หรือไม่ก็เป็นพี่ภูเองนั่นแหละที่เข้ามาหาเรื่องผม จนผมสับสนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี
“คุณไนล์คะ ป้าทำความสะอาดห้องน้ำทั้งห้องคุณภูแล้วก็ห้องคุณไนล์เรียบร้อยแล้วนะคะ คุณไนล์จะให้ป้าทำอาหารแช่ตู้เย็นไว้ให้ด้วยไหมคะ?”
ป้ามลแม่บ้านที่พี่ภูจ้างไว้เข้ามาถามผมที่กำลังง่วนอยู่กับการสำรวจตู้เย็นเพื่อดูว่ามีของสดอะไรที่พอจะนำมาทำอาหารได้บ้าง ผมเพิ่งได้เจอกับป้ามลเป็นครั้งแรก เพราะเพิ่งมาอยู่คอนโดพี่ภูได้สามสี่วัน แต่ป้ามลกลับดูรู้จักผมดี เดาว่าคุณแม่ของพี่ภูคงจะบอกเอาไว้แล้วว่าผมเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่ เลยทำให้ป้ามลดูอ่อนน้อมกับผมจนผมเกรงใจ ผมเลยต้องบอกแกไปว่าให้ทำตัวตามสบาย คิดเสียว่าผมเป็นลูกหลานคนหนึ่งของแกก็แล้วกัน
“ไม่เป็นครับป้ามล เดี๋ยวเรื่องอาหารไนล์ทำเองครับ แต่ไนล์อยากจะรบกวนป้ามลช่วยไปซื้อของสด ผลไม้ แล้วก็พวกขนมปังมาติดตู้เย็นไว้บ้างได้ไหมครับ เผื่อวันไหนพี่ภูหิวจะได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอนานๆ”
“ได้ค่ะ”
ป้ามลยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเตรียมจะหันหลังเดินออกไป แต่ผมเรียกไว้ก่อนพร้อมกับยื่นเงินที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงจำนวนหนึ่งให้ป้า
“นี่ครับ ป้ามลเอาไปซื้อของนะครับ แล้วป้ามลอยากทานอะไร ป้ามลก็ซื้อมาได้เลยเอาเงินในนี้แหละ”
ป้ามลส่ายหน้าดิก พร้อมกับผลักมือผมที่ยื่นเงินออกไปให้เบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวป้าไปเอาจากคุณภู เพราะปกติเวลาป้าจะซื้ออะไรคุณภูจะให้ไปเบิกแยก”
ผมยิ้มก่อนจะจับมือป้ามลมาแล้วเอาเงินใส่ในมือของป้าแกมบังคับ
“รับไปเถอะครับ นี่ก็เงินพี่ภูแหละ เขาให้ไนล์ไว้ เดี๋ยวถ้าขาดเหลือยังไงไนล์ค่อยไปเบิกจากพี่ภูเพิ่ม”
ป้ามลลังเลผมเลยต้องพยักหน้าย้ำแกถึงได้ยอมรับไป แม้จะดูไม่แน่ใจว่าเงินที่ผมให้ไปเป็นเงินพี่ภูจริงหรือเปล่า ซึ่งผมก็ไม่ได้โกหกป้ามลนะ ก่อนหน้านี้สองวันพี่ภูให้เงินผมไว้จำนวนหนึ่ง เอาไว้ใช้จ่ายซื้อของในบ้านแล้วก็ให้จ่ายค่าแรงป้ามลหลังจากทำงานเสร็จ
เพียงแต่เงินที่ผมให้ป้ามลไปนั้นไม่ใช่เงินที่พี่ภูให้ไว้ แต่เป็นเงินของผมเองเพราะผมตั้งใจแล้วว่าเงินที่พี่ภูให้มาทุกบาททุกสตางค์ผมจะเก็บไว้ และจะคืนให้เขาหลังจบเรื่องทั้งหมด
ไม่ว่าแผนการจะเวิร์คหรือไม่เวิร์คก็ตาม
ผมรู้ว่าพี่ภูคิดอคติกับผมเรื่องเงิน ที่จริงผมก็ไม่อยากให้พี่ภูเข้าใจผิดแบบนั้น แต่ครั้นจะให้ผมออกตัวว่า ...
‘พี่ภูไม่ต้องให้เงินผมก็ได้ครับ ผมเองก็พอมีเงินของตัวเองอยู่’ ... ก็ไม่ได้อีก เพราะไม่งั้นพี่ภูก็จะสงสัยว่าถ้าผมมีเงินพอกินพอใช้แล้วผมจะมาขอทำงานดูแลเขาทำไม
ดังนั้นอะไรๆ มันเลยดูติดขัดไปด้วยเงื่อนไขเสียทุกอย่าง ทางออกที่มีและที่ผมพอจะทำได้ก็คือการยอมรับเงินจากพี่ภูเป็นค่าจ้างจากการทำงานมาปกติ แต่เก็บเอาไว้แล้วหลังจากเรื่องนี้จบทุกอย่างลงตัวผมค่อยคืนเงินให้เขาทีหลัง ส่วนเรื่องอคติที่พี่ภูมีต่อตัวผมก็คงต้องค่อยๆ แก้กันไป เพราะดูเหมือนพี่ภูจะฝังใจมากว่าผมเป็น .. เอ่อ ผู้ชายอย่างว่า... ผู้ชายขายบริการ
ผมคงทำอะไรได้ไม่มากนอกจากพยายามพิสูจน์ตัวเองให้พี่ภูเห็นว่าผมไม่เป็นแบบนั้น ผมไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์หรือจะปอกลอกเงินทองอะไรของเขา ความปรารถนาเดียวที่ผมมีต่อเรื่องนี้ก็คือหวังจะเห็นเขามีความสุขและเป็นพี่ภูคนเดิมก็แค่นั้นเอง
“งั้นเดี๋ยวป้ามานะคะคุณไนล์ จะไปตลาดกับห้างใกล้ๆ ถ้าคุณไนล์อยากได้อะไรเพิ่มก็โทรไปบอกป้าได้เลยนะคะ”
ป้ามลบอก ก่อนที่ผมจะยิ้มรับ “ครับป้า ไนล์รบกวนด้วยนะครับ”
“โอ๊ย รบกงรบกวนอะไรกันคุณไนล์เป็นเจ้านาย ขอแค่เอ่ยปากบอกเรื่องแค่นี้ป้าทำได้ค่ะ”
ผมรีบโบกมือห้ามตาโต กำลังจะกำชับบอกป้ามลว่าไม่ให้พูดแบบนี้สุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวเกิดพี่ภูผ่านมาได้ยินแล้วจะเป็นเรื่อง ซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างผมสักเท่าไหร่นัก เพราะพอจบคำป้ามล เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินผ่านประตูครัวเข้ามาทันที
“ใครเป็นเจ้านายนะครับป้า เด็กนี่บอกป้าเหรอว่าเขาเป็นเจ้านายป้าน่ะ?”
เสียงทุ้มถามขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดทำเอาป้ามลหน้าซีดเพราะนึกหาคำตอบมาแก้ตัวไม่ทัน ผมเองก็เห็นท่าไม่ดีกลัวความจะแตกแล้วป้ามลเผลอสารภาพไปว่าผมเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทของพี่ภู ป้าเลยถือว่าเป็นเจ้านายอีกคน ผมเลยพยายามเนียนๆ บอกป้าว่าให้ออกไปซื้อของก่อน ซึ่งป้าก็ไม่รีรอที่จะออกไปทันที
“ป้ามลรีบไปซื้อของเถอะครับ เดี๋ยวสายแล้วตลาดจะวายเอา”
“ค่ะๆ คุณไนล์ ป้าไปตลาดก่อนนะคะ แล้วยังไงป้าจะรีบกลับ”
พี่ภูทำท่าจะอ้าปากเรียกป้ามลที่ก้าวฉับๆ ออกจากครัวตรงดิ่งไปที่ประตูคอนโดอย่างรวดเร็ว เขาดูหงุดหงิดอีกแล้ว และครั้งนี้ผมก็คงหนีไม่พ้นคลื่นอารมณ์ลูกใหญ่ที่ต้องซัดเข้ามาอย่างจังแน่
“นี่!” เป็นไปตามคาด เมื่อพี่ภูเอาคำตอบจากป้ามลไม่ได้ เขาก็หันกลับมากระชากต้นแขนผมเสียเจ็บ ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเม้มปากอดทนไม่กล้าร้องสักแอะเพราะกลัวว่าพี่ภูจะโมโหยิ่งกว่าเดิม “มาอยู่แค่สองสามวันก็วางท่าใส่คนอื่นแล้วรึไง ห๊ะ?”
“ไนล์เปล่านะครับ” ผมก้มหน้าปฏิเสธ พยายามไม่เถียงพี่ภูมาก ผมไม่อยากให้เขาหงุดหงิดใจเพิ่มมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่ายิ่งผมพูดน้อยจะยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ
“เปล่าอะไร? ก็ได้ยินเต็มชัดๆ สองหูเมื่อกี้ว่าป้ามลเรียกนายว่าเจ้านาย.. หึ! นี่คงพองขนเต็มที่เลยสินะ ไม่ได้รู้ตัวเลยเหรอว่านายกับป้ามลน่ะเท่าเทียมกัน นายไม่ได้เหนืออะไรไปกว่าป้ามลเลย” พี่ภูพึมพำเสียงเยาะ จนผมเจ็บไปทั้งใจ “ก็แค่เด็กรับใช้”
“...”
ผมยังคงเงียบปล่อยให้พี่ภูกำต้นแขนจนเจ็บ “เงียบทำไม ถ้าอยากเถียงก็เถียงออกมา ไม่ต้องมาแอ๊บทำเป็นใสๆ เรียบร้อย ฉันรู้ว่านายน่ะมันเชี่ยวกว่าที่เห็น”
“ไนล์รู้ตัวครับว่าเป็นแค่คนรับใช้ ไนล์ไม่ได้จะตีตัวเสมอพี่ภูเลย ป้ามลเขาคงแค่พูดเล่นเฉยๆ”
“หึ! รู้ตัวก็ดี เพราะจะว่าไปแล้วในคอนโดนี้ป้ามลยังสำคัญกว่านายอีก เพราะอย่างน้อยฉันก็ต้องการป้าเขาไว้ให้ช่วยดูแลบ้านดูแลฉัน แต่กับนาย.. ฉันไม่ได้ต้องการด้วยซ้ำ ถ้าแม่กับไอ้เทมส์ไม่ยัดเยียดมาให้ฉันก็มาอยากได้หรอก”
ผมนิ่งเงียบเม้มปากแน่นและพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่ผมมาอยู่คอนโดพี่ภู ผมถูกพี่ภูพูดทำร้ายจิตใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และถึงแม้ผมจะเสียใจมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังคงหยุดรักหยุดเป็นห่วงเขาไม่ได้ หนำซ้ำความเป็นห่วงที่มีให้เขายังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวที่เขาแสดงออก เพราะมันทำให้เห็นว่าถ้าไม่มีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ ละลายน้ำแข็งและกำแพงที่เกาะกินอยู่ในใจเขา พอจนถึงวันนึงไอ้น้ำแข็งและกำแพงที่ว่าอาจจะทำลายไม่ได้อีกตลอดกาล
ดังนั้น ไม่ว่าต่อให้ผมจะต้องถูกพี่ภูต่อว่าหรือทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมากเท่าไหร่ ผมก็ทิ้งเขาไปไม่ได้ มันอาจจะฟังดูดื้อรั้นและสิ้นหวังมากพอๆ กับการที่ผมแอบรักเขามานานถึงสิบปีนั่นแหละ
ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทรมานตัวเองมากขนาดนั้น อาจจะเพราะผมรักเขามาก และอาจจะเพราะผมยังพอทนไหว และที่ลึกที่สุดของหัวใจก็คือผมหวัง หวังว่าพี่ภูคนเดิมของผมจะยังอยู่ตรงนั้น รอเหมือนคนที่กำลังหลงทางให้ใครสักคนได้พากลับมา
“ไนล์.. ไนล์ขอโทษครับ”
ผมก้มหน้าพูดกับพี่ภูเสียงสั่น ผมพยายามห้ามตัวเองแล้วไม่ให้ร้องไห้ และปลอบตัวเองให้เข้มแข็งกว่านี้ แต่ผมก็ทำได้เท่านี้ ซึ่งก็หวังว่าจะไม่ทำให้พี่ภูหงุดหงิดใจไปยิ่งกว่าเดิม
พี่ภูชะงักมือที่บีบต้นแขนผมก่อนจะคลายแรงรัดออกช้าๆ ผมค่อยๆ ช้อนตาที่แดงก่ำเงยมองเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ในชั่วขณะหนึ่งผมเห็นแววตาคมที่แสนอ่อนโยนเมื่อครั้งเรายังเด็กกว่านี้วูบไหวด้วยความรู้สึกผิดอยู่วูบหนึ่ง ก่อนที่พี่ภูจะกะพริบตาแล้วหันไปทางอื่น จากนั้นเขาก็ดันแขนผมออกให้ห่างจากตัวเอง
“อย่าให้ฉันเห็นว่านายวางตัวเหนือป้ามลอีก ทำหน้าที่ตัวเองไป อย่าทำในสิ่งที่ฉันไม่ได้สั่ง เข้าใจที่พูดหรือเปล่า”
พี่ภูถามผมเสียงเข้ม เขาไม่ยอมมองหน้าผมด้วยซ้ำ ท่าทางจะยังหงุดหงิดอยู่ ผมเลยรีบรับปากเพราะไม่อยากให้พี่ภูโมโห
“เข้าใจครับ ไนล์เข้าใจแล้ว” ผมรับคำแข็งขัน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อนเพราะกลัวถูกดุที่เซ้าซี้ “แล้วกลางวันนี้พี่ภูอยากทานอะไรครับ ไนล์จะได้ทำให้”
พี่ภูหันมามองผมด้วยแววตาแปลกใจ “ทำเป็นหรือไง?”
“พอทำได้บ้างครับ พี่ภูทานสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาไหมครับ มันพอมีของสดในตู้เย็นที่พอทำได้ เพราะถ้ารอป้ามลกลับมา ไนล์กลัวพี่ภูจะหิวเสียก่อน”
เขาดูครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็จะตอบรับแบบปัดๆ “จะทำอะไรก็ทำมา เอาให้กินได้แล้วกัน”
ผมยิ้มกว้าง อารมณ์ที่เคยขุ่นมัวเมื่อครู่สดใสขึ้นมาทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พี่ภูเปิดใจยอมให้ผมทำอาหารให้ทาน
“ได้ครับ ไนล์จะทำสุดฝีมือเลย”
และก็เป็นอีกครั้งที่พี่ภูเบือนหน้าหนีผม ทำเอารอยยิ้มที่เคยกว้างของผมเจื่อนลงจนผมรู้สึกได้
“แล้วอย่ามัวแต่เถลไถลคุยโทรศัพท์นะ ฉันจ้างให้นายมาทำงาน อย่าให้รู้ว่าแอบนัดแนะคุยกับผู้ชายที่ไหน ถ้าฉันจับได้ล่ะก็นายได้ออกไปนอนนอกคอนโดแน่”
พี่ภูชี้หน้าคาดโทษ ทำเอาผมได้แต่งุงนงงว่าพี่ภูหมายถึงอะไร ผมไม่เคยคุยกับผู้ชายคนไหนเลยนอกจากพี่เทมส์ ซึ่งพี่ภูก็ไม่น่าจะได้ยินเพราะทุกครั้งที่คุยกับพี่เทมส์ผมคุยในห้องตลอด ถ้าพี่ภูไม่มายืนหน้าห้องหรืออยู่ในรัศมีใกล้ๆ ก็ไม่มีทางได้ยินหรอก จะให้ผมเชื่อว่าพี่ภูเดินมาได้ยินที่หน้าห้องผมงั้นเหรอ? ... ไม่น่าเป็นไปได้
ผมมองตามหลังพี่ภูที่เดินออกไปอย่างหงุดหงิดก็ได้แต่ถอนใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้คุยกันดีๆ สักที
.
.
.
หลังจากทำอาหารเสร็จก็ใกล้ได้เวลาเที่ยงพอดี พี่ภูนั่งดูทีวีเอกเขนกอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวีในมือถือโทรศัพท์มือถือแนบหู เขาปรายตามามองผมเล็กน้อย ผมอ่านสายตาเขาไม่ออกแต่พอเห็นพี่ภูติดสายอยู่ก็เลยยังไม่ได้เรียกเขามาทาน ได้แต่จัดโต๊ะรอจังหวะให้พี่ภูวางสาย
“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรถึงต้องอยากรู้ขนาดนั้น?”
ผมสะดุ้ง ตอนที่ได้ยินพี่ภูถามปลายสายเสียงเขียว ผมไม่รู้ว่าพี่ภูคุยกับใครแต่ท่าทางน่าจะสนิทกันน่าดู
“กูไม่ใช่ยักษ์ใช่มาร ทำไม? เป็นห่วงห่าอะไรนักหนา ท่าทางกร้านโลกเจนจัด มีอะไรให้มึงต้องกังวลว่าเด็กนั่นจะเอาตัวรอดไม่ได้”
หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาแปลกๆ ผมเลยตัดสินใจเงยหน้ามองคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล พอเห็นพี่ภูจ้องมาที่ผมเขม็ง ผมก็นึกรู้ทันทีว่า เด็กกร้านโลกเจนจัด ที่ภูหมายถึงนั่นคือใคร
ก็คงไม่แคล้วเป็นผมเอง
แล้วอีหรอบนี้ปลายสายก็คงไม่พ้นพี่เทมส์แหงๆ ผมนึกหนาวๆ ร้อนๆ ว่าหลังจากวางสาย ผมต้องโดนพี่ภูถากถางพูดจาไม่ดีใส่แน่ๆ โทษฐานทำให้เพื่อเขาสนใจในตัวผมเป็นพิเศษ
โถ่... พี่เทมส์ ถ้าอยากรู้อะไรทำไมไม่ถามผม ไปถามพี่ภูทำไมนะ เขายิ่งคิดว่าผมล่อลวงผู้ชายเก่งอยู่
“ไอ้เทมส์ กูชักจะรำคาญแล้วนะ เด็กนั่นทำเสน่ห์ใส่มึงเหรอ? แค่ลำพังแม่แค่คนเดียวกูก็สุดจะทนแล้วนะ นี่ยังมึงอีก” พี่ภูตวาดพี่เทมส์เสียงดัง พร้อมกับระบายลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “กูถามจริงนะ ไนล์อ่อยมึงใช่ไหม ทำไมมึงสนใจอะไรนักหนาวะ?”
ผมสะดุ้ง รีบก้มหน้าจัดโต๊ะต่อทั้งที่มือกับสมองแทบจะไปคนละทิศคนละทาง และไม่กี่อึดใจต่อมาผมก็ได้ยินเสียงทุ้มกระชากด่าทอพี่ชายผมไปตามสายก่อนจะตบท้ายการสนทนาด้วยประโยคที่ทำผมแน่ใจขึ้นมาทันทีว่าพี่ภูแอบได้ยินผมกับพี่เทมส์คุยกัน
“กูไม่รู้! มึงก็ถามเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาแบบปลอมๆ ของมึงแทนแล้วกัน มึงมีเบอร์มีไลน์กันนี่ ไปถามกันเอาเอง ไมต้องมายุ่งกับกู! แค่นี้นะ!”
พอจบจากการพูดคุยกับพี่ชายผม พี่ภูก็โยนโทรศัพท์ลงที่โซฟาข้างๆ พลางหันมาทำหน้าทำตาหงุดหงิดใส่ผม ทำเอาผมที่กำลังแอบๆ เหลือบตามองต้องพยามยามบีบตัวลีบเกร็ง เพราะรู้ดีว่าตอนนี้พี่ภูกำลังหงุดหงิดผมมากแค่ไหน เขาคงคิดไปตามประสาว่าผมไปหว่านเสน่ห์ใส่พี่เทมส์จนพี่เทมส์เกิดเป็นห่วงเป็นใยผมเกินหน้าเกินตา ทั้งที่ก็ไม่ได้รู้จักสนิทสนมกัน มันก็ไม่ผิดที่ภูไม่รู้ และมันก็ไม่ผิดที่พี่เทมส์จะเป็นห่วงผมผู้ซึ่งเป็นน้องชายคนเดียวที่เขาฟูมฟักดูแลมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ซึ่งถ้าจะหาว่าคนผิดคือใครก็คงจะเป็นผม ที่อยากจะทำตามใจตัวเองจนมองไม่เห็นถึงข้อจำกัดต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อผมเข้ามาอยู่ร่วมชายคากับพี่ภู
ก็อย่างที่คนเขาว่านั่นแหละ เริ่มโกหกแล้วครั้งหนึ่งมันก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไป มันจะหยุดโกหกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่สร้างมาจะพังครืนทันที
พี่ภูเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในขณะที่ผมก็ทำตัวหลุกหลิกพยายามจะขยับหนีออกจากเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามา พร้อมกับจ้องหน้าผมตาแทบไม่กะพริบ และในจังหวะที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะวิ่งหนีเข้าห้องตัวเองเพราะจัดการโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว พี่ภูก็ก้าวพรวดเดียวมาถึงตัวผมและกระชากต้นแขนผมไว้แน่นจนผมเผลอนิ่วหน้าด้วยเจ็บ และพอผมถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่ของพี่ภูผมก็ขยับหนีไปไหนไม่ได้ ผมถูกดึงให้หันกลับมาเผชิญหน้าพี่ภู เขาขยับเข้ามาเรื่อยๆ โดยที่ผมถอยหนีไม่ได้เลยเหมือนถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้กลายๆ พี่ภูปล่อยยอมแขนผมออกแต่กักร่างผมไว้ด้วยการเท้ามือทั้งสองข้างลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้แทน ผมก็ได้แต่ใจเต้นหน้าแดงทำอะไรไม่ถูกเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
“พะ.. พี่ พี่ภูครับ”
ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาคนที่ยืนคร่อมอยู่เลยแม้แต่นิด สายตาพี่ภูที่จ้องมาตอนนี้ทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้จ้องมาด้วยความพิศวาส รักใคร่ หรือพึงพอใจอะไรทั้งนั้น ตรงกันข้ามผมรู้ดีว่าสายตากร้าวที่กำลังมองกันอยู่นั้นคงเต็มไปด้วยความสงสัย เคลือบแคลงและไม่ไว้ใจเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ห้ามหัวใจตัวเองให้ไม่เต้นแรงไม่ได้เลย
“นายทำอะไรกับเพื่อนฉัน บอกมา?” พี่ภูถามผมเสียงเรียบ และมีความไม่พอใจปะปนอยู่จนผมสัมผัสได้ “ปกติไอ้เทมส์มันไม่เคยเป็นแบบนี้ มันไม่เคยสนใจใคร แต่ทำไมมันถึงได้วุ่นวายซอกแซกอยากรู้เรื่องนายนัก? นายไปให้ท่ามันไว้ใช่ไหม? หลอกเงินมันเหรอ? หรือปั่นหัวมันหว่านเสน่ห์? ห๊ะ?”
ผมหดคอหลับตาปี๋ เสียงตะคอกพี่ภูดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่กล้าตอบอะไรทั้งนั้น พอพี่ภูโน้มหน้าลงมาใกล้ ผมก็ได้แต่พึมพำเสียงเบาตอบเพราะไม่อยากให้พี่ภูโมโหกว่าเดิม
“นะ ไนล์เปล่าครับ ไนล์ไม่ได้ทำ”
พี่ภูละมือข้างหนึ่งออกจากที่เท้าแขนแล้วจับเข้าที่คางผมก่อนจะเชิดหน้าผมขึ้น ผมหลบตาพี่ภู แต่พี่ภูก็ไม่ยอมรามือ เขาโน้มหน้าลงมาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะกระซิบเสียงแข็ง
“ไม่ได้ทำ? แล้วอาการที่ไอ้เทมส์เป็นคืออะไร? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายแอบติดต่อกับมัน ทำไมเงินมันไม่พอใช้รึไง ทำไมถึงอ่อยถึงให้ท่าคนไปทั่วแบบนี้?”
“พี่ภู.. ฮึก ไนล์เปล่าจริงๆ นะครับ”
พี่ภูชะงักไปตอนเห็นผมกลั้นก้อนสะอื้นและห้ามตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลจนตาแดงก่ำไปหมด แต่แค่แปปเดียวเท่านั้น เพราะจู่ๆ พี่ภูก็โน้มหน้าลงมาจนชิด ปลายจมูกของเราสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ และริมฝีปากของเราสองคนก็ห่างกันไม่ถึงเซ็นติเมตร
ผมหลับตาปี๋โดยสัญชาตญาณ แต่แล้วจู่ๆ มือที่พี่ภูจับคางของผมไว้ก็สะบัดออก พร้อมๆ กับที่พี่ภูถอยออกไปจนห่างและจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาดูถูก
“ทำไม? คิดว่าฉันจะจูบนายงั้นหรอ? ฝันไปรึป่าว? นายมีอะไรให้ฉันพิศวาสไม่ทราบ แค่หน้าฉันยังไม่อยากจะมอง.. เหอะ”
น้ำตาผมร่วงทันทีที่ได้ยินพี่ภูพูดแบบนั้น ผมก้มหน้านิ่งไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงว่าผมเองไม่ได้สำคัญตัวขนาดที่คิดว่าพี่ภูจะมาจูบหรืออะไร เพียงแต่ผมตกใจ และผมก็ไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อน
ผมยอมรับว่าวูบหนึ่งในใจลึกๆ มันตื่นเต้น มันลิงโลด ในฐานะของคนแอบรักผมผิดด้วยเหรอที่จะรู้สึกดีหากจะถูกสัมผัสโดยคนที่ผมได้แต่มองมาตลอดสิบปี ผมไม่ได้คาดหวังอะไร แต่การถูกปรามาสซึ่งหน้าแบบนี้มันทำให้ผมอดนึกน้อยใจไม่ได้
อะไรที่ทำให้พี่ภูจงเกลียดจงชังผมมากขนาดนี้กัน
ผมพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่พี่ภูก็กดตัวผมไว้ให้นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะเริ่มพูดอีก
“นายจะต้องเลิกยุ่งกับไอ้เทมส์ และฉันจะไม่พูดเรื่องนี้ซ้ำอีก ถ้าฉันเห็นนายพยายามจะติดต่อมัน หรือแอบติดต่อมันหลังฉัน นายโดนดีแน่เข้าใจไหม?”
ผมเงยหน้าก้มหน้าก้มตารีบพยักหน้ารับปากพี่ภูเพราะไม่อยากได้ยินเขาพูดทำร้ายจิตใจมากไปกว่านี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ไม่ได้ถูกใจเขาเลยสักอย่าง พี่ภูจึงได้จับคางผมเงยขึ้นอีกครั้ง แล้วคาดคั้นให้ผมรับปาก
“เวลาฉันถามหรือฉันสั่งอย่ามาหลบตาหลบหน้า ฉันไม่ชอบ พูดออกมา!”
“ครับ” ผมรับปากพี่ภู ก่อนจะขบริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นเพราะกลัวหลุดเสียงสะอื้นให้อีกฝ่ายรำคาญใจ พี่ภูชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง แววตาแข็งกร้าววูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ สิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด ไม่สิ ไม่กล้าคาดคิดมากกว่าหลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ก็เกิดขึ้น
พี่ภูโน้มใบหน้าลงมาอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้หยุดรอหรือมีท่าทีลังเลอะไรให้ผมได้ทันเอะใจ ริมฝีปากหยักลึกถูกยื่นเข้ามาใกล้ก่อนที่ฟันของพี่ภูจะกัดลงบนริมฝีปากล่างผมเบาๆ จนผมเผลอตกใจปล่อยริมฝีปากล่างตัวเองที่ขบอยู่ก่อนหน้าออก ดวงตาเบิกกว้างเพราะตกใจที่จู่ๆ พี่ภูก็ทำแบบนี้
ผมยกมือขึ้นดันไหล่พี่ภูโดยทันทีอัตโนมัติเหมือนเป็นสัญชาตญาณของการป้องกันตัว แต่ดูเหมือนพี่ภูจะไม่ได้รู้สึกถึงมือเล็กๆ ของผมที่พยายามจะดันเขาออก เขาแนบริมฝีปากตัวเองลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้ง และยังไม่ได้ทันที่เขาจะได้ขยับทาบทับประตูห้องคอนโดก็เปิดผ่างออกเสียก่อน พร้อมๆ กับที่เสียงของป้ามลดังเข้ามาตามตัว
“ป้ากลับมาแล้วค่ะ คุณๆ อยู่ไหนกันคะ?”
พี่ภูดีดตัวออกจากผมทันทีที่ได้ยินเสียงของป้ามล ในขณะที่ผมก็ลุกขึ้นยืนพรวดพราดพร้อมกับก้มหน้านิ่งแล้วเอ่ยพึมพำบอกพี่ภู โดยที่ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด
“พะ... พี่ภูทานตามสบายนะครับ ไนล์เตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ยังไงไนล์ขอตัวไปพักผ่อนก่อนเหมือนจะปวดหัวนิดหน่อย”
ผมไม่รอให้พี่ภูเอ่ยอนุญาต ผมก้มหน้างุดๆ แล้วตรงดิ่งไปที่ห้องนอนตัวเองทันที โดยที่ผมก็ไม่ได้คิดจะหันไปมองว่าพี่ภูมีท่าทียังไงหลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่
ถ้าสมมติว่าป้ามลไม่เปิดประตูเข้ามา พี่ภูจะจูบผมต่อหรือหยุดทุกอย่างเพราะได้สติ...
ผมเองก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ผมไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าพี่ภูจูบผมทำไม เขาแค่อยากแกล้งปั่นหัวผมเล่น หรือเขาแค่หมั่นไส้ที่ผมทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ หรือเขาแค่หวั่นไหวเพราะเราอยู่ใกล้กัน ซึ่งในความเป็นไปได้ของเหตุผลสุดท้ายนั้นผมแทบจะตัดทิ้ง เขาเกลียดผมเข้าไส้ขนาดนั้นจะเอาอะไรมาหวั่นไหว ถ้าให้ทายก็คงจะเหตุผลแรกกับเหตุผลที่สองปนๆ กันนั่นแหละ
หรือไม่แน่พี่ภูอาจจะอยากทดสอบสมมติฐานของตัวเองก็ได้ว่าผมเป็นพวกชอบหว่านเสน่ห์ หลอกผู้ชายเพื่อขอเงินไปทั่วหรือเปล่า ผมแทบไม่อยากจะคิดว่าถ้าป้ามลไม่เข้ามา แล้วผมเผลอใจอ่อนคล้อยตามเขาไปอีกนิด เขาจะต่อว่าหรือประนามความใจง่ายของผมอีกไหม เขาจะคิดว่าผมทำไปเพราะหวังในทรัพย์สินของทองของเขาหรือเปล่า
ทั้งๆ ที่การที่ผมยอมเขานั้นมันมีแค่เหตุผลเดียว เหตุผลที่พี่ภูไม่เคยจะมองหา เหตุผลที่ภูไม่เห็นว่าอยู่ในระบบความคิดหรืออยู่ในสายตาของเขาสักนิด
...เหตุผลที่ว่าผมรักเขามาก มากจนยอมทิ้งศักดิ์ศรี ทิ้งตัวตน ทิ้งทุกอย่าง เพื่อให้ได้มีเวลาอยู่กับเขาเพิ่มขึ้นอีกสักวินาทีก็ยังดี ....
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)