เจ้าป่า
บทที่ 8
สายตาคมดุจธนูล่าเหยื่อจับจ้องอยู่แต่ผู้มาใหม่อย่างลืมตัว คนตรงหน้ารูปร่างเทียบกับเขาแล้วผอมบางสมควรกับคำว่าน่าทะนุถนอมในความคิด กรอบหน้าเรียวยาวดวงตาหวานเหมือนกวางที่เคยออกล่าเป็นอาหารกับกลุ่มสิงโตในฝูง คิ้วสีเดียวกับเส้นผมอ่อนนุ่มเรียงตัวกันเป็นระเบียบ เลอองมองไล่ลงมาถึงจมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากกระจับสีแดงระเรื่อราวกับดอกไม้ป่า เจ้าตัวจำต้องละสายตาจากไปอย่างเสียดายเมื่อได้ยินพ่อบุญธรรมเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม
“เลออง!”
“ครับ!”
เข่าคนถูกเรียกชื่อกระแทกกับโต๊ะอาหารเสียงดังฟังชัดจนมิเกลเผลอหัวเราะยิ่งทำให้ใบหน้านั้นสดใสสว่างจ้า เลอองไม่อาจละสายตาจากความงดงามนั้นไปได้เลย
“ไปจ้องพี่เขาแบบนั้นเสียมารยาทหมด ไอ้ลูกคนนี้นี่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับโทนี่ อย่าไปดุน้องเลย ชื่ออะไรนะครับ เลอองใช้ไหม”
น้ำเสียงไพเราะยิ่งกว่านกในป่า หรือแม้แต่เพลงที่โทนี่เปิดให้ฟังเสียอีก เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีหมาดๆทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแปลกถิ่น แถมตัวเองก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่สังคมมนุษย์เพียงไม่กี่วันนี้ เลอองทำได้เพียงรักษากิริยาอาการให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เอ่อ ครับ หนูชื่อเลออง
“เลอองแม่บอกแล้วไง หนูน่ะเด็กๆเขาใช้กัน เราโตเป็นหนุ่มตัวใหญ่กว่าแม่อีก เลิกแทนตัวเองว่าหนูได้แล้วลูก”
ฟลอเรียกลั้นยิ้มขณะสอนลูกบุญธรรม เจ้าตัวเงอะงะหน้าตาเหรอหราวางตัวไม่ถูก
“ไหนแนะนำตัวกับพี่เขาซิว่าชื่ออะไร”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนทันควัน เขาจำได้ที่ฟลอเรียเคยสอนเวลาแนะนำตนเองกับผู้อื่น เลอองยื่นมือไปข้างหน้าก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัด
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อเลออง ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ”
การแนะนำตัวอย่างเป็นทางการจนมิเกลจำเป็นต้องลุกขึ้นยืนตามไปด้วย ชายหนุ่มยื่นมือไปจับกับมือใหญ่หนาที่หลังมือคล้ายมีขนยาวสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมอยู่ เมื่อได้สัมผัสกับความอุ่นร้อนของอุ้งมือมิเกลถึงกับสะดุ้ง มันคล้ายมีกระแสบางอย่างวิ่งผ่านเข้าสู่มือเรียวของเขาก่อนจะวิ่งวนไปทั่วร่างจนร้อนวูบวาบ
“เอ่อ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันเลออง ผมชื่อมิเกล”
กลายเป็นเสียงตะกุกตะกักยามแนะนำตนเอง มิเกลนึกแปลกใจที่รู้สึกขัดเขินเมื่อสบตากับดวงตาของเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเขาเกินฝ่ามือ บนศีรษะมีผ้าผืนใหญ่โพกปิดเส้นผมและใบหูไว้มองเห็นเพียงปลายผมสีน้ำตาลเข้มที่โผล่พ้นมาระต้นคอ เสื้อผ้าดูล้าสมัยไปนิดสไตล์เดียวกับชุดที่โทนี่ผู้เป็นบิดาบุญธรรมสวมใส่อยู่ จนเหมือนกับไม่ใช่เด็กวัยรุ่นตามสมัยนิยม
“นั่งลงกันเถอะทั้งคู่เลย” ฟลอเรียหัวเราะเบาๆ “โทษทีนะจ๊ะมิเกล เลอองน่ะไม่ค่อยเจอผู้คนหรอก วันๆขลุกอยู่แต่
กับสิงสาราสัตว์ ก็เลยอาจจะดูแปลกๆไปสักนิด อย่าถือสาเลยนะ”
อาหารเย็นเริ่มต้นขึ้น มิเกลดีใจที่เขาได้มาอาศัยอยู่กับเจ้าของบ้านที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้ โทนี่กับฟลอเรียชวนเขาพูดคุยอย่างเป็นกันเองจนเริ่มสนิทสนม เขาได้กินสเต็กเนื้อที่อร่อยที่สุดในโลก ระหว่างนั้นคนนั่งตรงข้ามแทบจะไม่ได้กินด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มิเกลหันไปสบตาก็จะเห็นว่าเด็กหนุ่มจ้องมองเขาอยู่ และยิ่งทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว
มันเป็นนัยน์ตาแสนแปลกประหลาด บ่งบอกถึงความมั่นใจในตนเองของเจ้าของ และสีเหล็กกล้านั้นมองมาทางมิเกลราวกับกำลังพิจารณา ไม่ได้จู่โจมทว่าคล้ายจับจองเป็นเจ้าของ ไม่ได้หื่นกระหายแต่แสดงความต้องการล้ำลึก มิเกลร้อนวูบวาบเหมือนตนเองเป็นกระต่ายป่าที่ถูกเจ้าป่าจ้องมอง จะตะปบเสียก็ได้แต่ไม่ทำ ซ้ำยังหยอกล้อด้วยการเฝ้ามองจนตัวสั่น
เคร้ง!
มีดหลุดจากมือกระทบจานกระเบื้องและกระเด็นตกพื้น มิเกลสะดุ้งจากภวังค์ที่เลอองกระชากเขาเข้าไปในนั้น รู้ได้ในทันทีว่าใบหน้าของตนเองตอนนี้คงแดงก่ำเพราะเขารู้สึกร้อนเห่อคล้ายเป็นไข้
“ขอโทษครับ”
หันไปกล่าวกับสามีภรรยาเจ้าของบ้าน เมื่อหันกลับมาอีกครั้งจึงเห็นว่าเลอองยื่นมีดส่งให้
“ใช้มีดของผม”
“เอ่อ ขอบคุณนะเลออง”
จับด้ามมีดรับมาพร้อมกับสัมผัสที่ปลายนิ้วอีกครั้ง ชัดเจนว่าคล้ายมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจริงๆ มิเกลหลบตามองเนื้อที่เหลืออยู่ไม่มากนักในจานตรงหน้า พลางเหลือบมองเลอองเป็นระยะ เด็กหนุ่มใช้มือทั้งสองหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมากัดดังกร้วมก่อนจะใช้ฟันเขี้ยวฉีกเนื้อย่างไฟเข้าไปเคี้ยวในปากท่าทางน่าอร่อย
“เอ้า เลออง ทำอย่างนี้ต่อหน้าพี่เขาได้ยังไงล่ะลูก”
ฟลอเรียตกใจ มิเกลรีบหันไปกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับฟลอเรีย ให้เลอองทำตัวตามสบายดีกว่า ไม่ต้องฝืนเพราะผมหรอกครับ”
เมื่อมิเกลพูดจบเลอองจึงกัดเนื้อคำใหญ่อีกครั้ง มิเกลรู้สึกคล้ายกับว่าเขากลายเป็นเนื้อที่เลอองกำลังกัดเสียแล้ว ชายหนุ่มได้แต่นั่งใจเต้นรัวจนกระทั่งมื้ออาหารจบลง
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดนอนจนสบายตัวมิเกลจึงยืนบิดกายอยู่ในห้อง คิดถึงเคนว่าตอนนี้เพื่อนสนิทกำลังทำอะไรอยู่ ลองใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาสัญญาณก็มีน้อยนิดจนโทรหลุดๆหายๆ โทนี่บอกไว้ว่าเขาสามารถใช้โทรศัพท์บ้านโทรหาเคนได้ มิเกลคิดว่าเขาจะโทรหาเคนแค่นานๆครั้ง อย่างน้อยก็ตอนที่นัดหมายกันไปเดินป่าเพื่อเก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้
เก็บอุปกรณ์วิจัยเรียงกันบนโต๊ะทำงานเล็กๆภายในห้อง อากาศยามราตรีเริ่มเย็นลงอย่างที่ฟลอเรียบอกไว้ ได้กลิ่นดอกไม้ป่าอบอวลตามลมจนต้องสูดกลิ่นของมันเข้าปอด มิเกลเดินไปที่หน้าต่างห้องเพื่อเปิดรับความบริสุทธิ์ที่คนในเมืองอย่างเขาน้อยนักที่จะได้สัมผัส เขาเริ่มหลงรักความเงียบสงบเช่นนี้เข้าเสียแล้ว
เบื้องนอกหน้าต่างมีแต่ความมืด มีเพียงแสงไฟหน้าประตูรั้วพอให้มองเห็น ได้ยินเสียงวัวและม้าจากคอกดังแว่วเข้ามาแต่มิเกลกลับชอบ เขายืนยิ้มอยู่คนเดียวก่อนจะหาวออกมาเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทางมาทั้งวัน ร่างโปร่งเดินกลับมาที่เตียงเอนกายไปกับที่นอน แม้จะไม่นุ่มเหมือนห้องนอนที่บ้านแต่ก็สบายใจ ไม่ช้าความง่วงงุนที่มาเยือนทำให้มิเกลเข้าสู่นิทราจนลมหายใจสม่ำเสมอ
เขาหลับสนิทจนไม่รู้เลยว่าที่หน้าต่างปรากฏร่างสูงปีนเข้ามาหา ปลายเท้าใหญ่แต่กลับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินยามจรดปลายเท้าย่องตรงเข้ามาทรุดกายนั่งข้างเตียง ดวงตาคมแวววาวในความมืดมิดผิดจากมนุษย์ผู้อื่นจ้องมองใบหน้าแสนหวานนั้นเขม็ง
แม้ยามหลับใบหน้านี้ยังคงน่าชม แพขนตาหนาคล้ายแพดอกหญ้ายามฤดูร้อน จมูกโด่งปลายรั้นอย่างคนเด็ดเดี่ยว ปากกระจับน่าสัมผัสเสียเหลือเกิน
กลิ่นกายที่มีกลิ่นสบู่อาบน้ำติดอยู่ยิ่งแปลก คล้ายคลึงกับมารดายามกระจายฟีโรโมนตอนฮีทจนเลอองได้แต่สงสัย เขานึกถึงความรู้ที่ดีแลนเคยสอนไว้ว่าในโลกนี้มีมนุษย์อยู่สามสายพันธุ์ อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า แม่ของเขาเป็นอย่างหลังสุดทำให้สามารถตั้งครรภ์ได้
เลอองห้ามใจไม่อยู่ เขาใช้จมูกจ่อไปที่ผิวกายหอมกรุ่นแล้วสูดดมเข้าเต็มปอด พยายามไม่สัมผัสให้ถูกเนื้อต้องตัวเพราะเกรงอีกฝ่ายจะตกใจตื่นแล้วเกิดความเกรงกลัวต่อเขา ได้แต่เลื่อนใบหน้าสูดกลิ่นจนถึงกรอบหน้างดงาม ลมหายใจอุ่นร้อนของมิเกลยั่วยวนเขา ร่างกายวัยแตกเนื้อหนุ่มแข็งตึงไปทุกส่วนโดยพลัน เลอองห้ามใจไม่ไหวที่จะใช้ปากของเขาประทับไปที่ปากกระจับบนหน้าหวาน
“อื้อ อะไรน่ะ”
มิเกลสะดุ้งตื่น เขาไม่ใช่คนนอนขี้เซา แต่เมื่อลุกขึ้นมานั่งกลับไม่พบอะไรสักอย่างนอกจากผ้าม่านผืนบางที่หน้าต่างกำลังสะบัดพลิ้วเพราะสายลมยามดึก คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ
“จะบ้าเหรอมิเกล คิดมากไปได้ ถ้ามีใครจริงจะหลบออกไปได้ยังไงเร็วขนาดนี้”
มิเกลบ่นความคิดมากของตนเองก่อนจะเอนกายลงนอนอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าร่างที่ตื่นเต้นเพราะเขากำลังนอนตัวสั่นอยู่ที่คอกม้าเล็กๆอีกฝั่งของตัวบ้าน เหนือขึ้นไปบนชั้นลอยมีที่นอนทำจากฟางหญ้าอัดแข็งซึ่งใช้แทนเตียงสำหรับคนไม่คุ้นเคย เบื้องหลังดวงตาสีเหล็กมีแต่ภาพใบหน้าของมิเกลฉายอยู่ เลอองปวดตึงไปทั้งตัวโดยเฉพาะจุดนั้น เขาได้แต่ใช้มือนวดเฟ้นมันแต่กลับรู้สึกร้อนไปทั้งตัว เลอองหอบหายใจหนักก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อน้ำเมือกสีขาวขุ่นพุ่งพรวดออกมาเป็นสาย ม้าหลายตัวหันมามองเขาด้วยความสงสัยจนเจ้าตัวสะบัดหน้าหนีเพราะความกระดากอาย
“ไม่มีอะไรหรอกน่า นอนได้แล้วเจ้าพวกบ้า”
ภาษาที่ไม่มีมนุษย์คนไหนฟังออกแน่ๆดังจากปากเด็กหนุ่ม คงมีแต่เขาที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ป่าเท่านั้นที่สื่อสารกับสัตว์ได้ เลอองใช้แขนตนเองหนุนแทนหมอนดวงตาจ้องแต่หลังคา แปลกใจที่มนุษย์คนหนึ่งกำลังมีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างมาก
เขาข่มตาให้หลับ และเมื่อหลับเขาก็เฝ้าแต่ฝันถึงใบหน้าของมิเกลตลอดทั้งคืน
มีต่ออีกนิด...