Because of you ซน ตอนที่ 13 แย่ง
เสียงบีบแตรดังลั่นบ้าน ผมขยับมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มเป็นรอบที่ร้อย ไม่รู้ว่าใครมาแต่เช้า ไม่รู้ว่าญาติใครเสีย พอเงยหน้าหันไปมองนาฬิกาที่อยู่ข้างฝาบอกเวลายังไม่เจ็ดโมงดีด้วยซ้ำ แม่งเอ๊ย!!!ใครมาแต่เช้าวะเนี่ย
“น่านใครมาก็ไม่รู้” ผมเอื้อมมือไปกระตุกเสื้อน่านฟ้าเบาๆเป็นการบอกให้มันลุกไปเปิดบ้าน
“อืออ” อือพ่อง มึงเป็นเจ้าของบ้านไม่ใช่เหรอน่าน มึงลุกไปเปิดประตูดิวะ ผมลุกขึ้นนั่งขยี้หัวตัวเองแบบลวกๆ ก่อนจะมองท่าทางหลับปุ๋ยของไอ้น่านอย่างหมั่นไส้ พอคิดได้ว่ามันน่าหมั่นไส้เกินความจำเป็นเลยจัดการถีบไปที่ท้องมันทีนึง “ลุกดิ๊”
“โอ้ย เจ็บ”
“ก็กูถีบให้เจ็บ ลุกดิ๊น่าน”
“อะไรของมึงวะซน”
“มึงไม่ได้ยินหรือไงเสียงใครไม่รู้บีบแตรอยู่หน้าบ้านอ่ะ”
“บ้านอื่นหรือเปล่า” มันงัวเงียแล้วทำท่าจะล้มลงต่อ
“บ้านอื่นเหรอวะ”
“ใช่ดิ ก็กูไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว นอนๆ” น่านฟ้ากวักมือเรียกให้ผมล้มตัวลงไปนอนบนแขนมัน
ปรี๊ดดดดดดดดดดด ปรี๊ดดดดดดดด
“คุณน่านฟ้า คุณน่านฟ้า บ้านหลังนี้มีคนอยู่ไหมครับ”
“แล้วน่านฟ้าที่ตะโกนเรียกจากด้านล่างนั้นน่ะชื่อมึงหรือชื่อหมาข้างบ้านวะ”
“ครับน่านฟ้าเนี่ยชื่อผมเอง” น่านฟ้าส่ายหัวเบาๆแล้วขยี้หัวผมทีนึงก่อนจะลุกเดินออกไป ได้ยินมันบ่นกับตัวเองงึมงัมว่าใครมาแต่เช้าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญคงได้มีมหากรรมด่าแม่กันแน่นอน
ผมมองการกระทำมันอย่างขำๆแต่ก็ขำไม่ได้นานหรอกครับ เพราะความง่วงแม่งมีเยอะกว่า เลยล้มตัวลงนอนอีกรอบ ตื่นมาอีกทีเกือบๆเที่ยง ปกติน่านฟ้าก็ตื่นประมาณนี้ แปลกที่วันนี้มันไม่ขึ้นมานอนต่อ ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟันแล้วเดินลงมาข้างล่าง มองหามันจนทั่วทั้งในบ้านแต่ก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงไอ้เงินกับไอ้ทองเห่าเสียงดังอยู่หน้าบ้าน จนสุดท้ายเดินออกมาถึงรู้ว่ามันก็อยู่นี้เหมือนกัน
“ทำอะไรกันวะ” ผมเดินไปตามเสียงเห่าของไอ้เงินไอ้ทอง เห็นมันกำลังกัดสายยางที่ไอ้น่านฉีดไม่หยุด แม่งน่ารักดี แต่แม่งความน่ารักทุกอย่างในความคิดผมสะดุดลงทันทีที่สายตาไปปะทะกับของใหม่อีกสองอย่างที่อยู่หน้าบ้าน “มึง”
ของใหม่ที่ไอ้น่านเอามาทำผมสตั้นไปหลายวิ สีหน้าผมตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากการมองเห็นสาวสวยตรงหน้า
“ไง สวยอ่ะดิ คันนี้ลูกรักกูเลยนะเว้ย”
ผมมองรถสองคันที่จอดอยู่ด้านหน้าผมอย่างเหม่อลอย คันแรกเป็นบิ๊กไบค์ซึ่งประมาณจากสายตาแล้วคิดว่าปุถุชนคนธรรมดาอย่างผมคงไม่มีปัญญาซื้อได้แน่ๆ ส่วนอีกคันเป็นซีคันสีฟ้าดูเท่ๆสไตล์อาร์ตๆ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างสองคันนั้นแน่นอนว่าคันแรกที่ผมเลือกก็ต้องเป็นบิ๊กไบค์อยู่แล้วป่ะ
“มึงงงงง” ผมขี่มอไซค์ไม่เก่ง ขี่ได้เฉพาะพวกฟีโน่ที่เป็นเกียร์ออโต้ ส่วนบิ๊กไบค์คันตรงหน้ามันมันเป็นความชอบและก็ความใฝ่ฝันที่ชีวิตหนึ่งในลูกผู้ชายควรจะได้ขี่สักครั้ง ถึงผมจะขี่แบบเกียร์มีคลาสไม่เป็นก็เถอะ “ทำไมกูไม่เคยเห็นมาก่อนวะ”
“จะเคยเห็นได้ไง คันนี้กูเอาไปซ่อม ส่วนอีกคันก็ไปแต่งอะไหร่เพิ่ม”
“เชี่ยยยยย” ผมลูบไปตามแผ่นท้องแข็งแกร่งของบิ๊กไบค์สีดำคันโต “กูขี่ได้เปล่าวะ”
“ได้ดิ แต่มึงขี่มอไซค์เป็นใช่ป่ะ” อ่า ผมเม้มปากมองหน้าไอ้น่าน ส่วนมันก็หรี่ตาเล็กมองผมอย่างจับผิด
“หยุดเลยซน”
“กูขี่ได้ ขนาดฟี่โน่กูยังขี่มาแล้วเลย”
“มันเหมือนกันที่ไหนวะ”
“ก็คล้ายๆกันแหละ ใช่ไหม” ผมกำลังจะขยับขึ้นนั่งบนบิ๊กไบค์แต่ไอ้น่านแม่งนิสัยเสียล็อคคอผมไว้ได้ก่อน “มึงขี้หวงเหรอน่าน”
“กูเปล่าหวง”
“ไม่ได้หวงก็ปล่อยกูดิวะกูจะขี่แล้ว”
“มึงหัดก่อนไหม รถกูคันล่ะไม่ใช่แค่พันสองพันนะเว้ย”
“หัดจาก...”ผมเอียงคอถามน่านฟ้า มันเลยชี้ไปที่คันที่อยู่ใกล้ๆ “มึงบ้าเหรอให้กูหัดจากซีเนี่ย” ไร้สาระที่สุดคนเท่ๆอย่างผมจะมาหัดจากรถคันล่ะแค่ไม่กี่หมื่น มันดูถูกผมเกินไป
“ขี่มอไซค์แบบไม่ใช่เกียร์ออโต้มันก็ต้องเริ่มจากคันเล็กๆก่อนดิวะ ซีก็เป็นหนึ่งในคันที่ไม่ใช่เกียร์ออโต้ มึงก็หัดจากมันไปก่อนดิ”
“พูดเยอะแยะขนาดนี้ก็บอกมาเลยเหอะว่าหวง”
“ก็บอกแล้วว่าเปล่า”
“เปล่าก็เงียบไปเลย” ผมเบื่อจะเถียงกับแม่งแล้วครับแล้วก็ไม่สนด้วยว่ามันจะรักรถคันนี้มากแค่ไหน ผมจัดการปีนขึ้นไปนั่งบนรถมอไซค์แล้วพยายามอย่างมากที่จะยกรถให้มันตั้งตรงโดยไม่ต้องใช้ขาตั้ง แต่รถแม่งหนักมากครับ
“เฮ้ยๆๆๆ” ส่วนไอ้คนที่ทำเสียงดังอยู่ตรงหน้าก็เว่อร์มาก ตอนที่ผมขึ้นคร่อมมอไซค์มัน ไอ้น่านนี่แทบจะเข้ามาช้อนตัวมอไซค์สุดที่รักของมันอยู่แล้ว
“มึงอย่าเว่อร์ได้ป่ะน่าน” ผมขมวดคิ้วด่ามันแล้วพยายามจะประคองมอไซค์ขึ้นมาใหม่อีกรอบ ผมประคองได้แล้ว และก็มั่นหน้าด้วยว่าสามารถยืนด้วยขาตัวเองแบบไม่ต้องยันขาตั้ง เลยตัดสินใจเอาขาตั้งขึ้น...เท่านั้นแหละ
โครมมมมมมมมม
ต่อหน้าต่อทั้งผมกับมันและสักขีพยานอีกสองตัวที่ยืนมองกันตาปริบๆ
“มะ...มึง”
“เอ่อ....” ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะในหัวมีแต่เสียงวิ้งๆเต็มไปหมด พอผมหันไปมองไอ้น่านมันก็ทรุดลงไปนั่งยองๆกับพื้นแล้ว
“พี่น่าน” เปลี่ยนสรรพนามทันที “ซนขอโทษนะ” พอผมเปลี่ยนสรรพนามตัวเองเท่านั้นแหละน่านฟ้าขมวดคิ้วทันทีก่อนจะลุกขึ้นหันหลังให้ผมแล้วเดินไปหยุดยืนตรงซากรถที่นอนแอ้งแม้งตายอยู่บนพื้น
“เดี๋ยวซนยกเองก็ได้” ผมทำท่าจะเดินเข้าไปยกแต่น่านฟ้าส่ายหัวแล้วเป็นคนยกขึ้นมาเอง สภาพด้านข้างที่สีไปกับพื้นปูนมีรอยขีดข่วนกับรอยกระจกที่บิ่นเล็กน้อย ถ้าผมเป็นมันผมคงด่าแบบไม่ได้ผุดได้เกิดแล้วอ่ะ มันก็บอกอยู่ว่าลูกรัก แสดงว่ารักมาก แล้วผมแม่งทำลูกรักมันถลอกงี้....
เกลียดกูแล้วสินะ
“พี่น่าน”
“เงียบเลย” ผมงับปากทันที่ที่จบประโยค น่านฟ้าเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไรกับผมสักคำ ไอ้เงินกับไอ้ทองยังส่งสายตารังกียจมาให้ผมอ่ะ “มึงเป็นแค่หมาจะมารู้ดีอะไร กูไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
ผมอุ้มไอ้เงินไอ้ทองมาไว้บนตัก แล้วนั่งรอน่านฟ้าอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน
“ครับพี่...โทษทีนะพี่...ผมรบกวนอีกรอบนะครับ...ขอบคุณมากครับพี่..ครับ...หวัดดีครับ” ตอนที่มันคุยโทรศัพท์สายตามันก็จ้องจิกทำลายร้างผมไปด้วย ผมจะทำไรได้วะนอกจากทำหน้าสำนึกผิดแล้วแสดงความรับผิดชอบเต็มที่
“ค่าซ่อมเท่าไหร่อ่ะพี่น่านเดี๋ยวซนออกเองก็ได้นะ” พูดเพราะไว้ก่อนล่ะวะ แม่งต้องอ้อนมันก่อนอ่ะ
“กระดากปากไหม ที่พูดอ่ะ”
“แหะ แหะ ก็นิดนึง”
“กลับมาพูดแบบเดิมก็ได้ กูไม่ว่าอะไรหรอก”
“กูขอโทษนะน่าน กูไม่ตั้งใจ ยังไงค่าซ่อมกูยินดีรับผิดชอบเองทุกอย่าง” มันคงไม่กี่พันหรอกมั้ง
“มึงคิดว่าทำสีใหม่กับเปลี่ยนกระจกบิ๊กไบค์มันเท่าไหร่กัน” น่านฟ้ามองผมด้วยสายดูถูก มันคิดว่าเงินไม่กี่พันผมไม่มีปัญญาจ่ายหรือไง
“คงไม่กี่พันป่ะ”
“สมองงงง” ไอ้น่านพูดพร้อมกับเอานิ้วจิ้มลงมาที่หัวผม “กูประเมินจากสายตาแล้วคงไม่ต่ำกว่าหมื่น”
“มึงเว่อร์ป่ะน่าน”
“กูพูดจริง”
“โหวววว มันจะแพงเชี่ยอะไรขนาดนั้นวะ เวลามึงซื้อรถมึงใช้สมองซื้อหรือใช้ขี้เลื่อยในหัวซื้อกันแน่ รถแม่งก็แพงอยู่แล้ว อะไหล่ซ่อมยังแพงอีก คนที่ซื้อรถพวกนี้นี่โง่หรืองโง่วะ” ผมบ่นไปเรื่อย ลืมสนิทเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนทำรถมันพัง แล้วก็ยังไปด่ามันอีกทั้งๆที่ตอนแรกผมก็อยากได้ไม่ต่างจากมัน
“ปากดี” น่านฟ้าจับหน้าผมด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะก้มลงมากัดที่ริมฝีปากล่างผมอย่างแรง ผมรู้ว่ามันโกรธ แต่มันก็ไม่ได้ทำร้ายร่างกายผมมากไปกว่านี้ หลังที่มันดูดปากผมจนหนำใจมันก็ผละหน้าออก ผมมองหน้าไอ้น่านนิ่งๆรอดูท่าทีว่ามันจะพูดอะไรไหม แต่มันก็ไม่พูดอะไร สุดท้ายผมนี่แหละที่ต้องพูดเอง
“กูขอโทษ หายโกรธกูเถอะนะ” พูดไปก็จับริมฝีปากตัวเองไป เพราะสิ่งที่ผมรับรู้ได้คือความเจ็บพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดนิดหน่อย มันกัดปากผมจนห้อเลือดเลยแม่ง ซาดิตส์ฉิบ แต่ก็ช่างมันเถอะครับ เพราะครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันทำร้ายร่างกายผม (กัดปากก็ทำร้ายร่างกายเหมือนกันนั่นแหละน่า) ปากแตกแค่นี้มันคงไม่เท่ากับเงินที่ไอ้น่านจะต้องเสียไปอย่างไร้สาระเพราะผมหรอก
“ไม่ได้โกรธอะไร” ไม่ได้โกรธบ้าอะไรกัดซะปากกูฉีกแบบนี้ “แล้วนี้ มึงไม่เป็นไรใช่ไหม” ผมส่ายหน้าให้มันแทนคำตอบ ตอนที่รถมันจะล้ม ผมรู้ตัวเองดีครับมีสติทุกอย่างเลยดึงขาตัวเองออกมาทัน แต่สภาพรถไอ้น่านนี่แบบ...โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง “จริงๆแล้ววันนี้กูว่าจะพามึงไปขับรถเที่ยวกัน”
“ก็ไปดิ ถลอกนิดหน่อยเอง”
“กูไม่ชอบให้มันมีตำหนิ มันรู้สึกไม่สบายใจ เลยโทรเรียกช่างให้มารับแล้ว อีกสักพักคงมา”
“ขอโทษ” ผมรู้สึกผิดจริงๆนะครับ เพราะเห็นว่ามันคงอยากไปจริงๆ
“ช่างมันเถอะ”
“งั้นให้กูไถ่โทษโดยการพามึงไปแทนได้ป่ะล่ะ”
“ไปไหน”
“ก็รอบๆกรุงนี่แหละ ขับรถเล่น ถ่ายรูป แล้วก็หาของกิน แต่มึงต้องเป็นขับมันนะ” ผมชี้ไปที่ซีคันสีฟ้าแล้วยักคิ้วให้มันไปที
“เอาดิ กูก็ไม่เคยไปที่แบบนั้นสักที”
“ไฮโซเหรอมึงอ่ะ”
“ก็ประมาณนั้น” น่านฟ้ายักไหล่แล้วทำหน้ากวนตีนจนผมอดไม่ได้ที่จะเบะปากใส่มัน จริงๆแล้วผมได้มีโอกาสไปเที่ยวรอบกรุงกับเพื่อนที่วิทยาลัยหลายครั้งแล้วครับ ส่วนใหญ่พวกมันก็ไปถ่ายรูปเล่น หรือไม่ก็ไปหาของกิน ดึกๆหน่อยก็จะมีร้านเหล้าตรงถนนพระอาทิตย์ที่บรรยากาศน่านั่งจนไม่อยากกลับ ยังไงซะวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วจะยอมเป็นไกด์พาไฮโซอย่างไอ้น่านเที่ยวหน่อยล่ะกัน
หลังจากที่ตกลงกันได้ว่าจะไปไหน เราสองคนก็แวะกลับไปที่บ้านผมก่อนเพื่อไปยืมกล้องไอ้ซู แน่นอนว่าของแพงแบบนั้นผมไม่ซื้อหรอกครับ ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้นะแต่ไม่มีปัญญาซื้อซะมากกว่า ของแพงขนาดนั้นเวลาเก็บตังค์ทีแม่งหมดไปกับอย่างอื่นก่อน
“มึงชอบกล้องเหรอ”
“ชอบนะ แต่ไม่มีโอกาสได้เล่นหรอก ไม่มีเวลา แล้วก็เกรงใจไอ้ซูด้วย กลัวเอาของมันมาพัง” น่านฟ้าถามผมตอนที่ผมกำลังยกกล้องถ่ายวิวอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ผมกับมันมาถึงท่าพระจันทร์กันเกือบๆเที่ยงก่อนจะเอารถเข้าไปจอดในมหาลัยแถวๆนั้น นั่งเรือพามันมากินข้าวที่ฝั่งวังหลังก่อนแล้วกะว่าจะพามันขับมอไซค์ไปเที่ยววัดแถวๆถนนราชดำเนิน
“มึงอยากได้งั้นเหรอ”
“ทำไมมึงจะซื้อให้กู??? จริงดิ จริงเปล่า” ผมตาลุกวาวมากครับไม่สนใจด้วยว่าใครจะมองว่าผมหน้าเงิน แต่ก่อนก็มีอยู่หรอกไอ้ทิฐิที่ว่า แต่พอนานๆไปอยู่กับไอ้คนตรงหน้ามากขึ้นความหน้าเงินก็มีมากกว่าทิฐิเสียอีก
“กูบอกเหรอว่าจะซื้อให้” แม่งเอ๊ย!! ผมไม่น่าแสดงธาตุแท้ให้มันเห็นเลย สุดท้ายเลยได้แต่เบ้ปากใส่มันแล้วหันไปถ่ายรูปต่อ
“รอเรือจอดเทียบท่าสนิทก่อนนะครับแล้วค่อยข้าม ก่อนลุกเช็คของก่อนออกจากที่นั่งด้วยนะครับ” เสียงเจ้าหน้าที่ท่าเรือตะโกนบอกผู้โดยสาร พอขึ้นจากเรือผมก็พาไอ้น่านไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยของวังหลัง ต่อด้วยขนมเจ้าดัง ก่อนออกจากวังหลังผมแวะซื้อของกินไปฝากม๊ากับป๊านิดหน่อย หลังจากนั้นก็พากันขึ้นเรือข้ามฝั่งกลับมาที่ท่าพระจันทร์อีกรอบ ไอ้น่านบ่นผมใหญ่ว่ากะอีแค่กินข้าวธรรมดาๆทำไมต้องลำบากนั่งเรือมาด้วย ก็ร้านที่ผมพามันไปกินอร่อยจริงๆนี่หว่า แล้วแม่งทำมาเป็นบ่นผมเห็นมันกินตั้งสองจานด้วยเถอะ
เสร็จจากวังหลังผมก็ให้มันขับรถลัดเลาะไปตามถนนราชดำเนินที่แรกที่ผมแวะคือวัดภูเขาทอง เราจอดรถอยู่ด้านล่างแล้วเดินขึ้นไปบนเขา คนค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปของผมเท่าไหร่ เวลาที่ผมหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง รูปที่ผมอยากได้มุมที่ผมต้องการบางอย่างมันก็ได้มาโดยที่ทำเอาผมเกือบจะบาดเจ็บอย่างคราวนี้ก็เกือบตกบรรไดเพราะมัวแต่ถ่ายรูปตีระฆัง ถ้าไม่ได้ไอ้น่านจับไว้ผมคงตกบรรไดตายไปแล้ว
“ยังมีหน้ามายิ้มใส่อีก รู้งี้ปล่อยให้ตกบรรไดตายไปก็ดี”
“กูรู้หรอกน่าว่ามึงไม่มีทางทำแบบนั้น” ตอนนี้ผมกับน่านฟ้ากำลังนั่งอยู่ในร้านนมชื่อดังย่านนี้ ระหว่างที่รอเขาเอาของมาเสิร์ฟผมก็เช็ครูปไปพรางๆ แปลกใจตัวเองเหมือนกันครับเพราะมีหลายรูปมากๆที่ผมถ่ายคนที่อยู่ตรงหน้า ผมเป็นประเภทที่ไม่ชอบถ่ายรูปบุคคล รูปส่วนใหญ่ที่ผมถ่ายมักจะเป็นสถานที่ ต้นไม้ หรือพวกสัตว์ สิ่งของ ขนาดกับน้องเอยผมยังไม่ค่อยถ่ายเก็บไว้เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมในมือผมตอนนี้กลับมีรูปไอ้น่านอยู่ในกล้อง ถึงมันจะมีไม่ถึงสิบรูป แต่แค่ไม่ถึงสิบรูปสำหรับผมมันก็มากพอให้รู้สึกแปลกแล้ว
“แล้วนี่จะไปไหนต่ออ่ะ”
“ก็คงแถวๆนี้” ผมบอกรายละเอียดคร่าวๆกับไอ้น่านว่าหลังจากนี้จะไปไหนต่อ มันพยักหน้าเข้าใจและดูตื่นเต้นกับทุกสถานที่ที่ผมพามันมา และที่สุดท้ายที่ผมพามันมาคือหน้าพระที่นั่งอนันต์ มีช่างกล้องหลายคนมาถ่ายรูปเก็บความประทับใจกันอยู่มากพอสมควร ผมบอกให้มันจอดรถในเขตที่สามารถจอดได้ ความเงียบตอนนี้กลายเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุด เพราะช่างกล้องทุกคนดูมีสมาธิกับการถ่ายรูปเสียจนผมเองก็ไม่กล้าเอ่ยปาก น่านฟ้ายืนมองคนเหล่านั้นแป๊บนึงก็หันมามองผม
“กูอยากลองถ่ายบ้าง”
“เอาดิ” ผมยื่นส่งให้มัน ไอ้น่านรับไปถ่ายรอบๆพื้นที่ ท่าทางของมันดูมีความสุขและดูตื่นเต้นจนผมอดอมยิ้มออกมาได้
แชะ
“มาถ่ายอะไรกูเนี่ย”
“ก็เปล่า ถ่ายๆไปงั้น”
“ลบเลย” ผมพยายามจะยื้อกล้องจากมือไอ้น่านแต่มันก็ดึงขึ้นสูงแล้วขยับลงมานั่งบนมอไซค์ที่ผมนั่งอยู่ “ไอ้น่าน เอามาลบ”
“ลบไมวะแค่รูปเดียว”
“กูไม่ชอบให้ใครถ่ายรูปอ่ะ มันน่าเกียจ”
“รู้ตัวเองด้วย”
“สัส เอามาลบดิ๊” น่านฟ้ายื่นกล้องส่งกลับมาให้ผมก่อนจะขยับขึ้นมานั่งคร่อมบนซี ผมนั่งหันข้างไงมันถึงสามารถเอาคางหนักๆมาวางไว้บนไหล่ผมได้ พอจะขยับหนีมันก็ดึงเอวผมไว้ เชี่ยแม่งนิสัยเสีย ชอบเอาหัวมาวางท้าวคนอื่น
“มึงนี่เป็นโรคอะไรวะน่าน กระดูกสันคอพังหรือไง ห้ะ” ด่าแม่งก็ยังยิ้ม เกลียดแม่งจริงๆ
“เฮ้ย ห้ามลบรูปที่กูถ่ายนะ”
“ทำไม”
“ก็รูปที่กูถ่ายกูมีสิทธิ์ที่จะไม่ลบ”
“แต่มันเป็นรูปกู”
“รูปมึงแล้วกูถ่ายป่ะล่ะ”
“ก็..ใช่” ผมขมวดคิ้วทำหน้างง
“ก็ใช่ไง เพราะงั้นห้ามลบ”
“อะไรวะ รูปกูไม่ใช่เหรอ”
“อ่าวแล้วกูถ่ายหรือเปล่าล่ะ” มันถามย้ำผมอีกรอบ ซึ่งผมก็พยักหน้าว่าใช่
“นั่นไง รูปกูถ่ายเพราะงั้นไม่ต้องลบ เดี๋ยวกลับบ้านไปกูขอรูปที่กูถ่ายทั้งหมดด้วย เข้าใจ๋” นี่มันบังคับกันชัดๆ “แล้วก็พรุ่งนี้พากูไปห้างด้วย...”
“ไปไม”
“ซื้อกล้องไง”
“อ่าวไหนบอกว่าจะไม่ซื้อให้กู”
“กูบอกเหรอว่าซื้อให้มึง”
“เออออ กูเข้าใจผิดเอง มึงพูดแค่ว่าจะไปซื้อกล้องไม่ได้บอกว่าจะซื้อให้กู แม่ง”
“ฮ่า ฮ่า” ไอ้น่านหัวเราะเบาๆแล้วก้มลงมองรูปในมือผมต่อ มาคิดๆดูแล้วผมว่าชีวิตไอ้น่านมันไม่เคยขาดอะไรเลย แม่งมีทุกอย่างอยากได้อะไรก็แค่กระดิกนิ้ว สิ่งที่มันอยากได้ก็แทบจะมากองรวมกันตรงหน้า มีเงินไม่ขาดมือ และผู้หญิงก็คงไม่ขาดเหมือนกันล่ะมั้ง ถึงมันไม่เคยเล่าให้ผมฟังเรื่องผู้หญิง แต่ผมคิดว่าคนแบบมันมีอยู่แล้วไม่ต้องสืบ ใครได้มันไปเป็นแฟนคงสบายไปทั้งชาติ ขนาดผมเป็นแค่คนที่มีความสัมพันธ์ทางกายมันยังดีกับผมขนาดนี้ ถ้าใครได้เป็นแฟนมันคงจะดูแลดีแบบสุดชีวิต
แปลกนะครับพอมาคิดถึงตรงนี้ ไม่รู้ทำไมในหัวผมแว่บนึงมันกลับคิดขึ้นมาว่าถ้าน่านฟ้ามันมีแฟนขึ้นมาจริงๆล่ะ วันนั้นผมจะเสียดายหรือเปล่า แค่คิดเล่นๆผมยังรู้สึกแปลกๆกับตัวเองขึ้นมาเฉยเลย...แปลกชะมัด
“คิดไรวะ”
“กูแค่อิจฉามึง”
“อิจฉาเรื่อง”
“ก็มึงแม่งมีทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ เงินมีไม่ขาดมือ ที่บ้านกูนะจะซื้ออะไรทีแม่งต้องเก็บเงินเอง ม๊านี่แทบจะไม่ยอมเจียดเงินที่ไม่จำเป็นให้กูเลยด้วยซ้ำ” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วคิดถึงเวลาตัวเองอยากได้นู่นอยากได้นี่แล้วขอม๊ากับป๊าไม่เคยหรอกที่จะได้ดีๆต้องหาอะไรมาแลก ไอ้ซูน่ะมันมีเกรดเฉลี่ยมาแลก ร้อยทั้งร้อยคือได้แน่ๆ ส่วนคนโง่ๆอย่างผมในเมื่อเอาเกรดแลกไม่ได้ก็ต้องเอาแรงกายมาแลกแทน
“ไม่หรอก สิ่งที่กูอยากได้บางอย่างกูก็ยังไม่ได้เลย”
“มีด้วยเหรอวะ”
“มีดิ”
“อะไรอ่ะ” ไม่อยากเสือกหรอกแต่อยากรู้
“ไม่เสือกดิ”
“เอ้า ก็แค่อยากรู้ เปล่าเสือกสักหน่อย”
“มึงรู้ไปก็ช่วยอะไรกูไม่ได้หรอก เพราะสิ่งที่กูอยากได้ตอนนี้มันเป็นของๆคนอื่น” เสียงมันดูเศร้าจนผมอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ “แต่มึงไม่ต้องห่วงนะ” มึงถามกูหรือยังว่ากูห่วงมึงไหม แต่ผมไม่พูดนะ คิดเฉยๆ เดี๋ยวมันหาว่าผมขัดมัน “กูว่ากูสามารถพอว่ะ”
“สามารถ??”
“ก็ถ้าในเมื่อกูอยากได้ กูก็สามารถพอที่จะแย่งมันมาก็เท่านั้น”
“เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แย่งอะไรของมึงวะเนี่ย สำคัญระดับชาติเลยหรือไง”
“หึก็คงงั้นมั้ง” น่านฟ้ายิ้มมุมปากแล้วจับหัวผมให้หันมามองหน้ามัน ผมรู้ว่ามันจะทำอะไรเลยพยายามหันซ้ายมองขวาว่ามีคนสนใจผมอยู่หรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมถึงยอมให้มันจูบเบาๆที่ริมฝีปากโดยไม่คิดที่จะห้ามอะไรมัน
จริงๆแล้วผมว่าผมเองก็พอจะเดาอะไรบางอย่างจากคำพูดและการกระทำของมันได้นะ ถึงมันจะเคยบอกกับผมว่าไม่มีวันก็เถอะ
แต่ก็นะ ถึงพอจะเดาได้ ผมก็ไม่อยากเดา และไม่อยากรับรู้อยู่ดี
บางที...อาจจะเพราะว่าผมกลัวล่ะมั้ง กลัวว่าวันนึงสิ่งที่มันกำลังจะแย่งไปดันเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตผม เพราะถึงตอนนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคง.....
ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน
>>>>TBC<<<<
ตอนนี้ไม่มีอะไร ก็แค่ ค่อยๆรักกันเบาๆ (หราาาาาาาาาาา)
ประเด็นอยู่ที่ว่าซนรู้อะไร รู้จริงหรือเปล่าเหอะ อิอิ
รักคนอ่าน...