[ต่อ]หญิงสาวเจ้าของถ้อยความดำเนินทอดกายเชื่องช้าสู่หอนั่ง พร้อมข้าทาสบริวารผู้ติดตามอยู่เบื้องหลัง สตรีผู้มาใหม่แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายกฤษณา แต่คาดอกด้วยผ้าสีดอกอัญชัน นุ่งท่อนล่างด้วยภูษาสีเหลืองอ่อนทอลาย ใบหน้าสาวสะพรั่งเต็มตัว อายุอานามวัยใกล้เคียงกับอาธนพล คลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครบางคนที่พจน์เคยคุ้น งดงามเสมอกฤษณา แต่ดูมีเสน่ห์เย้ายวนแตกต่างซ่อนเร้น
“เป็นข้าเอง อิสตรีอันเจ้าถามหา” หญิงสาวผู้นั้นโปรยยิ้มพร้อมยืนยันคำเดิม
โกหก คำพูดแหบต่ำยานคางของสตรีเพศดังขัดขึ้น จังหวะเอื้อนเอ่ยผสมลมเย็นพัดวูบ ชวนขนหัวลุกสยดสยอง พจน์รีบเหลียวแลมองหาแหล่งที่มา แต่ดูเหมือนว่าข้าทาสทุกคนในที่นั้นจะปิดปากเงียบยิ่งชีพตน และเสียงนั้นก็ไม่ได้คล้ายคลึงน้ำคำของกฤษณาแม้แต่น้อย
มาตะผลุดลุกขึ้นยืนก่อนจักฟุบกายชันเข่าพนมมือเสมออกน้อบศีรษะจรดปลายนิ้วกลางหว่างคิ้ว พจน์รีบทำตามคนตัวหนาทันที
“มาลี พี่ท่าน หวนคืนสู่เรือนแต่เมื่อใดมิได้แจ้งล่วง น้องมาตะเป็นห่วง ประหลาดเหลือใจนัก”
“มาตะ น้องเราอย่าเพ่อซักความใด จงลุกขึ้นเถิดเจ้าทั้งสอง” พี่ท่าน หรือว่า หญิงสาวผู้นี้เป็น...
“ภัทรพจน์น้องเจ้า อิสตรีนางนี้เป็นพี่สาวของข้าเอง” มาตะแนะนำเครือญาติให้คนรักรู้จัก สตรีสาวงามผู้มาใหม่วาดรอยยิ้มมอบให้พจน์ทันที พลางว่า
“เหตุด้วยขณะพี่ทอดกายอยู่ลานหน้าเรือนเจ้า มุ่งหวังจักปรากฏตัวให้เป็นที่ประหลาดใจตามประสาเช่นครั้งวัยเยาว์ จึ่งมิได้ส่งบ่าวผู้ใดมาแจ้ง ครั้นความตั้งใจนั้นมาสำเหนียกยินเสียงเอ็ดอึงอื้อฉาวจับความได้แต่เพียงว่า มีผู้ถามหาหญิงอันเจ้าหมายใจเข้าพบเมื่อราตรีพระราชพิธีสำคัญ จึ่งเอะใจจำต้องสำแดงตนให้ประจักษ์ ด้วยเพราะคนอันน้องนางกฤษณาสืบหาอยู่นั้น คือเรามิผิดตัว”
โกหก เสียงกระซิบปริศนาดังสะท้อนทั่วบริเวณ แต่ดูเหมือนจะมีเพียงพจน์เท่านั้นที่ได้ยิน
“มาลี พี่ท่าน” กฤษณายกมือพนมน้อมศีรษะก้มเคารพ “เป็นท่านมิผิดตัวกระนั้น ฤา”
หญิงสาวนาม มาลี ทรุดกายลงนั่งบนตั่งสลักลายตรงข้ามกฤษณา เหลียวแลเด็กสาวผู้สอบความด้วยสีหน้าเปื้อนรอยแย้มสรวล
“คราราตรีสำคัญนั้นข้าทูลลาสมเด็จพระขนิษฐาออกจากรั้วพระราชวังหลวง ด้วยมีกิจอันเร่งด่วนจักแจ้งต่อน้องชายร่วมอุทร โดยมิได้ฝากความไว้กับนางข้าหลวงคนใด ก็แหละมาตะ น้องเรานี้เป็นถึงผู้ครองดาบทองเทวาจึ่งจำต้องร่วมพระราชพิธีบูชาตรีเทพริมฝั่งแม่น้ำนพนทีเป็นแม่นมั่น ข้าแลนางรับใช้คนสนิท จึ่งส่งข่าวแจ้งการพบปะเพื่อการสะดวก ณ เรือนพักโรงสุราของนางแดง ผู้เป็นสหายสนิทของแม่ท่านเมื่อเยาว์วัย อีกทั้งใกล้กับประรำพิธีดั่งนี้ จึ่งเป็นเราที่น้องเจ้ากฤษณาถามหาอยู่” ว่าพลางจึ่งปรบมือสวมกำไลทองเป็นสัญญาณให้ข้าทาสผู้ติดตามยกตะลุ่มครอบฝาขนาดใหญ่มาวางเคียงแก่คนผู้มีศักดิ์ครบทุกผู้
บ่าวไพร่ชายกำยำเริ่มติดไต้ไฟให้แสงสว่าง ตะวันลับหายสู่ความมืดในที่สุด
“กฤษณาเอย กิริยาอาการน้องเราในครานี้มิสมเป็นกุลสตรีแบบอย่าง คุณสมบัติสำคัญอันประกอบเป็นหญิงซึ่งชายพึงปรารถนานั้นคือ กิริยามารยาทเรียบร้อยหนึ่ง รักนวลสงวนตัวหนึ่ง มีความกล้าหาญหนึ่ง มีความรู้ผิดชอบชั่วดีหนึ่ง มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีหนึ่ง แลอีกประการหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่น้องเราขาดตกอย่างยิ่ง ณ เพลานี้คือ มีสติปัญญาหลักแหลม”
สีหน้านิ่งเฉยของกฤษณาแม้ก่อนหน้าจะยังคงวาดรอยยิ้มไว้ครองอยู่ แต่เพียงได้ยินคำเตือนต้องลักษณะตัวเหนือคาดคิดเช่นนั้นเหมือนหนึ่งโดนฝ่ามือล่องหนตบเข้าจนขึ้นเฉดแดงทันควัน
“กฤษณายังเยาว์แลอ่อนประสบการณ์เป็นที่ยิ่ง คำตักเตือนของมาลีพี่ท่านที่ว่าน้องขาดคุณสมบัติข้อซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลมนั้น วานช่วยแถลงไขให้เป็นคุณสักคราหนึ่งเถิด เหตุเพราะตัวมัวแต่หลงคิดว่าจักทำการสิ่งใดก็คำนึงถึงหลักคุณธรรมดั่งว่าไว้เสมอของประจำใจตน จึ่งมิรู้ว่าพลาดพลั้งตกหล่นที่ใดอันเป็นเหตุให้มาลีพี่ท่านเก็บมาเป็นข้อตำหนิได้” สีหน้าแดงก่ำปรับเปลี่ยนคืนดังเก่ารวดเร็ว
มาลีหัวเราะราวกับคำถามของกฤษณาเป็นสิ่งตลกขบขันสุดพรรณา มาตะเห็นเรื่องราวลุกลามบานปลายไปในทางผิดใจกระนั้นจึ่งตั้งท่าจักเอ่ยระงับ แต่ถูกสีหน้าผู้เป็นพี่สาวพยักให้ละไว้เป็นหน้าที่นาง
“หลักคุณธรรมคุณสมบัติแห่งสตรีพึงปฏิบัตินี้ล้วนเป็นสิ่งซึ่งมารดาจำต้องสอนสั่งเมื่อเด็กสาวผู้นั้นรู้ความเป็นหนหนึ่ง แลกฤษณาผู้ถือกำเนิดในวงศ์ขุนนางตระกูลสูงยิ่งเช่นนี้ จำต้องถูกอบรมบ่มจรรยามารยาทเป็นกิจวัตรจนสามารถท่องขึ้นใจเป็นแน่แท้แล้ว ซ้ำถูกฝากฝังเข้าสู่รั้วรอบขอบวัง เพื่อเรียนรู้งานฝีมือนานาประการอันสตรีพึงเรียนรู้มาหลายขวบปีเช่นนี้เป็นหนสอง มีหรือที่ข้าจักกล้าชี้แนะข้อผิดพลาดนั้นให้น้องเจ้าทราบได้”
“มาลีพี่ท่านครองอายุนับว่าสูงกว่ากฤษณา ดุจเป็นพี่สาวคนหนึ่งก็ว่าได้ดั่งนี้ หากจักเทียบชั้นถึงขั้นมารดาผู้มีคุณ จักกรุณาตักเตือนบุตรยามเมื่อทำผิดนอกกรอบคำสอนก็คงมิเกินเลยไปแม้เพียงนิด โปรดชี้ช่องทางอันมิสมประสงค์ให้แจ้งแก่ใจอับจนนี้ด้วยเถิด”
รอยยิ้มของมาลีเหือดหายรวดเร็วราวกับถูกฉกชิงจากเด็กสาวเบื้องหน้าด้วยคำพูดเมื่อครู่
“ดีนัก ในฐานะพี่และมารดาอันเจ้ายกเทียบ ข้าขอชี้ข้อบกพร่องอันประกอบเป็นกุลสตรีดั่งว่า เพื่อเป็นคุณต่อชายใดที่เจ้าจักครองคู่ในภายภาคหน้า ก็แหละสติปัญญาหลักแหลมซึ่งเป็นข้อท้ายแลเปรียบเหมือนข้อสำคัญสุดนี้ น้องเราพลาดพลั้งทำให้เกิดเป็นรอยราคีมัวหมอง คือการอันมาสู่เรือนชายพร้อมด้วยคำสอบความว่า หญิงอันชายผู้นั้นไปพบหานอกจากตัวนั้นคือใครอย่างไรเล่า ซึ่งขาดสิ้นสติปัญญาแหลมหลักอย่างที่สุด”
พจน์ไม่เคยเห็นคำโต้ตอบใดจะดุเดือดเท่าหญิงทั้งสองสนทนาต่อกันอีกแล้ว ฝ่ายหนึ่งนั่งอยู่บนตั่งตัวตรงข้ามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่อีกฝ่ายก็นิ่งสงบไม่แพ้กัน รอยยิ้มกว้างยังฉาบทออยู่บนโครงหน้าของกฤษณาเช่นเดียวกับมาลี ราวกับเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันเป็นคำถามถึงสารทุกข์สุกดิบตามปกติ
กฤษณาเหลียวมองมาตะก่อนจักตวัดดวงตาดำขลับมาสบพจน์ชั่วครู่ แล้วจึ่งวาดเรียวขาจับจีบหน้านางก้าวลงสู่พื้นกระดานของหอนั่ง แล้วก้มกราบใบหน้าจรดพื้นสู่ทิศทางซึ่งมาลีประทับนั่งอยู่
“เป็นคุณแก่กฤษณาอย่างสูงยิ่งแล้ว ด้วยมาลีพี่ท่านชี้ช่องบกพร่องแก่น้องผู้ต่ำต้อยคนนี้ กรรมแต่ปางหลังใดเอยจึ่งมาบดบังนัยน์ตาให้มืดบอดแลกระทำการลดคุณตัวเช่นนี้ได้ นับว่าน้องนี้ด้อยสติปัญญาหลักแหลม แลนำพาอารมณ์อยู่เหนือคุณธรรมประจำตัวก็ว่าได้ พี่ท่านทั้งสองโปรดอภัยแก่กฤษณาสักคราหนึ่งเถิด”
แววตาสำนึกผิดปรากฏเด่นชัดยิ่งกว่ารอยแดงของริมฝีปาก แม้แต่พจน์เองยังรู้สึกเห็นใจ
“ลุกขึ้นก่อนเถิด กฤษณา” มาตะเอ่ยเสียงเครียด
“คำอภัยนั่นแล้วจักช่วยให้กฤษณาลุกขึ้นจากพื้นเรือนได้”
รอยยิ้มแดงชาดของมาลีเผยอกว้างดุจชัยชำนะปรากฏให้เห็นเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ก่อนจักก้าวลงจากที่นั่งตัวเอื้อมสองมือพยุงเด็กสาวต่ำอายุกว่าให้ยืดกายทรงตัวนั่งดังเก่า
“ก็แหละเจ้ายังมีสติปัญญารู้ผิดถูกรู้สำนึกโทษเช่นนี้ จักว่าด้อยสติปัญญาหลักแหลมคงมิถูกต้องเสียทีเดียว เอาเถิด คำใดที่ต้องใจ ฤา มิพึงใจจากข้านี้ น้องเราจงเก็บงำ ฤา ระงับสลัดทิ้งเสีย เหตุที่ชี้แนะข้อบกพร่องก็ด้วยเพราะเอ็นดูมิให้ถลำไปในทางผิด”
ว่าพลางก็เหลียวมองพจน์ ใบหน้าคิ้วสวยตาคมนี้มิต่างจากมาตะแม้แต่น้อย รวมถึงลักษณะคำพูดจา ล้วนมีเหตุมีผลยกเทียบเปรียบเห็นจริงตาม หากมิกล่าวว่าเป็นพี่น้องร่วมท้องกัน พจน์ก็คงคิดว่าอาจเกี่ยวดองหรือร่วมสายเลือดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“เป็นบุญตัวยิ่งแล้วที่พี่ทูลลากลับมาเยี่ยมพ่อแม่ท่านเอาในเพลานี้ ราวกับมีสิ่งดลใจให้ร้อนรนทนอยู่ในตำหนักหลวงมิได้ มาตะเอย คำอันเจ้าเล่าถึงลักษณาแลนัยน์ตาอันประกอบเป็นร่างกายของชายผู้นั่งอยู่เคียงเจ้านั้นมิสมกับความเป็นจริงแม้แต่น้อย แลหรือยังมิอาจคัดสรรคำใดมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้เท่ากับพินิจมองด้วยตาของตนเอง ภัทรพจน์น้องท่านนี้ งดงามประหนึ่งรูปสลักริมระเบียงเทพของมหาเทวาลัยมิปาน”
พจน์ยิ้มเขินยกมือเกาหลังคอพร้อมก้มเคารพ มืออีกข้างก็โบกปฏิเสธยากจะรับคำชมนั้นได้
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“กระไรมาปฏิเสธความจริงอันน้องท่านครองอยู่ ดูเอ๋ยมาตะ กิริยาถ่อมตัวน่าเอ็นดูนี้ เจ้าอดใจนั่งครองตนมิขโมยกลิ่นนวลปรางนั้นยังจักถูกอยู่หรือ”
พจน์ผงะถอยห่างจากมาตะโดยเร็ว แต่เจ้านั่นยังคงนั่งเบ่งกล้ามหลังตรงแน่ว มีเพียงแววตาระยิบเท่านั้นที่หากอยู่สองต่อสองมันคงทำตามคำยุของพี่สาวเป็นแน่
“มาตะ น้องเรา แม้เชี่ยวชาญการณรงค์เป็นเอกเสมอขุนทหารแม่ทัพศึก แต่ข้อปฏิพัทธ์ผูกสมัครนั้นยังจักเชี่ยวชาญเสมอทักษะต่อสู้อยู่หรือ วานภัทรพจน์เจ้าแจงแถลงแก่ข้าเป็นคุณด้วยเถิด” รอยยิ้มเย้าหยอกประดับเหนือดวงหน้าชื่นสะคราญ
“พี่ท่าน!” มาตะร้องขัดเสียงเบา ภายใต้หน้านิ่งงันนั้นพจน์เห็นใบหูเจ้าตัวหนาปรากฏสีแดงรวดเร็ว
“เอาเถิด คำตอบนี้เจ้าสองคงล่วงรู้กันต่อกันโดยดีแล้ว เสียดายก็แต่พี่ชายเจ้าอีกคนที่บัดนี้ยังมิมีบุญจักได้เห็นบุรุษผู้ครองนัยน์ตาสีน้ำตาล คงมีกรรมใดบัดบังอยู่เป็นแน่จึ่งพลาดพลั้งคลาดคราทุกทีไป ยินว่ามีราชการงานด่วนให้ประจำ ณ เมืองท่าชายฝั่ง”
“เป็นเช่นนั้น มาลี พี่ท่าน”
“สงครามครั้งนี้กำลังสร้างความอกสั่นขวัญแขวนสู่ทุกเย้าเรือน” มาลีตีสีหน้าเครียดขรึม ก่อนจักยิ้มกว้างโปรยเสน่ห์อีกครั้ง “มาเถิด มาร่วมสำรับข้าวปลาอาหารเย็นที่พี่เตรียมไว้ต้อนรับเจ้า เชิญกฤษณาน้องเราด้วย”
ข้าทาสผู้อยู่ใกล้ชิดเปิดฝาครอบตะลุ่มบรรจุข้าวปลาอาหารชั้นเลิศ ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นอาหารที่พจน์ไม่คุ้นตา แต่กลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้ท้องส่งเสียงร้องสร้างความขบขันให้แก่มาตะและมาลีดังครื้นเครง
“เอ่อ มาตะ พี่ท่าน กฤษณานี้ลืมหลงเสียสิ้น ด้วยเหตุเพราะน้องได้คัดสรรผ้าอย่างดีจากเมืองประเทศราชอันเข้ามาค้าขายแก่ตำหนักหลวง เห็นเนื้อผ้าละเอียดละออทอดิ้นยกลายอย่างดี อีกทั้งสีสันล้วนต้องตาทำให้นึกถึง...”
“กฤษณานี้อย่างไร หว่างกลางร่วมสำรับอาหาร ควรหรือที่จักยกเรื่องของที่เจ้าปรารถนาจักยื่นให้น้องเราผ่านข้าวปลาอันเป็นของอย่างดีเพื่อบำรุงชีวิตตัว มิรู้คุณ ข้อมารยาทเรียบร้อยนั้นน้องท่านคงลืมหลงไปแล้วกระมัง”
ท่าทางหยิบผืนผ้าสีดำประคองในมือ ถือไว้เหนือสำรับอาหารยื่นมาทางมาตะปรากฏเป็นข้อตำหนิสำคัญสู่สายตามาลี
“มาตะเอย หากเจ้ามิพูดในวันนี้ พี่จักเป็นผู้กล่าวเอง มิเกรงภัยอันใดจักเกิดกับตัวแม้แต่นิด ด้วยมองเห็นแลรับรู้ความมิสมควรมาโดยตลอดจนสุดกลั้น”
“พี่ท่านโปรดระงับคำก่อน” มาตะยกมือห้าม ถอนหายใจเหมือนตัดสินใจบางอย่าง
“มีความใดที่พี่ท่านทั้งสองซ่อนงำไว้เช่นนั้น ฤา” กฤษณาลืมหลงกิริยานอบน้อมร้องถามโดยพลัน “หรือจักเกี่ยวกับภัทรพจน์ผู้นี้เป็นสำคัญ”
ใบหน้าแสร้งโปรยยิ้มของมาลีเหือดหายเหลือแต่แววตำหนิ
“มีความหนึ่งซึ่งน้องคับข้องใจเหลือประมาณ อยากสอบความจากมาตะพี่ท่าน” กฤษณาละท่าทางเรียบร้อยเหวี่ยงผ้าผืนงามสีดำใส่ข้ารับใช้ใกล้ตัว
“นับแต่น้องนี้รู้จักพี่ท่าน มิเคยเห็นรอยยิ้มใดแย้มพรายปรากฏสู่ตัวเพียงนิด แลวันนี้มาเห็นจึ่งอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ แต่รอยยิ้มสุดหวงนั้นเกิดขึ้นคราใดก็เพราะภัทรพจน์ท่านเป็นเหตุเสียสิ้นหนึ่ง อีกทั้งคำพูดจาหยอกเย้าแตะเนื้อต้องตัวจักเกิดแก่กฤษณานั้นเป็นไม่มี แต่สนธยาวันนี้กลับเกิดขึ้นให้เห็นตำตาต่อหน้าหนึ่ง ซ้ำมาลีพี่ท่านยังมากล่าวคำไปในทางว่ามาตะแลภัทรพจน์มีใจปฏิพัทธ์ต่อกันเป็นที่ฉงนใจดั่งนี้หนึ่งนั้น วานแจ้งให้ใจร้อนรนของกฤษณาได้รับน้ำคำดับกองไฟคับข้องให้มอดดับเสียเถิด”
พจน์เห็นท่าทีกระวนกระวายแลสีหน้าร้อนรนรอคำตอบด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง นางคงมีใจให้มาตะมากประมาณ และทุกอย่างที่กล่าวล้วนเป็นดั่งหอกหนามทิ่มแทงสุดทานทน มาตะจุ่มมือลงอ่างน้ำชำระล้างเม็ดข้าวแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าขาว
“
บุรุษผู้ครองนัยน์ตาสีสมัน อันพี่เฝ้าฝันแลเห็นมาชั่วชีวิต ช่วยลิขิตให้พ้นคำสาป คนผู้นี้...” มาตะวาดแขนล่ำโอบไหล่พจน์เข้าหาตัว “
คือคนที่พี่หมายปอง ครองคู่ร่วมทุกข์สุข ตราบลมหายใจสุดท้าย”
ริมฝีปากแดงก่ำขยับสั่นแต่พยายามอย่างยิ่งที่จักแย้มยิ้มให้สมกับเจตนาตัว ขัดกับดวงตาเศร้าหมองสุดแสนเยียวยา พจน์ไม่อาจห้ามให้มาตะพูดความจริงนี้ได้ เพราะไม่วันใดวันหนึ่ง นางต้องล่วงรู้ความจริงในที่สุด แต่การต้องมาเห็นสีหน้าประหนึ่งพร้อมยินดีแต่แววตาตรงกันข้ามสถิตอยู่บนใบหน้างดงามของกฤษณาแล้วอดใจหายไม่ได้
“คำ...มาตะพี่ท่านนี้ ช่วยลบความมืดบอดจากตาของกฤษณาเสียสิ้นในบัดดล ขอบน้ำใจเป็นยิ่งนัก หากกฤษณามิได้มาเยือนเรือนพี่ท่านในเพลานี้ ความหลงผิดใดก็จักดำเนินต่อมิรู้จบสิ้น แหละมาได้ยินน้ำใสใจจริงนี้โดยตลอดจึ่งรู้สึกเหมือนปลดความทุกข์ในอกตัวออกโดยพลัน เหมาะควรยิ่งแล้วพี่ท่านทั้งสอง เหมาะควรยิ่ง”
“กฤษณาน้องเรา” มาลีผลุดลุกเข้าปลุกปลอบเมื่อเห็นรอยน้ำตาไหลหลั่งแม้กระทั้งเจ้าของยังมิรู้ตัว “จงอย่าร่ำไห้เสียใจไปเลย การอันจักผูกสมัครรักใคร่เพื่อครองคู่กันนั้นมิได้ขึ้นอยู่ที่ความรักเพียงถ่ายเดียว แต่เป็นความผูกพัน...”
ลมหนาววูบใหญ่พัดสาดใส่สู่หอนั่งรวดเร็วทำให้ไต้ไฟส่วนหนึ่งมอดดับทันที แสงสว่างจึ่งมีเพียงริบหลี่พอมองเห็นหน้ากันเท่านั้น ข้าทาสชายต่างวิ่งวุ่นเติมเชื้อไฟ
พระแม่จ้าววววววเสียงสยดสยองปริศนาหวนกลับคืนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผสานความเจ็บแค้นเจ็บปวดจนพจน์รู้สึกได้ รีบเหลียวมองความมืดโดยรอบเพื่อหาต้นตอความสงสัยนี้
พระแม่จ้าวววววกูจักทำเยี่ยงใดดี อีสร้อย มีเสียงหญิงสาวอีกคนตอบคำร้องปริศนานั้น
อย่าทรงกรรณแสงเลยเพคะ พระแม่จ้าวววว ความรักซึ่งกูเทิดทูนยิ่งชีวี บัดนี้กูกำลังสูญเสียมันไปตลอดกาล กูจักทนอยู่ได้เช่นไร กูจักทำเยี่ยงใดดีท่ามกลางความโกลาหลของบ่าวรับใช้ก้มเก็บข้าวของซึ่งถูกลมวายุพัดล้มระเนระนาด ผสานเสียงร่ำไห้ของกฤษณา พจน์จึงจดจำได้ว่าเสียงโต้ตอบนั้นเป็นเสียงเดียวกับที่กำลังร้องไห้อยู่นี่เอง
โปรดสั่งความมาเถิดเพคะ สั่งอีสร้อยผู้นี้มา มันผู้ใดสร้างรอยน้ำตาแก่พระแม่จ้าวววเสียงยานคางถามกลับเชื่องช้า แล้วฉับพลันเงาดำของเสาเรือนเบื้องหลังตั่งที่นั่งของกฤษณาก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างดำทะมึนของหญิงผู้หนึ่งเนื้อตัวล้วนดำมืด ผมยาวสยายลากพื้น ดวงตาขาวส่องวาวประกาย มันคลานเข่าด้วยท่าทางแปลกพิกลเสมือนกระดูกทุกส่วนผิดรูปร่าง ขยับเขยื้อนเข้าหาฝ่าเท้าของกฤษณาใช้ฝ่ามือดำลูบโลมปลอบ และพจน์เห็นริมฝีปากดำนั้นขยับเอ่ยต่อว่า
โปรดสั่งความมาเถิดเพคะ แลความตายจักเป็นสิ่งที่มันสมควรได้รับพจน์ไม่เคยเห็นความสะพรึงใดจะเสมอเหมือนสิ่งมีชิวิตตรงเบื้องหน้านี้อีกแล้ว ดูเหมือนว่ามาตะ มาลี หรือข้ารับใช้ทุกผู้จะไม่ได้เห็นสิ่งเดียวกับที่พจน์เห็น
“มาตะ มาตะ” พจน์ดึงรั้งแขนล่ำ
“อย่าได้เกรงภัยอันใดเลย อากาศแปรปรวนเช่นนี้คงมีพายุฝน เช่นนั้นเชิญน้องท่านเข้าสู่หอนอนข้าก่อนเถิด”
ความรักของกูพังทลายลง ก็เพราะมันผู้นั้นเป็นเหตุเสียงความคิดของกฤษณากรีดร้องดังก้อง และในทันใดดวงตาที่กำลังร่ำไห้ก็จับจ้องตรงมายังพจน์ทันที และรวดเร็วยิ่งกว่าลมพายุ ร่างดำทมิฬนั้นก็เหลือบตาขาวตวัดมองพจน์เช่นเดียวกัน ความแค้นสุดพรรณาสะท้อนสู่ตาพจน์ ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลรวดเร็ว พจน์หลับตาและยกแขนป้องกันแรงกระแทกใดที่จะเกิดขึ้น
คำกรีดร้องโหยหวนทรมานดังก้องสะท้อนเสียงฟ้าร้อง
ฉุดพจน์ให้เปิดตากว้างอีกครั้ง สีหน้าเครียดของไอ้กันปรากฏยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่พจน์นอนอยู่ ความเงียบคือสิ่งที่ครอบคลุมทั่วบริเวณหลังพจน์ข้ามพิภพกลับสู่โลกปัจจุบัน แต่หัวใจเต้นระทึกยังคงกระหน่ำอกด้านซ้ายของพจน์อยู่
“ปีศาจตนนั้น” พจน์สำลักทุกอย่างเป็นคำพูดตะกุกตะกัก
“
นารีพิฆาต สิ่งที่มึงเจอ เป็นผีร้ายที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อทำสิ่งโฉดชั่ว และมึงรอดพ้นมาได้อย่างหวุดวิด” ไอ้กันอธิบายกำหมัดแน่นจนปรากฏเส้นเลือดชัด
“พจน์ เป็นยังไงบ้างลูก” ภพดนัยผลักประตูห้องพักคนไข้เข้ามาพร้อมด้วยดารา ไอ้น้ำ ไอ้ต่อ ไอ้เอก ไอ้โบท ไอ้เพียว ไอ้นาย ไอ้รัก ไอ้กี และคนที่พจน์อยากเจอมากที่สุด ไอ้ปาล์ม เปรมณัฐ
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป