...และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับตุลย์เด็กหนุ่มไม่มีอะไรโดดเด่นสักอย่าง ส่วนเรื่องเซ็กส์ก็เข้าขั้นห่วยแตก คุณสมบัติแค่นี้อาจถูกเขี่ยทิ้งจากสารระบบเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่น่าแปลกใจคือฝ่ายนั้นยังกล้าพอจะต่อรองเงินก้อนกับเขา
คงจะมีแค่ ‘ความมุ่งมั่น’ นี่แหละ ที่ธวัตรรู้สึกว่าเขาไม่ได้มองคนผิดซะทีเดียว
“นายอยากได้เงินก้อนนี้ไปทำไม”
ในฐานะคนเลี้ยง เขามีสิทธิ์รู้ปลายทางของมัน
ตุลย์อาจเป็นเด็กหนุ่มรักสบายที่อยากหาเงินทางลัด หรือแค่รักสนุกและชอบความเสี่ยง ถึงได้เลือกให้ ‘เขา’ ซึ่งเป็นผู้มีอิธิพลในย่านนี้เป็นคนเลี้ยง
แต่สำหรับตอนนี้ แบบไหนไม่สำคัญ ในเมื่อเขาตกปากรับคำว่าจะ ‘ให้ตามที่เรียกร้อง’ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามสัญญา
“ผมอยากเรียนที่ม.A ผมต้องการเงินจ่ายค่าเทอม”
คำตอบนั้นทำเอาธวัตรขมวดคิ้ว
“ทำไมต้องม.A”
มหาลัยวิทยาลัย A ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ก็แลกกับค่าเทอมแพงหูฉื่ ไม่ใช่ที่ที่นักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่งจะแบกรับภาระทางการเงินไหว
เด็กหนุ่มแค่เหยียดยิ้ม
“เพราะชีวิตผมมีแค่นี้ไง คุณคิดว่าเด็กที่เกิดและโตในสลัม เรียนมหาวิทยาลัยธรรมดาจะไปได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว ผมแค่อยากอยู่ให้ห่างจากที่นั่น ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ถ้าคุณเป็นผม คุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงเกลียดมัน...”
ธวัตรไม่แปลกใจกับคำตอบเท่าไร เพราะตุลย์ไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนี้กับเขา
ยังมีคนอีกมากมายที่พลัดหลงเข้ามาในมุมมืดของสังคม หวังใช้มันเป็นหนทางเพื่อทีบตัวเองให้พ้นจากสิ่งที่เคยเป็น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ล้วนแตกต่างกันไปอีกอย่างเขาไม่สนว่าเด็กหนุ่มมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด
เขาแค่ถูกใจความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นในดวงตาคู่นั้น มันน่ามองและชวนให้หวนนึกถึงตัวเองตอนเป็นวัยรุ่น บ้าบิ่น ซึ่งมากพอจะทำให้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะ ‘เด็กของเขา’ ได้ไม่ยาก
“ฉันจะจัดการให้ตามที่ต้องการ”
เป็นอันว่าข้อตกลงระหว่างพวกเขาเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น
แต่หลังจากตุลย์ย้ายข้าวของมาอยู่ที่คอนโดได้ไม่นาน ธวัตรก็ได้รู้ว่าเขาตัดสินใจผิดมหันต์ พอเงินเจ็ดหมื่นก้อนแรกถูกจ่ายออกจากมือ เด็กหนุ่มก็แทบสลายหายไปเป็นสสารในห้วงอวกาศ ร่างโปร่งโผล่มาให้เห็นหน้าชนิดนับครั้งได้และกลับดึกจนเป็นนิสัย บางคืนถึงกับโผล่มาเช้าวันถัดไปก็มี จนเขาต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งคนไปรอรับทุกเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้งร่ำไป
เมื่อเย็นคนของเขาโทรมาแจ้งว่าไม่พบตุลย์ตั้งแต่บ่าย และเด็กหนุ่มไม่ได้กลับคอนโดตอนเย็น
ด้วยเส้นสายของธวัตร จะหาเบาะแสไม่ใช่รื่องที่ต้องใช้ความพยายาม ดังนั้นหากอีกฝ่ายคิดเบี้ยวหนี ขอแค่ออกปากสั่ง จะจับเด็กคนนั้นกลับมาตอนไหนหรือเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่ลองใจด้วยการ ‘รอ’ จนกระทั่งเด็กหนุ่มกลับมาเพื่อขีดเส้นแบ่ง ‘ขอบเขต’ ให้ชัดเจนด้วยตัวเอง
ประตูห้องเปิดออกในตอนดึก ร่างโปร่งในความมืดแทรกตัวผ่านเข้ามาโดยไม่เปิดไฟ แล้วค่อยๆ ปิดประตูอย่างเงียบเชียบราวกับกลัวว่าเสียงเพียงเล็กน้อยอาจรบกวนเจ้าของห้องจนตื่น ธวัตรเฝ้ามองเงาที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วผ่านห้องนั่งเล่น ก่อนจะสับสวิตช์ไฟให้ห้องทั้งห้องสว่าง
สีหน้าของตุลย์เรียกได้เต็มปากว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกตอนที่เห็นเขายืนพิงบานกบกอดอกอยู่ตรงหน้า
“...ผมนึกว่าคุณหลับไปแล้ว”
“ถ้าหลับแล้ว ฉันคงไม่ยืนตรงนี้จริงไหม?” ธวัตรเหยียดยิ้ม “หายหัวไปไหนมา”
“ผมเปล่า...”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำ พูดขณะที่มองตาเด็กหนุ่มไปพร้อมกันจนฝ่ายนั้นหลุบตา
“...ไปหาเพื่อนเก่า”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นายมีสิทธิ์ตัดสินใจทำทุกอย่างตามใจ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น! ผมแค่...”
ไม่ปล่อยให้พูดจนจบ ธวัตรก็ยึดกรอบหน้าเด็กหนุ่ม บังคับให้มองตา
“นายเป็น
‘ของ’ ของฉัน จะทำอะไรก็ต้องเห็นหัวฉันถ้าไม่อยากถูกตัดหางปล่อยวัด”
“..........”
เด็กหนุ่มปิดปากเงียบ แต่สายตาที่มองมากลับท้าทายเชือดเฉือนอย่างไม่ยอมจำนน
ธวัตรเค้นเสียง ‘หึ’ “หรือถ้าไม่ชอบวิธีของฉันก็เดินออกไปซะ แล้วทุกอย่างก็จะจบลงตรงนี้”
เขาจงใจยื่นข้อเสนอที่อีกฝ่ายไม่มีทางตอบตกลง มหาวิทยาลัย คือสิ่งที่ตุลย์ใฝ่ฝันหามาตลอด เด็กหนุ่มถึงกับยอม ‘เสียสละ’ เพื่อคว้าโอกาสนั้นมาไว้ในกำมือ ไม่มีทางที่อยู่ๆ จะยอมทิ้ง ‘เงินของเขา’แล้วเสี่ยงไปหาเอาดาบหน้าอย่างแน่นอน
และก็ไม่ผิดจากที่เขาคิด...
“ไม่... ผมไม่ไป” เด็กหนุ่มยืนกราน “ผมไม่ยกเลิกข้อตกลง”
สิ่งเดียวที่เขาให้ในแววตาตอนที่ตุลย์พูดประโยคนั้น คือ ‘ความแน่วแน่’
เขาละมือจากใบหน้าเด็กหนุ่ม แล้วยิ้มอย่างพึพอใจ
“ถ้าอย่างงั้นก็จำสิ่งที่ฉันพูดไว้ แล้วอย่างให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะฉันไม่ใช่คนให้โอกาสใครซ้ำซาก”
...โดยทิ้งทายพื้นที่ว่างไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด
อาจใช้เวลาคิดอยู่กว่าครึ่งค่อนคืน เช้าวัดถัดมาตุลย์ถึงมีสีหน้าไม่สดชื่นคล้ายคนนอนไม่พอ แต่ถึงอย่างนั้นวิธีของเขาก็นับว่าได้ผลชะงัด เด็กหนุ่มยอมเข้ามาอยู่ภายใต้ขอบเขตที่วาดไว้โดยไม่สร้างปัญหาเหมือนก่อน หากมองข้ามสายตาที่แสดงออกเวลาไม่พอใจ กับคำพูดประชดประชันที่มักหลุดมาบ่อยๆ ก็นับว่าเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดี
ตราบเท่าที่ตุลย์ไม่ล้ำเส้นจนเกินไป เขาก็ยังให้อิสระในการตัดสินใจกับฝ่ายนั้น
ว่ากันว่า ‘คนอยู่ร่วมชายคาย่อมรู้จักนิสัยใจคอกันไม่มากก็น้อย’ เรื่องราวต่อจากนั้นก็เช่นกัน
เวลาผ่านไป เด็กหนุ่มเริ่มเรียนรู้ที่จะสังเกตและจดจำลายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ในขณะที่เขาก็เริ่มชินกับการมีตุลย์อยู่ข้างกาย ติดตามไปยังที่ต่างๆ จนถึงขนาดที่บางเรื่องไม่ต้องพูดตรงๆ ตุลย์ก็รับรู้ได้ว่าเขาต้องการอะไร
ทุกครั้งที่ธวัตรพาเข้าไนท์คลับ หรือไปพบลูกค้าด้วย ตุลย์จะนั่งเงียบๆ ข้างเขา ฟังบทสนทนาที่ดำเนินไปและรินเรื่องดื่มให้เป็นครั้งคราว หากต้องการความเป็นส่วนตัว แค่บอกเป็นนัยหรือมองตา เด็กหนุ่มก็จะขอตัวออกไปเองโดยไม่ต้องให้เขาสั่ง
หลายครั้งเขาเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่มองตามการเคลื่อนไหวของตุลย์ เหตุผลเดียวที่คนพวกนั้นไม่ทำอะไรเกินกว่าแค่ใช้สายตาโลมเลีย ก็เพราะตุลย์เป็น ‘เด็กของเขา’ ไม่ใช่ ‘เด็กขาย’ ในคลับที่จะใช้เงินซื้อไปสนองความใคร่เมื่อไหร่ก็ได้
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบนั้นจนกระทั่งคืนหนึ่ง...
คืนนั้น ธวัตรเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของคลับตามปกติ ตามด้วยสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ กับลูกค้าเก่าแก่ชั้นดีที่ทำธุรกิจร่วมกันมานาน ตุลย์อยู่ข้างๆ เขา นั่งเงียบๆ เล่นโทรศัพท์เครื่องใหม่ฆ่าเวลาไปพลาง ก่อนจะลุกขึ้นรินเบียร์เติมให้แก้วที่เหลือเพียงน้ำแข็งเปล่าของลูกค้าอย่างไม่กระโตกกระตาก
ชายคนนั้นมองตามทุกอิริยาบถของตุลย์ไม่คลาดสายตา จนเด็กหนุ่มเบียร์เสร็จ ฝ่ายนั้นถึงพูดขึ้น
“ในฐานะลูกค้าเก่าแก่ของคุณ อย่าหาว่าผมจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องเลย เด็กคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ดีใช้ได้ แถมยังเป็นงาน คุณไม่คิดจะดันเขาขึ้นมาเป็น ‘หน้าตาของคลับ’ หรือ?”
ประโยคนั้นทำเอาคนถูกพาดพิงซึ่งๆ หน้าชะงักไปครู่ แต่ก็ยังรักษาความลื่นไหลเป็นธรรมชาติ กลับมานั่งข้างเขาได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในฐานะ ‘คนเลี้ยง’ เขาต้องปกป้องเด็กหนุ่ม
“คุณก็ประเมินเขาสูงไป”
ธวัตรหัวเราะในคอ พาดแขนบนพนักโซฟาที่เด็กหนุ่มพิงอยู่ให้ดูคล้ายโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ
“เด็กคนนี้ลีลาบนเตียงได้เรื่องซะทีไหน ขืนผมเอามาเป็นหน้าตาของที่นี่ ธุรกิจคงเจ๊งกันพอดี”
“แต่คุณก็ถูกใจเขาไม่ใช่เหรอ?” คู่สนทนาหัวเราะ
นั่นก็ไม่ผิด...
“คุณธวัตร... บางครั้งเซ็กก็ไม่ใช่นิยามทั้งหมดของการหาความสุขใส่ตัวหรอกนะครับ ลึกๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็แค่ต้องการความผ่อนคลายเท่านั้น” ชายคนนั้นทอดสายตาลงไปยังด้านล่างบริเวณบาร์เครื่องดื่มที่แน่นลูกค้าและเสียงสวนเสเฮฮา ก่อนจะเผินหน้ากลับมามองเขา
“เรื่องนั้นคุณที่มีเขาอยู่ข้างๆ ตลอด น่าจะรู้ดีที่สุด...”“.........” ธวัตรแค่ยิ้มตอบ ไม่พูดอะไร
โดยที่เด็กหนุ่มไม่อาจรู้ชะตากรรม เขาเก็บคำพูดคืนนั้นไปขบคิดและประมาณการณ์อย่างเงียบๆ
‘เงิน’ และ ‘ชื่อเสียง’ คือ ‘อำนาจ’ ไม่ว่าอะไร ขอแค่ทำเงินได้ เขาพร้อมจะแลกเพื่อให้ได้มันมาโดยไม่สนวิธีการ
...นั่นเป็นนิสัยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่วัยรุ่น และถูกบ่มเพาะจากประสบการณ์เกือบสิบปีในวงการนี้
มันคือกฏของ ‘ธุรกิจ’ สนามรบไร้ศพ ที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยเรื่องสกปรกและการห้ำหั่นเพื่ออำนาจ เป็นเรื่องยากที่จะมีชีวิตรอดในขณะที่คนมากมายล้มตาย ดังนั้น หากเขามีโอกาสแค่เล็กน้อย ก็ต้องเลือกใช้มันอย่างเหมาะสม
“เซ็นซะ” กระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางทาบลงบนโต๊ะตรงหน้าตุลย์
“นี่คืออะไร...?”
“........” เขาไม่ตอบ แต่ปล่อยให้เด็กหนุ่มไล่อ่านตัวอักษรที่ละบรรทัดอย่างละเอียด ยิ่งเลื่อนสายตาต่ำลงเท่าไหร่ คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน
“...เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้!” ตุลย์เลื่อนเอกสารทิ้งไปข้างๆ ก่อนจะลุกผึง “ผมไม่เซ็น”
ธวัตรมองตามคนที่ทำท่าจะเดินหนีไปอีกห้อง ก่อนจะสั่งเสียงต่ำ “นั่ง”
ได้ผลเมื่อร่างโปร่งหยุดฝีเท้า ดวงตาที่จ้องเขม็งกลับมาสื่ออารมณ์หลากหลาย มันมากกว่าความโกรธ หรือไม่พอใจอย่างทุกครั้ง
“คุณเชื่อสิ่งที่เขาพูด เพราะเขาเป็นลูกค้าของคุณ แล้วผมที่อยู่กับคุณล่ะ ผมเป็นอะไร ตัวตลกหรือไง!?”
“...กลับมานั่ง”
“ไม่! ตอนแรกคุณบอกว่าจะเลี้ยงผม แค่เซ็กส์แลกเงิน ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น ต่อมาก็จำกัดความเป็นส่วนตัว แล้วไง ทีนี้จะให้ผมไปเป็น ‘หน้าตา’ ของคลับอีก!
ผม-ไม่-เซ็น และถ้าคุณไม่พอใจล่ะก็ ผมก็จะเก็บของออกไปจากที่นี่ ตอน-นี้!”เด็กหนุ่มหายใจถี่ด้วยแรงอารมณ์ พวกเขาจ้องตากันนานเป็นนาทีๆ โดยไม่พูดอะไรจนกระทั่งธวัตรหยิบสัญญาขึ้นมา เลื่อนมันไปตรงมุมโต๊ะพร้อมปากกา
“ลงชื่อตรงนี้ แล้วฉันจะให้จัดการเรื่องมหาลัยให้ แต่ถ้าปฏิเสธ...” เขาดีดนิ้ว เรียกสติคนที่อยู่ในห้วงภวังค์ “ก็ตัดใจทิ้งความฝันที่จะเรียนต่อไปได้เลย”
“กูไม่ได้ขายตัวนะโว้ย!” คนฟังตวาดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“แต่ฉันว่านายไม่มีทางเลือก”ธวัตรเค้นเสียง ‘หึ’ “ว่าไง? จะเซ็นหรือไม่เซ็น ถ้าไม่... จะเก็บของเดินออกไปตอนนี้ก็ได้ ประตูไม่ได้ล็อค ก็แค่ต่อไปนี้นายต้องหาเงินเรียนเอง”
“..........” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก กำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำมองเขาอย่างจงเกลียดจงชังเหมือนศัตรู
“ว่ายังไง ฉันไม่ชอบรอนาน?”
สถานนะของตุลย์ตอนนี้ไม่ต่างจากคนอับจนไร้หนทาง อีกฝ่ายทั้งโกรธและเสียใจที่ถูกเขาหักหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินกลับมา หยิบปากกาจรดปลายลงบนกระดาษและค่อยๆ ตวัดเป็นตัวอักษร
“พอใจหรือยัง”
ตุลย์วางปากกาเมื่ออักษรตัวสุดท้ายถูกเขียนลงบนกระดาษ สีหน้าขมขื่นและเจ็บปวดที่กำลังโทษว่าเป็นความผิดของเขา เป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มจำได้ในตอนนั้น และไม่เคยลืม
“ต่อจากนี้ ‘สิทธิ์ในตัวนาย’ ทั้งหมดเป็นของฉัน แต่นายจะไม่ใช่ ‘ของฉันคนเดียว’ อีกต่อไป”--------------------------
หลังจากเรื่องคืนนั้น นอกจากเรื่องที่ตุลย์คุยกับเขาน้อยลง ต่างคนก็ทำตัวราวกับว่าไม่มีเคยอะไรเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้นดำเนินต่อไป
และทลายลงในวันที่เขาส่งเด็กหนุ่มไปทำ ‘งานแรก’...
เย็นนั้นตุลย์เปิดประตูเข้ามาโดยไม่พูดอะไร เขากำลังดูข่าว ก็คร้านจะสนใจจึงแค่ปรายตามองผ่านๆ เห็นอีกฝ่ายเดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ราวครึ่งชั่วโมงถึงเดินออกมาในชุดลำลอง เข้าห้องนอนและปิดไฟ
คืนนี้กว่าธวัตรจะเข้านอนก็เกือบตีหนึ่ง เขาเข้าห้องมาเห็นว่าตุลย์กลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงแค่ทิ้งตัวลงข้างๆ แล้วผล็อยหลับไป
เขารู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึก เพราะพื้นที่ข้างๆ ตัวยวบยาบไปมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าเมื่อร่างโปร่งลุกออกจากเตียง ชายหนุ่มพลิกตัวมอง ในห้องมืดจนเห็นเพียงแค่เงาทมึนของคนที่เดินออกไปยังห้องครัว แสงสีส้มเหลืองสลัวๆ คงมาจากที่อีกฝ่ายเปิดตู้เย็น พอมันดับลง ร่างโปรงก็กลับออกมาพร้อมกับขวดทรงสูงบรรจุอะไรสักอย่างคล้ายเครื่องดื่มแอลกฮอล์
เด็กหนุ่มตรงเข้ามาหยิบบุหรี่บนโต๊ะในห้องนอนและไฟแช็คของเขา ก่อนจะเปิดม่าน เลื่อนประตูกระจกออกไปนั่งบนขอบระเบียงอย่างน่าหวาดเสียว
คิดจะทำอะไร....?
คืนนี้ดวงจันทร์เด่นตระหง่านกลางฟ้า แสงเหลืองนวลของมันมากพอจะทำให้เห็นทุกอย่าง ธวัตรเด้งตัวขึ้น แต่เลือกที่นั่งมองจากด้านในซึ่งมืดกว่าเมื่อเด็กหนุ่มแค่กระดกขวดเหล้าแล้วจุดบุหรี่ แต่ตอนที่คีบจ่อริมฝีปาก สูดเอาควันเขม่าเข้าสู่ปอด ร่างโปร่งกลับสำลัก จนต้องไถลตัวลงมายืนไอโขลกๆ พักใหญ่ ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังเวียนสูบบุหรี่ซ้ำๆ จนหยุดไอไปเอง
ตุลย์หันหลัง เท้าแขนบนขอบระเบียง เหม่อมองออกไปไกลแสนไกล ก่อนมือข้างที่คีบบุหรี่จะเปลี่ยนมากุมหน้าผาก ควันสีเขม่าลอยฟุ้งไปในอากาศ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะมันมืดเกินกว่าจะสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม จนไหล่และแผ่นหลังเริ่มสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น เขาถึงเข้าใจว่าคนๆ นี้พยายามซ่อนอะไรไว้...
น้ำตาสิ่งที่เขาทำ... บังคับให้ขายตัว มันโหดร้ายสำหรับเด็กหนุ่ม... เรื่องนั้นเขารู้ แต่หากสามารถย้อนเวลากลับไปตัดสินใจใหม่ เขาก็ยังเลือกทำแบบเดิม...
เขาต้อง ‘เสียสละ’ อะไรมากมายกว่าจะสร้างไนท์คลับและขยายอิธิพลครอบคลุมย่านนี้ได้ มันเทียบไม่ติดกับเด็กคนเดียวที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน
แต่ก็เพราะความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ เขาถึงยังครองบรรลังก์อยู่ได้จนทุกวันนี้
ธวัตรเผินหน้ากลับมา ล้มตัวลงนอนมองเพดานก่อนจะหลับตา
เขาไม่อาจแก้ไขการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่าอาจต้องทำร้ายคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดก็ตาม