❀ Moon's Embrace : บทที่ 9 ... เต็มตอน ❀
ดวงเดือนประกายแสงทอระยับ ลมหนาวพัดพลิ้วกลิ่นอายของสายฝนหนาวเหน็บผ่านหน้าต่างก่อนกระทบพื้นหินอันเย็นเยียบ หากไม่ได้ความสว่างจากไฟตะเกียงที่แขวนไว้อยู่ตรงมุมห้อง คงมิอาจคาดเดาได้ว่าสถานที่อันน่าหดหู่เช่นนี้คือภพภูมิใดกันแน่
สำหรับฉินกวนเจ๋อผู้โชคร้ายซึ่งกำลังกอดเข่าหดตัวอยู่มุมห้อง ที่นี่กลับเปรียบเหมือนกรงขังสัตว์ตาดำๆ รอเชือด หมอผู้น้อยยังคงสั่นสะท้านอยู่หลายครา ยิ่งจินตนาการถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ยิ่งสั่นไม่ยอมหยุด นัยน์ตากลมโตไหวระริก สีหน้ามีแต่ความกังวลกลัดกลุ้มหวาดระแวง จนไม่รู้ว่าใจตนเองว่าอยากให้พรุ่งนี้มาถึงหรือไม่ พอทบทวนซ้ำไปซ้ำมาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้
เขาบีบจมูกกลิ่นเหม็นหืนโชยคลุ้งขึ้นมาจากกองหญ้าแห้งที่ใช้กลบซากหนูตายชวนอาเจียน เหลือบสายตามองไปรอบๆ ก็มีซี่กรงน่าขนลุก
ตลอดชีวิตของกวนเจ๋อ พบพานแต่ที่ดีงามมาเสมอ ไม่นึกว่าตนจะย่างกายเข้ามาในสถานที่อัปมงคล หากบ้านรู้เรื่องนี้เข้าคงได้อกแตกตายเป็นแน่
ใช่...เขาก็อยากอกแตกตายเช่นกัน ความผิดเท่าเศษผง แต่แสร้งสร้างเป็นฆ่าช้างทั้งตัววังหลวงก็ย่อมทำได้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมองค์รัชทายาทจะต้องทำกับเขาเช่นนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายมันจงใจปรักปรำให้กันชัดๆ
ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดซี่โครงราวกับร้าวไปถึงด้านใน ตอนที่ทหารพวกนั้นจับเขามาไม่ได้เบาแรงสักนิด หนำซ้ำยังกระแทกกระทั้น ทั้งผลักทั้งลากราวกับเขาไม่ใช่คน ก่อนจะทิ้งขว้างไว้ในห้องขังนี่
กวนเจ๋อกอดเข่า หมอร่างเล็กซึมเศร้ามากขึ้นกว่าเดิม จนคิดอยากจะหลับตาพัก ทว่าเพียงปิดเปลือกตาลงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า มีคนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องขัง เป็นชายผู้คุมที่โยนก้อนกลมๆ บางอย่างลอดช่องกรงมาด้านในราวกับให้อาหารสัตว์
ชายผู้คุมเหยียดยิ้มหยันโดยไม่พูดอะไร กวนเจ๋อถอนหายใจ ไม่เคยคิดว่าชีวิตตนเองจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ เขามองสิ่งที่ชายผู้นั้นโยนเข้ามาก่อนหยิบขึ้น มันคือหมั่นโถที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นคราบดิน จนแทบจะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทั้งลูก
ถึงวันนี้จะมีอะไรตกถึงท้องแค่มื้อเดียว แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด
ใครมันจะไปกินลงอะไร...กวนเจ๋อโยนหมั่นโถทิ้ง ก่อนถอนหายใจ...เขาจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงกันนะ
ก๊องแก๊ง
เสียงจากที่หน้าประตูทำให้หมอหนุ่มหันไปมองอีกครั้ง ผู้คุมปรากฏกายที่หน้าประตูอีกรอบ แต่ครานี้ไม่ใช่หมั่นโถที่ถูกโยนเข้ามา แต่กลับเป็นร่างใครบางคนที่ถูกโยนเข้ามาแทน
“เข้าไป! ”
เสียงล้มดังสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้กวนเจ๋อต้องหดขาตัวเองฉับพลัน เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกายสูงใหญ่ถูกโยนทิ้งเข้ามาในห้องราวกับเนื้อชิ้นโต
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไป เขามองไม่ออกว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เห็นแค่เพียงเลือดสีเข้มที่อาบไปทั่วร่างกายนั่น
“หึหึ คุกเต็ม ช่วยรักษาเจ้าสุนัขนั่นทีนะท่านหมอ”
ทหารผู้คุมเหยียดยิ้มถากถาง ขณะที่ฉินกวนเจ๋อกลับลืมหัวใจตนเองไปแล้วว่าเคยเป็นหมอ เขาได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่มุมห้อง แผ่นหลังชิดติดกำแพงเย็นชื้นจนแทบจะฝังตัวเองให้หายไป ดวงตาสั่นระริกอย่างหวาดระแวงไปหมด ถึงดูจากสภาพแล้วคนตรงหน้าจะปางตายอย่างไร แต่คุกเป็นสถานที่ไว้สำหรับขังคนชั่วช้า ยากที่จะมีคนโชคร้ายแบบเขาหลุดเข้ามา หากเจ้านั่นฟื้นขึ้นมาแล้วจับเขาบีบคอด้วยความโกรธ คงมิวายต้องตายในคุกแน่ๆ โธ่เอ๊ยกวนเจ๋อทำไปถึงได้ซวยซับซวยซ้อนแบบนี้!
นั่งเฉยๆ จนผ่านไปเกือบสองเค่อ
ค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไป สำหรับกวนเจ๋อทุกวินาทีช่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลาน
เขาเหลือบตามองไปที่กลางห้อง ร่างโชกเลือดนั่นแน่นิ่งไปแล้ว…
ตายแล้วหรือ...ตายแล้วหรือยัง...แต่เจ้าจะมาตายทั้งที่ข้านั่งอยู่ตรงนี้ แล้วเพิ่มความพรั่นพรึงให้ข้าอีกไม่ได้นะ!
กวนเจ๋ออยากร้องไห้ อยากตบหัวตนเองที่ดันเกิดมาเป็นคนโลเล ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ที่มุมห้องไม่ใกล้ไม่ไกลมีกระบวยตักน้ำวางอยู่บนถังเล็กๆ เขาไปคว้ามันขึ้นมาพลางกำไว้แน่น เมื่อรวบรวมความกล้าได้จึงค่อยๆ ย่องเข้าไป แล้วใช้กระบวยเขี่ยแขนคนที่นอนนิ่ง
“จ...เจ้า”
“...”
ไม่การตอบรับใดๆ จากร่างโชกเลือด กวนเจ๋อหัวใจหนาววาบ น่ากลัวว่าเจ้านี่น่าจะตายไปแล้วจริงๆ
“จ...เจ้ายังไม่ตายใช่ไหม ย..อย่ามาตายตรงนี้นะ”
ให้ข้าออกไปก่อนแล้วค่อยตายได้ไหม อยากร้องไห้ แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยปากออกไปทั้งเสียงสั่นๆ กลัวก็กลัว ห่วง (ตัวเอง) ก็ห่วง แต่หากคนตรงหน้ามาตายตรงนี้จะยิ่งพลันสถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม
แต่...ในห้องขังแบบนี้เขาจะไปช่วยใครได้อย่างไร ยิ่งคราวก่อนมีประสบการณ์เลวร้ายอยู่ในหัวอยู่ด้วย ยังไม่ทันได้ลงมือรักษา เจ้านกหงส์หยกนั่นก็ชิ่งขาดใจตายเสียก่อน ส่วนคราวนี้มีใครก็ไม่รู้มานอนเลือดท่วมอยู่ในห้องขัง จะรักษาก็กังวลในใจว่าจะชิงตายก่อนอีกไหม
“อึก...”
เหมือนได้ยินครางออกมาแผ่วเบาจากร่างที่คิดว่าตายไปแล้ว กวนเจ๋อขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลง เงี่ยหูฟังให้ชัดๆ อีกครั้ง
“น...น้ำ”
ยังไม่ตาย!
คราวนี้ได้ยินชัดเจนแล้ว ถึงจะหวาดระแวงว่าจะเป็นการทำคุณบูชาโทษหรือไม่ แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นหมอ (ที่มีอยู่น้อยนิด) สองขาก็ขยับไปที่มุมห้องแล้ว ทีแรกจะตักมากระบวยเดียว แต่คิดไปคิดมาทั่วทั้งร่างของหมอนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสกปรกมอมแมม หมอตัวเล็กจึงเปลี่ยนใจแล้วลากน้ำมาทั้งถัง
ทว่า...เนื่องจากในห้องขังกลับมีตะเกียงให้ความสว่างเพียงดวงเดียว คนตัวเล็กจึงไม่ทันสังเกตเห็นหมั่นโถที่ตนเองปาทิ้งไว้ จึงเลื่อนพรืดเข้าให้ โชคดีที่เขาไม่ได้เสียหลักล้มหน้าคะมำ แต่น้ำก็กระฉอกออกไปจากถังเกือบครึ่ง แถมยังกระเซ็นไปสาดใส่หน้าคนที่นอนนิ่งจนเปียก
พอเห็นผลงานตัวเอง กวนเจ๋อถึงกับหน้าซีด แย่แล้วๆ!!
“อึก! ”
หมอจอมซุ่มซ่ามละล่ำละลักเข้าไปใกล้ แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก มองไปมองมาก็เพิ่งนึกได้ว่าควรเช็ดน้ำออกจากใบหน้าหมอนี่ก่อน คิดได้ดังนั้น เขาจึงใช้ปากกัดแขนเสื้อของตนเองจนขาดเป็นผืนหยาบๆ แล้วรีบซับใบหน้าของคนป่วย
ไม่ช้าคราบเลือดและความสกปรกต่างๆ ก็ถูกผ้าผืนน้อยเช็ดออกไปในเวลาอันสั้น วินาทีนั้น พอดีกับที่แสงจันทร์ภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างออกมา กวนเจ๋อถึงได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของคนที่นอนอยู่ชัดๆ
หมอนี่เป็นบุรุษ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซูบตอบแต่ดูคมเข้ม คิ้วเข้มหนาพาดเฉียงดูดุดันมีแผลแตกที่หางคิ้วและรอยเขียวจ้ำอยู่ที่โหนกแก้ม ส่วนจมูกก็เบี้ยวคดผิดทรงราวกับโดนของแข็งฟาดเข้าจนหัก ดวงตายังคงปิดสนิท ริมฝีปากแห้งผากจนเห็นเป็นแผ่นเนื้อมีเลือดไหลซิบ ที่ต้นคอมีรอบสักแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นแต่ดูแล้วคล้ายกับรูปของหมาป่า
กวนเจ๋อขมวดคิ้วสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่สักพักก็หลุดออกจากภวังค์เมื่อคนที่นอนอยู่ร้องครางออกมาอีกครั้ง
“น...น้ำ”
ครานี้เขาไม่คิดอะไรแล้ว หมอร่างเล็กรีบค่อยๆ ดึงร่างคนไร้เรี่ยวแรงมานอนพิงไว้ที่ต้นขา แต่คนคนนี้น้ำหนักก็มิใช่เบาเลยๆ กว่าพยุงตัวอีกฝ่ายให้อยู่ในท่าเอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งบนตักได้ก็เล่นเอาหอบ
โธ่เอ๊ย ฉินกวนเจ๋อ ทำไมเจ้าต้องมาทำอะไรเช่นนี้ ถึงเจ้าจะอยากเป็นหมอ แต่ก็ไม่มีปณิธานอันแน่วแน่รักษาทุกคนบนใต้หล้านี้แบบอู่ลี่จินเสียหน่อย แถมไม่รู้ว่าคนที่กำลังช่วยเหลืออยู่นี่จะเป็นการทำคุณบูชาโทษหรือเปล่า
ทว่าสุดท้ายก็ค่อยๆ เอื้อมมือใช้กระบวยตักน้ำให้อีกฝ่ายดื่มอยู่ดี
“ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้าช่วยเจ้าแล้ว ห้ามมาตายในนี้นะ”
น้ำที่รสคาวคลุ้งแปลกๆ ที่ไหลลงคอที่แห้งผาก พร้อมเสียงเจื้อยแจ้วดูเอาแต่ใจตนเองนั้นช่างไม่มีความเข้ากันเลยสักนิด แต่น่าแปลกที่ดันรู้สึกเหมือนชีวิตได้รับความเมตตาเสียที…แต่จะเป็นไปได้หรือที่ชนเผ่านอกรีตจะได้รับการโอบอุ้ม
ดวงตาที่หนักอึ้งพยายามเรียกเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่สุดท้าย ปรือขึ้นมาเพื่อให้เห็นกับว่าตนได้รับความช่วยเหลือจากภพใด ทว่า...แสงที่ปรากฏยามค่ำคืนนั้นช่างพร่ามัวเสียจนไม่มีสิ่งใดรู้เรื่อง เห็นเพียงแค่สีครามเขียวเหมือนกับน้ำทะเลที่กำลังหมุนวนกันเป็นเกลียว จากนั้นภาพทุกอย่างก็ดำมืดไปอย่างฉับพลัน ได้ยินเพียงแค่เสียงร้องเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู...แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกว่า ถ้าเขาได้ยินเสียงน่ารำคาญนี่อีกสักนิดก็คงจะดี
“เจ้า เจ้า! ”
♦♦♦♦♦♦♦
เช้าวันใหม่เข้ามาเยือน
วันนี้ อู่ลี่จินไม่มีกิจใดๆ ในตอนเช้าที่สำนักหมอ เขาจึงมีเวลาตระเตรียมสิ่งของอะไรหลายๆ ก่อนจะไปพบใครบางคน
ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่า สถานที่ที่เรียกว่าคุกเป็นเช่นไร ซึ่งคนอย่างฉินกวนเจ๋อคงไม่มีวันกล้าข่มตาหลับ หรือยอมให้อะไรตกถึงท้องเป็นแน่ อู่ลี่จินจึงเตรียมทั้งซาลาเปาสอดไส้ หมั่นโถ พร้อมทั้งขนมอีกนิดหน่อยแอบยัดใส่กระเป๋าใต้แขนเสื้อ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังเรือนราชทัณฑ์ที่อยู่ทางใต้หลังกำแพงวังชั้นนอก
พอมาถึง ลี่จินก็รู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าไปหากวนเจ๋อได้อย่างไร้อุปสรรค เขาแอบจ่ายส่วยให้ผู้คุมที่นี่ไปคนละหนึ่งถุงเล็ก ซึ่งก็มีน้ำหนักพอที่จะบอกว่าจำนวนเงินในนั้นมากพอที่จะสบายไปกว่าหลายอาทิตย์ ก่อนที่จะผ่านประตูเข้าไป
สภาพด้านในที่คุมขังดูย่ำแย่ และทรุดโทรมอย่างน่ากลัว ดูเหมือนทางวังหลวงจะไม่ได้ให้ความสำคัญหรือดูแลที่นี่เลยสักนิด แถมยังมืดทึบทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าตรู่ ส่วนที่กำแพงก็ประดับด้วยเครื่องทรมานต่างๆ ที่เกรอะกรังไปด้วยสนิม บ้างก็มีคราบเลือดที่แห้งติดไม่ได้ล้างออกดูน่าขนลุก
หมอคนงามเดินเข้าไปเรื่อยๆ ตามคำบอกผู้คุม กระทั่งพบกวนเจ๋อกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องขังด้านในสุด ลี่จินเลิกคิ้วขึ้น
“กวนเจ๋อ! ”
เสียงเรียกทำให้คนที่ฟุบหน้าลงกับเข่าค่อยๆ เงยขึ้น ก่อนดวงตาจะเบิกโตเมื่อเห็น สหายรักยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ลี่จิน! ”
เหมือนได้พบแสงสว่าง กวนเจ๋อรีบลุกพรวดก่อนจะมายืนเกาะอยู่หน้าซี่กรง ลี่จินเห็นสภาพเพื่อนตนเองก็สงสารจับใจ ใบหน้าซูบโทรม ผมเผ้ายุ่งเหยิงใต้ตาบวมเล็กน้อยและดำคล้ำ เหมือนเจ้าลิงเตี้ยนี่จะไม่ได้นอนพักเลย
“เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่ถามออกมาเจือประหลาดใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ที่คนตรงหน้าจะมาสนใจว่าเขาเข้าโดยวิธีไหน
“เจ้าอย่าห่วงเรื่องนั้นเลย ผู้คุมที่นี่มีวิธีซื้ออยู่”
พอได้ยินแบบนั้น ก็เหมือนหมอผู้อาภัพตรงหน้าจะเข้าใจเป็นนัย ถึงคุกจะเป็นสถานที่ไว้กักขังผู้กระทำความผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้มงวดจนไม่ให้ใครเข้ามา หากยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้พวกผู้คุมข้างนอกนั้นสักหน่อย ต่อให้ฆ่าใครตายก็เข้าพบได้
“เจ้าหิวหรือเปล่า ข้านำหมั่นโถร้อนๆ มาให้เจ้าด้วย”
ไม่รอช้าลี่จินรีบหยิบหมั่นโถอุ่นๆ ออกมาจากกระเป๋าด้านในแขนเสื้อ กวนเจ๋อตาลุกวาว ปกติเขาไม่ค่อยชอบกินหมั่นโถเท่าไร แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามันช่างน่าอร่อยยิ่ง!
หมอหนุ่มรีบคว้าหมั่นโถมาจากเพื่อนผ่านซี่กรง แล้วรีบกัดเข้าไปคำแรก ถึงรสชาติจะจืดสนิทเพราะทำมาจากแป้ง แต่เขากลับรู้สึกว่ามันหวานลิ้นนักจนกลั้นน้ำตาที่ปลายหางได้ไว้ไม่ได้
ลี่จินมองดูเพื่อนที่กินหมั่นโถอย่างเอร็อดอร่อยก็คลี่ยิ้มจางๆ ก่อนจะยื่นของกินอื่นๆ ส่งไปให้ แต่พักเดียวคนที่ทำท่าเหมือนจะยัดทุกอย่างลงท้องก็หยุดชะงักไปเหมือนครุ่นคิดอะไรได้ พอสังเกตในแววตาก็กลับพบว่ามันสั่นระริก และมีน้ำใสๆ คลอเคลียอยู่ริมขอบตา
“เป็นอะไร”
คำถามนั้นทำให้ กวนเจ๋อมองหน้าอู่ลี่จิน ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเศร้าๆ
“ข้าจะได้ออกจากที่นี่ไหม...แล้วข้าจะตายหรือเปล่า”
ความหวาดกลัวปรากฏในแววตาของอีกฝ่ายอย่างปิดไม่มิด ขณะที่ลี่จินเมื่อได้เห็นสีหน้านั่นแล้ว หัวใจกลับรู้สึกเศร้าตามไปด้วย ถึงกวนเจ๋อจะเป็นคนปากพล่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นคนใสซื่อไม่มีพิษมีภัย เขาไม่ควรต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
“เรื่องแค่นี้เจ้าไม่ตายหรอกน่า”
“เรื่องแค่นี้อะไร นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”
น้ำเสียงสั่นๆ ใต้ใบหน้าที่ก้มลงยังคงเจือกังวล ตระกูลฉินไม่ใช่คนใหญ่คนโต และเป็นเพียงแค่ขุนนางระดับล่างที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใดๆ ในราชสำนัก อย่างมากท่านพ่อก็แค่รู้ว่าต้องหลบหลังใครชีวิตถึงจะอยู่อย่างเป็นสุข แต่พอมาเจอเรื่องเช่นนี้ มองอย่างไรก็เหมือนจะมืดแปดด้านไปหมด
ลี่จินเข้าใจความรู้สึกของกวนเจ๋อดีว่าคงต้องรู้สึกหวาดกลัวมากเป็นแน่ ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจอะไรเท่าไรนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่เขาก็อยากให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น
“กวนเจ๋อเจ้าฟังข้านะ...”
ได้ยินเสียงเรียก คนฟังเลยยอมเงยหน้าขึ้นมา มองอู่ลี่จินที่กำลังทำสีหน้าจริงจัง
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เจ้าอยู่เฉยๆ รักษาชีวิตตัวเองไว้ก็พอ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าออกไปให้ได้”
“แล้วพ่อข้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง ถ้าเขารู้…เขาต้องยอมทำทุกอย่างจนเกินตัวแน่ ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย”
กวนเจ๋อกล่าวอย่างร้อนใจ ที่ห่วงที่สุดก็คือท่านพ่อของตนเอง ลี่จินส่ายหน้านิดๆ ตอนนี้ให้คนกังวลไปก็เท่านั้น อย่างไรเขาก็เชื่อว่าองค์รัชทายาทคงมิยอมให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปยังนอกวังเร็วเช่นนั้น ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อน
“เจ้าอย่ากังวล องครักษ์ซุนรับปากว่าจะช่วยเจ้า”
“ใต้เท้าซุนหรือ! ”
พอได้ยินชื่อคนที่ไม่คาดว่าจะได้ยิน ด้วยความตกใจจึงเผลอหลุดปากออกไปเสียงดัง ลี่จินรีบถลึงตาโตใส่เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรีบหุบปากอย่างทันท่วงที เพราะเรื่องนี้จะให้ใครได้ยินซี้ซั้วไม่ได้ โชคดีนักที่พวกผู้คุมออกไปที่หน้าประตูกันหมดเลยไม่มีใครได้ยิน
กวนเจ๋อมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกวักมือเรียกให้คนที่อยู่นอกซี่กรง ลี่จินขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้ พอได้ระยะเหมาะสมอีกฝ่ายก็รีบกระซิบกระซาบ
“เจ้าไปขอร้องเขาหรือ”
ถึงกับสะอึก จนต้องกระแอมไอกลบกลืน จากมุมนี้ถึงจะไม่ชัดเจนนัก แต่กวนเจ๋อก็สังเกตแก้มอีกฝ่ายขึ้นสีระเรื่อเจือจาง
“น...นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรสนใจ เจ้าควรห่วงตัวเองก่อนว่าจะรักษาชีวิตอย่างไรในคุกนี่ให้รอดดีกว่า”
เปลี่ยนน้ำเสียงกลายเป็นน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินคนเดิม กวนเจ๋ออมยิ้มถึงจะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมลงทุนไปขอร้องคนที่ไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็นับได้ว่าอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเพื่อนเขาที่อาจมีบุญวาสนาได้รู้จักมักจี่กับใต้เท้าซุน แม้ว่าเขาจะมีประวัติน่ากลัวก็เถอะ
ลี่จินเหยียดตัวขึ้น ก่อนจะรู้สึกว่าเขาจะอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยลาหมอตัวเล็กตรงหน้า หางตาเขาก็ชำเลืองไปเห็นร่างของใครบางคนกำลังนอนหันหลังให้อยู่กลางห้อง
“แล้ว...นั่นใครน่ะ เจ้าไม่ได้ถูกขังเดียวหรือ”
กวนเจ๋อรีบส่ายหน้าระรัว
“ข้าไม่รู้ อยู่ๆ เขาก็ถูกโยนเข้ามาในห้องเดียวกับข้า เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่ทราบ”
“เจ้าเป็นหมอ ทำไมใจร้ายกล้าทิ้งให้เขาตายห้องเดียวกับเจ้า”
แกล้งพูดหยอกเพื่อนตนเองไป แต่หารู้ไม่ว่าประโยคนั้นกลับไปสะกิดใจคนตัวเล็กเข้าอย่างจัง เมื่อคืนนี้เจ้าหมอนั่นไข้ขึ้นสูงทั้งคืน แถมยังตัวสั่นเทิ้มบ่นว่าหนาวๆ ไม่ยอมหยุด ลำบากเขาด้วยความรำคาญจนต้องถอดเสื้อหมอตัวเองไปห่มให้ แล้วก็เอาแผ่นฟางห่มทับๆ ไปอีกชั้น ส่วนตัวเขาก็ได้แต่เดินไปนั่งหนาวอยู่มุมห้อง พอพระอาทิตย์ถึงได้เดินไปเอาเสื้อคืน แต่เจ้าบ้านี่ก็ยังไม่ยอมตื่น
“เขายังไม่ตายสักหน่อย แค่...” ปางตาย กวนเจ๋อเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจ ส่วนลี่จินก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่พอดูจากสีหน้าของเพื่อนหมอแล้วดูไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด ทว่าอย่างไรคนที่ถูกโยนเข้ามาในคุกใช่ว่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้เสียเมื่อไร แต่เขาจะทำให้อะไรนอกจากให้คนตรงหน้าดูแลตนเอง
“ข้าต้องไปแล้ว...เจ้าระวังตัวด้วยนะ”
กวนเจ๋อพยักหน้ารับคำอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ช้าอู่ลี่จินก็หันหลังให้เขาก่อนจะเดินออกไปห้อง วินาทีที่เห็นภาพนั้น มันช่างเย็นสะท้านราวกับหัวใจทั้งดวงถูกปกคลุมด้วยหิมะ ชะตาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ...สุดท้ายเขาก็ได้แต่ภาวนาขอให้สวรรค์โปรดเมตตา...เห็นแก่ความดีที่เขาทำเพื่อใครที่ไหนไม่รู้ด้านหลังด้วยเถิด~
♦♦♦♦♦♦
พอเสียงกลองตีดังเมื่อเข้าสู่ยามซื่อ ดวงตะวันเริ่มทยานเข้าสู่กึ่งกลางท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า แสงแดดสาดส่องให้กลีบดอกเบญจมาศเหลืองอร่ามต่างสว่างไสวราวกับทองคำ
ฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งพอทอดพระเนตรออกไปนอกต่างหน้า ภาพดอกเบญจมาศที่เห็นที่พานให้ผ่อนคลายยิ่ง สามวันมานี้วังหลวงสงบสุขอย่างไม่เคยเป็น นับตั้งแต่แต่งตั้งอี้หมิงเป็นรัชทายาท ก็ช่วยว่าราชการบางส่วนที่เขาไม่มีเวลาจัดการ จนทุกอย่างก็ดูจะเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น รวมทั้งสงครามวังหลังที่เงียบสงบเพราะมีฮองเฮาหลิวจูเป็นที่เคารพยำเกรงสูงสุด
แต่ก่อนที่มาจะจุดนี้ได้ ก็พานให้เขาคิดถึงความหลังที่วังหลวงนั้นชโลมด้วยเลือดมานักต่อนัก ถึงชีวิตเขาจะเปรียบเหมือนโอรสของทวยเทพสวรรค์มาจุติ แต่น่าสงสารที่กลับไม่มีอำนาจมากพอที่จะปรามทุกอย่างได้อย่างใจคิด ซึ่งต้นเหตุของโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงก็มาจากการละเลยของเขาเอง
สนมแสนงามนับสิบปรนเปรอ
โอรสและธิดามากมายท่วมท้น
แต่ไม่มีใครหน้าไหนเลยจะมาแทนที่สนมเหยียนและองค์ชายสองของเขาได้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองนั่นต้องแปดเปื้อนสีแดงชาด
พอหวนคิดเรื่องเก่าแล้วในแววพระเนตรของฮ่องเต้สือเจิ้งก็หม่นหมองลง ถึงทุกอย่างไม่ได้จะเป็นไปตามใจคิด และเส้นทางที่ปูเอาไว้ก็มิได้งดงามราบเรียบ แต่เขาก็มั่นใจว่าในอนาคตข้างหน้าบัลลังก์จะมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าหาก...
“ฝ่าบาท...”
เสียงที่เอื้อนเอ่ยเบาๆ อยู่ด้านหลัง ทำให้สือเจิ้งหลุดจากภวังค์ความคิด เขาปรายตามองขันทีเฒ่า ดูท่าหลีกงกงจะมีเรื่องบางอย่างจะทูลให้เขาทราบ พออนุญาตก็ได้ทราบว่าองครักษ์ซุนไป่หานของจิวอ๋องมีเรื่องของเข้าเฝ้า แต่เพราะเนื่องจากช่วงเช้านี้ไม่กิจอะไรวุ่นวายจึงมีรับสั่งให้เบิกตัวเข้ามาในทันที พออีกฝ่ายทำความเคารพแล้วก็รีบถามต่อ
“เจ้ามีอะไรหรือองครักษ์ซุน”
“ฝ่าบาทเรื่องหมอหลวง ที่ท่านอ๋องประสงค์นั้น...”
“รัชทายาทยังไม่ได้จัดหาให้อีกหรือ”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ คนที่ประทับอยู่บนแท่นก็พูดดักออกมา ไป่หานรีบส่ายหน้า
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”
“มีอะไรหรือ”
ท่าทีที่เหมือนไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรซุนไป่หานนับได้ว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับอ๋องจิวมาก อีกทั้งยังมีนิสัยไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ตั้งคำถามคาแคลงสงสัยเจ้านาย เรียกได้ว่ายอมแม้กระทั่งสละชีวิตตนเองเพื่อท่านอ๋องได้อย่างไม่ลังเล ทว่าครานี้กลับเหมือนมีบางอย่างทำให้ค้างคาอยู่ในใจ
ด้านไป่หาน เขาลังเลอยู่พักใหญ่ ถึงเมื่อคืนเขาจะคุยกับอู่ลี่จินจนรู้ถึงสิ่งที่ตนเองต้องทำแล้ว แต่อย่างไรก็เหมือนฝืนใจตนเองอยู่นิดๆ หากอ๋องจิวรู้ว่าเขากำลังสร้างเรื่องให้ จนเป็นเหตุสร้างความแคลงพระทัยฮ่องเต้เข้า คงต้องเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นทุกคำพูดจะต้องระแวดระวังให้มากขึ้น
“ทูลฝ่าบาท ตอนที่ฝ่าบาทประทานหมอหลวงมาตรวจอาการทหารเมืองหู่ มีหมอหลวงชั้นต้นหลายคนที่มีฝีมือแพทย์มาให้ กระหม่อมปรึกษากับหัวหน้าหมอหลวงเหลียงแล้ว จึงขอรายชื่อส่งไปให้ท่านอ๋องที่เมืองหู่”
เกริ่นความออกไปด้วยเสียงราบเรียบ สือเจิ้งพยักใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ไป่หานจึงพูดต่อ
“ก่อนกลับมาที่วัง ท่านอ๋องได้ตรัสย้ำว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมอที่มากประสบการณ์ แต่ต้องการหมอที่มีจิตใจซื่อตรง และรักในวิชาแพทย์ ตอนนั้นทหารแคว้นหู่ได้รับความช่วยจากหมอหลวงชั้นต้น จึงมาทูลเป็นพระราชานุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าทูลเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทแล้วหรือยัง”
แค่คำถามแรกก็เล่นเอาสะอึกไปถึงทรวง อย่างไรฮ่องเต้ก็มีรับสั่งไว้แล้วว่าเรื่องหมอที่จะไปเมืองหู่ องค์รัชทายาทจะเป็นคนจัดการ กระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการหักหน้าอีกฝ่าย แต่ว่าเรื่องนี้จะผ่านหูเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั่นก่อนไม่ได้เป็นอันขาด
“ยังพ่ะย่ะค่ะ แต่หากฝ่าบาททรงอนุญาตกระหม่อมจะทูลกับองครัชทายาทด้วยตนเอง”
ไป่หานก้มหน้าลงตอบด้วยเสียงดังฟังชัด ไม่มีวี่แววว่าจะโป้ปด
สือเจิ้งเงียบไป เขานิ่งครุ่นคิดอยู่พอสมควร เดิมทีอี้หมิงก็ไม่ใช่คนคิดมากและเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตอะไร แต่ที่เขาห่วงก็มีเพียงแค่...
“เรื่องแค่นี้ เจ้าไม่ต้องไปทูลด้วยตนเอง ให้หลีกงกงเป็นคนจัดการให้ ข้าคิดว่าอี้หมิงคงไม่มีปัญหาอะไร ข้าเป็นห่วงแต่ว่า หากยกให้แต่หมอหลวงชั้นต้นไป อ๋องจิวจะหาข้าไม่ใส่ใจ”
“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ว่าท่านอ๋องคงมิบังอาจ อย่างไรกระหม่อมก็เชื่อว่า เรื่องฝีมือแพทย์เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนกันได้ แต่สันดานคนย่อมสอนได้ยากเย็น”
ได้ยินเช่นนั้นฮ่องเต้สือเจิ้ง จึงคลี่สรวลรับอย่างพอพระทัย
“หากเจ้าพูดเช่นนั้น...เห็นทีเจ้าคงหมายตาหมอคนใดเป็นพิเศษให้ท่านอ๋องแล้วใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไป่หานก้มหน้าขานรับในทัน สือเจิ้งยิ้ม
“ใครหรือ...”
“หมอแซ่ ฉิน...กับหมอแซ่ อู่ พ่ะย่ะค่ะ”
♦♦♦♦♦♦
มาลงเต็มตอนให้น้าา เดี๋ยวจะค้าง ไรท์จะไม่อยู่ 3-4 วันนะคะ หนีไปเข้าถ้ำไปทำบุญให้นังเจ๋อก่อน ถถถ ><
ขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยที่แก้คำผิดให้ดี้นะคะ เขารีบไปแก้มาแบ๊วว แง้ บางทีก็ตาลายหมดไม่ค่อยเห็นอะไรเลย ♥ Y^Y