---- Cars and 'Pla' ----
"เจจ๊ะ งั้นเดี๋ยวเรายังไม่ต้องกลับห้องก็ได้ แวะไปหานพเลยดีกว่า"
ฆาเบียร์ดูนาฬิกาของเขา ตอนนี้ห้าโมงแล้ว พวกเขายังเข้าไม่ถึงตัวเมืองเชียงใหม่
"ผมก็ว่างั้นแหละคุณ ไม่งั้นกว่าจะกลับห้อง เก็บของนั่นนี่ แล้วออกมาหาพี่นพที่บ้านอีกก็คงค่ำ งั้นเดี๋ยวขอผมโทรบอกพี่นพก่อนแป๊บนึงนะ"
เจนยุทธกดปุ่มจากพวงมาลัยรถ จากนั้นเลือกเบอร์โทรของนพจากลิสต์ที่ปรากฎบนจอซึ่งฉายขึ้นกระจกหน้ารถและกดโทรออก เขาจัดการนัดแนะเวลากับเพื่อนรุ่นพี่เสร็จสรรพแล้วจึงกดวาง
"นี่คุณทำอะไรของคุณน่ะ ฆาบี้?"
เจถามอย่างสงสัย ตอนนี้พวกเขาจอดติดไฟแดงอยู่และฆาเบียร์ก็ชะโงกหน้ามาดูกระจกหน้ารถตรงฝั่งคนขับ
"ไอ้เจ้า head-up display ตรงกระจกหน้ารถเจนี่แสดงอะไรให้เห็นมั่งน่ะ?"
ฆาเบียร์ซึ่งเคยขับรถของเจนยุทธหลายครั้งแล้วรู้ดีว่ารถ BMW X1 รุ่นของเจมีโปรเจ็คเตอร์ซึ่งฉายหน้าจอเล็กๆ ขึ้นไปบนกระจกหน้ารถ หน้าจอนี้จะบอกข้อมูลบางอย่างเวลาขับขี่ทำให้คนขับไม่ต้องละสายตาจากถนนยามขับรถ ที่เขาเคยเห็นคือมันแสดงเลขความเร็วของรถ และแสดงฟังก์ชั่นที่ใช้ยามเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ เช่นแสดงชื่อหรือเบอร์โทรที่โทรเข้า แสดงลิสต์การโทรเข้าออกและคนขับสามารถเลือกเบอร์โทรออกจากลิสต์นั้นได้โดยใช้ปุ่มบังคับบนพวงมาลัยรถ หรือที่เจใช้บ่อยอีกฟังก์ชั่นหนึ่งคือให้แสดงเพลงที่ฟังอยู่และเลือกกดกลับหรือเลื่อนไปอีกเพลงได้
"จริงๆ มีอีกฟังก์ชั่นหนึ่งแต่ผมไม่ค่อยใช้ครับ คือใช้ร่วมกับแผนที่ในตัวรถ เมื่อเราเซ็ตจุดหมายปลายทาง บนจอก็จะขึ้นนำทางเรา มีบอกว่าต้องเลี้ยวตรงไหน มีลูกศรขึ้นให้เห็นชัดเจน บอกด้วยว่าเหลืออีกกี่เมตร ค่อนข้างแม่นยำเหมือนกันครับ แต่ว่าข้อเสียคือมันใช้ร่วมกับแผนที่ของรถเท่านั้น ใช้กับกูเกิลแม็ปไม่ได้ และต้องบันทึกข้อมูลเองเสียเยอะว่าจะไปไหน ที่ไหนที่ไปบ่อย อะไรงี้ ไม่ค่อยมีโลเคชั่นให้เลือกมากนัก สุดท้ายถ้าจะต้องใช้แผนที่ ผมก็เปิด Google map จากโทรศัพท์หรือไอแพดดีกว่า"
เจบอกว่าเขาเคยลองใช้ฟังก์ชั่นนี้ของรถแล้ว รู้สึกว่ามันยุ่งยากไป ก็เลยปล่อยมันไว้แบบนั้น
"ทุกวันนี้ที่ใช้ๆ ก็แค่ดูความเร็วรถ โทรเข้าออก แล้วก็ฟังเพลง แต่แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าคุ้มใช้แล้ว ผมเลือกซื้อรถคันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะฟังก์ชั่นจอนี้นั่นแหละ"
เจนยุทธหัวเราะแหะๆ เขาบอกว่ามันทำให้เขารู้สึกเหมือนขับรถจากหนังสายลับที่มีหน้าจอแสดงผลต่างๆ ฝังอยู่ที่กระจก
"นี่เจรู้ไหมว่าไอ้เจ้า Aston Martin DB 11 รุ่นเดียวกับของเจมส์ บอนด์ที่ฉันขับที่ฮ่องกงยังไม่มีฟังก์ชั่นนี้เลยนะ"
ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ
"เห้ย จริงดิ? รถคุณออกจะล้ำ ไม่มีอินี่ได้ไง?"
"จริงๆ มันอาจจะมีแต่เป็นออพชั่นเสริมต้องจ่ายเพิ่มมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันก็ไม่ได้ถามเพราะคิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องใช้ขนาดนั้น แต่ถ้ารถคันที่ฉันขับที่สหรัฐฯ นี่มีไอ้เจ้าจอนี้เหมือนกันกับรถเจนั่นแหละ"
"เหรอ อยู่นู่นคุณขับอะไรอ่ะ?"
เจถามพลางออกรถและขับต่อไปเรื่อยๆ การจราจรขาเข้าเมืองผ่านอำเภอแม่ริมช่วงเย็นๆ แบบนี้ติดขัดพอสมควร ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อคิดถึงรถคันงามของเขาซึ่งตอนนี้จอดทิ้งไว้ในโรงรถของคริสที่บ้านพาโล อัลโต
"ฉันขับ Dawn น่ะ"
"ดอว์น? โรลส์รอยซ์ ดอว์นอ่ะนะ? หูย อย่างเฟี้ยว"
เจครวญออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงรถสปอร์ตเปิดประทุนสี่ที่นั่งจากค่ายรถหรูสัญชาติอังกฤษ สนนราคาของมันในไทยสูงเสียดฟ้า บางครั้งเขาก็ลืมไปว่าฆาเบียร์ของเขานั้นล่ำซำเพียงไหน
"คันที่ฉันใช้นั้นเป็นรุ่นปี 2016 น่ะ ฉันซื้อก่อนย้ายมาฮ่องกงได้ปีนึง ตอนนี้จอดทิ้งไว้ในโรงรถอาปา ไอ้พวกระบบเอนเตอร์เทน หรือระบบสั่งการในรถก็ไม่ค่อยต่างจากของเจนะ เพราะมันพัฒนามาจากระบบ iDrive ของบีเอ็มเหมือนกัน ฉันถึงค่อนข้างคุ้นกับรถของเจน่ะ"
เจนยุทธร้องอ๋อ
"เออ ใช่สิ บีเอ็มเขาซื้อบริษัท Rolls-Royce Motors ไปแล้วใช่ไหมครับ?"
ฆาเบียร์ส่ายหัว
"ไม่ใช่จ้ะ"
"อ้าว แล้วไหงโรลส์รอยซ์ถึงใช้เทคโนโลยีของบีเอ็มล่ะครับ? ไม่ใช่ว่าบีเอ็มซื้อบริษัทและโรงงานโรลส์ไปแล้วเหรอ?"
เจนยุทธถามด้วยความสงสัย เขาเข้าใจมาตลอดว่ามหาอำนาจในวงการรถยนต์อย่างเครือ BMW นั้นซื้อโรงงานผลิตรถยี่ห้อ Mini และ Rolls-Royce ไปแล้ว
"คนมักจะเข้าใจแบบนั้น แต่ที่บีเอ็มซื้อจริงๆ คือสิทธิ์ในการใช้โลโก้และแบรนด์ Rolls-Royce ต่างหาก รถโรลส์รอยซ์ที่ผลิดนับตั้งแต่ 2003 เป็นต้นมานั้นออกแบบ พัฒนา และผลิตออกมาจากโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่โดยเครือบีเอ็ม ไม่ใช่โรงงานดั้งเดิมของโรลส์รอยซ์ แต่ก็ยังอยู่ในอังกฤษเหมือนเดิมนะ"
เจพยักหน้าหงึกหงัก วันนี้เขาได้ความรู้ใหม่อีกเรื่องแล้ว
"แล้วเจรู้ไหมว่าบริษัท Rolls-Royce Motors ดั้งเดิมตอนนี้เป็นยังไง?"
เจนยุทธส่ายหัว
"มันคือโรงงานที่ผลิตรถ Bentley ไงล่ะ เจ้าของในปัจจุบันคือกลุ่ม Volkswagen AG ซึ่งถือเป็นเครือผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีแบรนด์ในมือหลายยี่ห้อทั้ง โฟล์คสวาเก้น เอาดี้ บูกัตติ ลัมบอร์กินี่ ปอร์เช่ เซียท สโกด้าและเบนท์ลีย์ มอเตอร์ไซค์ Ducati ก็เป็นของเครือโฟล์คไปแล้วนะ"
ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจขับรถไปพลางฟังคนรักเล่าอย่างเพลิดเพลิน เขาชอบนักเวลาคนรักเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ในวงการธุรกิจให้เขาฟัง
"ที่จริงแล้วเจ้าของเดิมของบริษัทโรลส์รอยซ์มอเตอร์ส์คือ Vickers plc. บริษัทนี้ตัดสินใจขายบริษัทโรลส์รอยซ์มอเตอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยี่ห้อโรลส์รอยซ์และเบนท์ลีย์ในปี 1998 ในตอนนั้นเครือโฟล์คก็ประมูลชนะเครือบีเอ็มและได้สิทธิ์ในการผลิตรถทั้งสองยี่ห้อนี้..."
แต่สิ่งหนึ่งที่โฟล์คพลาดไปก็คือ แม้ว่าจะได้สิทธิ์ครอบครองสัญลักษณ์รูปนางฟ้ามีปีกซึ่งเรียกว่า The Spirit of Ecstasy และกระจังหน้ารถแบบซี่ตะแกรงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถโรลส์รอยซ์ แต่เครือโฟล์คไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อและโลโก้ RR ของแบรนด์โรลส์รอยซ์ติดบนตัวรถที่พวกเขาผลิตออกมา สิทธิในโลโก้และแบรนด์นั้นเป็นของบริษัท Rolls-Royce plc. ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของเครือธุรกิจโรลส์รอยซ์ ในปัจจุบัน บริษัทนี้เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินและอากาศยาน รวมถึงทำธุรกิจด้านพลังงานและระบบป้องกันประเทศ เครือ BMW ซึ่งทำธุรกิจร่วมกันกับบริษัทโรลส์รอยซ์ในด้านการผลิตเครื่องยนต์ได้ติดต่อขอซื้อสิทธิ์ในการใช้โลโก้และแบรนด์ไปเรียบร้อยแล้วในราคา 40 ล้านปอนด์
"ทีนี้โฟล์คก็ซวยสิ จ่ายตังค์ไป 430 ล้านปอนด์ ได้สำนักงานใหญ่ ได้โรงงาน ได้แบบรถ ได้รูปนางฟ้ากับกระจังหน้ามาก็จริง แต่พะยี่ห้อโรลส์รอยซ์ไม่ได้ ก็ทำไงล่ะ แถมยังซวยหนักเข้าไปอีกเพราะบีเอ็มเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์และอะไหล่ให้ทั้งเบนท์ลีย์และโรลส์รอยซ์ แต่ในสัญญาที่ทำไว้ก่อนหน้าอนุญาตให้บีเอ็มยกเลิกสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้าแค่ 12 เดือน ซึ่งทางโฟล์คออกแบบรถใหม่ให้ใช้เครื่องจากที่อื่นไม่ทันหรอก ก็เลยต้องมาเจรจากัน..."
ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เรื่องการเชือดเฉือนในวงการธุรกิจแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาได้พบเจอมาตลอด
"หลังจากเจรจากันก็ได้ข้อสรุปว่า เครือโฟล์คจะยอมขายสิทธิ์การใช้รูปนางฟ้าและกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของโรลส์รอยซ์ให้บีเอ็ม โดยแลกกับการที่บีเอ็มยังคงเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์และอะไหล่ให้รถยี่ห้อเบนท์ลีย์ต่อ ส่วนทางบีเอ็มจะอนุญาตให้โรงงานเก่านี้ผลิตรถโดยแปะยี่ห้อโรลส์รอยซ์ได้จนถึงสิ้นปี 2002 ระหว่างนั้นบีเอ็มก็ไปสร้างสำนักงานใหญ่และโรงงานใหม่ของตัวเองเพื่อผลิตรถโรลส์รอยซ์ภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ คือ Rolls-Royce Motor Cars Limited แทนบริษัท Rolls-Royce Motors เดิม บริษัทนี้ก็ออกแบบรถใหม่หมดโดยไม่เอาแบบเดิมมาใช้ แต่ยังตั้งชื่อรุ่นอิงชื่อรุ่นเดิม ส่วนทางโฟล์คก็ตั้งบริษัท Bentley Motors Limited ขึ้นมาแทนและผลิตแต่รถเบนท์ลีย์เพียงอย่างเดียวโดยใช้ฐานการผลิตเดิม”
"งั้นแปลว่ารถโรลส์รอยซ์ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมาก็ไม่ใช่โรลส์รอยซ์ที่ออกมาจากโรงงานดั้งเดิมแล้วสิครับ มิน่า ผมถึงว่าโรลส์รอยซ์รุ่นหลังๆ มันหน้าตาไม่เหมือนรุ่นเก่าๆ เสียทีเดียว "
ฆาเบียร์พยักหน้า
“ถูกต้อง ที่เป็นทายาทสายตรงของโรลส์รอยซ์เดิมจริงๆ ก็คือเบนท์ลีย์ ส่วนโรลส์รอยซ์ในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้เครือบีเอ็มนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นการกำเนิดใหม่ของแบรนด์โรลส์รอยซ์ก็ว่าได้น่ะ แล้วพอรู้งี้ เจคิดว่ามันเสื่อมความคลาสสิคไปไหม?"
คนตัวโตถาม หลายคนอาจคิดว่ามันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนเดิมแล้ว หรือไม่ได้เป็นสืบทอดความเป็นตำนานมา เจครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายหัวเบาๆ
"ไม่อ่ะ จากที่เคยนั่งรถคุณกับรถอาปาที่ฮ่องกงให้เป็นบุญตูดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรลส์รอยซ์ที่ออกจากโรงงานใหม่หรือเบนท์ลีย์ที่ออกมาจากโรงงานดั้งเดิม มันก็ไม่ต่างกัน นั่งสบาย เบาะหนังนุ่มนิ่มห๊อมหอมเหมือนกัน"
ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ
"มันก็ยังคงคอนเส็ปต์ด้านหรูหราและยังเป็นรถประกอบมือตามสั่งทีละคันเหมือนเดิมจ้ะ ยังเลือกสั่งสีสั่งเบาะอะไรได้ตามคอนเส็ปต์เดิม อาจจะดีขึ้นด้วยเพราะได้เทคโนโลยีสมัยใหม่ของบีเอ็มเข้ามาเสริม แล้วฉันก็ว่าหน้าตามันสวยกว่ารถรุ่นเก่าด้วย"
คนตัวโตเล่าอีกว่าโรลสรอยซ์ยังนำเสนอบริการที่เรียกว่า bespoke คือสามารถสั่งสร้างรถได้ตามใจชอบ
"...ไม่ว่าจะให้ผสมสีใหม่ขึ้นมาเป็นสีเฉพาะของเราคนเดียว อยากจะกรุไม้หายากลงไปตรงนั้นตรงนี้ หรือจะให้เลือกหนังชั้นเลิศจากที่นั่นที่นี่มาทำเบาะ เขาก็จัดให้ได้นะ อยากจะปักลายมังกรลงไปบนเบาะก็ทำได้ หรือถ้าจะมีเจ้าชายอาหรับสักองค์สั่งทำตราประจำพระองค์ฝังอัญมณีแปะไว้ตรงพวงมาลัย เขาก็คงทำให้ได้เหมือนกัน"
คนตัวโตพูดยิ้มๆ แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ฆาเบียร์บอกว่าเขาไม่ได้เลือกใช้บริการ bespoke เต็มรูปแบบ เขาแค่เลือกสีรถ สีเบาะและการตกแต่งภายในรถจากตัวเลือกที่มีให้มากหลายตามใจชอบและให้ปักชื่อย่อของตัวเองไว้ที่เบาะคนขับ ซึ่งแค่นั้นก็แพงขึ้นมาอักโขแล้ว
ฆาเบียร์หยิบมือถือมาเปิดรูปรถของเขาที่จอดอยู่ในโรงรถของคริสให้เจดูตอนที่รถติดไฟแดงอีกครั้ง เจตาลุกวาวเมื่อเห็นรถสีฟ้าอมเทาแสนสวยที่มีหลังคาผ้าใบสีส้มแมนดารินคันนั้น
"หูย งามหยดย้อยเลยคุณเอ๊ย สเป็คเครื่องเป็นไงอ่ะ?"
"อืมม์ เครื่อง V12 6500 กว่าซีซี 563 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ 4.3 วินาทีนะ ความเร็วสูงสุด 155 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็ประมาณเกือบๆ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เลวสำหรับรถที่หนักกว่าสองตันครึ่งเลยนะ เจว่าไหม?"
ฆาเบียร์ตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงรถสุดหวงของเขา เขายังนึกถึงเวลาที่ขับมันเฉิดฉายไปในเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโกยามค่ำคืน หรือขับกินลมเล่นบนไฮเวย์ระหว่างทางพาคู่ควงของเขาไปจิบไวน์ที่นาปา แวลลีย์ ใจจริงเขาอยากขนมันมาใช้ที่ฮ่องกงด้วยแต่ติดขัดหลายประการจึงต้องทำใจทิ้งมันไว้ที่พาโล อัลโต้
"อยากลองขับสักครั้งอ่ะ"
เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาก็เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ที่ชอบรถและเครื่องยนต์ ถ้ามีโอกาสเขาก็อยากจะสัมผัสความแรงระดับไฮเอนด์แบบนั้นบ้าง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าถ้าสักวันเขาได้มีโอกาสพาเจไปที่บ้านเขาที่สหรัฐฯ เขาจะให้เจลองขับมันดูแน่นอน
"จะให้ขับเจ้า Audi R8 GT Spyder ตัวเก่ากึ้กของฉันด้วยเอ้า"
เจอ้าปากค้าง รถแต่ละคันของเมียตัวโตของเขาล้วนแต่เริ่ดหรูทั้งนั้น ฆาเบียร์บอกว่าเขาสั่งจองเจ้ารถสปอร์ตเปิดประทุนคันงามนั้นทันทีที่เห็นมันจากหนังเรื่อง Iron Man 2
"ทั้งสหรัฐฯ มีแค่ 50 คันเองนะเจ แต่ฉันกะว่ากลับไปบ้านรอบนี้คงจะขายมันแล้วล่ะ เพราะได้รถใหม่แล้ว แต่ถ้าเจอยากลองขับ ฉันก็จะรอให้เจได้ลองก่อนแล้วค่อยปล่อย"
"อูย ขอผมลองสักครั้งก่อนนะครับคุณ ผมงี้โคตรชอบรถเอาดี้เลยอ่ะ ตอนแรกผมก็อยากได้เอาดี้ ทีที แต่ว่าที่เชียงใหม่ไม่มีศูนย์ ก็เลยอดไป"
เจนยุทธทำท่าเสียดาย
"เออ ฉันสงสัยอย่าง เท่าที่ดูๆ เจก็ชอบขับรถแรงๆ ทำไมไม่ซื้อรถอย่างปอร์เช่เคย์แมนล่ะ มันไม่ได้แพงอะไรมากมาย ที่สหรัฐฯ ขายอยู่แค่ห้าหมื่นกว่าเหรียญเอง แพงกว่ารถบีเอ็ม X1 ของเจคันนี้นิดเดียวเองนะ หรือเพราะมันไม่มีศูนย์ที่เชียงใหม่เหรอ?"
เจนยุทธหัวเราะหึๆ ฆาเบียร์ดูถูกกำแพงภาษีรถยนต์นำเข้าของประเทศไทยเกินไปเสียแล้ว
"ฆาบี้ครับ ผมเคยเล่าให้คุณฟังคร่าวๆ แล้วใช่ไหมว่ารถยุโรปในไทยมันแพงด้วยเรื่องของภาษี"
ฆาเบียร์พยักหน้า เขาคิดว่ามันน่าจะแพงขึ้นประมาณ 40% ของราคาที่สหรัฐฯ หรืออย่างมากก็ไม่น่าจะเกินเท่าหนึ่งเหมือนที่ฮ่องกง เจถามต่อ
"คุณว่ารถผมคันนี้ที่เมืองไทยขายอยู่ที่เท่าไหร่?"
รถของเจนยุทธคือ BMW X1 รุ่น sDrive18d M Sport ซึ่งเป็นตัวท็อปในตอนที่เขาซื้อ ฆาเบียร์ครุ่นคิดเทียบกับราคาในสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 53,000 เหรียญ
"เอ ไม่รู้สิ เจ น่าจะซักล้านปลายๆ ถึงสองล้านบาทมั้ง?"
เจหัวเราะเบาๆ
"เกือบสองล้านหกนะครับ คุณฆาเบียร์ นี่ขนาดเป็นตัวประกอบในนะ เจอภาษีนำเข้าชิ้นส่วน ซึ่งเบากว่าเจอภาษีนำเข้ารถทั้งคันมากเลยครับ"
"อื้อหือ แต่ก็แพงขึ้นมาเยอะเหมือนกันนะ เจ รถยุโรปในไทยนี่แพงใช้ได้เลยจริงๆ"
คนตัวโตครางออกมา เจซ่อนยิ้มและถามต่อ
"แล้วคุณรู้ไหมว่าไอ้เจ้าปอร์เช่เคย์แมนที่คุณถามถึงน่ะ ในไทยขายเท่าไหร่?..."
เจพูดต่อโดยไม่รอคำตอบเพราะรู้ว่าคนตัวโตไม่มีทางเดาถูกแน่นอน
"...ราคาเปิดตัวของโฉมปี 2016 ในไทยน่ะเกือบเจ็ดล้านนะครับคุณ"
"Bullsh-t!"
คนตัวโตสบถลั่นออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
"เห้ยๆ ผมไม่ได้โม้นะเว้ย ราคานี้จริงๆ นี่ตัวถูกสุดนะ ถ้าตัวแรงอย่าง Cayman S น่ะ แปดล้านสาม"
ฆาเบียร์ตาเหลือก เจบอกเขาว่าภาษีรถนำเข้าของไทยนั้นโหด แต่ไม่นึกว่าจะโหดร้ายขนาดนี้
"เจ ทำไมมันแพงขนาดนั้น?!"
"ก็เพราะมันเป็นรถนำเข้าทั้งคันครับ ภาษีนำเข้ารถยนต์ประกอบนอกของไทยน่ะคิดโหดมหาหิน เริ่มจากคิดราคาภาษีอากรขาเข้าก่อน โดยคิดเป็น 80% ของค่า C.I.F. คือราคารถ บวกค่าขนส่งและค่าประกันภัย"
เจสาธยายให้คนรักฟัง
"สมมติ ค่า C.I.F. รวมออกมาแล้วคือหนึ่งล้านบาท ก็จะเจอบวกค่าอากรขาเข้าอีกแปดแสน..."
ฆาเบียร์เอาโทรศัพท์มาเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลขแล้วจิ้มตาม
"...แต่ที่โหดน่ะ คือภาษีสรรพสามิต เขาคิดค่า C.I.F. บวกค่าอากร และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ VAT คูณด้วยอัตราภาษีสรรพสามิตซึ่งคิดตามขนาดเครื่อง ตรงนี้มันใช้สูตรคำนวนอะไรไม่รู้ยุ่งยาก ผมก็ลืมๆ ไปละ..."
เจพยายามคิดถึงสิ่งที่เขาเคยเรียนมา
"...จำได้แค่ว่าถ้าเครื่องต่ำกว่า 2,000 คูณ 30% 2,000 ถึงไม่เกิน 2,500 คูณ 35% ส่วนรถที่มีขนาดเครื่อง 2,500 - 3,000 CC น่ะ คูณ 40% แต่ถ้าเกิน 3,000 คูณ 50% แต่ถ้าอย่างเคย์แมนน่ะ ต่อให้เครื่องแค่สองลิตร ก็น่าจะโดน 50%"
เจซึ่งปวดหัวหนักกับเรื่องพวกการคำนวนภาษีทั้งหลายตอนสมัยเรียนพูดอย่างเซ็งๆ
“แล้วทำไมเคย์แมนที่เครื่องไม่ถึงสามพันซีซีถึงโดนคูณตั้ง 50% ล่ะเจ?”
“ถ้าเครื่องแรงเกิน 220 แรงม้าก็โดน 50% ครับ”
เจบอกว่านอกจากนั้นแล้วยังมีภาษีกระทรวงมหาดไทยซึ่งบวกไปอีก 10% ของภาษีสรรพสามิต และตบท้ายด้วย VAT อีก 7% ของราคารวมเบื้องต้น
"รวมๆ แล้ว ถ้ารถต่ำกว่า 2,000 ซีซี ก็จะเสียภาษีทั้งหมดประมาณ 180% กว่าๆ ของราคา C.I.F. แต่ถ้ารถเกิน 3,000 ซีซีน่ะ ล่อเข้าไปเกิน 300% นะคุณ"
เจบอกว่าถึงจะเป็นรถญี่ปุ่น แต่ถ้าประกอบนอกก็โดนภาษีแบบนี้เหมือนกัน
“รถเล็กซัสกับพวกสปอร์ตญี่ปุ่นตัวที่ต้องนำเข้าอย่างแฟร์เลดี้หรือจีทีอาร์ในไทยถึงแพงนักแพงหนาไงคุณ อย่างแฟร์เลดี้นี่ห้าล้านกว่าเลยนะ ส่วนจีทีอาร์น่ะ 13.5 ล้าน”
เจหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของคนรัก
"เจ แล้วรถฉันที่เมืองไทยขายเท่าไหร่?"
"โรลส์รอยซ์ ดอว์น ใช่ไหมครับ? ผมไม่รู้ราคาศูนย์อ่ะ แต่เคยเห็นราคาโฉม 2016 ในเน็ต ไม่รู้ว่ามือสองหรือว่าไง ก็ อืมม์..."
เจนึกครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา
"ประมาณ 35 ล้านบาทอ่ะคุณ
"Holy Sh-t!"
ฆาเบียร์ร้องลั่นรถ เจนยุทธหัวเราะก๊าก คนตัวโตของเขาปกติไม่ค่อยสบถหยาบๆ เท่าไหร่ แต่วันนี้ฆาเบียร์ปล่อยคำว่า sh-t ออกมาถึงสองครั้งแล้ว
"บ้าไปแล้ว! นี่มันล้านเหรียญนิดๆ แล้วนะเจ รถฉันที่สหรัฐฯ ขนาดฉันใส่นั้นใส่นี่ไปเพิ่ม มันยังไม่ถึงห้าแสนเหรียญเลยนะ ไม่ถึง 15 ล้านบาท ฉันก็ว่ามันแพงมากแล้วนะเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น แล้วรุ่นอื่นล่ะ เจ?"
"ไอ้ที่แพงสุดอย่างแฟนธ่อมตัวฐานล้อยาวนี่ ราคาล่าสุดของโฉมปี 2018 นี่ 59.5 ล้านครับ ส่วน Rolls-Royce Ghost ที่คุณใช้ที่ฮ่องกงก็น่าจะประมาณสามสิบล้านมั้ง ผมไม่แน่ใจ ส่วนเบนท์ลีย์มูซานน์ตัวฐานล้อยาวแบบของอาปานั่นผมไม่มีข้อมูล แต่ถ้ารุ่นมาตรฐานเท่าที่เคยรู้มาก็น่าจะเกือบๆ 35 ล้านครับ"
ฆาเบียร์หลับตาปี๋
"ฉันว่าราคารถที่ฮ่องกงว่าแพงแล้วนะ อย่างโรลส์รอยซ์รุ่นที่ฉันใช้ที่สหรัฐฯ ที่นั่นก็ประมาณเจ็ดล้านเหรียญฮ่องกง ก็ประมาณ 28 ล้านบาทไทย แต่ที่นั่นค่าครองชีพสูง เงินเดือนคนที่นั่นโดยเฉลี่ยก็สูงกว่าคนไทย แต่เจอราคารถที่ไทยไปนี่ โอ้โห โหดมาก..."
คนตัวโตครางออกมาด้วยความสยองใจ
"...35 ล้านเลยเหรอเจ? ราคานี้ที่สหรัฐฯ ซื้อรถฉันบวกลัมบอกินี่ อเวนตาดอร์อีกคันได้เลยนะ"
"อย่าพูดให้เจ็บใจดิคุณ ถึงรถเมืองไทยจะแพง แต่ค่าอย่างอื่นเราไม่ได้แพงมากนักนะ ค่าจดทะเบียนหรือภาษีรายปี หรือกระทั่งค่าประกันชั้นหนึ่งก็ไม่ได้แพงมาก โอเค รถหรูๆ มันก็อาจจะหลักแสนแหละ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็เบากว่าเมืองนอกเยอะอ่ะมั้ง ไม่ต้องมาจ่ายค่าที่จอดแพงๆ แบบที่ฮ่องกงด้วย"
สำหรับเมืองไทย จอดรถข้างถนนได้ฟรี ไม่ต้องมาหยอดเหรียญค่าจอด หรือถ้าจะมีคนเดินเก็บเงิน อย่างมากก็ห้าบาทสิบบาท
"ตามลานจอดรถ อย่างแถวนิมมานฯ บางที 50 บาท จอดได้ทั้งวัน สบายๆ"
ฆาบี้หัวเราะหึๆ เมื่อได้ยินเจพูดเรื่องค่าที่จอดที่ฮ่องกง ค่าที่จอดรถในฮ่องกงนี่แพงมหาโหดจริง ถึงขนาดที่ว่ามีธุรกิจซื้อขายที่จอดรถในราคาแพงระยับกันด้วยซ้ำ
"นายรู้ไหมเจ ปีที่แล้วมีคนซื้อที่จอดรถช่องหนึ่งในอาคารจอดของคอนโดหรูในแถบฮ่องกงตะวันตกด้วยราคากว่าห้าล้านเหรียญฮ่องกงด้วยนะ ทำสถิติสูงสุดของฮ่องกงเลยล่ะ"
ถึงคราวเจอ้าปากค้างบ้าง เขารู้ว่ามีการซื้อขายที่จอดรถในอาคารหรูๆ เพื่อเก็งกำไร แต่ไม่นึกว่ามันจะถึงเจ็ดหลัก
"นี่เขาเหมาทั้งฟลอร์เหรอคุณ?"
คนตัวโตส่ายหน้าและบอกว่านี่สำหรับที่จอดขนาดประมาณ 18 ตารางเมตรเท่านั้น
"มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอคุณ? แล้วที่จอดของคุณที่ตึก ICC อ่ะ เท่าไหร่?"
ฆาเบียร์เกาหัว
"เอ นี่ฉันก็ไม่แน่ใจ น่าจะรวมมาพร้อมกับค่าเช่าสำนักงานแล้วน่ะ"
คนตัวโตบอกว่าเดี๋ยวเขาค่อยถามเมลิน่าดูทีหลัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้เหมือนกัน
"อ๊ะ ใกล้ถึงบ้านพี่นพแล้ว เดี๋ยวค่อยมาคุยเรื่องรถกันทีหลังแล้วกันนะคุณ"
เจจอดรถที่หน้าประตูบ้านของนพ เขาหยิบรีโมทประตูบ้านที่นพให้เขาไว้มากดเปิด
"นี่พวกนายมีกุญแจบ้านกันไว้ยังกับเป็นแฟนกันเลยนะ"
ฆาเบียร์บ่นขึ้นมาเบาๆ เจหันไปยิ้มหวานให้คนรักที่ดูเหมือนจะคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีกแล้ว
"แหม ที่ให้กุญแจกันไว้ก็เพราะจะได้ใช้งานอีกฝ่ายได้สะดวกต่างหากล่ะคุณ อย่างตอนผมไม่อยู่ ผมก็ฝากห้องไว้กับพี่นพ อะไรงี้ ไม่ก็เผื่อกรณีฉุกเฉิน หรืออย่างบางทีไปดื่มกันแล้วพี่นพแกเมา ผมก็จะได้ขับรถมาส่งแล้วก็เปิดบ้านเข้ามาได้เลย อะไรประมาณนี้"
ช่วงที่แล้วพวกเขามีเวลาว่างตรงกันและแฮงก์เอาท์ด้วยกันเกือบตลอดเวลา ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะเข้านอกออกในบ้านของกันและกันจนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ตั้งแต่พ่อของนพเสียและเขาต้องเข้าไปทำงานแทน พวกเขาทั้งคู่ก็มีเวลาให้กันน้อยลง แต่ความสนิทสนมนั้นยังคงเป็นเหมือนเดิม
เจจอดรถไว้ที่ถนนในบ้านของนพ พวกเขาลงรถและกดกริ่งที่ประตู
"จริงๆ ผมมีกุญแจนะ แต่เพื่อความปลอดภัย กดกริ่งก่อนดีกว่า"
เจหันไปหัวเราะคิกคักกับฆาเบียร์
"...ก็คราวที่แล้วตอนผมทะเลาะกับคุณแล้วหนีมาหาพี่นพที่บ้านอ่ะ ผมเปิดประตูพรวดเข้าไปเจอช็อตเด็ด..."
ฆาเบียร์หลุดหัวเราะพรืดออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เจเปิดเข้าไปเจอนพกับวัฒน์ในสภาพเกือบเปลือยอยู่บนโซฟา นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนรักของเขาจึงกดกริ่งทุกครั้งเมื่อมาที่บ้านของพี่ชายคนสนิทคนนี้
"ไง พวกมึง เข้ามาสิๆ "
ร่างอวบของนพเปิดประตูมาทักทายเพื่อนๆ ของเขา เจเข้าไปพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปทั่ว
"หาอะไรวะ?"
"หาพี่วัฒน์อ่ะ ผมไม่ได้มากวนเวลาจู๋จี๋ของพวกพี่ใช่ไหม?"
เจทำหน้าทะเล้น นพด่าไอ้น้องตัวดีลั่น
"ห่านนี่ กูอยู่คนเดียวโว้ย ช่วงตรุษจีนพี่วัฒน์แกไม่มาหรอก ต้องอยู่กับที่บ้าน"
นพชวนทั้งสองลงนั่งที่ชุดรับแขก
“เอ้า นี่ ตังค์มึง ไอ้เจ เอาไปซะ”
นพส่งซองจดหมายค่อนข้างหนาซองหนึ่งให้เจนยุทธ เจเปิดออกมาดูก็ต้องทำตาโตเมื่อเห็นธนบัตรใบสีเทาในนั้นเป็นปึก
“เห้ย ค่าอะไรกัน พี่นพ? ใจดีให้อั่งเปาผมหรา?”
เจทำตาปิ๊งๆ ให้เพื่อนรุ่นพี่ นพส่ายหัวอย่างระอา
“มึงนี่สมองปลาทองจริงๆ ค่าดอกกุหลาบไง ที่ฝากกูเอาไปขายน่ะ 4,500 ดอกมั้ง กูขายดอกละ 15 บาท คนงี้รุมกันยังกะแจกฟรี แค่ที่เฮียคิมเจ้าของผับซื้อเอาไปแจกสาวๆ ที่เข้ามาผับแกก็พันดอกแล้วมั้ง พวกเพื่อนๆ มึง ไอ้ปรินซ์กับซันก็เอาส่วนหนึ่งไปขายหน้าร้านวอร์มอัพด้วย หมดเกลี้ยงเหมือนกัน เออ แต่ของเฮียคิมแกกูให้ดอกละ 10 บาทนะ เพราะแกเหมาเยอะ”
นพพักหายใจ
“ก็เลย เนี่ย ได้ตังค์มาเกือบหกหมื่น นี่หักที่ดอกมันเสียไปบ้างนะ กูชักค่าดำเนินการออกไปละ เหลือให้มึงห้าหมื่นห้า”
นพชักค่าดำเนินการออกไปเพียงสามพันกว่าบาทแค่ให้คุ้มค่าเสียเวลาที่ต้องไปวาเลนไทน์ เจหันไปมองหน้าฆาเบียร์ที่นั่งทำหน้าเจื่อนๆ อยู่ด้านข้าง นี่ขนาดเขาให้นพเอาไปขายถูก อาจจะแค่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาจริงก็ยังได้เงินคืนมาถึงขนาดนี้ พ่อเจ้าประคุณของเขานี่ช่างทุ่มทุนจริงๆ เจส่ายหัวเบาๆ ด้วยความระอาแล้วกลับไปคุยกับนพต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ได้ไงพี่นพ นี่ๆ พี่เอาไปเลยอีกหมื่นนึงอ่ะ อุตส่าห์เป็นธุระให้ผมแท้ๆ”
เจรีบนับใบเทาออกมาสิบใบแล้วส่งให้นพ หากเพื่อนรุ่นพี่ก็ดันมันคืนมาให้เขา ทั้งสองยึกๆ ยักๆ กันอยู่พักใหญ่จนสุดท้ายนพก็ยอมแพ้และรับเงินก้อนนั้นไว้
“เออๆๆ เอางี้ กูจะเก็บเงินก้อนนี้ไว้เอาไว้เป็นงบกินข้าวด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วกัน มึงไม่ต้องหารค่าข้าวไปอีกหลายมื้อเลย”
นพพูดยิ้มๆ โดยปกติแล้ว ถ้าพวกเขาสองคนไปกินข้าวด้วยกัน ก็มักจะหารสองกัน ช่วงที่พวกเขากินมื้อเย็นด้วยกันทุกวัน พวกเขาทั้งคู่ก็จะมีการตั้งงบกองกลางรายเดือนขึ้นมาเพื่อที่จะควบคุมปริมาณการกินของตัวเอง แต่ช่วงหลังมาพวกเขาเจอกันน้อยลงก็เลยใช้วิธีหารเหมือนเดิม
“ไงก็ได้พี่ แต่เย็นวันนี้เรามีเจ้ามือแล้ว พี่นพไม่ต้องจ่ายนะ”
เจหันไปตบหลังเมียตัวโตของเขาป้าบใหญ่ ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือก แต่ก็หันไปยิ้มให้นพ
“อือ เย็นนี้กูเลี้ยงเอง ขอบใจนะที่ช่วยจัดการธุระให้เจ”
“งั้นกูจัดอาหารฝรั่งเศสชุดใหญ่เลยได้มะ?”
นพทำตาวาว
“จัดมาเลยเพื่อน”
ฆาเบียร์พูดตอบทันทีด้วยน้ำเสียงแบบที่เขาเคยใช้คุยกับนพก่อนที่เขาจะเผลอใจตกหลุมรักหนุ่มร่างอวบคนนี้
เจนยุทธมองพี่ชายคนสนิทและคนรักของเขาที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานด้วยความอิ่มใจ ฆาเบียร์ยิ้มตอบเมื่อหันมาเจอใบหน้าที่ยิ้มละไมของเจ เขากุมมือเรียวของคนที่เขารักสุดหัวใจและยกขึ้นหอมเบาๆ
“ขอบใจนะ นพ...”
เขาหันไปพูดกับคนที่เคยอยู่กลางใจ
“...ขอบใจที่พากูมาเจอกับเจ”
ยิ่งเวลาผ่านไป ฆาเบียร์ก็รู้สึกได้ว่านพชักพาเขาให้มาพบเจอกับเจนยุทธอย่างจงใจ ถึงจะมีผิดแผนไปบ้างในทีแรก แต่ส่วนใหญ่คงเป็นการจัดฉากของเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์ของเขาอย่างแน่นอน นพหัวเราะเบาๆ และตบไหล่หนาของอดีตรูมเมทตัวร้ายของเขา
“ไม่ต้องขอบใจกูหรอก พวกมึงมีความสุขกูก็ดีใจ มึงก็ดูแลไอ้เจมันดีๆ แล้วกัน มันน่ะตัวยุ่งเลย”
“อ้าวๆ พี่นพ ไม่คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายดูแลเพื่อนพี่มั่งเหรออ่ะ?”
เจทำหน้ายุ่ง ทุกวันนี้เขาว่าเขาออกจะทำตัวเป็นคนรักที่ดีของฆาเบียร์
“เออๆ ก็ช่วยๆ กันดูแลทั้งสองคนนั่นแหละ พวกมึงทั้งสองคนน่ะตัวป่วนทั้งคู่เลย”
นพส่ายหัวอย่างระอา เขาสังหรณ์ว่าในอนาคตเขาคงต้องปวดหัวกับคู่รักเพี้ยนๆ คู่นี้อีกมากแน่ๆ
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)