บทที่4 ผู้มาทีหลัง
เสียงเคาะประตูตอนเช้าตรู่ทำให้คนที่นอนอยู่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มคลำหาแว่นที่ถอดเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนเดินสะลึมสะลือไปที่ประตูพลางนึกด่าคนที่มาเคาะในใจ แต่ทันทีที่เห็นผู้มาเยือนจากช่องตาแมว ฟ่งรีบเปิดประตูอย่างไม่รอช้า
“เจ๊ มาได้ไงเนี่ย?” เขาส่งเสียงอย่างดีใจ ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาววัยราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าของห้องอย่างเห็นได้ชัด เธอมีผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวเข้ารูปแบบผู้หญิงกับกางเกงยีนส์ยืดสีน้ำเงินเข้ม
“ขับรถมาสิยะ” อีกฝ่ายตอบ พลางยกถุงใบใหญ่ขึ้นมา คนในห้องรีบรับเอาไว้ทันที
“ซื้อของกินมาฝากด้วยหรือ?” ฟ่งถาม เปิดประตูให้กว้างขึ้นพลางแบะถุงดูอย่างใคร่รู้
“รื้อออกมาสิ เดี๋ยวจะทำให้กิน” หญิงสาวตอบ ขณะก้มลงถอดรองเท้าบูทสั้นสีน้ำตาลออก หล่อนวางมันไว้บนชั้นวางรองเท้าแล้วก็หยิบรองเท้าของน้องชายที่วางระเกะระกะอยู่ยัดกลับเข้าไปด้วย
“รักเจ๊จัง” ฟ่งพูดหลังจากดูของในถุงแล้ว ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างจาน รื้อของจากถุงอย่างอารมณ์ดี ลืมความง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“ไม่ต้องมารักฉันตอนนี้เลย” พี่สาวพูด เอาเข่าถองตะโพกน้องชายเบาๆ
“ย้ายที่อยู่ทำเอาวุ่นวายไปทั่ว หม๊าเป็นห่วงใหญ่”
ฟ่งเอามือลูบก้น หัวเราะแห้งๆ หันไปมองหน้าพี่สาวอย่างรู้สึกผิด
“เจ๊ช่วยพูดให้ล่ะ ว่าเธออาจจะยังช็อคอยู่ คงยังไม่อยากคุยกับใครตอนนี้”
หญิงสาวกล่าวพลางเปิดตู้เย็น หยิบกระบอกน้ำมาเทใส่แก้ว ก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์
“หม๊าบ่นเสียดายอาดา เจ๊เลยบอกว่า เธอคงมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น เอ๊ะ! นี่คงไม่ไปสะกิดต่อมหรอกนะ”
“ไม่หรอก” ฟ่งพูด รู้สึกสะอึกนิดหน่อย พอมีใครพูดถึงเรื่องดาทีไร เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ทุกที แต่วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาทำได้แล้ว
“ผมโทรหาหม๊าดีกว่า” ชายหนุ่มเดินมาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ขึ้นมากดเบอร์
“ไม่ต้องก็ได้ ถ้าเธอยังไม่พร้อม” ฝ่ายที่นั่งอยู่พูดขึ้น มองหน้าน้องชายด้วยความเป็นห่วง ฟ่งยิ้มให้หล่อน
“ไม่เป็นไรหรอก ผมออกจะดีใจ เจ๊อุตส่าห์มาหา โทรไปหาหม๊าให้ชื่นใจด้วยเลยดีกว่า”เขากดโทรศัพท์ ก่อนจะหันมาบอกพี่สาว
“เออ..เจ๊ รื้อของเสร็จแล้วนะ”
ผู้โดนเรียกแค่นหัวเราะ “แหม... ทีเรื่องกินล่ะไวเชียวนะ มันน่าจะปล่อยให้อดดูจริงๆ”
ฟ่งหัวเราะร่วน
“กว่าเจ๊จะมา ผมอดไปหลายมื้อแล้วนา...” ชายหนุ่มทำเสียงอ้อน ขณะที่หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปที้เคาน์เตอร์ครัวข้างอ่างล้างจาน
“โหลว หม๊าหรอครับ เป็นไงบ้าง”
เสียงตอบจากปลายสายถูกเสียงโหวกเหวกดังขึ้นด้านหลังรบกวนจนฟังไม่ถนัด
“เฮ้ย!ฟ่ง หม้ออยู่ไหน?”
“อยู่ในตู้ขวาบนน่ะเจ๊” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะหันมาคุยโทรศัพท์ต่อ
“ครับหม๊า เจ๊เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เองครับ ทำกับข้าวอยู่ครับ”
เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะๆ ฟ่งตัดสินใจเดินออกไปคุยตรงระเบียง
-----------------------------------------
“หม๊างอนรึเปล่า?” หญิงสาวถาม ทันทีที่เห็นน้องชายเดินเข้ามา
“เปล่า” คนถูกถามตอบ ขณะยกเท้าเขี่ยประตูกระจกบานเลื่อนให้ปิดลงโดยไม่หันกลับไปมอง
“หม๊าบอกว่าว่างให้แวะไปเยี่ยมบ้าง แล้วก็บ่นว่าระวังเล้งมันจะได้แต่งงานก่อน”
คนเป็นพี่สาวหัวเราะชอบใจ ฟ่งทำหน้าบูด
“หัวเราะไร ว่าแต่เจ๊เหอะ เมื่อไหร่จะแต่ง ทำตัวเหมือนสาวโสดอยู่ทุกที ระวังเฮียโชคเค้าหลุดมือไปนะ” ชายหนุ่มพูดแหย่ พลางเดินเข้ามาทำท่าชะโงกดูสิ่งที่อยู่บนเตา
“โห...นั่นปากรึ อย่ากินเลยดีไหม มื้อนี้”
หญิงสาวหันกลับมาถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง ฟ่งรีบยกมือทำท่ายอมแพ้
“ล้อเล่นคร๊าบ เออเจ๊ ทำกับข้าวไว้เยอะรึเปล่า?” ชายหนุ่มถาม ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
“ก็พอสมควร ทำไมหรือ?”
“ก็ว่าจะไปชวนเพื่อนห้องข้างๆ มากิน”
คนได้ฟังทำตาโต ราวกับได้ยินเรื่องสัตว์ประหลาดในห้องข้างๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างแปลกใจ
“เดี๋ยวนี้หัดคุยกับคนข้างห้องแล้วรึ? พัฒนานี่ เอาสิ ชวนมาเลยก็ได้ แต่อาบน้ำก่อนก็ดีนะ”
ประโยคสุดท้ายทำให้ฟ่งรู้สึกตัว เขาอยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายแขนสั้นกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน ผมไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งลุกจากที่นอน แถมฟันยังไม่ได้แปรงอีก ชายหนุ่มรีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราว และเดินเข้าห้องน้ำ ผู้เป็นพี่สาวมองตามหลัง ถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
---------------------------------------
เป็นครั้งแรกที่รูฟัสมีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนห้องข้างๆ เขาก้าวเท้าเข้ามาในสภาพหัวเปียกนิดหน่อย แน่นอนว่าเขาเองก็ตื่นสายเอาการ เป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อมูลนรกแตกที่ถูกส่งเข้ามาเพิ่มเมื่อคืนนั่นแหละ
“เจ๊ นี่รูฟัส เพื่อนข้างห้องผมเอง” ฟ่งแนะนำผู้มาเยือนกับพี่สาวที่กำลังล้างมืออยู่ตรงอ่างล้างจาน เธอหันมาแล้วทำหน้าตกใจ
“เอ่อ.. นั่นเจ๊ผิง พี่สาวผม” ฟ่งหันมาแนะนำ รูฟัสยกมือไหว้ ผิงรีบยกมือไหว้ตอบ พลางคิดในใจว่า ตัวเองดูแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ
“สวัสดีครับ” เขาพูด ผิงเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
“โอ๊ะ!! พูดไทยได้ ดีจัง ฮ่ะๆ” พี่สาวพูดพลางท่าทางโล่งใจอย่างจริงๆ จังๆ จนน้องชายอดหัวเราะไม่ได้ เขาหันมาพูดกับเพื่อนข้างห้อง
“เจ๊เขาเป็นโรคกลัวฝรั่งน่ะ”
“หืม?” รูฟัสส่งเสียงด้วยความสงสัย ผิงรีบพูดขึ้น
“ไม่ได้กลัวย่ะ ฉันแค่ไม่ชอบพูดเท่านั้นแหละ” เธอตอบอย่างพยายามรักษามาด นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะหนักขึ้นไปอีก
“แหม เจ๊ จริงๆ แล้วรูฟัสเพิ่งหัดพูดภาษาไทยได้ไม่กี่คำเอง”
“หา!!” หญิงสาวร้องเสียงหลง มองดูคนต่างชาติในห้องขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะรีบเดินปราดๆเข้ามาคว้าแขนน้องชาย
“ไอ้ฟ่ง พามาแล้วก็แปลด้วยแล้วกัน เจ๊ไม่พูดภาษาอังกฤษหรอกนะ!”
ฟ่งหัวเราะคิกคัก ขณะที่ผิงดูท่าทางเอาเรื่อง ทำให้รูฟัสไม่ค่อยสบายใจ
“เอ่อ...ผมทำให้รู้สึกแย่รึเปล่าครับ?”
“อ้อ ไม่ใช่หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบพูดต่อ เธอเขม่นมองน้องชายที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนยกมือขึ้นฟาดก้นเจ้าตัวเสียงดับป๊าบ ฟ่งร้องโอ๊ย รูฟัสยืนอึ้งไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือขบขันกับเรื่องตรงหน้าดี เหมือนจะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นชีวิตครอบครัวที่สนิทชิดเชื้อกันแบบนี้
“อย่าไปสนใจมันเลยค่ะ เข้ามานั่งก่อนสิ” ผิงเอ่ยปาก พลางพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตร รูฟัสพยักหน้าและยิ้มตอบ ขณะที่ฟ่งลูบก้นป้อยๆ และทำหน้าบูด
“เจ๊ตีผมทำไม นี่ถ้าผมเจ็บจนพูดไม่ออก ใครจะมาแปลภาษาให้เจ๊ฟังล่ะ?”
เสียงป้าบดังขึ้นอีกแทนคำตอบ ฟ่งครางเสียงอ่อย พลางลูบก้นป้อยๆ ก่อนเดินหนีไปที่โต๊ะ และโวยวายเรื่องที่ผิงเอาโต๊ะไฟมาทำโต๊ะกินข้าว แต่หญิงสาวไม่สนใจคำร้องเรียนดังกล่าว
“ก็มันไม่มีโต๊ะว่างแล้วนี่” เธอให้เหตุผล ฟ่งทำหน้าเศร้า แต่ก็ยอมหยิบจานมาตักข้าว รูฟัสมองดูพฤติกรรมของสองพี่น้องแล้วอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มในใจ
ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี่อบอุ่นดีจริงๆ
ดูเหมือนว่าผิงจะไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรชาวต่างชาติข้างห้องนัก คงเป็นเพราะรูฟัสพูดภาษาไทยได้ ดูท่าทางหญิงสาวจะสนุกที่ได้ถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับตัวเขา โดยมีฟ่งพูดแทรกบ้างเป็นระยะๆ ที่สำคัญ ฝีมือทำอาหารของเธอจัดว่าเยี่ยมทีเดียว
“อาหารอร่อยมาก เลยครับ ขอบคุณที่ชวนมาทานนะครับ” รูฟัสพูดตบท้ายด้วยความจริงใจ เขาเพิ่งช่วยเก็บจานไปส่งให้ฟ่งล้าง ชายหนุ่มพูดคำชมออกมาเป็นครั้งที่หกตั้งแต่เริ่มต้นมื้ออาหาร เล่นเอาคนถูกชมยิ้มแก้มแทบปริ
“แหม...เล็กๆ น้อยๆ น่ะค่ะ” ผิงกล่าว พลางหัวเราะเขินๆ ดูมีความสุขที่ได้เห็นคนกินรู้สึกอร่อยกับอาหารที่ตัวเองทำ
“ชมมากระวังเจ๊เค้าลอยติดเพดานนะครับ” ฟ่งที่กำลังล้างจานอยู่พูดแทรก รูฟัสได้แต่ยิ้มงงๆ เขาไม่เข้าใจความหมายของคำเย้าแหย่นั้น แต่ฟ่งคงพยายามจะพูดให้มันดูตลกนั่นแหละ ผลคือเขาถูกพี่สาวตีก้นอีกรอบ คนถูกตีทำหน้าบู้บี้ หันกลับไปล้างจานต่อ คราวนี้รูฟัสดันรู้สึกขำขึ้นมาจริงๆ เขาขำหน้าฟ่ง ขำที่เจ้าตัวยังพยายามจะแหย่พี่สาว ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะโดนตีอยู่ทุกที การอยู่ท่ามกลางบรรยากาศพี่น้องที่ไม่มีอะไรแอบแฝงเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้าน
บ้านที่เขาจากมา และครอบครัวที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
------------------------------------------
หลังจากคุยสัพเพเหระต่อกันอีกพักหนึ่ง รูฟัสก็ขอตัวกลับ
“ความจริงผมมีธุระช่วงบ่าย ตอนแรกกะจะออกไปกินข้าวด้านนอกแล้วเลยไปเลย ขอบคุณจริงๆ นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างจริงใจขณะบอกลาเพื่อนข้างห้องและพี่สาว ผิงยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงฝากดูแลน้องชายตัวยุ่งของฉันด้วยนะคะ”
รูฟัสยิ้มน้อยๆ มองดูฟ่งซึ่งยืนสั่นศีรษะพลางกระตุกเสื้อพี่สาวด้านหลัง และส่งเสียงพึมพำว่าผมโตแล้วนะ อย่างเอ็นดู
“ได้สิครับ ยังไงก็อยู่ห้องติดกันอยู่แล้ว” เขาว่าก่อนจะเอ่ยคำอำลาสั้นๆ แล้วเดินกลับห้องไป ผิงหันหลังเดินกลับมาหาน้องชายที่ยืนทำหน้าบูดอยู่ด้านหลัง
“เดี๋ยวนี้พัฒนาหัดมีเพื่อนเป็นฝรั่งแล้วนี่” หล่อนกล่าวพลางยิ้ม ฟ่งได้ทีหยอกอีก
“ไว้คราวหลังผมจะหาแบบพูดภาษาไทยไม่ได้มาคุยกับเจ๊ดีกว่า ท่าทางน่าสนุกดี”
หญิงสาวเดินเข้ามาฟาดก้นน้องชายอีกรอบ
“โอ๊ย เจ๊ เดี๋ยวก็นั่งไม่ได้พอดี” ฟ่งโวยยกมือลูบก้นป้อยๆ วันนี้เขาโดนตีไปกี่หนแล้วล่ะนี่ ชายหนุ่มหันมองพี่สาวที่เดินกลับเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ในห้อง
“เจ๊จะกลับล่ะหรือ?”
คนถูกถามพยักหน้า น้องชายมีสีหน้าแปลกใจ
“รีบกลับจัง”
“ตอนบ่ายต้องไปธุระต่อน่ะ”
“ออ”
ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก นึกดีใจที่พี่สาวอุตส่าห์แวะมา แต่ก็นึกใจหายที่ไม่นานก็ต้องไปแล้ว ผิงเดินมาหาน้องชายและโอบกอดเบาๆ
“ดูแลตัวเองดีๆหน่อยนะ” เธอพูดพร้อมกับลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดู
“เจ๊ก็ด้วยนะ” ฟ่งกอดพี่สาวแน่นด้วยความรัก เธอเป็นพี่สาวคนเดียวของเขา และเป็นคนที่เขารักมากที่สุด
“แล้วเจ๊จะแวะมากวนใหม่”
ผิงโบกมือลาผ่านกระจกรถ ฟ่งโบกมือตอบ เขาตัดสินใจเดินมาส่งพี่สาวด้านล่าง ชายหนุ่มมองดูฮอนด้าซีวิคสีบรอนด์คันนั้นแล่นฉิวออกไปจากลานจอดรถจนสุดสายตา พยายามบอกกับตัวเองไม่ให้รู้สึกใจหายมากนัก พลางก้าวเท้ากลับขึ้นคอนโด เขาสวนกับรูฟัสตรงล็อบบี้ หนุ่มลูกครึ่งรัสเซียอยู่ในชุดเสื้อทีเชิ๊ตกางเกงขาสั้นอีกเช่นเคย เขาสะพายเป้ใบเดิม ฟ่งโบกมือทักทันทีพลางนึกถึงวันที่พบกันแรกๆ รูฟัสดูจะชอบออกไปเที่ยวมากกว่าหางานทำจริงๆ จังๆ เสียอีก นี่คงเพราะมีสมบัติเก่าติดตัวไม่เหมือนเขาที่ต้องปากกัดตีนถีบไปวันๆ ล่ะมั้ง
“พี่สาวกลับแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเป็นมิตรเช่นเคย ฟ่งมองดูดวงตาสีแปลกของรูฟัสแล้วนึกขำ คนคนนี้คงไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครจำได้ไม่ได้หรอก ก็สีตาออกจะเด่นขนาดนี้
“ครับ” ฟ่งตอบ รูฟัสยิ้มเหมือนทุกวัน ก่อนจะโบกมือลาพลางเดินลงบันไดไป ฟ่งทำท่าเหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง ส่งเสียงเรียกชายหนุ่มไว้
“เอ้อ รูฟัส เย็นนี้ผมไม่อยู่นะครับ”
รูฟัสหันกลับมาทำหน้าแปลกใจแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ฟ่งยิ้มแหยๆ ให้เขา ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์
------------------------------
อากาศตอนบ่ายสามในวันที่แดดร้อนเปรี้ยงของประเทศไทยนั้นแย่พอๆ กับการเข้าไปเดินในเตาอบเลยทีเดียว รูฟัสยกผ้าเช็ดหน้าขนหนูสีขาวขึ้นมาซับเหงื่อไหลหยดอย่างกับเพิ่งอาบน้ำ ก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม เขาเพิ่งลงจากรถเมล์ และกำลังมองหาประตูทางเข้าตามรั้วเหล็กสีเขียวเข้มที่งอกสูงขึ้นมาจากฐานคอนกรีตฉาบหินกรวดบดละเอียด แบ่งอาณาเขตระหว่างพื้นผิวการจารจรที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันจากท่อไอเสีย และพื้นที่ที่เรียกกันว่าปอดของกรุงเทพมหานคร
ในที่สุด หลังจากเดินเลียบขอบรั้วมาพักหนึ่ง เขาก็พบประตูที่มีผู้คนเดินเข้าออกพลุกพล่าน ผู้คนมากมายต่างพาครอบครัวมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ รูฟัสมองดูกลุ่มวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ปั่นจักรยานสามตอนแข่งกันผ่านหน้าไปด้วยความสนใจ เขาไม่เคยมีโอกาสได้ทำเช่นนี้เลย ท่าทางมันคงสนุกน่าดู เขาพยามนึกชื่อคนที่น่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้กับเขาได้ แต่แล้วก็ต้องทำหน้าย่น เมื่อคนแรกที่นึกถึงคือราฟาแอล หมอนั่นคงไม่มาเล่นอะไรแบบนี้กับหนุ่มๆ อย่างเขาหรอก แต่ถ้าเป็นสาวๆ ชวนคงวิ่งเข้าใส่แบบไม่คิดอะไรเลยเป็นแน่ รูฟัสถอนหายใจอย่างนึกขำกับความคิดตัวเอง ชีวิตของเขาไม่เอื้ออำนวยจะให้ทำอะไรแบบนั้นเท่าไหร่หรอก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง
เด็กหญิงวัยหกเจ็ดขวบในชุดเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมกางเกงขาสั้นสีขาว มองดูว่าวสีเขียวรูปงูหางยาวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะของเธอด้วยสายตาละห้อย และพยายามจะดึงมันลงมา แต่ยิ่งดึงเหมือนจะยิ่งติด ขณะที่เด็กหญิงกำลังพยายามจัดการกับว่าวอย่างสุดความสามารถ ร่างสูงชะลูดก็เดินเข้ามาเอื้อมมือขึ้นไปดึงมันลงมาให้ เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประทับใจและรับว่าวจากมือชายหนุ่ม
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ คนมาช่วยยิ้มตอบ พอดีกับที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ตาขา พี่คนนั้นเขาช่วยเก็บว่าวให้หนูด้วยค่ะ” เด็กหญิงวิ่งเข้าไปหาคุณตาของเธอ เขาเป็นชายวัยกลางคน มีผมเรียบสั้นสีดำมีหงอกแซมเล็กน้อย รูปร่างค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน ผู้เป็นตาเบือนหน้ามาตามที่หลานสาวบอก ชายหนุ่มชาวต่างชาติลุกขึ้นโบกมือให้ ตาจูงหลานเดินเข้าไปหา
“Thanks very much” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพจริงใจ แม้สำเนียงติดออกจะแปร่งไปบ้าง ชาวต่างชาติผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ”
เด็กหญิงกระตุกขากางเกงของคุณตาอย่างตื่นเต้น
“พี่เขาพูดภาษาไทยได้ด้วย เหมือนในหนังเลย”
ตาก้มลงมองหลานด้วยความเอ็นดู “แล้วเราบอกขอบคุณพี่เขาหรือยัง”
เด็กหญิงพยักหน้า ตาเลยพูดต่อ
“พี่คนนี้เขาใจดีอุตส่าห์ช่วย เราวิ่งไปบอกคุณยายว่าขอแบ่งส้มใส่ถุงมาให้พี่เขาหน่อยได้ไหม”
“ค่ะ” เด็กน้อยรับคำรับคำ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ออกไป เขาหันมาหาผู้ที่ยืนอยู่
“เธอ...คือ รูฟัสสินะ” ผู้ถูกถามพยักหน้า
“ผมมาขอคำยืนยันเรื่องการช่วยเหลือน่ะครับ ผมทำตามที่คุณขอแล้ว ส่งข้อมูลให้คุณไม่ขาดสักหนึ่งพยางค์” เขาพูด ชายกลางคนรับคำในลำคอ
“ก็ใช่อยู่ แต่เราจับคนที่เป็นคนส่งยาไม่ได้ มันแทงคนของเราบาดเจ็บไปสองคน”
“เอ๊ะ?” ชายหนุ่มอุทานอย่างแปลกใจ
“ไม่ได้ลงไว้ในข่าวทีวีล่ะสิ คุณไม่สังเกตหรือว่ามันมีพวกมาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ เป็นผู้หญิงด้วยล่ะมั้ง” อีกฝ่ายพูดขึ้น และเหลือบตาขึ้นมองเขาราวกับจะถามว่าที่เขาพูดออกมาเป็นจริงทั้งหมดรึเปล่า รูฟัสจ้องตากลับ ยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ในที่สุดอีกฝ่ายก็เบือนหน้าออกและถอนหายใจ
“เอาเถอะ ผมจะถือว่าคุณทำงานสำเร็จ อย่างน้อยคุณก็ให้ข้อมูลที่เป็นประโยคมาก”
รูฟัสยิ้มออกมา ทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงหนึ่งทำให้เขาต้องหยุดปากตัวเองเอาไว้
“ตาจ๋า” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังแว่วมาแต่ไกล ดึงความสนใจของทั้งคู่ เธอหิ้วถุงพลาสติกสีขาวขุ่นที่ดูเหมือนจะใส่ส้มเอาไว้ข้างในสามถึงสี่ลูก
“ไหน ยายใส่อะไรมาบ้าง ขอตาดูหน่อยซิ?”
ผู้เป็นตาขอถุงจากหลานสาว ขณะรับมาเขาแอบสอดอะไรลงไปบางอย่างก่อนจะส่งถุงคืนให้หลานสาว
“เอาไปให้พี่เขาสิ อย่าลืมบอกขอบคุณด้วยนะ” พูดพลางลูบศีรษะหลานด้วยความเอ็นดู เด็กหญิงพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามา
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มพูด ขณะย่อตัวลงรับของ
“ขอบคุณค่ะ ตาพี่แปลกจัง ทำไมคนละสีกันล่ะคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย เขายิ้มกับคำพูดของเด็กหญิง เธอคงคิดว่าเขาสวมคอนแทคเลนส์ส์สีแปลกอะไรแนวนั้นอยู่ล่ะมั้ง รูฟัสชอบที่จะแสดงตาสีประหลาดของเขาในชีวิตทั่วไป เพราะรู้ว่าคนทั่วไปจะจำตาของเขาได้ก่อนจะจำหน้าเสียอีก เหมือนคนที่มีไฝเม็ดใหญ่อยู่บนหน้านั่นแหละ ใครๆ ก็จำได้ว่าเป็นคนมีไฝ แต่พอเอาไฝออก คนก็จำไม่ได้ทันที กรณีของเขาก็เช่นเดียวกัน แทนที่คนจะสนใจจำหน้าเขา ก็จะจำได้แค่ตาสีแปลกเท่านั้น พอเขาเปลี่ยนสีตา ก็ไม่มีใครจำได้แล้ว ชายหนุ่มยกมือลูบหัวเด็กน้อย
“มันเป็นมาแต่เกิดน่ะ พี่ก็มองเห็นเหมือนเรานี่แหละ” เขาว่า เด็กหญิงยิ้มตอบ
“พี่ไปเล่นว่าวกับหนูมั้ยคะ เดี๋ยวหนูจะแบ่งให้พี่เล่นก่อนเลย” รูฟัสหัวเราะอย่างเอ็นดู ขณะที่ผู้เป็นตาเดินเข้ามาใกล้ และส่งเสียงปราม
“แพรว อย่าไปรบกวนพี่เค้าสิลูก”
เด็กหญิงมองหน้าคุณตา และหันไปมองชายหนุ่มอย่างอ้อนวอนหาเพื่อนเล่น รูฟัสยิ้มอย่างใจดีและสั่นศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“พี่ต้องรีบไปแล้วล่ะ พอดีนัดเพื่อนเอาไว้” เขาว่า ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นตา
“ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับส้มนะ” เขาโบกมือให้สองตาหลาน ก่อนจะเดินแยกออกมา เด็กหญิงคว้าแขนคุณตา
“ตาคะ พี่คนตะกี้เขาต้องเป็นดาราแน่ๆ เลยค่ะ”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ” คนเป็นตาถาม
“ก็พี่เค้าหล่อกว่าคนในทีวีอีกนี่คะ” ชายวัยกลางคนหัวเราะกับคำตอบ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเกือบจะไม่เชื่อตัวเองว่าเพิ่งได้เจอกับคนที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่ตาสีแปลกแบบนั้นคงไม่ผิดตัวแน่ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นที่ต้องการเพราะใบหน้าหรือสีตา แต่เพราะสิ่งที่เขาทำต่างหาก
ผู้เป็นตาจูงมือหลานกลับไปหาภรรยาที่นั่งจัดตะกร้าใส่อาหารอยู่ พลางนึกถอนใจ บางทีสิ่งที่เขาให้ไปพร้อมกับส้มอาจจะไม่ถูกใช้เลยก็ได้ แต่หากถูกใช้ เรื่องราวใหญ่โตก็คงรออยู่เบื้องหน้า เขาควรเตรียมพร้อมเผื่อเอาไว้สำหรับกรณีนี้
------------------------
บทที่6-10 >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25824.0