วันที่สี่สิบ(ทิวไผ่)
ในหลายครั้งที่ผมเหนื่อย แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ ผมล้าแต่หน้าผมก็ต้องยิ้มเอาไว้ ผมท้อแต่ก็ต้องทำตัวให้ดูสบายๆ เพื่อเป็นหลักให้คนข้างหลัง
ทุกวันนี้ก็เช่นกัน
วันเวลาของผมหมดไปกับการเรียนและการดูแลเด็กน้อยที่ไปเก็บเอามา นกที่บาดเจ็บและได้รับการรักษาจนหายไม่ยอมบินออกจากกรง
ผมมองไล่ขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังที่โค้งสวย นี่เป็นอีกครั้งที่ผมนอนกับฟางข้าว... นอนในอีกความหมายหนึ่งที่ไม่ใช่การหลับตาลง
วงจรชีวิตผมชักอุบาทว์ขึ้นทุกที เฮ้อ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวผมเป็นคนก่อเอาไว้ และตัวผมอีกนั่นล่ะที่จะต้องเป็นคนแก้ปมที่ผูกเอาไว้ทั้งหมดด้วยตัวเอง โดยไร้ตัวช่วย
หน้าที่... กับความชอบใจ คือสิ่งที่ผมต้องเลือก
ข้าวพลิกกายหันมาแล้วซุกตัวเข้าในอ้อมกอดของผม ใบหน้าเล็กๆ นั้นอมยิ้มน้อยๆ ยิ่งดูก็ยิ่งเด็ก ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งทำให้รู้ว่าผมจะต้องดูแลเขา ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าผมไม่สามารถทิ้งเขาไปได้
“อืม... พี่ทิว”เสียงเล็กพึมพำแผ่วเบา ทำให้ผมต้องเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆ “อย่าทิ้งผมนะ พี่ทิว”
นี่คงเป็นความกลัวในใจของข้าวสินะครับ...
ผมใจร้ายทิ้งข้าวไม่ลงหรอกครับ ต่อให้ผมจะไปชอบใครคนไหนก็ตามที... แต่ถ้าจะให้มาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน อันนี้ก็คงต้องพิจารณากันอีกที
ข้าวจะรับเสียงตอบรับได้อย่างนั้นเหรอ? จะมีปัญหากับคุณย่าไหม? แล้วกระแสสังคมที่ต้องเผชิญอีก มันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าผมกับเขา เราอยู่สังคมคนละระดับกัน
ถ้าเป็นมิน... ทุกอย่างก็จะง่ายดาย
แต่คงได้แต่ละเมอไปนั่นล่ะครับ มินรักข้าวมาก มากถึงขนาดที่ต่อให้ผมนอนกับมินลับหลังข้าว เพื่อให้ผมดูแลข้าว อยู่กับข้าวต่อ
ไป มินก็ยอม... ง่ายๆ คือมินยอมเป็นเมียเก็บให้ผมเพื่อให้ข้าวอยู่อย่างมีความสุขด้วยซ้ำไป
แต่ผมเป็นคนโหดร้ายอย่างนั้นเหรอ? ผมจะทำร้ายให้ใจของคนสองคนได้เหรอ? ไม่... ไม่ครับ ผมทำไม่ได้ และผมทำไม่ลงหรอก
ยังไง... ผมก็ต้องเลือก
และทางเลือกของผมมีแต่สองทางคือเลือกตามที่สมองสั่ง กับเลือกตามที่ใจต้องการ... ผมเชื่อว่าถ้าผมอยากจะกุมหัวใจมินนั้นไม่ยากเกินเอื้อมมือ
แต่นั่นก็เป็นการทำร้ายหัวใจของข้าวเช่นกัน
ผมเคยคุยเรื่องนี้กับคนที่ผมไว้ใจมากที่สุด... ลมหนาวบอกผมว่าให้ผมเลือกอย่างที่ผมต้องการมากที่สุด อย่าเลือกทางที่ผมจะเป็นทุกข์
แล้วมันมีทางนั้นให้ผมเลือกบ้างไหม? ถ้าผมเลือกมิน ผมก็ต้องทุกข์เพราะข้าวจะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าผมเลือกข้าว ผมก็ต้องทุกข์กับการฝืนใจตัวเอง
ออกบวชอาจจะเป็นทางที่ดี... แต่แน่ล่ะว่าที่บ้านผมย่อมไม่ยอม เพราะผมคือความหวังของพวกเขาที่จะลืบทอดโรงพยาบาลต่อไป
ส่วนพี่หลิว... ก็สืบทอดธุรกิจร้อยพันล้านนั้นอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้
ให้โชคชะตาเป็นตัวกำหนดทางเดินแล้วกัน... อย่างไร ตัวผมก็ไม่เคยที่จะเลือกทางเดินด้วยตัวเองอยู่แล้ว ก็ขออีกสักเรื่อง ให้ฟ้าเป็นคนกำหนด ผมพร้อมที่จะน้อมรับมัน
ผมกระชับอ้อมกอดที่ข้าวซุกตัวเข้ามาให้แน่นขึ้นอีกนิด ถ่ายทอดไออุ่นให้กับคนตัวเล็ก ถึงสมองผมบอกชัดว่าไม่ได้ชอบข้าว แต่ใจก็ยังคงบอกว่าไม่อาจทิ้งให้คนๆ นี้อยู่เพียงลำพังได้
เพราะข้าว... คงไม่อาจยืนอยู่
ผมยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างแผ่วเบา แล้วหลับตาลงเข้าสู่ความฝันตามคนที่นอนยิ้มซุกอ้อมกอดของผมไป
เรื่องของอนาคต ก็ปล่อยเป็นเรื่องของอนาคตไป ตอนนี้อยู่กับปัจจุบันคงจะดีกว่า
และผม... ก็ยังมีความสุขดี
ถึงแม้ว่าจะปิดเทอม แต่สำหรับเด็กศิลป์ยังไงก็ยังมีงานที่อาจารย์สั่งทิ้งไว้ให้ทำอยู่ตลอด ข้าวก็เช่นกัน วันนี้เขาต้องออกไปวาดรูปข้างนอก และกว่าจะกลับก็คงเป็นตอนเย็น เด็กดีของผมเลยต้องไปทำงาน โดยที่ก่อนไปผมทาครีมกันแดดให้เจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว ร่มก็ใส่กระเป๋าไปให้แล้ว
เหมือนเด็กประถมเลย... ผมคงดูแลเขามากเกินไป
ส่วนคณะแพทย์ของผม นานๆ ครั้งถึงจะได้หยุดพักผ่อนแบบนี้ และผมก็ควรที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่าสักหน่อยล่ะครับ ยิ่งเป็นวันที่ทางบ้านของผมไม่ติดต่อมาให้ไปทำอะไรอย่างนี้ด้วย
วันพักผ่อนอย่างแท้จริง
ผมเอนหลังนอนเคลิ้มหลับไปอยู่พักหนึ่ง และคงจะนอนต่อไปถ้าไม่มีเสียงอะไรบางอย่างลอยเข้าโสตประสาทมาเสียก่อน
น่าเสียดายที่ผมเป็นคนหลับไม่ลึก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมว่าผมไม่ได้นัดใครเอาไว้ และเพื่อนผมส่วนใหญ่ถ้าจะมาจะต้องบอกล่วงหน้าเสมอ... ลมหนาวก็เครื่องมาลงวันนี้ และคงไม่เคาะประตูด้วยเพราะมีคีย์การ์ด
ใครกัน
ผมเปิดประตูออกไปหาผู้มาเยือน ก่อนจะชะงักค้าง... ใครจะไปคิดว่าเขาจะมาหาผมกันล่ะ... คนๆ นั้นคือ มิน สีหน้าของน้องดูเคร่งเครียดไม่น้อย
“พี่ทิวฮะ... ขอผมคุยด้วยหน่อยนะฮะ”มินเอ่ยกับผมเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่ที่เคยสดใสนั้นดูเซื่องซึม “ผมขอเวลาแค่แป๊ปเดียวนะครับ”
“เข้ามาก่อนสิ”ผมเปิดทางให้เจ้าตัวได้เข้ามา นับตั้งแต่คุยกันครั้งก่อน มินก็ไม่เคยมาที่ห้องผมอีกเลย อาจจะเจอกันบ้างตามประสาคนที่อยู่คอนโดเดียวกัน แต่ก็ไม่อะไร ผมส่งข้อความไปน้อยครั้งที่เขาจะตอบกลับ
มันก็เป็นความนัยน์อยู่แล้วที่จะให้ผมตัดใจจากเขา...
ถึงไม่บอกผมก้รู้ว่าผมควรจะตัดใจ ถึงแม้ผมจะรู้ว่าถ้าผมรุกเข้าไปมินที่ไม่ประสากับเรื่องอะไรนักต้องตกหลุมผมแน่... แต่นะครับ
สมองผมบอกว่าผมทำร้ายฟางข้าวไม่ได้ ยังไงก็ทำร้ายเขาไม่ได้
เท่านี้ มันก็จบแล้วสำหรับความชอบที่ผมมีต่อมิน... puppy love ไม่จำเป็นต้องสมหวังเสมอไป จริงไหมล่ะครับ มันเป็นความชอบที่เก็บเอาไว้ในความทรงจำก็ได้...
มินนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ผมเลยนั่งตรงข้ามเขา ยิ้มรอฟังคำพูดที่จะออกมาจากปากของเขา ความค้างคาในจของผมคงจบในวันนี้...
ก็ดีครับ ทุกอย่างจะได้จบลงสักที
“พี่ทิวฮะ...”มินอ้าปากพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มจืดชืดให้ “ผมรู้... ว่าพี่ชอบผม และผมก็รู้ว่าพี่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่...”
“ครับ”ผมรับคำยิ้มๆ “พี่รู้ว่ามินก็หวั่นไหวให้พี่เหมือนกัน”
“และพี่ก็รู้ใช่ไหมฮะ ว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้”หน้าของน้องชายตรงหน้าก้มลงคางชิดอก ผมยังคงยิ้ม และจะยิ้มให้... “ผมเป็นผู้ชายคนนึง... ที่ชอบผู้หญิงนะฮะ”
“พี่รู้... พี่ก็ชอบผู้หญิง”และเคยมีว่าที่คู่หมั่นเป็นผู้หญิงด้วย แต่เราเข้ากันไม่ได้เลยเลิกรากันไป “เอาเถอะ พี่แค่อยากบอกมินว่า พี่ชอบมิน แค่นั้นก็พอแล้ว”
“... พี่ทิว...”
“เราไม่จำเป็นต้องรักกันก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ มิน”ผมย้ายตัวเองไปนั่งเบียดกับมิน ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปลูบผมนุ่มเบา ๆ “เราเป็นพี่น้องกันก็ได้ จริงไหมครับ”
“จริงนะฮะ พี่ทิว”มินเงยขึ้นมามองผม พร้อมกับรอยยิ้มที่โล่งใจ
ความรักเล็กๆ ครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องสมหวังเสมอไป... แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บนักหนาด้วย มันอาจจะเป็นแค่ความหลงชั่วคราวก็ได้
ตุบ
เสียงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเวลาที่ในห้องมีคนเพียงสองคนในห้อง ผมกับมินหันไปทางต้นเสียง พวกเราพากันผุดลุกขึ้นอย่างตกใจไม่แพ้กับคนที่เปิดประตูเข้ามา
“ฟาง!!!”เสียงของมินร้องดังลั่น ก่อนร่างเล็กจะวิ่งเข้าไปหาเพื่อนที่ยืนค้างอยู่ “ฟาง อย่าเข้าใจผิดนะ ฟาง”
ฟางข้าวมองมาที่ผมนิ่ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากอะไร ร่างเพรียวก็วิ่งออกไปเสียก่อน โดยมีทายาทตระกูลดังวิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ
ผมทิ้งตัวลงนั่งพิงโซฟาอย่างอ่อนแรง เหม่อมองขึ้นไปบนเพดานขาว หัวใจของผมวูบโหวงเมื่อตอนที่เห็นข้าววิ่งออกไป... แววตาที่ฉายชัดถึงความเสียใจ
“หนาว... มาหาพี่หน่อยสิ”เสียงของผมฟังดูสั่นเครือ... ทำไม... ทำไมเสียงของผมเป็นแบบนี้กันล่ะ
ผม... กำลังเสียใจ?
“พี่ทิว... เป็นอะไรไปครับ”เสียงทุ้มเจือเสียงหอบถามขึ้น พร้อมกับร่างสูงโปร่งของคนสองคนที่ก้าวเข้ามาในห้องผมอย่างเร่งรีบ
ลมหนาว... มากับพายุ
ดูจากเสื้อผ้า คงเพิ่งจะลงเครื่องมาตอนที่ผมโทรไปหาพอดี เลยมาทั้งอย่างนั้นเลย
“พี่...”ผมเงียบลง... ผมควรจะพูดยังไงให้สื่อถึงสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้ดี “พี่รู้สึกไม่ดีเลย... เมื่อกี้ข้าวมาเห็นพี่อยู่กับมิน”
“รถไฟชนกัน ว่างั้น”พายุเป็นคสวนขึ้นมา ผมตวัดสายตามองรุ่นน้องต่างคณะ แต่ยังช้ากับคนตรงหน้าผมที่จ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
“นั่งลงเงียบๆ เลย พายุ”
หืม... การไปเที่ยวกันครั้งนี้ เหมือนสองคนเขาจะพัฒนาไปเหมือนกันนะ ลมหนาวเรียกชื่อพายุห้วนๆ แล้ว ไม่มีคำว่าคุณ... แล้วดูท่าว้ากเกอร์ตัวร้ายจะดูพอใจด้วย
“พี่ทิวครับ...”หนาวย้ายตัวเองมานั่งข้างผม แล้วส่งยิ้มให้บางๆ “พี่ทิวรู้สึกเจ็บที่ฟางข้าวมาเห็นพี่มิวอยู่กับมิน... ใช่ไหมครับ”
“ใช่...”
“แล้วเขาก็วิ่งหนีออกไปใช่ไหมครับ”
“ก็... ใช่”
“ชอบเขาแล้วทำไมไม่วิ่งตามไปล่ะครับ พี่”อีกครั้งที่แขกที่ผมว่าผมไม่ได้เชิญมาพูดทะลวงขึ้นกลางปล้อง “พอเลย ลมหนาว คุณไม่ต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้น ผมพูดจริงนะ ชอบคือชอบ ถ้าชอบเขาแล้วเขาเข้าใจผิด ก็รีบไปแก้ไขความเข้าใจผิดเขาสิ จะมานั่งรออะไร”
“พายุ คุณอย่าเพิ่งขัดจะได้ไหม”น้ำเสียงของหนาวเจือความหงุดหงิดเอาไว้ ทั้งที่ปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้อย่างแนบเนียนมากกับคนแปลกหน้า “พี่ทิวถามใจตัวเองดูหรือยังครับ... ว่าสรุปแล้ว พี่ทิวชอบใคร”
“...”เป็นคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบดีไหม... ผมคิดว่าผมชอบมิน แต่ตอนที่ข้าวมองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวดระคนผิดหวัง มันทำให้ผมรู้สึกแย่
“ผมน่ะ เชียร์ให้พี่ชอบกับมินมากกว่าฟางข้าวนะครับ...”อยู่ๆ ลมหนาวก็เปลยขึ้น ทำให้ผมต้องกันไปมองอย่างไม่เข้าใจ “มินมีทุกอย่างที่พร้อมสำหรับการเข้าบ้านพี่ทิว อย่างน้อยก็ไม่ถูกกีดกัน ไม่มีปัญหากับคุณย่าแน่ๆ แต่ถ้าพี่ทิวชอบข้าว ผมก็พร้อมที่จะสนับสนุนพี่นะครับ ขอแค่พี่มีความสุขก็พอแล้ว”
ห้องทั้งห้องเงียบลง คำถามที่ว่าผมชอบข้าวหรือมินลอยวนอยู่ในสมองของผมอย่างนั้น ราวกับว่ามันไม่มีทางออกให้ผมได้กระจ่าง
“พี่ทิว!!!”เสียงของมินดังเข้ามาในโสตประสาท เรียกให้ผมหันไปหาน้องเขา “ผมหาฟางไม่เจอ... พี่ทิวต้องไปตามฟางกลับมานะ... ไปตามกลับมา”
เสียงของมินสั่นเครือ เช่นเดียวกับด้วยตาที่สั่นระริก จากความกลัว ความหวาดหวั่น ความเสียใจ ทุกอย่างประดังประเดอยู่ในแววตาคู่นั้น
“ถ้าฟาง. ถ้าฟางเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไง”
ผมผุดลุกขึ้น หยิบของที่จำเป็น แล้วก้าวออกนอกห้องไปตามที่ร่างกายสั่งมา ปล่อยทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลัง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือผมจะต้องหาข้าวให้เจอก่อน
ใช่... ผมต้องหาข้าวให้เจอ
ผม... ควรจะรู้ใจตัวเองได้แล้ว วว่า ‘ใคร’ เป็นคนที่นั่งอยู่กลางใจของผม
ข้าว... รอพี่ก่อนนะ
(ฟางข้าว)
ผมวิ่งออกมาจากห้องที่ผมอยู่กับพี่ทิว กระดดดขึ้นรถมอเตอไซด์ให้วิ่งออกมาอย่างไม่รู้ทิศทาง ก่อนที่ขึ้นรถเมล์โดยไม่ดูสายรถ
ภาพที่พี่ทิวนั่งเบียนกับมิน ใบหน้าที่ใกล้กันจนเกือบจะแนบชิดนั้นติดตาของผม... ผมจะต้องสูญเสียอีกแล้วใช่ไหม ผมต้องเสียใจอีกแล้ว
ทำไม... ทำไมถึงไม่มีใครสักคนที่จะอยู่ข้างกายผม
พ่อกับแม่ก็ทิ้งผมไป ต่อมาไม่นานคุณย่าที่คอยช่วยเหลือก็เสียไปอีกคน... มาวันนี้ ผมก็กำลังจะเสียคนที่ผมรักไปอีกแล้วใช่ไหม...
ทำไมต้องเป็นผมที่สูญเสียอยู่เสมอ
ทำไม... มินต้องทำกับผมแบบนี้
ผมนั่งรถเมล์มาเรื่อยๆ จนมาถึงสวนสาธารณะที่พี่ทิวมักจะพาผมมาเวลาที่พี่เขาว่างจากการขึ้นวอร์ด พี่เขาชอบมาโยนขนมปังให้ปลากิน รอยยิ้มที่อบอุ่นนั้นฉายชัด
ผใทรุดตัวลงนั่งกอดเข่า เหม่อมองไปยังบ่อน้ำใสตรงหน้า
ความอ่อนโยนของพี่ทิวตรึงอยู่ในใจของผม... ไม่ว่าจะยามปกติ หรือบนเตียง
ทั้งที่ผมทำใจมาบ้างแล้ว... แต่ทำไมตอนที่เห็นภาพพวกนั้นกับตา มันถึงเจ็บแบบนี้... สมองมันว่างเปล่า ฉายภาพพวกนั้นซ้ำไปซ้ำมาวนเวียนไม่หยุด
ทำไม... พี่ทิวถึงไม่รักผม
ผมไม่ดี... ผมผิดตรงไหน ถึงไม่สมควรเป็นคนที่ได้รับความรัก
ทั้งที่... คิดว่าเจอคนที่ผมอยากอยู่ด้วยทั้งชีวิต... วางใจฝากชีวิตเอาไว้ในมือของพี่เขา ยอมทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นชายให้พี่เขาชม
หรือเพราะ... ผมมันง่าย ง่ายเหมือนแม่ที่ขายตัวให้กับคนมีเงินเชยชม
ผมคงน่ารังเกียจสินะ...
คงจะเป็นอย่างนั้น
“ร้องไห้ทำไมครับ... ข้าว”เสียงที่คุ้นห๔อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ความอบอุ่นจะโอบล้อมรอบกายผม “ไม่เอานะครับ ไม่ร้องนะคนดี”
“พี่... ทิว”ทั้งที่ควรจะหัวเราะอยู่กับมิน... ทำไมถึงมาที่นี่ได้...
มาตามผม... หรือเปล่า
หรือแค่ถูกบังคับให้มา...
“ครับ”เสียงตอบรับที่อ่อนโยนนั้นทำให้ใจของผมสั่นไหวอีกครั้ง ผมก้มหน้าลงชิดอก น้ำตาที่เอ่อล้นไหลรินลงมาเงียบๆ ขณะเดียวกันกับที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มนั้นก็เลื่อนมาซับน้ำตาของผมไป “ไหน บอกพี่หน่อยสิครับ ร้องไห้ทำไม เด็กดีของพี่”
“พี่ทิว... ชอบมินใช่ไหมฮะ”ผมกลั้นใจถามออกไป... เพื่อจะตัดใจ
ผมไม่อยากเจ็บอีกแล้ว
ไม่เอาแล้ว
“ใช่... พี่ชอบมิน”น้ำตาของผมไหลพรั่งพรูลงมาอีกอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาซะเลยฟางข้าว
สุดท้ายผมก็คงเป็นแค่ฟาง... ที่ไร้ค่า
ไม่ใช่ข้าว ที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้ใคร
“แต่พี่ไม่ได้เลือกมินนี่ครับ”ผมเหลือตาที่พร่ามัวมองใบหน้าหล่อเหลา พี่ทิวยังคงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน อ้อมแขนของพี่เขายังคงอบอุ่น “พี่เลือกข้าวนะครับ คนดี”
“พี่ทิวหมายถึง...”
“พี่ไม่ทิ้งข้าวไปไหนหรอกครับ”อ้อมกอดของพี่ทิวโอบรัดร่างของผมแน่นขึ้น ดวงตาที่จ้องมองมานั้นสะท้อนเงาของผม “ข้าวเป็นครอบครัวของพี่... พี่จะทิ้วข้าวไปได้ยังไงกัน”
ผม... ที่เป็นผม
“สัญญา... นะฮะ”
“พี่สัญญา”
สัญญาของพี่ทิว... ผมเชื่อเสมอ
“เรากลับบ้านกันเถอะนะ”
“ฮะ”
พี่ทิวกุมมือผมอย่างอ่อนโยน แล้วพอผมกลับไปที่บ้าน
บ้านของพวกเรา... นับตั้งแต่วันนี้ ผมคงพูดได้อย่างเต็มปากแล้ว
ใครหลายคนอาจจะคิดว่าผมโง่ เชื่อลมปากคน... แต่จะมีใครสักคนรู้ดีไปหว่าผม...
รู้... ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของพี่ทิวที่มองมา
จากสายตาที่มองมาอย่างเอ็นดู ได้เปลี่ยนเป็นสายตาที่บอกถึงความรักความห่วงใย
ไม่ต้องบอกว่ารัก... แต่ขอให้อยู่ด้วยกันต่อไปแบบนี้
ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
มาต่อแล้วค้าา // หายตัวนานอีกแล้ว แหะๆ ขอโทษด้วยค่ะ
อีกนิดๆ จะจบแล้ว ตอนต่อไปเป็นคู่คีตากิต(ตอนจบของคู่นี้) แล้วจะต่อพายุลมหนาวไปยาวเลยค้า
เย้ๆ
แล้วเจอกัน... วันศุกร์ค่ะ ^^