(ต่อค่ะ)
aMOXi: ไปเสมอดาวกัน
Sunny: โอ้โห! ไอ้หมอกชวนไปเที่ยว สงสัยหมาออกลูกเป็นตัว
aMOXi: หมามันก็ออกลูกเป็นตัวอยู่แล้วไหม
Sunny: เออว่ะ โทษ ๆ
Sweety: มัวแต่ไร้สาระกันอยู่ได้
Sunny: นั่นไง หัวหน้าห้องมาแล้ว
Sweety: พ่อให้หมอกพูดก่อนสิ
Sunny: ได้จ้ะแม่
Sunny: ต่อ ๆ คุณหมอ
aMOXi: ไม่มีอะไร ก็เห็นไอ้ม่อนมันอยากไปเสมอดาว ช่วงนี้ที่คลินิกมีรุ่นน้องเรามาช่วย พอจะมีเวลาก็เลยชวนไปเสียก่อน ถ้าเกิดม่อนต้องย้ายไปที่อื่นจริง ๆ กลัวว่าตอนนั้นจะไม่ว่างน่ะ
Sichon: ใจหายเนอะ เหมือนตอนที่พายจะย้ายโรงเรียนเลย
Sunny: นั่นน่ะพายมันต้องย้ายเพราะสอบได้ในโรงเรียนที่กรุงเทพฯ แต่นี่ม่อนยังไม่ทันได้ขอย้ายเลย พวกเราก็มาช่วยกันบนให้ม่อนไม่ได้ย้ายสิ
MON: ไอ้ฉายยย
Sweety: เอาละ ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ตกลงเราจะไปวันไหนดีจ๊ะหมอก
aMOXi: เสาร์หน้าไหม
Sweety: พ่อว่างไหม
Sunny: ไม่ว่างก็ต้องว่างจ้ะแม่ เราปิดร้านพาลูกไปเที่ยวกัน
Sweety: OK. ใครไปอีกบ้าง ม่อนไปเนอะ
MON: ไป ๆ
Sichon: สิกับหมอกจ้ะ
Sweety: พายล่ะไปด้วยกันไหม
5 นาทีต่อมา...
Prapai: ถ้าม่อนไปเราก็ไป
Sichon: แหม...
aMOXi: แหมมม
Sweety: แหม ๆ ๆ
Sunny: ตัวติดกันหรือไง
aMOXi: เงียบ มันต้องแอบไปคุยกันสองตัวแน่ ๆ
เมื่อตกลงกันได้ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านของพายุพัดในตอนบ่ายวันเสาร์ปลายเดือนมกราคม ภาณุเปิดท้ายรถเพื่อตรวจดูเต็นท์ที่ไปขอยืมมาจากเพื่อนเมื่อตอนก่อนจะมาถึง ส่วนสิชลกับหมอกตามพายุพัดเข้าไปช่วยกันขนเสบียงที่แม่ของอีกฝ่ายเตรียมเอาไว้ให้
“ไอ้ม่อนเอาของขึ้นรถสักทีสิ” ภาณุกล่าวเมื่อเห็นเพื่อนรักยังคงยืนสะพายเป้เก้ ๆ กัง ๆ
“เราไปกับนายไม่ได้เหรอ เราอยากเล่นกับฟีฟ่า”
“ไม่ได้ นายต้องไปรถพายสิ ไม่อย่างนั้นใครจะนั่งเป็นเพื่อนมัน เกิดมันง่วงแล้วหลับในจะทำยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฟีฟ่าไปกับเรานะ รับรองเราดูแลให้อย่างดี” นคินทรยื่นข้อเสนอพลางหันไปหยอกล้อกับเจ้าหนูน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่
“ไม่ได้โว้ย ไม่เข้าใจคำว่าพ่อแม่ลูกเหรอวะ”
คนฟังทำคอตก ในขณะที่น้ำหวานได้แต่มองยิ้ม ๆ เมื่อนคินทรเห็นอวัศย์กับสิชลกำลังเดินมาทางนี้จึงพูดขึ้น “แล้วหมอกจะเอารถไปอีกคันให้เปลืองน้ำมันทำไม ทำไมไม่ไปรถพาย”
“เข้าใจคำว่าฮันนีมูนไหมม่อน” พูดจบสัตวแพทย์หนุ่มก็โอบเอวแล้วส่งยิ้มให้ภรรยา
“ไอ้พายมานี่ ๆ” ภาณุกวักมือเรียกคนที่เพิ่งเอาของเก็บที่ท้ายรถเสร็จ “มาเอาไอ้ม่อนไปหน่อย”
พายุพัดพยักหน้า เจ้าของร่างสูงเดินเข้ามาหยุดแล้วกล่าว “เอาเป้มา เดี๋ยวเราเอาไปเก็บให้”
“ไม่เป็นไร เราเอาไปเก็บเองได้” ว่าแล้วนคินทรก็เดินไปที่รถโดยมีอีกคนเดินตามไม่ห่าง
“คนใจตรงกันมันก็จะเขิน ๆ หน่อยอะเนอะ น้ำหวานกล่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้สิชล
ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ขับนำขบวนมุ่งหน้าสู่อำเภอนาน้อย ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมายนั่นคือดอยเสมอดาว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน พวกผู้ชายพากันมองหาทำเลเหมาะ ๆ จากนั้นจึงช่วยกันกางเต็นท์ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินสำรวจรอบ ๆ บนจุดชมวิวดอยเสมอดาวสามารถเห็นทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา เบื้องล่างมองเห็นแม่น้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวท่ามกลางทิวเขาเขียวขจี
“จากตรงนี้จะเห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดิน พอถึงพรุ่งนี้เช้ารอบ ๆ นี้ก็จะกลายเป็นทะเลหมอก” พายุพัดกล่าวเมื่อเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ คนที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติตรงหน้า
“นายชอบพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก” นคินทรถาม
“เราชอบพระอาทิตย์ขึ้น มันทำให้รู้สึกถึงการเริ่มต้น เราไม่ชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกเพราะอีกเดี๋ยวมันก็มืด” หนุ่มนักกีฬาตอบ นอกจากจะมืดแล้วช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินยังทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียพ่อไป “นายล่ะ”
“เราชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงดวงอาทิตย์จะเคลื่อนลับไปด้านหลังภูเขาแล้วแต่บนฟ้ายังมีริ้วสี เราว่าช่วงเวลานั้นท้องฟ้าสวยดี เป็นภาพสวยงามภาพสุดท้ายของวันให้ได้จดจำก่อนจะหลับไป แต่พอตื่นมาตอนเช้าก็ไม่มีเวลาได้คิดถึงแล้ว เพราะมีเรื่องเยอะแยะที่รอให้เราทำ”
พายุพัดเหลียวมองเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งปะทะเข้ากับขาของตนเอง เมื่อก้มลงดูก็พบว่าเป็นเจ้าหนูแก้มยุ้ยลูกชายของเพื่อนนั่นเอง
“ขี่มะ ขี่มะ”
“ไง...ฟีฟ่าอยากขี่ม้าเหรอ” นคินทรกล่าวก่อนจะยกตัวหนูน้อยลอยขึ้นกลางอากาศ
เด็กชายฟีฟ่าหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยังคงพูด “มะมะ อาพาย” ไม่ขาดปาก
“อาพายว่ายังไง”
พายุพัดยิ้ม ย่อตัวให้อีกฝ่ายวางเจ้าหนูจ้ำม่ำลงหลังของตน
“ฟีฟ่าพร้อมหรือยัง เดี๋ยวอาพายจะพาเหาะ” ชายหนุ่มหันปถามเจ้าของแขนเล็กที่กอดคอของเขาแน่น จากนั้นจึงพากันวิ่งลงเนินไป
และเพราะ “มะมะ อาพาย” จึงทำให้เด็กชายฟีฟ่าสิ้นฤทธิ์หลับเป็นตายไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ
กองไฟเล็ก ๆ ถูกก่อขึ้นเพื่อคลายความหนาว ชายหนุ่มหญิงสาวหกคนนั่งล้อมวงรำลึกความหลังเมื่อครั้งเป็นนักเรียนมัธยมและมีโอกาสได้มาที่นี่ด้วยกันเป็นครั้งแรก วันนั้นเหมือนวันนี้ตรงที่บนท้องฟ้าสีดำสนิทประดับประดาด้วยดวงดาวมากมายเกินกว่าที่สายตาจะประมาณจำนวนได้ อวัศย์หยิบกีตาร์โปร่งจากท้ายรถแล้วส่งให้พายุพัดก่อนจะกลับมานั่งลงข้างสิชล ไม่นานทำนองเพลงคุ้นหูก็ดังขึ้นตามด้วยคำร้องเรียบง่ายซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงทุ้มนุ่ม มันคือบทเพลงที่สองที่ชายหนุ่มฝึกเล่นอย่างจริงจังหลังจากไม่ได้จับกีตาร์เสียนาน กระทั่งประสบอุบัติเหตุจนต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านจึงได้มีเวลาค้นหาคอร์ดกีตาร์ หวังว่าสักวันจะได้มีโอกาสร้องเล่นต่อหน้าใครคนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงนี้
นคินทรมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เพียงชั่วครู่ก็จำต้องมองไปทางอื่น อากาศบนดอยเสมอดาวนั้นหนาวเย็น แต่คำร้องของบทเพลงที่แฝงความหมายกลับทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ความยาวเกือบสี่นาทียาวนานราวกับสี่ปีที่โดนจับจ้องด้วยสายตาของใครบางคน
ในที่สุดท่วงทำนองหวานหูแผ่วหายไปกับสายลม...
“เพลงนี้เพลงอะไรนะพาย” สิชลเอ่ยขึ้น
“เขียนคำว่ารัก” พายุพัดตอบพร้อมกับส่งกีตาร์คืนให้อวัศย์ นายสัตวแพทย์รับมาก่อนจะเริ่มเกาเพลงเบา ๆ ให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป
“จำได้ว่าตอนที่พวกเรามาเสมอดาวด้วยกันคราวก่อนพายเล่นเพลงดาว มันหวาน ๆ ปนเศร้ายังไงไม่รู้ แต่พอเป็นเพลงนี้เลยทำให้สินึกถึงหนังสือชื่อ ‘โปรดอ่านใต้แสงเทียนเพราะผมเขียนใต้แสงดาว’ ขึ้นมาเลย”
“ฟังดูโรแมนติกจัง” น้ำหวานกล่าว “ว่าแต่ฝึกเพลงนี้ไว้เล่นให้ใครฟังหรือเปล่าจ๊ะพาย” พูดจบหญิงสาวก็แกล้งเขยิบเบียดชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ
“อืม...คราวก่อนม่อนไม่ได้มาด้วยกันนี่เนอะ แสดงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ม่อนได้ฟังพายร้องเพลงสินะ”
“ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ก่อนเข้านอนคืนนี้จะมีคนฝันดีกี่คนน้า...” น้ำหวานกระเซ้า
“แม่...วันนี้เราปิดร้านนะ เลิกชงสักวันได้ไหม” ภาณุกล่าวก่อนจะหยิบโหลพลาสติกใบหนึ่งออกมาวาง “เล่นเกมกันดีกว่า”
“เกมอะไรวะ” อวัศย์ถาม
“อันนี้เขาเรียกว่ามาร์ชเมลโลพูดความจริง เราจะแกะแล้วก็โยนเข้าปากคนที่เราเรียกชื่อ ถ้าคนนั้นรับได้จะได้สิทธิ์ในการถามคำถามคนที่เหลือ แล้วคนที่ถูกถามก็ต้องตอบตามความจริง”
“ไปนอนก่อนนะ” อวัศย์เอ่ยขึ้น
“นั่งเลยไอ้หมอก” ภาณุชี้นิ้ว “ไอ้พวกมีความลับเยอะมันจะนั่งไม่ติดที่แบบนี้แหละสิ ถ้าอย่างนั้นเริ่มที่ไอ้หมอกก่อนเลย” ว่าแล้วก็จัดการแกะขนมออกจากห่อแล้วโยนส่ง ๆ กระนั้นหมอหมาก็ใช้ความคล่องแคล่วแบบเยอรมันเชเพิร์ดกระโดดงับได้ทัน
“ถามนายนั่นแหละ” สัตวแพทย์หนุ่มกล่าวพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ ชี้มือไปยังคนคิดเกม “ตอนม.ต้น นายไม่ได้แกล้งปล่อยลมยางรถอาจารย์นนูญจริงเหรอ”
ภาณุมองซ้ายมองขวา พบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ตนจึงอ้อมแอ้มตอบ “ก็...ไม่จริงไง”
“คนเลว” อวัศย์กล่าว จากนั้นจึงเดินไปคว้ามาร์ชเมลโลมาแกะกินอีกชิ้น “ต่อ ๆ”
“เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ”
“เออ กติกายืดหยุ่น” เมื่อกลืนขนมลงคอแล้วจึงถาม “เมื่อไรจะแต่งงาน”
คำถามนั้นทำเอาเพื่อน ๆ หูผึ่ง ต่างคนต่างช่วยย้ำประโยคเมื่อครู่เพื่อกดดันให้เจ้าตัวตอบ
“เออ...พอแล้ว ๆ รู้แล้วว่ากรรมกำลังตามสนอง” ภาณุบ่นก่อนจะสบตาภรรยาที่ดูเหมือนว่าจะรอคอยคำตอบนี้อยู่เช่นกัน “กลางปีนี้นะจ๊ะแม่”
ได้ฟังสามีพูดเช่นนั้นน้ำหวานก็ยิ้มเขิน นับเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างก็รอคอย
“ตาเราบ้าง” ภาณุทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือก็แกะห่อขนมไปด้วย “สิ” พูดจบก็โยนขนมย้อยข้ามฝั่งไปตรงที่หญิงสาวนั่ง แล้วเธอก็สามารถรับได้
สิชลแตะมือสามีด้วยความยินดี จากนั้นจึงหันขวับไปทางน้ำหวาน ทุกคนต่างคิดว่าเธอจะถามคำถามเพื่อให้น้ำหวานตอบ แต่แท้จริงแล้วสองสาวเพียงส่งยิ้มให้กันต่างหาก “สิไม่ถามหวานหรอก ถามพายดีกว่า”
พายุพัดเลิกคิ้ว มองตาปริบ ๆ
“สมัยเรียนพายเคยแอบชอบใครบ้างไหม”
“ร...เรา...” จู่ ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ให้ว่องเลยไอ้พาย” ภาณุเร่งรัด
“ม่อน” คนจนมุมตอบเสียงแผ่ว
“อะไรนะจ๊ะ”
“คนที่เราแอบชอบตั้งแต่สมัยเรียนก็...ม่อนไง” พายุพัดยกมือขึ้นลูบต้นคอ ลอบสบตาคนที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ในขณะที่เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พากันส่งเสียงโห่แซวไม่ขาดปาก
“อะพอ ๆ อย่าชงมากครับทุกคน เดี๋ยวร้านเราเจ๊ง” ภาณุว่าก่อนจะโยนมาร์ชเมลโลชิ้นหนึ่งให้พายุพัด
ชายหนุ่มรับมันมาแกะออกแล้วเรียกชื่ออีกคน
“ม่อน”
เพราะตั้งใจโยนให้รับได้ นคินทรจึงได้เป็นผู้ถามคำถามถัดไป
“เราถามหวานก็แล้วกัน เราอยากรู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องสมุดเล่มนั้น”
“ตายแล้ว...” ภาณุหลบหลังภรรยาแล้วพึมพำกับตัวเอง
“อ...เอ่อ...โห ถามกันตรง ๆ แบบนี้เลยเหรอ” น้ำหวานหัวเราะเก้อ ๆ มองกวาดรอบวงแล้วหยุดที่คนถาม แววตาของนคินทรยังคงความใจดีขี้เล่น แต่เธอก็เห็นความเอาจริงเอาจังอยู่ในนั้น ในที่สุดริมฝีปากก็ค่อย ๆ คายความลับ
“ก็...พี่ฝนน่ะไปค้นเจอสมุดเล่มนั้นตอนที่รีโนเวทบ้าน เลยเอามาถามเราว่ารู้จักเจ้าของสมุดไหม เราก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แฮ่...” หญิงสาวทำตลกกลบเกลื่อน
“พี่ฝนด้วยเหรอ” พายุพัดถอนหายใจ
“แล้วมันก็บังเอิญตรงที่สิไปเจอม่อนที่หอศิลป์ ทีนี้ก็เลย...”
“ย้าว!” ภาณุแทรกขึ้น
“ทั้งเรื่องในงานแต่งงาน แล้วก็เรื่องแมว”
พายุพัดพยักหน้าหงึก ๆ พลางนึกถึงเรื่องบังเอิญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในงานแต่งงานของสิชล ที่แท้มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างที่คิด
“นี่นายก็เอากับเขาด้วยเหรอ” นคินทรหันไปทางอวัศย์
“จังหวะมันได้ เราก็เลยตามน้ำ” สัตวแพทย์หนุ่มตอบหน้าตาย
“ง่วงวุ้ย!” ภาณุหาวหวอด ๆ คนอื่น ๆ ก็เลยพากันหาวตาม “แยกย้ายกันไปนอนดีกว่า”
“อ้าวอะไรวะ ยังคุยไม่ทันจบเลย” นคินทรเลิกคิ้วเมื่อเห็นทุกคนกำลังจะลุกขึ้น
“อะนี่ เหลืออีกสามชิ้น ถ้านายสองคนยังไม่ง่วงก็เอาไปเล่นกันต่อก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็โยนโหลใส่มาร์ชเมลโลให้พายุพัด
เห็นว่าเพื่อน ๆ แยกย้ายกันเข้านอน นคินทรที่ยังคงตื่นเต้นกับสถานที่และทิวทัศน์แปลกตาจึงย้ายไปนั่งที่ขอนไม้ปลายเนิน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงพร่างพราวไปด้วยดวงดาว ใกล้ราวกับเอื้อมมือคว้าถึงอย่างที่พายุพัดเคยบอกไว้จริง ๆ
“เล่นต่อไหม” คนพูดน้อยกล่าวเมื่อเดินมานั่งลงข้าง ๆ
“ยังจะเล่นอีกเหรอ”
“เรามีอีก 2-3 เรื่องที่อยากถามม่อน”
“ถามมาเลยก็ได้”
“ไม่ได้สิ ต้องใช้มาร์ชเมลโลพูดความจริง”
“กลัวเราโกหกหรือไง”
พายุพัดไม่ตอบ เพียงแต่ส่งขนมชิ้นหนึ่งให้ ดังนั้นนคินทรจึงรับมา เดินไปที่กลางเนินหญ้าแล้วหันไปกล่าวกับคนที่กำลังเดินตามมา
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”
“ไกลขนาดนี้เราจะรับได้ไหมเนี่ย”
“ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องถาม” พูดจบก็โยนขนมขึ้นกลางอากาศ มองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาแล้วหัวเราะชอบใจ คิดว่าพายุพัดจะรับไม่ได้ แต่สุดท้ายก้อนกลม ๆ ก็ตกลงไปอยู่ในปากของอีกฝ่ายจนได้
ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า รีบเคี้ยวขนมแล้วกลืนก่อนจะถาม “นาย...เคยชอบฉายหรือเปล่า”
คนถูกถามไม่ได้ตอบ แต่สำหรับพายุพัด นั่นถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว
“ตานายแล้ว” นคินทรกล่าว
หนุ่มนักกีฬาพยักหน้าแล้วแกะขนม ไม่ได้โยนแต่กลับยื่นให้ที่ปากของอีกฝ่าย นคินทรใช้ปากงับขนม เคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วถาม
“ทำไมถึงรู้”
“ถ้าในสายตาของนายมีใครสักคนอยู่ตลอดเวลา นายจะรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร กำลังรู้สึกแบบไหน”
คำพูดสื่อความในใจทำให้นคินทรที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้จำต้องหลุบตาลงมองขนมอีกหนึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ ริมฝีปากสีเรื่อพึมพำเบา ๆ แต่ก็พอจับใจความได้
“ยังเหลือมาร์ชเมลโลอีกชิ้น นายจะถามหรือจะให้เราถาม”
“เราอยากถามม่อน”
เจ้าของชื่อพยักหน้าจากนั้นจึงแกะขนมออกจากซอง เตรียมจะเดินห่างออกไปแต่ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือไว้
“อย่าไปไกลเลยนะ เรากลัวว่าถ้าเรารับไม่ได้ เราจะไม่ได้ถามคำถามนี้กับม่อน”
ดังนั้นนคินทรจึงยื่นขนมจ่อที่ปากของคนที่ได้สิทธิ์ในการถามทั้งที่ข้อมือของตนเองยังคงอุ่นเพราะสัมผัสจากมือใหญ่
เมื่อพายุพัดกินขนมจนหมดก็เงยหน้าขึ้นสบตา รั้งมือขาวแนบที่อกแล้วถามคำถามสุดท้าย
“คบกับเราได้ไหม”นคินทรเลื่อนตาลงมองกำไลเงินรูปปลาคู่ที่ข้อมือของอีกฝ่าย จากนั้นจึงค่อย ๆ แกะมือนั้นแล้วถอยห่างออกมา ในขณะที่พายุพัดเองก็ได้แต่มองตามตาละห้อย รู้สึกใจจะขาดเอาเสียให้ได้เมื่อช่องว่างที่คั่นกลางระหว่างกันขยายกว้างขึ้นไปทุกที แต่ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา เขาก็เห็นรอยยิ้มฉายชัดอยู่ใบหน้าของอีกฝ่าย
“ม...ม่อน”
ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เพียงเสี้ยววินาทีหัวใจก็พาร่างสูงก้าวเข้าประชิดแล้วสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แนบแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปไหนอีก
“เราแพ้แล้ว” นคินทรกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหลับตาลงในอ้อมแขนแกร่ง
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ