ครั้งนั้น
วันเจ้าพระยายังสดใส
ยังมีจ้าวกุมภาเกรียงไกร
สถิตอยู่ใต้ห้วงชลธาร
เซซัดจากถิ่นฐานบ้านเกิด
หนีตะเลิดเปิดใจมิอาจหาญ
เจ้ามนุษย์ผู้ร้ายใจมาร
ผู้รุกรานทำร้ายใจตน
รอนแรมมาไกลถึงเมืองหลวง
ฝูงทั้งปวงล้มตายเป็นสายฝน
จ้าวยักษ์ใหญ่ตั้งคำในบัดดล
มันสักคนต้องได้..ชดใช้กรรม
- ๑ -
เปรี้ยง! เสียงกัมปนาทฟาดลงมาดังลั่นจนทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือก สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง..ฟ้าครึ้มเมฆหม่น ที่สำคัญที่สุดคือสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักจนไม่ได้ลืมหูลืมตา…จนน่ากลัว
หญิงวัยกลางที่โต๊ะหน้าห้องมองลอดแว่นสายตายาวของหล่อนสบตากับนักศึกษาทุกคน ก่อนจะก้มมองนาฬิกาที่ทุกคนในที่นั้นรู้อยู่แล้วว่ามันเลยคาบมาเกือบๆสิบห้านาทีแล้ว
“นักศึกษา” เสียงเนิบนาบเอ่ยขึ้น “วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
คำพูดแบบนั้นคงเหมือนเสียงสวรรค์จากฟากฟ้าในวันปกติ เพียงแต่วันนี้บรรยากาศไม่เป็นใจให้ใครสักคนได้เฮฮา..ปล่อยตอนนี้ก็ยังกลับบ้านไม่ได้อยู่ดี ขนาดเสียงเลื่อนเก้าอี้ยังถูกกลบด้วยเสียงฝนกระหน่ำด้านนอกเลย
แต่อย่างน้อยที่สุด..ผมก็ถอนหายใจออกมาได้สำเร็จ
..การเรียนในห้องแอร์เย็นๆวันที่ฟ้าสลัวๆแบบนี้มันไม่เป็นผลดีต่อสมองเลยสักนิด…หรือพูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ
แม่ง สัสเอ้ย ง่วงชิบหาย อาจารย์ผู้สอนเก็บของเดินออกจากห้องไปก่อนเป็นคนแรก นั่นถึงเป็นสัญญาณให้พวกเราได้ขยับกายลุกจากที่นั่งบ้าง แลคเชอร์นานติดกันสามชั่วโมงเต็มพาลให้ปวดหลัง เพราะเก้าอี้แลคเชอร์ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลับ ฟุบงีบ กินข้าว ตากผ้า หรือทำกิจกรรมใดๆนอกจาก...เรียนหนังสือ ซึ่งเอ่อ..ตามประสาครับ
พวกเราทุกคนชอบเรียนมาก “เฮ้ย เฮ้ย”
ผมสะกิดเรียกเพื่อนสนิทที่นอนหลับมาตั้งกะต้นคาบ
“ไอ้โป๊ย ตื่น ตื่นว้อย หมดคาบแล้ว”
แน่นอน เจ้าของนามแม่งไม่สะดุ้งสะเทือนหรอกครับ ซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ…เลยต้องโบกหัว ‘ผลัวะ’ ไปทีนึงอย่างแรง เพื่อให้อย่างน้อยมันก็เงยหน้าขึ้นมาเคี้ยวน้ำลายตัวเองแจ๊บๆ…แล้ว…หลับต่อ
..เจริญจริงๆ.. ผมส่ายหัว หันมาเก็บข้าวของตัวเองบ้าง ซึ่งก็มีเยอะมากครับ สมุดเล่มนึงกับปากกาหนึ่งด้าม พับเก็บเหน็บไว้กับเอวก็เสร็จสิ้นกระบวนการแล้วล่ะ..
“ไกร ไกร” เสียงใสเรียกผมจากด้านหลัง เป็นเสี้ยววินาทีก่อนผมจะลุกขึ้นยืนพอดี
ให้ตายเถอะ..หัวใจผมพองจนคับอกเลยตอนที่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร ดวงหน้าใสยื่นเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั่น ก่อนเธอจะยกมือประนมให้แล้วส่งดวงตากลมโตใสวิ้งนั่นเพื่อกราบอ้อนวอนผมในที
“แก้วยืมสมุดแลคเชอร์หน่อยได้มั้ยจ้ะ?” “อา ได้สิ”
ผมหยิบมันอย่างรวดเร็ว
เอ่อ..เร็วไปหน่อยจนน่าขัน แหม ต่อหน้าดาวมหา’ลัยใครมันจะไปตั้งสติทันล่ะ ผมเองก็ผู้ชายคนนึงที่หวังจะเด็ดดอกฟ้าเหมือนกันนะ
เธอยิ้ม รับแลคเชอร์ผมไปราวกับมันเป็นของล้ำค่าที่สุด “ขอบใจนะ”
..วิญญาณจะล่องลอยไปแล้วล่ะครับ.. “แก้วจดไม่ทันเหรอ?”
“ฮะๆ แก้วเผลอหลับไปช่วงนึงน่ะ” รอยยิ้มของเธอทำให้ผู้ชายมีบาดแผล “แล้ว’จารย์มาลัยบอกให้แก้วเขียนรายงานแก้คะแนนด้วยอ่ะ กังวลชะมัด”
“อ้าว แก้วไม่ผ่านมีนเหรอ?”
“อืม แหะๆ”
“วันหลังบอกเรานะ เราติวให้ได้”
“อะแฮ่ม ไอ้คุณเพื่อนครับ” การกระแอมกระไอที่ฟังแล้วรู้เลยว่าเฟคนั่นเรียกให้พวกเราทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง
“…ปลุกกูขึ้นมาเพื่อฟังมึงจีบสาวเหรอฟะ? ไปเร็ว!” “ไปห่าไรล่ะ ฝนตกยังกะเทกะละมัง” ผมโบ้ย “รอให้ซาก่อนดิ”
โป๊ยหันไปมองตามผม แล้วทำปากเป็นรูปตัวโอ..มันเพิ่งเห็นมั้งครับว่าสภาพอากาศวันนี้ไม่ดี สมแล้วที่เป็นจอมเอ๋อโป๊ยเซียน…ผู้ที่ต่อให้ทั้งอาคารกำลังลุกไหม้แต่ถ้าไฟไม่ติดที่ตูดมันก็ไม่รู้เรื่อง
แต่ผมก็ลืมๆเพื่อนรัก แล้วหันไปยิ้มกับแก้วต่อ
“ไม่เข้าใจตรงไหนถามเราได้นะแก้ว”
“จ้ะ ไกรน่ารักจังเลย~ หล่อแล้วยังใจดีอีกเนาะ~” ไม่ต้องบอกใช่มั้ยครับ คนที่พูดไม่ใช่แก้วหรอก..เพื่อนรักสุดจะกวนอวัยวะเบื้องล่างของผมต่างหากที่ทำทีเป็นดัดเสียงพูด ซึ่งบอกเลยลีลาขนาดนี้…กระเทยจริงๆยังอายแทน
“ไหนมามะมาดร๊วบที~ มว๊วฟฟฟฟฟ” “จูบตีนกูไปก่อนก็แล้วกัน…”
“ว้อย ล้อเล่นว้อย! ไม่เห็นต้องยกขึ้นมาจริงๆจังๆเลย”
ผมหันไปมองแก้วอีกครั้ง เธอหัวเราะอยู่..และให้ตาย โลกทั้งใบหยุดหมุนตรงนั้นครับท่านผู้ชม!
ครับ เห็นลีลาการเอาใจสาวแบบนี้ก็ต้องขอแนะนำตัวกันสักหน่อย
ผม
‘เกรียงไกร’ ครับ..หรือที่เพื่อนๆก็เรียกกันสั้นๆแหละครับว่า ‘ไกร’ (และมีฉายาว่า ‘เกรียนไกล’ แต่ไม่ได้เกรียนเหมือนฉายาหรอกนะครับ..แค่ทรงผมไถข้างเปิดเกรียนข้างหนึ่งของผมมันโดดเด่นมากก็เท่านั้นเอง..) เป็นนักศึกษาชั้นปีที่3ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
นี่ไอ้ ‘โป๊ยเซียน’ หนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นโคตรกวนประสาท จนผมชักสงสัยว่าเออ เป็นเพื่อนกับมันเข้าไปได้ยังไง..ซึ่งเรื่องนั้นช่างมันก่อน ไอ้โป๊ยน่ะจบจากโรงเรียนเดียวกับ ‘แก้ว’ ดาวคณะและดาวมหา’ลัยคนสวยที่ผมหมายตา…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไอ้โป๊ยแม่งก็เสือกไม่เหมาะจะเป็นสะพานให้ผมเดินข้ามไปเด็ดดอกฟ้า จนสุดท้ายก็ต้องใช้ลีลาเกี้ยวพาราสีที่สืบทอดมาในตระกูลนี่แหละเข้าสู้
…แต่ยอมรับว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่หรอก
“แก้ว พี่รอข้างล่างนะ..เดี๋ยวลงไปหาอาจารย์แปปนึง” น่ะ..พูดยังไม่ทันขาดคำ…เดินมาพอดี… ร่างสูงโปร่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องแลคเชอร์ของปีต่ำกว่า เพื่อร้องบอกราวต้องการจะเรียกความสนใจจากคนทั้งห้อง ซึ่งก็ได้ไปเต็มๆน่ะแหละครับ
“จ้ะ” เธอยิ้ม..ยิ้มหวานกว่าที่ยิ้มให้ผมเสียอีก “เดี๋ยวแก้วลอกแลคเชอร์แปปนึง จะตามลงไปนะคะ”
..น่าเจ็บใจชิบ.. หมอนั่นชื่อ
‘ทิวัน’ เอ่อ…ผมต้องแนะนำมั้ยว่านี่คือ ‘แฟนแก้ว’
และทุกครั้งที่เจอหน้ามันผมก็จะเผลอปล่อยเสียง ‘จิ๊’ ออกไปอย่างช่วยไม่ได้
นายทิวัน…และผมขอเรียกมันสั้นๆละกันว่า ‘ไอ้วัน’….แหมมม ชื่อไทยแท๊แท้ (ไม่ดูตัวเอง..) เป็นนักศึกษาปี4รุ่นพี่ผมนี่เอง มันเป็นแฟนแก้ว(จะย้ำทำไม) เป็นจอมมารความสุขที่ทำลายหัวใจผู้ชายทั้งคณะ บอกตามตรงครับ..คณะผมน่ะมีผู้หญิงไม่มากเท่าไหร่ แล้วผู้หญิงน่ารักระดับแก้วน่ะเค้าว่ากันว่าสิบปีจะมีสักคน..แต่ให้ตาย สุดท้ายก็โดนชายหนุ่มที่..
เอ่อ..ยอมรับก็ได้ครับว่าหน้าตาดีนิดๆ คาบไปกินจนได้
และที่ดูเหมือนจะให้อภัยไม่ได้มากที่สุดก็ตรงที่…เพื่อนผม รุ่นน้อง คนทั้งคณะต่างพากันยอมรับในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แถมยังเปรียบเปรยสำเนียงโบราณว่านี่แหละคือ ‘กิ่งทองใบหยก’
ตรงไหนกันวะ..!?! ผมมองเขาตาเขียวปั๊ด อีกฝ่ายเห็น…แล้วยักคิ้วให้ประหนึ่งผู้ชนะก็ไม่ปาน
“ไอ้…!”
..จะด่าก็ไม่ทันล่ะครับ แม่งผลุบหายออกจากห้องไปซะงั้น..! เออ แม่งไม่มีใครสังเกตสักคนเลยเหรอครับว่า ‘มัน’ แม่งกวนตีนแค่ไหน! เผลอๆจะมากกว่าไอ้โป๊ยเซียนนี่ซะอีก!!
“มึงนี่ก็..อ้าปากได้ก็จะกัดเลยนะเว้ย” ไอ้โป๊ยหัวเราะ “ใส่ตะกร้อไว้ท่าจะดีกว่านะเนี่ย”
“พ่องสิ มึงดูมัน..” ผมสบถ “กวนตีนชิบ”
“พี่เค้ายังไม่ทันพูดอะไรเลย มึงก็หาเรื่องพี่เค้าตลอดอ่ะ”
“ดูแม่งยักคิ้วใส่กู”
“ยักคิ้วแล้วไงวะ มึงยักไม่ได้เรอะ นี่ไง”
แล้วไอ้โป๊ยก็ยื่นหน้าเข้ามายักคิ้วใส่ผมรัวๆเหมือนเป็นโรคชักกระตุกชนิดหนึ่ง จนผมต้องดันหน้ามันออก..แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพอดี
และการที่แก้วขำออกมานั้น ทำให้ผมรู้ตัว
“อ๊ะ ‘โทษทีครับ เราไม่น่าพูดจาไม่ดีกับแฟนแก้วใช่มั้ย?”
..กับผู้หญิงน่ะผมเป็นสุภาพบุรุษเสมอ..ใช่มั้ยล่ะ? “ฮะๆ ไม่หรอกจ้ะ ตามสบายเถอะ” แก้วยิ้ม “ไกรนี่ตลกดีนะ”
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
..ไกรนี่ตลกดีนะ.. เอาล่ะ วินาทีนั้นผมอยากจะไปหยิบวิกอัลโฟ่สีเขียวมาสวม ทาหน้าขาวทั้งหน้า ติดจมูกแดง แล้วเต้นแทปไปโยนลูกบอกห้าลูกไปรอบๆห้องเสียเหลือเกิน..
“เอานี่ เสร็จแล้ว”
แก้วพูดขึ้นขัดจังหวะที่ผมกำลังหาลูกบอล พร้อมยื่นสมุดแลคเชอร์คืนให้
“ขอบคุณมากจ้ะ เราไปก่อนนะ”
..เสียงท่อแปปที่ผุดจากเนินหญ้าสีเขียวขึ้นมาเปล่งเสียงร้องดังก้องไปว่า
‘หมดเวลาสนุกแล้วสิ~ หมดเวลาสนุกแล้วสิ~’ ดังอยู่ในหัวผมวนเวียนไปมา..
แล้วแก้วก็เดินจากไป… ….ไม่ต้องคิดตามครับ อีกฝ่ายไม่หันกลับมาหรอก “เฮ้ออออออออออ……”
“ถอนหายใจไรของมึงวะ”
“กูนี่มีโอกาสจะได้คุยกับแก้วแค่ตอนยืมแลคเชอร์รึไงวะ”
ผมเปรย คนฟังตบหัวผลัวะ
“มึงเอาจริงดิ แก้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนะว้อย”
“โหยสัส กูไม่ได้จะแย่งแฟนเค้า แค่..อยากคุยกันให้นานกว่านี้” ผมละเมอ “คนอะไรวะ งามยังกะนางฟ้า~”
“เออ เอออ เออออ”
“อะไรของมึงวะ มึงไม่เห็นว่าแก้วสวยรึไง?”
“ไม่นี่” มันไหวไหล่ “กูเห็นมาตั้งกะเด็ก”
ครับ ย้ำอีกครั้งว่าแก้วกะโป๊ยเซียนจบจากโรงเรียนเดียวกันมา หรือพูดให้ถูกก็คือเรียนที่เดียวกันตั้งกะสมัยประถมน่ะแหละ แต่โป๊ยก็บอกนะว่าไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับแก้วมากนัก โป๊ยเป็นคนประเภทไม่เข้าหาผู้หญิงครับ แถมผู้หญิงเรียบร้อยจิ้มลิ้มแบบแก้วมันยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่…ซึ่งผมเข้าใจจุดนั้นนะ
“เออ แล้วมึงจะตั้งท่ากัดกับพี่วันเขาไปถึงไหนวะ?”
มันเริ่มบทสนทนาได้แย่มาก ผมเลยแยกเขี้ยวใส่
“ไม่ได้กัดว้อย สัส”
“เห็นแง่งใส่กันตั้งกะก่อนจะมาเป็นแฟนแก้วล่ะ” มันว่า “พอเค้าไปกันได้ดีกูก็นึกว่ามึงจะเลิก..เปล่าเลย ยังกัดอยู่อีก”
“ก็ดูมันกวนตีน”
“ตรงไหนฟะ? พี่วันเค้าขรึมจะตายห่า”
ผมเถียงไม่ออก “ไม่รู้ว้อย ไม่ถูกชะตา”
.
.ก็ไม่ถูกชะตาจริงๆนั่นแหละ.. ผมสามารถยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายได้เลยนะครับว่าโดยส่วนใหญ่นั้นผมเป็นคนหาเรื่อง ‘มัน’ ก่อน..และเออ ยอมรับความผิดนั่นด้วยก็ได้! แต่ขอบอกเลยนะว่าอีกฝ่ายก็กวนประสาทไม่แพ้กันนั่นแหละ!
ทิวันเป็นผู้ชายขรึมๆครับ..ไม่ได้เงียบ ไม่ได้พูดน้อย ไม่ได้เก็บตัวหรืออะไร…เค้าแค่ เอ่อ..ขรึม ดูเป็นผู้ใหญ่…จะว่ายังไงดีล่ะ เพราะบุคลิกแบบนั้นแหละทำให้สาวๆในคณะ(ที่มีน้อยเหลือเกินพวกนั้น)พากันปลาบปลื้มยังกะอะไรดี
…ไม่ต้องเดาหรอกครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้ว และให้ตายเถอะ! ต่อให้มัน ‘ขรึม’ แค่ไหน…เวลามองหน้าผมแม่งต้องยักคิ้วใส่เหมือนเยาะเย้ยทู๊กกกที!
…แบบนี้ไม่เรียกกวนส้นให้เรียกอะไร? ระหว่างรอฝนหยุดพวกผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดๆเหมือนที่ฮิตกิจกรรมนี้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแหละครับ สไลด์หน้าเฟสบุ๊คเช็คข่าวไปสามรอบ กดไลค์อินสตราแกรมไปสามที ตอบไลน์เพื่อนไปสามคน สุดท้ายก็มาตายรังจะเปิดเกมเล่น..
…ก็มีสายเรียกเข้าพอดี ตอนแรกผมมึนๆเบลอๆจะหลับอยู่ล่ะ อากาศยามเย็นฝนตกพรำๆมันน่านอนเป็นบ้าเลย แต่พอเห็นหน้าสายเรียกเข้าปุ๊บตาก็ตื่นปั๊บ วิญญาณไหลกลับเข้าร่างทันที
“ไอ้ชิบหาย”
พอผมอุทาน โป๊ยก็ยื่นหน้ามา “ใครโทรมาวะ?”
ผมมองชื่อที่ขึ้นหราอยู่ด้านหน้าจอ ถอนหายใจเป็นพันรอบก็ไม่พอแล้วล่ะมั้งครับงวดนี้…
“อาจารย์คง”+++++++++++++++++++
ผมบอกให้โป๊ยกลับไปก่อน แน่นอน..มันไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
แถมยังวิ่งฝ่าฝนกลับไปเสียอย่างงั้น
…นี่แหละ เพื่อนตาย…
เพื่อนตายทั้งคนก็ยังไม่เหลียวหลังครับ กว่าที่ระบบ
ทดลองเป็นทาสจะจบสิ้นนั้นเวลาก็เกือบทุ่มนึงแล้ว ปกติแล้วเวลาทุ่มนึงที่คณะ/มหา’ลัยผมไม่ได้เงียบหรอกครับ แต่เพราะฝนมันตกกระมังหลายคนถึงได้รีบกลับไปก่อน นี่จะว่าไปตอนนี้ฝนก็ยังตกปรอยๆนะนี่…
แต่ไอ้บรรยากาศเย็นๆอึมครึมนี่ล่ะตัวดี…ทำให้ตึกเรียนเก่ากว่าเจ็ดสิบปีหลังนี้มันดูมีมนต์ขลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แสงสว่างจากไฟนีออนบริเวณโถงทุกชั้นไม่ได้สว่างนัก บางดวงก็ติดๆดับๆ เงามืดทำให้กำแพงที่เคยคุ้นอยู่ตอนกลางวันดูแตกต่างออกไป จนผมต้องรีบสาวเท้าลงบันไดเร็วๆ
ให้ตายเถอะ’จารย์คง..จะใช้งานอะไรกันนักหนาหว่า..
ให้ตายเถอะไอ้โป๊ย..จะรีบกลับอะไรนักหนาหว่า..
อ๊ะ
…ที่กล่าวโทษนี่ไม่ได้แปลว่าผมกลัวผีหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะครับ อาจารย์คงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมเองครับ..เอ่อ จะบอกเช่นนั้นก็ไม่เชิง..เพราะท่านไม่ใช่ที่ปรึกษาผมในนามน่ะครับ หมายถึง..ที่ปรึกษาในหลายๆด้าน แกสอนวรรณคดีควบตำแหน่งอาจารย์ผู้คุมขังนักศึกษา(อาจจะงงว่ามีตำแหน่งนี้ด้วยหรือ…) และไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ถูกใจผมนักหนาถึงได้เรียกจัง…
แหม..จะพูดสองแง่สามง่ามแบบนั้นก็เห็นจะไม่ถูกสักทีเดียว ว่ากันตามตรงแล้วตลอดมาผมก็ได้’จารย์คงเนี่ยแหละครับช่วยชีวิต(เว่อร์ไป)ไว้ได้หลายครั้งหลายครา แล้วก็อย่างว่าครับ ชีวิตมหา’ลัย สนิทกับอาจารย์สักท่านไว้คุณจะได้บุญไปถึงชาติหน้า..เพราะงั้นเวลาโดนแกเรียกใช้งาน ผมถึงปฏิเสธไม่ได้อย่างนี้ยังไงล่ะ…
บันไดขั้นสุดท้ายโผล่มาหน้าโถงใหญ่ก่อนขึ้นอาคาร เสียงส้นรองเท้าหนังของผมเองกระทบกับพื้นแกรนิตดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะก้องไปกับกำแพงช้าๆ ผมไม่ได้ลงส้นหนักหรืออะไรหรอกครับ แค่ข้างล่างเงียบสนิท…เงียบมากกว่าห้องพักอาจารย์ที่ยังมีคนอยู่บ้างหลายเท่าทีเดียว
ห้องถ่ายเอกสารใต้ตัวตึกปิดสนิท ห้องนิทรรศการก็ปิดสนิท ขนาดไฟหน้าโถงลิฟท์ก็ยังปิดสนิท นอกจากไฟหรี่ๆกลางโถงแล้วก็แทบไม่มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามา…แต่ก็ไม่ได้มืดขนาดที่ต้องการไฟฉายหรืออะไรนะ แต่บรรยากาศแบบนี้แม่งสยองกว่าเยอะ
วันนี้คนมันจะรีบกลับอะไรนักหนาวะครับ(คนมันกลัวว้อย)
แน่นอน ผมเชื่อว่าทุกที่มันต้องเคยมีตำนานผีสางนางไม้เหมือนกันหมดแหละครับ ที่จริง..ผมไม่ค่อยได้ฟังใครเค้าเล่ามาเท่าไหร่ ไม่เชื่อแต่ก็ไม่หลบหลู่นะครับ…แค่แบบ เออ ไม่ได้อยากรู้ อย่ามาเจอกับตัวกูกูขอร้อง…อะไรประมาณนั้นแหละ
ผมถอนหายใจ เดินออกไปสูดกลิ่นฝนจากๆที่หน้าคานูปปี…เสียงน้ำไหลลงมาตามรางน้ำฝนสู่บ่อปลาคาร์ฟดังเป็นเพื่อนผมอยู่แปปนึง แต่เมื่อยื่นมือออกไป เม็ดฝนเปาะแปะก็ยังคงตกกระทบผิวหนังอยู่
“ตกนานชะมัด ให้ตาย…..สิ…”
ฟืดด! ยังไม่ทันสิ้นเสียง ‘สิ’ นั้น..เสียงอีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยงกระโดดกอดเสาแทบไม่ทัน!...ไม่สิ ท่าทางอุบาทว์ชะมัด…เอาเป็นว่าผมผู้ซึ่งมีความหาญกล้าอยู่เต็มอกก็หันควับกลับไปมองที่มาของต้นเสียงนั้น
…ไม่มีอะไร… และเสียงก็เงียบหายไปราวกับว่าทุกอย่างของมันไม่เคยเกิดขึ้น…
อวัยวะภายในอกผมกำลังวาดลวดลายจ้ำบ๊ะอย่างเมามันตอนที่ผมก้าวขากลับเข้าไปในโถงอาคาร แน่นอนล่ะ..ผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าหูผมไม่ได้ฝาด ขี้คร้านจะวิ่งหนีไปตอนนี้มันก็ปอดแหกสิ้นดี…หนุ่มหล่อมาดแมนแฮนซั่มอย่างนี้จะวิ่งหนีได้ยังไง
ฟืดด! เฮือก..! อีกครั้งที่ทำให้หัวใจแทบจะลงไปกองที่ตาตุ่ม แต่แน่นอนว่าผมเก็บมันขึ้นมาได้ทันก่อนจะปล่อยเสียงร้องทุเรศๆออกไป ต้องทำเป็นกล้าในเวลาที่ไม่มีใครชมแม่งเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมาก และ..เอ่อ..ผมปัญญาอ่อนครับ
ผมจรดปลายเท้าดุจนินจากลับชาติมาเกิด..พยายามเงี่ยหูฟังต้นเสียงอีกครั้ง
..จะติดใจอะไรกับเสียงประหลาดๆแบบนั้นนักหนาวะไอ้เกรียงไกร.. ฟืดดด…. อีกครั้ง..แต่ครั้งนี้จังหวะของเสียงแตกต่างกันเล็กน้อย ผมขมวดคิ้ว..พยายามคิดถึงทุกเสียงที่ผมเคยได้ยินในโลกมาเปรียบเทียบกัน แต่อย่าหวังเลยครับ…บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกันที่สังเกตได้หมดและจำมันได้ บ้าจริง ผมคิดว่าผมเป็นใครวะ..
และเพราะครั้งสุดท้ายนั่นเองทำให้ผมจับได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ผมเดินตามเสียงไปถึงหน้าโถงลิฟท์..แสงหรี่ๆด้านหลังฉายมาให้เห็นเป็นเงาของผมบนพื้น…ดูเหมือนหนังอำมหิตสักเรื่องที่ผมต้องปิดตาตอนดูเลยแหะ
ไม่มีเสียงอะไรอีก..
..นั่นยิ่งน่าสงสัย.. ข้างโถงลิฟท์มีทางเดินแคบๆกว้างเมตรกว่าๆที่นำไปสู่ห้องน้ำเน่าๆสองห้อง แต่คนส่วนใหญ่ก็ใช้มุมอับสายตานี้ในการเก็บของ โต๊ะ กลองคณะ และสารพัดของที่คุณจะต้องมานั่งสงสัยอีกทีว่าไปขุดมากจากโบราณสถานไหนรึเปล่า และเสียง..ดังมาจากภายในนั้น
ผมชะโงกหน้าเข้าไป แล้วหรี่ตามอง..
..ไม่ไหวครับ…มันมืดเกินไป… ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ในความมืดมันจะเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ และยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่เมื่อมันรกไปหมดแบบนี้..อารมณ์ว่าถ้าคุณเดินเข้าไปแล้วโดนฆ่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แม่งยังกะเป็นที่หลบซ่อนของฆาตรกรโรคจิต
นั่นแหละ…ผมไม่เดินเข้าไปแน่ๆครับ
ฟืดดด…. เสียงนั้นดังอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆกับอะไรบางอย่างในความมืดนั้นขยับไหว
และผมก็รู้ว่าเสียงฟืดๆนั่นเป็นเสียงของอะไรบางอย่างเสียดสีกับพื้น อะไรบางอย่างที่กำลังขยับอยู่ตรงนั้น…ในความมืดนั่น…ขนาดของมันไม่ใช่แมว ไม่ใช่หมาตัวใหญ่ๆแน่
มันคือคน
…คำถามก็คือ…เขาทำอะไรอยู่คนเดียวในความมืดเช่นนี้… ผมกลืนน้ำลาย ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ…นึกไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไงกันแน่ระหว่าง หนึ่ง..พุ่งเข้าไปอย่างฮีโร่เพื่อจับคนที่คาดการณ์ว่าจะเป็นขโมย สอง..เดินหนีไปเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาม..โทรหาใครสักคนให้มาช่วย
ซึ่งผมเลือกข้อสามอย่างไม่ลังเล…..
แต่อะไรๆมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรอกครับ…. เพล้ง!! “เชรี้ย!!!” มือถือผมเสือกลื่นหลุดมือตกกระแทกพื้นเสียงดังลั่น ก้องสะท้อนไปกับกำแพง..ตามมาด้วยเสียงโหยหวนประหนึ่งวัวคลอดลูกของผม
ส่วนสติน่ะเหรอ…
หายวับไปกับเจ้าลูกรักที่นอนอยู่ที่พื้นนั่นน่ะแหละ!! “เหยดเป็ดไอโฟนกรูวววววววววว”
ร้องห่มร้องไห้ไว้อาลัยให้ลูกรักอยู่ประมาณสามนาทีเห็นจะได้ และสิ่งที่เรียกสติผมให้กลับมาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็คือ ‘หมอนั่น’ น่ะแหละ..! อีกฝ่ายลนลานจนชนบันไดไม้ไผ่ล้มลงกับพื้นดังโครมคราม สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งชั้น
ดูวินาศสันตะโรมากกว่าไอโฟนของผมลิบลับ… พอเห็นหน้าจอยังติดดีไม่มีริ้วรอยผมก็งัดมันออกมา
…กลั้นใจอยู่เสี้ยววินาที..แล้วเปิดไฟฉายส่องเข้าไปทันที
“หยุด! อย่าขยับนะว้อย!!” ได้ผลชะงัด! อีกฝ่ายมุดตัวซ่อนอยู่หลัง..เอ่อ..อะไรบางอย่างที่ถูกคลุมผ้าไว้…ทันที แต่ไม่อาจหายไปจากสายตาอันเฉียบแหลมของผมได้หรอก
…ผมเห็นชุดนักศึกษาเต็มๆเลยล่ะครับ… “ใครวะ ทำอะไรอยู่?”
ถ้ามันตอบแม่งก็โง่มากแล้วครับ เสือกทำตัวมีพิรุธสุดชีวิตขนาดนี้มันคงจะหันมาบอกผมหรอกว่า
‘เฮ้ ไงครับพี่ ผมเอง A ปีหนึ่ง รหัสxxxxx กำลังตามหาสายฟ้าที่หายไปอยู่’…หรือจะยกตัวอย่างอะไรดีวะ ช่างแม่งล่ะกัน
และความที่รู้ว่าเป็นคนกันเองเนี่ยแหละ ผมก็เดินดุ่มๆเข้าไปประหนึ่งแบรด พิทท์พิชิตซอมบี้ฆ่าไม่ตายในเรื่องWWZ
…นี่ถ้าสาวๆอยู่ด้วยคงกรี๊ดกันตรึม… ผมเดินเข้าไปใกล้พร้อมโทรศัพท์ฉายแสงในมือ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้..ผมก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเพ่งหนัก อะไรบางอย่างบอกให้ผมรู้ว่ามันดู..ประหลาด…เอ่อ…สี…ลักษณะ…ของผิวหนังที่มัน……….
ผลัวะ! แต่ยังไม่ทันจะตั้งข้อสังเกตไปมากกว่านี่หมอนั่นก็พุ่งเข้ามาด้วยความไวชนิดที่ตาเกือบมองไม่ทัน มือใหญ่..และหยาบกร้าน..บีบข้อมือผมแน่นจนเผลอปล่อยไอโฟนลงบนพื้นอีกครั้ง(โธ่ลูกพ่อยังผ่อนไม่หมด!!) เขาเตะมันหลบวูบเข้าไปใต้กองผ้าให้แสงสุดท้ายแห่งความหวังผมมลายสิ้น
แน่นอน จังหวะนั่นเองที่ผมตกใจมากพอจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่มืออีกข้างของเขาก็กดปิดปากผมไว้…และความรุนแรงนั้นทำให้ผมเซลงไปบนกองข้าวของอะไรสักอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ได้ยินเสียงอะไรแตกหักอยู่ใต้ตัวผม..อาจจะเป็นโมเดลไม้ของใครสักคน… แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน!
อิพ่อเอ้ยยยยยยยยยย กูจะโดนฆ่ามั้ยเนี่ย…!!!! เบื้องหน้าของผมที่ยังไม่ชินกับความมืด…มีเพียงเงาตะคุ่มที่กำลังล็อคผมไว้ไม่ให้ขยับตัว
มือหนาใหญ่ที่ปิดปากผมอยู่แน่นและแรง..จนผมต้องใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อหาอากาศให้ตัวเองได้หายใจ…ซึ่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ เขาถึงได้คลายแรงบีบออกนิดหน่อย
ผมได้กลิ่นน้ำ..กลิ่นของน้ำชื้นๆจากผิวแห้งๆนี่…และผมไม่ได้คิดไปเอง…
…สัมผัสของ ‘เกล็ด’…. …มันคือ…เกล็ดสีเขียว…. “ไกร” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยชื่อผมขึ้นมา มันฟังดูคุ้นหู…คุ้นจนผมต้องเบิกตาโพลง
แต่เขายังพูดต่อ
“สัญญานะ ถ้าปล่อย…แล้วจะไม่ส่งเสียงอะไร” ผมมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะครับ..แหม
หลังจากเสี้ยววินาทีที่ใช้พิจารณาข้อเสนอนั้น..ผมก็พยักหน้าหงึก รู้สึกได้เลยว่าตาตัวเองแห้งจากการเบิกโพลงคาไว้ตั้งกะเมื่อกี้
และผมก็เป็นอิสระในไม่กี่วินาทีถัดมา
อีกฝ่ายถอยหลังไปพิงกำแพงอีกด้าน จังหวะนั้นสายตาผมเริ่มชินกับความมืดอย่างช้าๆ…มองเห็นดวงตาสีทองลุกวาวในความมืด เห็นผิวหนังสีครีมเลื่อมเขียวที่แปลกตา..เห็นรอยเกล็ดจางๆบนผิวกายนั่น…
…เห็นเรียวคิ้วที่ยักทักทายผม..และกวนตีนเหมือนที่เขาเคยทำมาตลอด… คอผมแห้งผาก สติด้านหนึ่งบอกให้ผมกรีดร้องอย่าไปรักษาสัญญา ส่วนอีกสติก็บอกผมว่าใจเย็นๆเรื่องนี้เราคุยกันได้
แต่ผมไม่เชื่อสติครับ ผมไม่เชื่อแม้กระทั่งสายตาตัวเองด้วยซ้ำ…
….เพราะกว่าจะเปล่งเสียงทักคำแรกออกไปได้แม่งก็กินเวลาหลายนาที…
“…..ไอ้วัน?” ผมนึกโทษไอ้โป๊ยเซียน นึกโทษอาจารย์คง นึกโทษแก้ว นึกโทษทุกคนทุกสิ่งบนโลกที่ทำให้ผมมีวันนี้
…...วันที่แม่งเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาลTBC===========================
- เรื่องอื่นดองไปก่อนนนนน