Chain
AU fiction
Genre : Suspense , Action , Thriller
Rate : PG – 18
Warning : violence - character death - mentions of blood - angst - death and torture - descriptions of injury - dirty talk - cursing - Animal cruelty or animal death - Child Abuse and Pedophelia
นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหารุนแรง กระทำมนุษย์ให้ถึงแก่ความตาย ทารุณกรรม ความรุนแรงทางเพศ บังคับขืนใจ การละเมิดผู้เยาว์ ความรุนแรงในครอบครัว ทรมาน กักขังหน่วงเหนี่ยว คำหยาบคาย การอธิบายเกี่ยวกับเลือดและอวัยวะ ทารุณกรรมสัตว์ กระทำสิ่งไม่เหมาะสมกับศพ มีเนื้อหาทางการเมืองและศาสนา
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ไม่เหมาะต่อผู้มีอารมณ์อ่อนไหว หวาดกลัวความรุนแรง กลัวศพ กลัวเลือด
ผมที่ถูกย้อม
03.21
ทางหลวงหมายเลข 125 เดิมทีเป็นถนนเลี่ยงเมือง ไม่ค่อยมีรถผ่าน กลางคืนนั้นมักเงียบสงัด
แต่ไม่ใช่กับคืนนี้
เสียงไซเรนตำรวจกำลังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พวกเขาได้รับแจ้งข่าวเหตุ
เหตุการณ์ที่ไม่เคยอยากให้เกิดขึ้นอีก
ราวตีสาม พนักงานขับรถส่งสินค้าโทรแจ้งจำรวจในท้องที่ เหตุเกิดที่ถนนหมายเลข 125 พบอวัยวะมนุษย์ถูกทิ้งไว้เกลื่อนถนนและมีโซ่แดงเส้นเล็กพันอวัยวะเหล่านั้นไว้
เหล่าเจ้าหน้าที่มาถึงโดยเร็ว ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้นที่นี่ สุโขทัย เป็นเพียงเมืองเก่าที่เงียบสงบปราศจากคดีสยองขวัญนี้มานานนับปี
สุดท้ายก็ไม่รอด
“คาดว่าเป็นอวัยวะของเพศหญิงครับ” นายตำรวจชั้นผู้น้อยรายงานสถานการณ์คร่าวๆ ให้กับนายของตนเองฟังด้วยท่าทีไม่ปกติ เขาเองก็หวาดกลัว สยดสยองไม่แพ้ใคร มีนายตำรวจหลายนายที่พอได้เห็นสภาพที่เกิดเหตุแล้วต้องวิ่งไปอาเจียนข้างทาง พวกเขาไม่เคยเจออะไรที่น่าสยดสยองขนาดนี้มาก่อน
ที่สำคัญฆาตกรยังคงลอยนวลอยู่
“กันพื้นที่ออกไปห้ากิโลเมตร แบ่งทีมตามหาหลักฐานเพิ่มเติม ขอกำลังเสริมจากสน.อื่นด้วย”
“ครับนาย”
“แล้วรีบแจ้งทีมสิงคาลด่วน”
สิงคาล เป็นทีมเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสืบคดีโซ่แดงโดยเฉพาะ ประวัติของคนในทีมนั้นถูกเก็บเป็นความลับ นอกจากเบื้องบนและผู้เกี่ยวข้องบางส่วนก็ไม่มีใครรู้จักหน้าตาเลยสักคน
ทันทีที่ทีมสิงคาลมา ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจะถูกกันออกไป ทีมงานของพวกเขาจะเข้ามาทำงานแทนที่เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด
สิงคาลมาถึงเร็วเสมอ หลังแจ้งเหตุไปได้ไม่ถึงสองชั่วโมงทีมของพวกเขาก็ทยอยเดินทางมาถึง รถทุกคันติดฟิล์มดำไม่มีใครเห็นบุคคลที่อยู่ภายใน แม้จะเป็นเพียงทีมงานแต่ก็ยังดุแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ทั่วไปอยู่ดี
“รบกวนให้เจ้าหน้าที่คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปด้วยนะครับ”
“นี่มันเป็นเขตของสน.ผม คุณจะให้พวกผมออกไปได้ยังไง พื้นที่นี้ผมต้องรับผิดชอบ”
“มันเป็นกฏครับ คุณก็รู้ดี”
“ผมควรอยู่ดูด้วย”
“แม้แต่คุณก็ไม่ได้ครับ”
“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาสั่งผู้กำกับอย่างผม”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ แต่เราจำเป็นต้องให้พวกคุณออกไป ทีมนิติเวชของเราจะมาถึงแล้ว พวกเขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวาย”
“ไปเรียกนายคุณมาคุย ไปเรียกมาเดี๋ยวนี้”
“งั้นคุณคงต้องไปคุยกับท่านภานุวัตน์เองแล้วล่ะครับ”
เสียงของบุคคลที่สามนั้นพูดแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินตรงมาทางพวกเขา
“ขอพื้นที่ให้คนของผมทำงานด้วย”
ร่างสูงโปร่งนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้กำกับที่กำลังหัวเสีย ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบนั้นจ้องมองคนที่อวยยศตัวเองเสียใหญ่โตอย่างขำขัน
“คุณเป็นใคร”
“คุณเรียกพวกผมมาเอง แล้วยังจะมาถามอีกว่าเป็นใคร”
“...”
“ดูไม่ฉลาดเลยนะครับ”
“ไอ้...!!”
“พอแล้วเขม มาทำงานไม่ได้มาหาเรื่องคนอื่น” เสียงของใครอีกคนดังมาเป็นบุคคลที่สี่ของบทสนทนานี้ ชายร่างเล็กเดินเฉียดไหล่ เขม แล้วยืนอยู่ข้างๆ กัน
“รบกวนกันคนของคุณออกไปด้วยครับ ถ้าผมจำไม่ผิดท่านภานุวัตน์คงเคยบอกทุกที่แล้วว่าถ้าหากเราลงพื้นที่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ”
“แม้แต่ผมก็ไม่ได้เหรอ ผมควรจะรับรู้ด้วย”
“โปรดเข้าใจการทำงานของพวกเราด้วยครับ ถ้าหากคุณไม่ให้ความร่วมมือ เราคงต้องใช้กำลังพาออกไป”
“คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาพูดแบบนี้กับผม”
“ผมรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และรู้ว่าคุณเป็นใครถึงกล้าพูดคำนี้ออกมา กรุณาออกไปด้วย ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน”
“อย่ามาทำกร่างในพื้นที่ผม”
“แล้วคุณมีสิทธิอะไรมากร่างใส่พวกผม เราขอความร่วมมือดีๆ -”
“พอได้แล้วไทน์ อย่าไปต่อปากต่อคำ” มีอีกเสียงแทรกประโยคของไทน์ เขาหันหลังกลับไปมองพร้อมกับเขม
“พี่นนท์”
“อยากอยู่ก็ให้อยู่ไป ยังไงก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว คงแค่อยากจะเอาหน้าเฉยๆ กลับไปทำงาน”
“นี่คุณ!”
“อยากดูก็ดูได้เลยนะครับ จะได้รู้ว่ามืออาชีพเค้าทำงานกันยังไง”
17.30
กรุงเทพมหานคร
ชายหนุ่มทั้งห้านั่งพิงพนักเก้าอี้ในมือถือเอกสารรายงานคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงย่ำรุ่ง ทั้งห้องยังคงไร้บทสนทนามีเพียงเสียงพลิกไปพลิกมาของกระดาษเท่านั้นที่พบจะขัดขวางความเงียบได้เป็นบางครา
“รอบนี้มันไม่คมนะ”
“อะไรไม่คม”
“รอยตัดไม่คม ดูที่หน้าแปด”
จบประโยคทุกคนก็เปิดรายงานไปที่หน้าแปดทันที จากนั้นก็เริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับ เต้ย แพทย์นิติเวชเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้
“แล้วเห็นของจริงรึยัง”
“เห็นแล้ว ถึงบอกว่ารอยตัดไม่คม”
“น่าสงสัย”
“มีเพิ่มมาอีกคนแล้วเหรอฆาตกร”
“เป็นไปได้สูง”
“คนที่เท่าไหร่แล้ว”
“จากที่รวบรวมมา ตอนนี้ราวๆ ห้าคน”
“คนนี้คนที่หกสินะ”
“อืม คนนี้คนที่หก”
“คนนี้น่าจะเพิ่งเคยทำครั้งแรก รอยตัดไม่คม แถมยังสกปรกอีก”
“ตรงไหน”
“ส่วนต้นขา เห็นได้ชัดว่าตัดไม่ถูกที่ กระดูกเลยแตกไม่คมเหมือนคนก่อนๆ เนื้อด้านในก็เละบางส่วนแล้ว คิดว่าคงมือใหม่จริงๆ”
เต้ยเดินไปด้านหน้าโปรเจคเตอร์จากนั้นก็เปิดภาพอวัยวะส่วนต้นขาขึ้นจอใหญ่ เขาใช้ปากกาอัจฉริยะวงตรงส่วนเนื้อที่ถูกหั่นหลายๆ รอบจนแตกออก
“รอบนี้ไม่ได้ตัดเส้นเลือดใหญ่ด้วย ไม่ได้ปล่อยเลือดหมดตัวก่อน ตอนหั่นเลือดเลยเลอะเทอะ”
“...”
“ตรงบริเวณนิ้วเท้าของศพไม่ได้ถูกตัดเล็บออกเหมือนศพอื่นๆ แสดงว่ายังมือใหม่ เก็บรายละเอียดไม่หมด”
“หรือเป็นพวกเลียนแบบ”
“ไม่ใช่พวกเลียนแบบหรอก เพราะตามชิ้นส่วนต่างๆ มันยังมาร์คจุดที่ต้องตัดไว้เหมือนเดิม ต้นขาตัดสิบนิ้ว เท้าเลยข้อมาสามนิ้ว มือเลยขึ้นมาเจ็ดนิ้ว ยังมีขนาดเท่ากันเหมือนเดิม มีแค่คนร้ายคดีนี้เท่านั้นที่รู้ว่าจะหั่นศพให้ได้ขนาดเท่าไหร่”
“งั้นก็ดี”
“ดีตรงไหน”
“...”
“ตอนนี้เรากำลังตามหากลุ่มฆาตกรต่อเนื่องที่มีกันหกคนแล้วนะ”
“ต่อไปมันอาจจะทำถี่ขึ้นก็ได้”
“...”
“พร้อมรับแรงกระแทกกันรึยังล่ะหลังจากนี้?”
นนท์ หรือ สารวัตร ชานนท์ กลาดเกลื่อน นั้นกำลังคิดหนัก เขาเป็นหนึ่งในทีมสิงคาล เป็นคนเดียวที่ถูกกดดันจากฝั่งตำรวจ เพราะด้วยยศของเขาและเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ติดต่อกับผู้ใหญ่จากฝั่งตำรวจ มันยิ่งทำให้เขาถูกกดดัน
เขาไม่กลัวหากจะต้องเผชิญหน้ากับฆาตกร
แต่เขากลัวจะมีคนตายเพิ่มมากกว่า
เมื่อประชุมจบและพวกเราทั้งห้าต่างพากันออกมายังสถานบันนิติเวช ที่ที่เก็บชิ้นส่วนศพจากคดีไว้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีสีหน้าย่ำแย่
“พี่นนท์ไหวรึเปล่า”
“ไหว”
ไทน์ อีกหนึ่งในสมาชิกของทีมสิงคาลนั้นนั่งอยู่เบาะข้างๆ เขาได้เอ่ยถามขึ้น ไทน์เป็นรุ่นน้องที่เขาเคยรู้จักในสมัยยังเรียนมัธยมต้น จากนั้นเราก็เคยได้เจอกันอีกเลยจนกระทั่งทีมสิงคาลถูกตั้งขึ้น ไทน์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญคนหนึ่งในวงการ จึงถูกทาบทามให้มาทำงานนี้
“ถ้าไม่ไหวก็พักหน่อยเถอะ ตอนอยู่สุโขทัยก็แทบไม่ได้พัก”
“เขาอาจจะมีเรื่องให้ต้องคิด อย่าไปกวนเขาเลย”
นนท์อยากจะเอ่ยคำขอบคุณให้กับเขมเสียจริงๆ ที่ช่วยทำให้ไทน์ไม่พยายามทำเหมือนเขานั้นเป็นคนอ่อนแอ นนท์ไม่ชอบเลยที่จะต้องให้ใครมาคอยนั่งเป็นห่วงกันอยู่แบบนี้ เมื่อก่อนเขาเด็ดขาด แต่ตอนนี้เขากำลังรู้สึกอ่อนแอ
เขม หรือ เขมกร นั้นเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ภาคสนามของ UN ที่วางมือและกลับมาอยู่ประเทศบ้านเกิด เขากลับมาทำงานเพื่อสังคม ไปตามพื้นที่ธุรกันดารต่างๆ เพื่อคอยช่วยเหลือผู้ขาดแคลนและหาผู้สนับสนุนมาคอยดูแล นนท์แอบแปลกใจที่นายก็ดึงเขมมาร่วมงาน เขมกรที่วางมือจากปืนแล้วจู่ๆ ก็ต้องมาจับปืนอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการมีเขมอยู่นั้นช่วยทีมได้มากขึ้นจริงๆ
เดิมทีทีมสิงคาลนั้นถูกวางตัวไว้ด้วยกันเจ็ดคน มีเขา ไทน์ เขม เต้ย คิว และอีกสองคนที่ทำงานอยู่ในหน่วยข่าวกรองของต่างประเทศ แต่แล้วก็เกิดผิดพลาดด้านการสื่อสารจากฝั่งเราในการขอความช่วยเหลือ และหน่วยงานของสองคนนั้นเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่มีผลกระทบต่อต่างประเทศ จึงทำให้ทีมเหลือกันเพียงห้าคน
เสียงโทรศัพท์ของเต้ยดังขึ้น ทำให้เราที่เหลือเงียบเสียงลง
“ครับ”
“...”
“กำลังไปครับ”
“...”
“ครับ”
เต้ยวางสายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันกลับไปสั่งคนขับรถด้านหน้า
“ขับเร็วกว่านี้ เร็วที่สุด”
นั่นทำให้พวกเขาได้รู้ว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นอีกแล้ว
โดยปกติแล้วฆาตกรต่อเนื่องมักจะไม่ทิ้งร่องรอย พวกมันวางแผนมาเป็นอย่างดีและมีความเป็นมืออาชีพสูง
แต่ศพนี้แตกต่างกันออกไป
“เจอกระดาษยัดอยู่ในกระดูกครับ มันใช้สว่านเจาะกระดูกขาแล้วเอายัดไว้จากนั้นก็เอาเศษกระดูกผสมกาวปิดไว้เหมือนเดิม” นี่เป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่นิติเวชที่มาพิสูจน์หลักฐานร่วมกันกับเต้ย พวกเราทั้งห้าคนขมวดคิ้ว ไม่มีเคสไหนเลยที่มันจะทิ้งอะไรเอาไว้
“มันกำลังท้าทายพวกเรา”
คิวกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ
คิว หรือ คชากร นั้นเป็นนักวิเคราะห์พฤติกรรมของอาชญากร เป็นอาจารย์สอนให้กับ FBI และเสนอตัวมาเข้าร่วมทีมสืบสวนคดีในครั้งนี้เนื่องจากสนใจพฤติกรรมของฆาตกร
“ผมว่ามันมีความมั่นใจขึ้น”
“มั่นใจในเรื่องอะไร?”
“มั่นใจว่ายังไงเราก็จับพวกมันไม่ได้”
-------- #คดีโซ่แดง -------
นนท์อ่านสำนวนคดีจนลืมเวลากลับบ้าน
เขาก็เป็นแบบนี้อยู่ประจำ รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่วันใหม่เสียแล้ว เมื่อเขาไม่มีอะไรคาใจกับคดีเมื่อวันก่อน เขาก็ลุกขึ้นและเริ่มเก็บของใส่กระเป๋าของตัวเอง
00.48
เขามาถึงบ้านในเวลาเกือบตีหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ในทาวเฮ้าส์ที่มีอายุเกือบยี่สิบปีในย่านเทเวศน์ นนท์อาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพัง พ่อแม่และน้องสาวไปซื้อบ้านอยู่นอกเมืองแต่เขาดึงดันที่จะไม่ย้ายตามไปด้วย อยู่กลางใจเมืองมันสะดวกในการเดินทางมากกว่า
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเขาสังเกตได้ว่าของในบ้านไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ นนท์เป็นคนมีระเบียบและเขาจำได้ว่าของทุกชิ้นถูกวางไว้ที่ไหน
มือข้างขวาของเขาเลื่อนไปจับด้ามปืนที่เหน็บอยู่ตรงตำแหน่งเอวของตัวเองอย่างเคยชินทันที สองเท้าค่อยๆ ย่ำเบาๆ และไม่ลืมจะเหลียวมองด้านหลังและด้านข้างอยู่เสมอ
แปลนบ้านของเขานั้นไม่ได้ซับซ้อนมากนัก นนท์ค่อยๆ เดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อมาถึงยังหน้าประตูห้องนอน ฝ่ามือเล็กค่อยๆ วางมือแนบลงบนลูกบิด ก่อนจะออกแรงบิดมันช้อยๆ วางมือแนบลงบนลูกบิด ก่อนจะออกแรงบิดมันช้าๆ
“นนท์”
“เฮือก!!!”
เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็มีฝ่ามือใหญ่มาวางทับบนหลังมือของเขา พร้อมทั้งเสียงกระซิบที่ข้างหู ไม่ทันจะได้ขยับไปไหนก็ถูกแขนของคนด้านหลังล็อคเอวของเขาไว้พร้อมดึงให้แผ่นหลังแคบแนบชิดกับลำตัวของใครบางคน
“ตกใจอะไร?”
“ธรรม!”
เขาเรียกชื่อบุคคลที่ทำให้ตกใจจนตัวสั่น ร่างสูงโปร่งทางด้านหลังหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกอดเขาแน่นกว่าเดิมพร้อมทั้งวางคางลงบนไหล่ของเขา
“ตกใจแฟนตัวเองได้ยังไง”
“ไฟในบ้านทำไมไม่เปิด แล้วเดินตามมาทำไมไม่เรียก คนมันตกใจ ถ้าเกิดเผลอยิงขึ้นมาจะทำยังไง?”
“คุณคงไม่คิดจะยิงผมหรอกใช่ไหม?”
นนท์ที่รู้สึกว่าแฟนหนุ่มของตัวเองนั้นกำลังถามคำถามอะไรแปลกๆ ก็หันไปมองใบหน้าที่วางอยู่บนไหล่ของตนเอง
“จะยิงคนที่ตัวเองรักจริงๆ เหรอ”
“เป็นอะไรเนี่ย”
“ก็แค่สงสัยเลยลองถามดู ว่าถ้าต้องยิงผม คุณจะยิงลงหรือเปล่า”
“ทำไมผมต้องยิงคุณล่ะ”
“ก็แค่ลองถามดู”
“..”
“ว่าคุณจะยิงคนที่รักลงหรือเปล่า”
เขาเป็นพวกรักร่วมเพศที่ไม่เคยปิดบังการใช้ชีวิต ทุกคนรู้เรื่องนี้ดีและก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรสนิยมทางเพศของเขาแต่ตัวเขาไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่ากำลังคบกับใครอยู่
กับ ธรรม นั้นเราคบกันมาหลายปี เจอกันที่งานเลี้ยงการกุศลที่จัดขึ้นโดยมีบริษัทของธรรมเป็นเจ้าภาพ เขาเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัยพ์อันดับต้นๆ ของประเทศ นนท์จึงไม่ได้เปิดเผยตัวมากนักเพราะมันอาจจะกระทบต่องานของธรรมก็เป็นไปได้ แต่คนที่กำลังนอนกอดเขาตอนนี้ก็ไม่เคยสนใจเลยว่าการที่เรารักกันมันจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของตัวเองหรือเปล่า
“คิดถึงจัง”
“คิดถึงเหมือนกัน” นนท์ตอบ
“คิดถึง คิดถึงมากๆ เลย” ว่าแล้วธรรมก็จูบหน้าผากเขา ตามด้วยจูบแก้มและริมฝีปาก
“ก็อย่าไปทำต่างจังหวัดบ่อยนักสิ”
“งานครับ”
“รอบนี้ไปที่ไหนนะ ทำไมไปตั้งหลายวัน”
“ทำไมจำไม่ได้ล่ะ?”
“พิจิตรเหรอ?”
“สุโขทัยต่างหาก”
“...”
เมื่อได้ยินชื่อจังหวัดที่คนรักเดินทางไปทำงานก็ทำให้นนท์เงียบลง เขาเริ่มคิดถึงมันอีกครั้ง
“ทำไมครับ เงียบทำไม”
“เปล่า”
“เรื่องงานอีกแล้วใช่ไหม?”
“ก็ใช่”
“ทำไมอีก”
“รอบนี้ก็มีคดีที่สุโขทัย” เขาว่าด้วยเสียงเบา “เหมือนรอบก่อนๆ”
“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าไม่อยากให้คุณทำงานนี้”
“หันหลังกลับคงไม่ได้แล้ว”
“ลาออกเถอะ ผมเลี้ยงคุณได้”
“คุณคิดว่าเข้ามาพัวพันแล้วจะออกไปได้ง่ายๆ จริงๆ งั้นเหรอ?”
“มันอันตราย”
“ผมรู้”
“ก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ ออกมาเถอะ ถือว่าผมขอ”
ธรรมมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เขาไม่ชอบให้นนท์ต้องทำงานเสี่ยงอันตราย และตั้งแต่มีคดีโซ่แดงเกิดขึ้นแฟนหนุ่มก็มักจะขอร้องให้นนท์ลาออกอยู่เสมอ ยิ่งช่วงที่นนท์ถูกเสนอชื่อให้เข้าทีมสืบสวนพิเศษนี้ธรรมยิ่งไม่พอใจจนความสัมพันธ์ของเราเกือบจบลง
สุดท้ายแล้วธรรมก็กลับมาหาเขา และก็ยังคงพูดเกลี้ยกล่อมให้ลาออกอยู่เป็นพักๆ แบบนี้ตลอดมา
นนท์ไม่รู้หรอกว่าที่ธรรมพูดว่าก่อนที่มันจะสายไปนั้นแปลว่าอะไร แต่ตอนนี้หากถอนตัวออกมาก็คงทำให้คนอื่นวุ่นไปหมด เขามีความรับผิดชอบมากพอและไม่อยากจะทิ้งคดีสะเทือนขวัญไปแบบนี้ ประชาชนเองก็ต่างหวาดกลัว เราต้องประกาศเคอร์ฟิวกันในบางพื้นที่ที่อันตราย ช่วงกลางคืนแทบไม่มีใครพากันออกมาด้านนอก เศรษฐกิจในเมืองที่เกิดคดีขึ้นต่างก็ย่ำแย่เพราะไม่มีผู้คนมาท่องเที่ยวและคนในจังหวัดก็ไม่กล้าออกมาใช้ชีวิต การที่เรายังจับคนร้ายไม่ได้แบบนี้มันมีแต่จะส่งผลเสีย
ต่างประเทศก็เริ่มมีประกาศเตือนเรื่องฆาตกรต่อเนื่องในประเทศไทยแล้วเหมือนกัน หากมีประเทศใดประเทศหนึ่งเริ่มแบนเรา เศรษฐกิจคงพังกว่านี้แน่ๆ มันส่งผลกระทบไปหมดจริงๆ
05.49
นนท์ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ มือของเขาควานหาโทรศัพท์สะเปะสะปะโดยที่พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก สุดท้ายแล้วก็เป็นธรรมที่หามันเจอก่อน เขากดรับและวางโทรศัพท์ไว้ข้างหูของนนท์ จากนั้นเจ้าตัวก็ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง
“ว่าไง”
“สารวัตรครับมีแจ้งคดีโซ่แดงอีกแล้วครับ”
“ที่ไหน?”
“เทเวศน์ครับ”