- 2 -“แกก็เข้ามาทักตามประสาแหละ ย้ำให้กูเรียกอาเจ็กอีกตามเคย” เปลวบอกเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้มติดขันนิดๆ แต่ไม่ว่าแสดงกิริยาแบบไหนก็ช่างดึงดูดให้คนมองได้ไม่รู้เบื่อเสียนี่สิ
“คิกคิก..นี่แกยังไม่เลิกบังคับกูกับมึงให้เรียกอาเจ็ก กี่ปีกี่ปีก็ย้ำแต่เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยน
แต่กูกับมึงก็ไม่เคยเรียก ใครจะคุ้นเรียกเฮียติดปากนิ”
“เออๆ..กูก็คิดอย่างมึง ว่าแต่สั่งอะไรยัง” เปลวเห็นด้วยกับคำพูดของสนิม ก่อนจะหันไปสนใจถามเรื่องอาหาร
“กูสั่งไปสามรายการ ของชอบมึงทั้งนั้น จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม”
สนิมบอกเพื่อนรัก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเปลวชอบทานอะไรในร้านเฮียกวงเล่า
มากินทีไรไม่เคยพลาดที่จะสั่งเมนูเดิมๆ แค่นี้ก็รู้แล้วถ้ามากินร้านนี้เปลวจะกินอะไร
แทบไม่ต้องอ้าปากสนิมก็เห็นความต้องการของเพื่อนก่อนแล้ว
“เท่านี้พอก่อน กูกินเยอะไม่ได้ต้องคุมน้ำหนัก” สนิมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในความจำเป็นของเพื่อน
อาชีพของเปลวสำคัญยิ่งเรื่องน้ำหนัก เพราะการสวมชุดโชว์สำเร็จซึ่งตัดเย็บมาอย่างดีนั้น
หากนักแสดงใส่ไม่รับกับรูปร่างแล้วล่ะก็ ความงดงามอลังการก็จะหายไปกว่าครึ่ง
ดังนั้นนางโชว์มืออาชีพทุกคนที่ค่าตัวแพง จำต้องสนใจในเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ
“เหนื่อยไหมมึง” สนิมจ้องหน้าเปลว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความห่วงใยจากใจจริง
ภาระที่เปลวแบกรับไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าหากเทียบกับเขาเอง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เปลวรับผิดชอบเกือบหมด
สนิมก็แค่ดูแลของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงเปลวไม่ยอมให้สนิมควักตังค์จ่าย
จำพวกค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตจุกจิกจิปาถะซึ่งสนิมไม่ได้รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
บางทีก็รู้สึกเหมือนเอาเปรียบเปลว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เปลวย้ำเสมอว่าตนมีรายได้มากกว่าสนิมหลายเท่าตัว
ให้สนิมเก็บหอมรอมริบเงินทองเอาไว้ใช้ในคราวจำเป็น ฟังดูมีเหตุผลจนสนิมเถียงไม่ออก
จึงได้แต่หมายมั่นในใจว่าเงินที่เก็บสะสมไว้หากงอกเงยจนเป็นก้อนใหญ่ จะขยับขยายทำธุรกิจให้รายได้เพิ่มพูน
เมื่อวันนั้นมาถึง จะขอเป็นฝ่ายดูแลเปลวให้สมกับที่ตัวเองแก่กว่า 6 เดือน ไม่ใช่ให้เปลวซึ่งเป็นน้องมาคอยดูแลแบบนี้
ทั้งสองกินไปคุยไปสัพเพเหระ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานที่เปลวทำ วนไปเรื่องค้าขายของสนิม
ทำให้รู้ว่าพวกเขาไม่มีเรื่องปิดบังกันแม้แต่น้อย กระทั่งกินกันอิ่มแล้ว เฮียกวงเจ้าของร้านคิดราคาพิเศษเช่นเคย
แม้ทั้งคู่จะคะยั้นคะยอให้แกคิดตามราคาจริง สุดท้ายแกก็ลดราคาอยู่ดี เมื่อเห็นว่าค้านไปก็ไม่มีประโยชน์
อีกอย่างลูกค้าในร้านก็แน่นต้องใช้โต๊ะ จึงไม่อยากยืดเยื้อเสียโอกาสค้าขายของเฮียแกเปล่าๆ
สมคุณภาพราคารสชาติเป็นที่รู้จักของคนเมืองพัทยา ไม่ติดกลัวเป็นจุดเด่นเปลวกับสนิมคงได้แย้งแกไม่จบอยู่แบบนั้นอีกนาน
ตัดบทตามใจแกให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“วันหลังพวกลื้อมาร้านอั๊วอีกน๊าอาเปลว อาหนิม” เฮียกวงไม่ลืมกำชับทั้งคู่ให้แวะเวียนมาร้านแกบ่อยๆ
“ได้ครับพวกเราจะไปไหนได้ อยากมาบ่อยติดงานที่ทำแหละครับ ถ้าเปลวว่างจะมานะครับ”
เปลวยิ้มสวยได้น่าเอ็นดู นอกจากเฮียกวงแล้วสองหนุ่มก็มองไม่เห็นใครจริงใจแบบนี้อีก ถือเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“ลีๆ..ลื้อรับปากอั๊วก็สบายใจ เออนี่อั๊วเกือบจาลืมแล้ว สองวันก่อนมีคนมาถามหาอามัลลิกาแม่ลื้อด้วยน้า..อาเปลว”
“ใครมาถามหาแม่ครับเฮีย หรือเขาตามหาคนชื่อเดียวกับแม่ล่ะ แม่ตายไปตั้งหลายปีแล้วนะเฮีย”
เปลวรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเฮียกวงอาจจะสับสนเข้าใจอะไรผิด
“จาผิดล่ายยางงาย ถ้าแม่ลื้อชื่อมัลลิกา อาลิกาที่มีหน้าตาสะสวย เขาเอารูปให้อั๊วลูเป็นคนเดียวกับแม่ลื้อไม่ผิดแล้ว”
เฮียกวงยืนยันมั่นเหมาะ อ้างรูปถ่ายที่คนถามหาเอาให้เฮียแกดู แบบนี้คงไม่ผิดฝาผิดตัวแน่นอน
“แล้วเขาบอกเฮียไหมเป็นใครมาจากไหน ถามหาแม่ต้องการอะไร แล้วเฮียได้บอกอะไรไปหรือเปล่า”
เปลวรู้สึกร้อนใจไม่มีสาเหตุ จู่ๆ มีคนมาถามหาแม่ ทั้งที่แม่ตายไปเปลวอายุ 17 เรียนอยู่ปวช. 2
จนตอนนี้เปลว 24 นับเวลา 7 ปีผ่านไปแล้ว ยังจะมีใครมาตามหาแม่อีก ชักแปลกเสียแล้วในความรู้สึกของเปลว
“ลื้อใจเย็นก่อนซี่อาเปลว อั๊วไม่ล่ายบอกอะไรอีหรอก อั๊วก็บอกไม่รู้ ที่บอกกับลื้อเผื่อจามีใครไปตามหาลื้อ
มาลีมาร้ายจาล่ายระวางตัว” เปลวนึกขอบคุณเฮียกวงอย่างซาบซึ้งใจ ที่คิดเผื่อเรื่องเหล่านี้มองความปลอดภัยของเปลวเป็นหลัก
“ขอบคุณมากครับ เปลวจะไม่มีวันลืมน้ำใจที่เฮียให้เปลวกับแม่ ถ้ามีใครมาถามถึงแม่อีก เฮียก็พูดแบบเดิมนะ
เปลวไม่รบกวนเวลาทำมาหากินแล้ว ไว้ว่างๆ จะแวะมาหาอีก ไปก่อนนะครับ”
“เออซี่..พวกลื้อก็เหมือนกาน ดูแลตัวเองให้ลี” เปลวกับสนิมไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
พร้อมใจยกมือไหว้ลาเฮียกวง โดยที่เจ้าของร้านผู้ใจดียิ้มรับไหว้สองหนุ่มอย่างผู้มีเมตตาเต็มเปี่ยม
“มึงคิดว่าใครมาตามหาแม่ลิกา” สนิมไม่เสียเวลา ถามทันทีหลังพวกเขาเดินออกมาจากร้านห่างพอสมควรแล้ว
“กูไม่แน่ใจ ไม่ว่าใครก็ตามที่ถามหาแม่ ถ้ายังไม่รู้มาดีมาร้าย กูว่าเราอย่าเผยตัวดีที่สุด มึงเข้าใจใช่ไหม”
“อืมกูรู้หรอก แม่ลิกาเคยพูดเอาไว้ ถ้าไม่ได้แม่สร้อยช่วย
อาจตายไปแล้วก็ได้ หรือจะเป็นเรื่องนี้” สนิมเปรยให้ฟังตามที่ใจคิด
“ไม่รู้สิ..แต่ถ้าเป็นคนที่คิดจะทำร้ายแม่ ก็ไม่น่ารอมานานขนาดนี้
นี่แม่ตายไปตั้งหลายปีแล้วนะหนิม ทำไมเพิ่งมาตามหากันวะ”
“มึงพูดก็ถูก หรือจะเป็นพ่อมึงล่ะเปลว คือสำนึกผิดคิดถึงแม่ลิกาเลยออกมาตามหา
เหมือนในละครที่กูดูประมาณนั้น เป็นไปได้ไหมมึง”
“กูไม่กล้าคิด ถ้าเป็นพ่อกูจริง จะรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นพ่อกูเล่าหนิม หน้าตากระทั่งรูปสักใบไม่เคยได้เห็น
อีกอย่างแม่ห้ามกูไว้ไม่ให้ตามหาพ่อ กูรับปากแม่ไว้แล้ว คิดเสียว่ากำพร้าพ่อ..จะได้ไม่ต้องรู้สึกอยากเจอ
กูทำใจลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว กูไม่อยากผิดคำสัญญากับแม่”
เปลวพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูเศร้าพอสมควร สนิมยังจับสังเกตได้เช่นกัน
“มึงไม่ต้องคิดมากหรอกเปลว มึงพูดก็ถูกเป็นพ่อประสาอะไรตามหาเมียกับลูกเอาเวลานี้
กระทั่งเมียตายก็ยังไม่รู้ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่ามึงจะได้ไม่ต้องหดหู่ใจ” เปลวยิ้มแหยให้สนิม
จำนนที่โดนดักคอว่าเขาหดหู่ใจกับเรื่องราวที่กำลังคุยกันอยู่
“แม่บอกกูตอนที่ท้องแล้วหนีออกมา พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ท้องกูอยู่ ยังบอกไม่ให้กูเกลียดพ่ออีกต่างหาก
กูนึกสงสัยผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่ง จะไม่รู้เชียวหรือคนรักกำลังท้อง หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว
พ่อรู้ทุกเรื่องแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้มากกว่า มึงว่าเป็นไปได้ไหมหนิม”
“เรื่องนี้พูดยากนะมึง มึงพูดก็น่าคิด เพียงแต่พวกเราไม่รู้นี่พ่อมึงเป็นใคร แม่ลิกาไม่ยอมปริปากบอกชื่อสกุลรุนชาติ
เราจะตีความว่าพ่อมึงมีนิสัยแบบนั้น กูว่ามันอาจไม่ใช่ก็ได้เปลว บางทีปัญหาของผู้ใหญ่ ถ้าเขาไม่ยอมเล่าให้เราฟัง
เกี่ยวกับข้อเท็จจริง มึงจะมาเดาสุ่มสี่สุ่มหาตีความเอาเอง กูคิดว่าไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง..ปวดหัวเปล่าๆ”
“อืม..จริงของมึง กูกับมึงอยู่กันจนถึงตอนนี้ ไม่จำเป็นว่าเราต้องมีใครเป็นญาติผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
ยังไงมึงกับกูก็อยู่ด้วยกันไปจนแก่ตายละหนิม”
“ถ้าไอ้ชาติมันไม่หักหลังมึง แน่ใจว่ามึงยังจะอยู่กับกูจนแก่ตาย” คำพูดของสนิมทำเอาเปลวนิ่งงันในทันที
“มึงจะพูดถึงมันทำไม..หนิม” น้ำเสียงห้วนเล็กน้อย
“กูรู้มึงไม่อยากได้ยินชื่อมัน ที่ถามเพราะมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง”
“จะบอกอะไรก็พูดมาสิ แต่อย่าเอ่ยถึงมันอีก กูลืมไปนานแล้วหนิม
ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ” คำพูดของเปลวไม่มีผลกับสนิม
“กูเจอมันวันก่อน สงสัยเป็นวันเดียวกับที่มีคนมาถามหาแม่ลิกากับเฮียกวงนั่นแหละ”
สนิมเว้นช่วงรอดูปฏิกิริยา เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงได้ตัดสินใจเล่าต่อ
“มันโดนตำรวจหิ้วเข้ากรงไปแล้ว ดันวิ่งราวกระเป๋าใครก็ไม่รู้เข้า แม่ค้าพ่อค้าในตลาดบอกเป็นพวกมีเชื้อเจ้าเสียด้วย
กูเห็นมันก็ตอนโดนตำรวจใส่กุญแจมือลากขึ้นรถไปแล้ว มันก็เห็นกูนะมึง..มองเหมือนหมาทำตาละห้อยเชียวล่ะ
อยากสมน้ำหน้าสะใจดีชะมัด ป่านนี้ถ้ามันไม่ทิ้งมึงไปเพราะเห็นแก่ความสบายคงไม่มีสภาพแบบนี้หรอก
คนเขาเล่ากันว่ามันติดยาติดการพนันอย่างหนัก จนต้องมาเป็นโจรวิ่งราว อีห่าต้องมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนไม่ดูแลผัวมันหือ
ลงทุนเอาเงินทองมาล่อไอ้เหี้ยชาติเพื่อแย่งมึงมา ไอ้นั่นก็หน้ามืดตามัวทรยศคนที่คบกันมาสามปี
เพียงแค่มาเจออีต้องระยำยังไม่ถึงอาทิตย์ มันดันบอกเลิกมึงเฉยเลย ผีเน่ากับโลงผุขนานแท้”
“เรื่องมันจบไปนานแล้วหนิม อย่าพูดถึงมันอีก” เปลวตัดบทดื้อๆ
“กูแค่ต้องการให้มึงรู้หรอกเปลว กรรมติดจรวดมีจริง ต่อให้มึงไม่พูดเรื่องของอีต้อง
กูก็รู้มันตกอับสิ้นชื่อในอาชีพนางโชว์เป็นปีแล้ว เห็นว่าที่ไปทำศัลยกรรมมาเละตุ้มเป๊ะ
จนหนังหน้ากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว เขาลือกันให้แซดว่ามันตกต่ำจนไม่มีจะกิน
ก็สมควรอยู่หรอกตอนที่ดังยังหาเงินคล่อง ดันเปย์ผู้ชายทั่วไปหมด แย่งแฟนชาวบ้าน
โดยไม่สนว่าใครเป็นของใคร..ขอแค่ต้องการมันแย่งเขาเสียหมด พอตอนนี้เป็นไงหมาสักตัวก็ไม่มาแล
มีใครอยู่เคียงข้างล่ะ ทำกับเขาไว้เยอะถึงคราวกรรมตามทันผลที่ได้ย่อมหนักกว่าเป็นสองสามเท่าตัว”
“เรียกรถนะกูอยากพักแล้ว” เปลวไม่อยากฟังเรื่องของกะเทยคนนี้ คนที่ทำให้รักครั้งแรกของเปลว
กลายเป็นความทรงจำอันเลวร้าย ทุกวันนี้เปลวไม่เคยคิดจะเปิดใจให้ผู้ชายคนไหนอีก ทั้งเก้ง กวาง
กระทั่งชายจริง ที่ชมชอบรูปร่างหน้าตาของเปลว ยังมีมาขายขนมจีบเปลวยังเมินหน้าหนีไม่คิดจะสานไมตรีด้วย
จะว่าเปลวขยาดกับความรักที่เคยถูกหักหลังคงใช่ ทุกวันนี้ความตั้งใจของเปลว แค่มุ่งหวังให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
มั่นคงกว่านี้ เผื่อวันข้างหน้าแก่ตัวไปจะได้ไม่ลำบาก ชีวิตตุ๊ดแต๋วเกย์กะเทยหรืออะไรก็ตามที่แลดูแตกแยก
น้อยคนจะมีชีวิตบั้นปลายได้อยู่กับคนที่เรารักไปจนแก่เฒ่าด้วยกัน
ดุจเดียวกับคู่รักชายจริงหญิงแท้ที่เขามีกันและกันให้เห็น
“กูรู้มึงไม่อยากฟัง กูจะไม่พูดถึงอีก เรื่องพ่อของมึงก็เช่นกัน มึงก็แค่รับปากแม่ลิกาว่าจะไม่ตามหาพ่อ
ไม่ได้หมายรวมว่าถ้าพ่อเป็นฝ่ายออกตามหามึงเองล่ะ จะถือว่าทำผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ด้วยไหม”
สนิมพูดจบเปลวชะงักครู่ใหญ่ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกเสียจากโบกเรียกรถกลับคอนโด
แต่ไม่ได้แปลว่าไม่คิดตามคำพูดของสนิมเรื่องของพ่อ สนิมพูดถูกเรื่องที่เปลวสัญญาไม่ตามหาพ่อ
แต่ถ้าพ่อเป็นฝ่ายมาตามหาเปลวเองเล่า แปลว่าไม่ได้ผิดสัญญากับแม่ ถูกต้องที่สุด
การที่เรารู้ว่าผู้ให้กำเนิดซึ่งเรียกว่าพ่อ มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้นั้น ต่อให้หลอกตัวเองว่ากำพร้า
ส่วนลึกแล้วกลับโหยหาที่จะได้พบหน้าสักครั้ง ไม่ได้ต้องการให้พ่อยอมรับเป็นลูก หรือมาดูแลอะไรเลย
วันนี้เปลวมั่นใจว่าเปลวดูแลตัวเองได้ ถึงแม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่อดอยากเหมือนในอดีตที่ผ่านมาแน่นอน
ความลำบากสอนให้เปลวระมัดระวังในการใช้ชีวิต
การถูกทรยศหักหลัง สอนให้เข้มแข็งไม่อ่อนไหวให้ใครหยิบเอามาเป็นโอกาสสร้างบาดแผลในใจได้อีก
ความเห็นแก่ตัวของคนสอนให้เปลวรู้จักการใช้ชีวิต ไม่โง่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเปลวจะมีนิสัยเลวร้ายไม่น่าคบ แค่ไม่อ่อนแออ่อนไหวอ่อนหัดให้ใครเห็น
รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมสังคมมากขึ้น การดิ้นรนเอาตัวรอดย่อมมีการพลั้งพลาด
ยังดีที่เปลวพลาดแค่เรื่องความรัก ‘ทองเปลว’ แม้ไม่ใช่ทองแท่ง แต่เนื้อแท้ยังคงเป็นทองคำอยู่ดี..?
กราบขออภัยคนอ่านทุกท่าน ที่นัดวันอัพนิยายแล้วเลทเลื่อนวันมา
สารภาพติดภารกิจ ไม่สามารถเข้ามาทำตามคำพูดได้จริงๆ
เอาเป็นว่าจะไม่นัดนะคะ คือช่วงนี้ยังวุ่นวายอยู่พอสมควร
แต่จะไม่เว้นช่วงห่างแน่นอน อย่างเร็วก็คง 3 วัน ถ้าช้าก็ไม่เกิน 5 วันแน่ๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และกำลังใจที่มีให้กันด้วยดีเสมอมา
รักและคิดถึงคนอ่านทุกคนเช่นกันค่ะ