มาต่อให้ดึกไปหน่อย โทดทีค้าบ
*******************************************************************
ผมนอนดูเหล่าดวงดาวที่สุกสว่างกระจ่างเต็มพื้นฟ้าสีดำสนิท กับแสงดาวบนดินเบื้องล่างจากเหล่าแสงไฟ ณ ตัวเมืองเล็กๆที่มีชื่อน่ารักๆว่า “ปาย” บนเนินเขาแห่งนี้ มันช่างเงียบสงัด สงบนิ่ง ไหวติงเพียงกิ่งไม้ยามสายลมแตะเบาๆที่ปลายยอด
“คุณเกียร์ จะเอาอะไรมั้ยคะ เดี๋ยวเปิ้ลจะเข้านอนแล้ว” เสียงแม่บ้านประจำของที่นี่เดินมาถามผมที่แห่งนี้ นอกชาน
เสียงสาวเหนือนี่ฟังแล้วมันช่างไพเราะเสียจริง นุ่ม ละมุน อ่อยอิ่ง สงบ เย็น
“ไม่ล่ะคับพี่ ขอบคุณมาก พี่ไปนอนเถอะคับ”
“ดึกแล้ว นอนตากน้ำค้างจะไม่สบายได้นะคะ” พี่แกเดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย ตลอดเวลาหลายวันที่ผมมาพักกายพักใจที่นี่
ก็ได้พี่เปิ้ลนี่แหละคับคอยดูแล
“ไม่เป็นไรหรอกคับ อีกเดี๋ยวผมคงเข้านอนแล้ว” ผมยิ้มให้พี่เปิ้ล
“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ ไม่กวนแล้วดีกว่า มีอะไรไปเคาะเรียกได้ตลอดเลยนะ”
“ค้าบ ขอบคุณมากคับ” พี่เปิ้ลยิ้มให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าตัวบ้านไป
ผมนอนมองดาวมองเดือนต่อไป ความเงียบพัดพาอยู่รายรอบนานแสนนาน เมื่อความรักมาทักทายมันพารอยยิ้มมาให้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดูสดใสสวยงาม เหมือนยามดอกไม้บานสล้างเต็มท้องทุ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อมันจากไป พลังทำลายล้างมันช่างมีอานุภาพสาหัส
ไม่ต่างไปจากพลังสร้างสรรค์เมื่อยามรักมีอยู่
หลายๆภาพ ลอยไปมา ใบหน้าของพีช เรื่องราวระหว่างเรา วันแรกที่เราพบกัน จวบจนช่วงเวลาสุดท้ายที่เราจากกันด้วยไม่ดีเท่าไหร่ น้ำตาลูกผู้ชายมันซึมออกมาเล็กน้อยพอให้ขอบตาแดงช้ำแต่ไม่ถึงกับสะอื้นไห้ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู นึกถึงไอ้แมคที่เคยบอกฝันดี
มันแทบทุกคืน ป่านนี้ไม่รู้ไอ้เด็กนั่นมันจะกลับห้องหรือยัง
บางนิ้วขยับกดข้อความบางอย่างส่งไปถึงไอ้คนดูแลไอ้แมค ผมมองดวงจันทร์ที่เหลืองนวลแอบอิงอยู่ชายขอบก้อนเมฆ
-----อย่าเมาไปนอนที่อื่นล่ะไอ้น้อง กลับไปดูไอ้แมคด้วย-----
แล้วกดส่งไป ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเบาๆ ขนาดรุ่นน้องข้างห้องที่แทบไม่เคยคุยกัน เค้ายังมีน้ำใจช่วยเหลือมึงเลยไอ้เกียร์เอ้ย แล้วผู้หญิงที่มึงรัก ดูแล ทะนุถนอมแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายเป็นไงวะ เคยคิดถาม เป็นห่วงเป็นใยมึงบ้างมั้ย ว่ามึงจะเป็นยังไงบ้าง
ยามไม่มีเขาอยู่แล้ว เฮ้อ
ผมตัดสินใจฝากไอ้แมคกับกีตาร์ตัวโปรดที่เคยเล่นทุกวันคืนไว้ที่คนซึ่งผมแทบไม่รู้จักเลย เพราะยังทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นพวกมัน
สิ่งที่เคยมีความหมายมากมายต่อชีวิตผมและคนรักเก่า มันคงแย่เหี้ยๆ ถ้าผมต้องทนเห็นกีตาร์ที่ผมเคยเล่นให้พีชฟัง
กีตาร์ที่ผมเล่นที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่เราเจอกันครั้งแรก และเสียงของมันทำให้เธอยิ้มให้ผม ผมจะทนให้อาหาร ล้างกรง
ดูแลไอ้แมคต่อไปอย่างไร เมื่อเธอเคยช่วยผมทำอยู่เสมอ คอยว่าคอยบ่นเมื่อผมลืมเอาใจใส่ไอ้แฮมสเตอร์ตัวเล็ก
ตอนที่ผมคอยปลอบเธอที่ร้องไห้อยู่นานยามแฟนไอ้แมคมันตายไป รู้สึกตัวเองขี้ขลาดและไร้ความกล้าหาญจะเผชิญกับความจริง เหมือนไอ้ขี้แพ้ที่ทนเห็นลูกฟุตบอลที่เพิ่งเล่นจบเกมส์ไปไม่ได้ มันน่าอายนัก แต่ไม่นานนักผมจะกลับไปรับพวกมัน
กลับคืนมาสู่ชีวิตอีกครั้ง ชีวิตที่มีเพียงผมคนเดียว...
“คุณๆ คุณเกียร์คะ” เสียงคุ้นๆของพี่เปิ้ลดังอยู่ใกล้ๆ
“อ้าว เช้าแล้วหรอคับ” ผมตื่นขึ้นมาก็พบกับหมอกหนาและท้องฟ้ายามเช้าของหมู่เนินเขาเมืองปาย
แสงดาวและเดือนจันทร์ได้หายลับไปแล้ว ยังมีเช้าวันใหม่ส่งยิ้มมาถึงผม
“เมื่อคืนคุณเกียร์นอนที่นี่ตลอดเลยหรอคะ ตากน้ำค้างตากลมหนาวขนาดนี้ มีไข้มั้ยคะเนี่ยะ” พี่เปิ้ลพูดท่าทางห่วงผม ก็แน่ล่ะคับ อุณหภูมิไม่เกินสิบองศา กับเสื้อยืดแขนยาวไม่หนาเลยที่ผมสวมอยู่ตัวเดียวกับกางเกงเลขายาวบางๆนั้นมันไม่เหมาะสมกันเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรหรอกคับ แต่...ขอชาร้อนๆสักแก้วก็ดีนะคับ แหะๆ” ผมยิ้มให้พี่เขาอายๆ ที่จริงก็ตั้งใจจะลุกไปทำเอง แต่รู้สึกว่าทั้งตัวผมมันชื้นเปียกไปด้วยน้ำค้างยามดึกและละอองหมอกยามเช้า ปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ล่ะคับ
“ค่ะ สักครู่นะคะ” พี่เปิ้ลยิ้มรับ และเดินไปที่เคาเตอร์ไม้เล็กๆที่มีพวกชา กาแฟตระเตรียมไว้ ส่วนผมก็ลุกเดินกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ สระผมจะดีกว่า อากาศแบบนี้ น้ำที่อาบช่างเย็นสะใจดีจริงๆ
“หนาวเว้ยยย”
ผมตะโกนให้ตัวเองฟัง มันหนาวจริงๆคับ หนาวจนน้องชายไอ้เกียร์ตั้งโด่เด่เลย (เกี่ยวไรกันวะ ฮ่าๆๆ)
สักพัก อาบไปอาบมามือข้างหนึ่งไม่แน่ใจว่าซ้ายหรือขวาก็เริ่มจัดการกับมัน เพื่อให้ไอ้ที่มันลุกสู้อยู่ยอมศิโรราบ
“โอ้ว โอ้...อ้าส์” และแล้วมันก็สงบลงในเวลาไม่เกินยี่สิบนาที
เดินออกไปที่นอกชานก็เห็นชาวางอยู่แล้ว มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ท่าทางทั้งคู่คงรักกันมาก
แววตาที่ทั้งสองมองกันและกันนั้น
ผมเคยมี...และจากไปแล้ว
หลังจากชาหมด ผมก็ยืมจักรยานพี่เปิ้ลพร้อมคว้ากล้องถ่ายรูปคู่กายสะพายไหล่ไปท่องในตัวเมืองเล็กๆเสียหน่อย เป็นเรื่องปกติที่ผมทำประจำอยู่แล้วเวลามาที่นี่ แม้ว่าปายจะไม่มีอะไรแต่มันมีอะไรเสมอ
ไม่นานนักเมื่อผมขี่เข้ามาถึงในตัวตลาด ชายแก่กับเด็กหญิงวัยซนก็ทำให้ผมต้องหยุดและขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก เห็นสองคนต่างวัยเล่นกันอยู่พาลให้นึกถึงอากงที่เคยพาผมไปนั่งร้านกาแฟปากซอยยามเช้าเพื่อกินข้าวมันไก่กับชาเย็น ก่อนจะเดินไปส่งผมที่โรงเรียน
ผมยิ้มให้ชายชราที่สังเกตุเห็นผมพอดีหลังจากกดชัตเตอร์ เขายิ้มให้ผมเช่นกัน
ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ้มให้อากง หวังว่าอากงจะยิ้มให้ผมเหมือนเคย
จากนั้นก็ขี่ไอ้สองล้อออกนอกตัวเมืองไปยามไอแดดเริ่มอบอุ่น ทำให้สายหมอกจางลง ไปที่แห่งหนึ่งที่ผมชอบไปทุกวันตั้งแต่มาที่ปาย มันคือบริเวณสะพานประวัติศาสตร์ ผมจอดรถไว้ริมถนนแล้วก็ไปถ่ายรูปสะพานนี้เฉกเช่นทุกวันที่เคยทำ มันทำให้นึกและระลึกถึงประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะกี่วันเวลาที่ผมถ่ายภาพมันไว้ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง สงบนิ่งท่ามกลางสายหมอกเพื่อหยุดอดีตไว้ สำหรับผมเมื่อมาที่นี่...ภาพของสงครามไม่เคยเลือนหาย
“มาคนเดียวหรอคับ” เสียงชายคนหนึ่งวัยเดียวกันทักผม ที่ริมตลิ่งแม่น้ำปาย ดูลักษณะท่าทางเขาคงเป็นศิลปิน
“คับ มาเที่ยวหรอคับ” ผมยิ้มให้เขา และทักไปตามมารยาท
“คับ เพิ่งสอบเสร็จเลยขับรถมาจากเชียงใหม่ คุณล่ะ”
“คล้ายๆกันแหละคับแต่ผมมาไกลกว่า” ผมยิ้มให้พร้อมตอบ เขายิ้มให้ มิตรภาพระหว่างทางที่มีไม่บ่อยนักในสังคมเมืองหลวง
แล้วผมก็เดินลัดเลาะริมตลิ่งต่อไปอีก
หันกลับไปอีกทีชายหนุ่มคนนั้นก็มีเพียงกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ เปลือยอกท่อนบนพลางให้ผมแปลกใจว่า มึงไม่หนาวหรือไงวะ
พอเห็นผมหันไปมอง เขาก็ยิ้มให้อีกครั้ง
“ลองเล่นน้ำดูสิครับ บรรยากาศเย็นๆสงบๆแบบนี้หายากนะคับ”
เขาพูดก่อนจะค่อยๆเดินลงน้ำไปจนเหลือเพียงร่ายกายเหนือส่วนท้องที่โผล่พ้นสายน้ำ
ผมก็กำลังงงกับไอ้หมอนี่ อารมณ์ไหนวะ กูว่ากูติสต์แล้ว แม่งห่าหนิ บ้ายิ่งกว่ากูอีก พอนึกขึ้นได้ก็ไม่ลืมหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้
สายน้ำ ชำระล้าง เหลือเพียงแค่ตัวตนจริงๆ
“ระวังตะคริวนะคับ” ผมตะโกนและส่งยิ้มมิตรภาพให้ ก่อนจะเดินย้อนกลับมาที่ตีนสะพาน แล้วขี่จักรยานต่อไป
************************************* **************************************
การติดต่อจากไอ้พี่เกียร์ขาดหายไปสองวัน และผมยังคงต้องดูแลไอ้แมคต่อไปดังเดิม
“เฮ้ย เมื่อไหร่พี่เค้าจะมาเอาไอ้หนูนี่กลับไปวะ” ไอ้แบงค์ถามตอนเดินเข้ามาในห้องผม
“ลืมไปแล้วมั้ง” ไอ้ฝุ่นที่เดินตามเข้ามาพูดต่อ
“เค้าบอกเค้าอยู่ปาย เดี๋ยวกลับมาจะมารับไปว่ะ” ผมตอบพวกมันไป ให้พวกมันหายเคลือบแคลงใจ แต่ในใจก็คิดอยู่ หรือแม่งปล่อยให้กูเลี้ยงเลยวะ ภาระเจรงๆ เวรกรรมของไอ้เต้
“เอาน่า คนให้น่ารักขนาดนั้น ถือว่าเป็นบุญของมึงแล้ว” คงไม่ต้องบอกว่าใคร แบบนี้มีไอ้ทอปนั่นแหละที่จะพูด
“ไอทอป ไม่เลิกนะมึง” ผมดุมันไป
“เล่นๆน่ะพวกมึง ไรกันวะแค่นี้” ไอ้แบงค์พูด ทำให้สงครามสงบลงไป
“คือกูมีเรื่องจะบอกมึงน่ะ”
ไอ้ตั้นพูดขึ้น เสียงเป็นงานเป็นการนิดนึง อะไรหว่า ไอ้เต้เริ่มร้อนตัว ในใจนึกถึงหน้าพี่เกี๊ยงลอยมา กูซวยแน่ๆ
“คือวันนั้นที่มึงไปเที่ยวอ่ะ” ไอ้ฝุ่นพูดต่อ...แน่ๆเลยมึง
พวกมันเงียบไปสักพัก ผมก็เหงื่อตกมองหน้าพวกมันทีละคน ทีละคน เอาไงดีวะ เป็นไงเป็นกันวะ
ไอ้แบงค์เดินเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ แล้วล้วงเข้าไปในประเป๋ากางเกง
“อ่ะ วันนั้นที่มึงออกไปก่อนสามพัน พวกกูเอาเงินกลุ่มมาคืนและ ขี้เกียจมานั่งหารใหม่ โอเคป่ะ” ไอ้แบงค์หยิบแบงค์พันยื่นให้ผมสามใบ มันคงหมายถึงที่ไปกินเหล้าครั้งก่อน พอดีผมออกไปก่อนแล้วก็ยังไม่ได้เคลียร์ตังค์กัน
“อ่อๆเออๆ...”
ไอ้เต้โล่งเลยคับ กอดคอไอ้แบงค์แล้วบอกพวกมัน
“ขอบใจมากพวกมึง”
“มึงจะซึ้งอะไรนักหนาวะ แค่พวกกูคืนตังค์ให้ หรือไม่เอาแล้ว จะได้เก็บ” ไอ้ตั้นแซวผม ตังค์น่ะเอาเว้ย แต่กูซึ้งคนละเรื่องเดียวกันต่างหาก ฮ่าๆๆๆๆๆ ว่าแล้ววงไพ่ก็เริ่มขึ้นที่ห้องผม อีกแล้วคับท่าน
************************************************
:oni2:ไปนอนและค้าบทุกคน ฝันดีนะคับ จุ๊บๆ