ตอนที่บอกว่าน่าจะห่างกันสักพัก ภูเมศเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห่างนี่คือห่างแค่ไหน แล้วสักพักที่ว่านี่ยาวนานเท่าไร
แต่ห่างที่ว่าคงไกลสุดปลายมือคว้า และสักพักที่ว่าก็ดูยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
เขาเองแข็งใจไม่ติดต่อไปทางโทรศัพท์ได้หลายวัน แต่เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหว เลือกตัวเลขชุดนั้นขึ้นมาบนหน้าจอมือถือแล้วกดโทรออกอีกครั้ง กลับพบว่าหมายเลขเดิมไม่สามารถติดต่อได้อีกแล้ว
มีแต่ที่ว่างอยู่เต็มบ้านไปหมด
หุ่นรบของเล่นหายไปจากตู้โชว์ หนังสือยาก ๆ ที่ไม่เห็นเหมาะสำหรับเด็กประถมอ่านหายไปจากชั้นหนังสือ ไม่ยักรู้ว่ามันเคยมีที่ว่างกว้างขวางขนาดนั้นมาก่อน
พร้อมภูมิเอาการบ้านมาถามเขาบ้าง แต่อาจเป็นเพราะช่วงวัยห่างกันไปหน่อย จึงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับหลักสูตรการเรียนของเด็กสมัยนี้นานพอดู เมื่อลูกชายไม่ได้คำตอบที่พอใจหรือเป็นประโยชน์นัก ช่วงหลัง ๆ เลยไม่ค่อยได้เอามาถามอีก
พอทำการบ้านเสร็จ ถามไถ่เรื่องที่โรงเรียนอย่างทุกวัน เด็กชายก็ตอบอย่างเคยเกือบทุกวันว่าเหมือนเดิม
และเกือบทุกวันเช่นกัน เขาจะนั่งทำงานอยู่ด้านหลังโซฟายาว คอยมองลูกชายขณะกำลังนั่งดูการ์ตูนหลังทำการบ้านเสร็จไปด้วย ครั้งหรือสองครั้งที่ได้ยินพร้อมภูมิหลุดปากเกี่ยวกับเนื้อหาในนั้นออกมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เรียกชื่อใครคนหนึ่งค้างไว้ครึ่งพยางค์พลางหันหน้าไปทางด้านข้างด้วยความเคยชิน จากนั้นกลับชะงักแล้วหันไปมองจออย่างเก่า
“ท่านลอร์ดจะกลับมาไหมพี่ธะ—”
เหมือนอย่างครั้งนี้...
จากนั้นไหล่น้อย ๆ ก็ห่อลง นั่งดูอยู่ได้เพียงครู่เดียวแล้วปิดโทรทัศน์ เดินไปหยิบหนังสืออ่านเล่นบนชั้นวางของตัวเองมาไว้ในมือ
ทั้งหมดล้วนเหมาะกับเด็กประถม ไม่มีอะไรอ่านยาก แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ หยิบพลิกไปมาได้สองสามเล่มค่อยวางกลับคืนที่เก่า หันมาบอกเขาว่าจะไปนอนแล้ว
ซ้ำไปซ้ำมา....คืนแล้วคืนเล่า...
และนอกจากคนจะหายไป แมวก็หายไปด้วยเช่นกัน
แมวสีส้มชื่อถุงทองตัวนั้น ภูเมศไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าเป็นของที่นี่ มันเป็นแมวหลงมา ธัญญ์กับพร้อมภูมิเลี้ยงไว้ เขาเองซึ่งแพ้ขนแมวอนุญาตกึ่งจำยอมให้ดูแลไว้ได้เฉพาะหลังบ้าน มีบางครั้งมันจะเดินโต๋เต๋เข้ามาอ้อนคนถึงในบ้านบ้างช่วงหลัง ๆ จนเผลอเข้าใจไปแล้วว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของบ้านหลังนี้
แต่หากคิดอีกที แมวตัวนั้น ธัญญ์เป็นคนดูแล เป็นคนให้อาหาร จะว่าเป็นของธัญญ์ก็คงไม่ผิด อาจเอาไปเลี้ยงด้วยแล้ว
พอเสียงแมวหายไปด้วย บ้านจึงยิ่งเงียบลงอีก
ิ่ยิ่งยามนั่งกินข้าวกันคนละฝั่งโต๊ะอาหาร คล้ายเป็นช่วงเวลาที่ความว่างเปล่าเผยตัวชัดเจนที่สุด อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นช่วงที่มีชีวิตชีวาที่สุด
ชุดเก้าอี้รอบโต๊ะซึ่งพวกเขาสองคนพ่อลูกนั่งด้วยกัน จะยังมีที่ว่างอีกหนึ่งเสมอ เพราะเคยจัดไว้พอดีกับจำนวนคน ทว่าตอนนี้ทั้งสองเพียงแต่มองมันเงียบ ๆ แต่ไม่มีใครบอกให้เอาเก้าอี้ตัวนั้นไปเก็บที่อื่น
ภูเมศมอง และมักคอยครุ่นคิดอยู่ร่ำไป ว่าคนที่เคยนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ตอนนี้จะกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
ทุกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าลูกชาย ก็อดนึกสงสัยไม่ได้เช่นกัน ว่าพร้อมภูมิคิดอะไรอยู่ อยากให้คนคนนั้นกลับมา หรืออยากให้จากไปตลอดกาล เพียงแต่ยังกลัวจะเอ่ยปากถามให้ลูกต้องนึกถึงเรื่องวันนั้นขึ้นมาอีก
“พ่อ สวัสดีครับ”
“อืม”
เขายกมือรับไหว้ วันนี้ก็เลิกงานช้าจนกลับบ้านหลังลูกชายอีกเช่นเคย ในมือถือถุงอาหารที่ซื้อจากข้างนอกกลับมาด้วยเพราะไม่ว่างทำเอง
โดยไม่รู้ตัว เขาเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ค่อยมารู้สึกอีกที ก็ตอนเห็นพร้อมภูมิถอนหายใจยาวตามมาเช่นกัน
เขาตื้อในอก เอื้อมมือไปลูบผมลูกชายเบา ๆ ดึงไอ้ตัวเล็กมากอดโดยไม่พูดอย่างอื่น
เด็กชายตัวทำตัวแข็งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยยกแขนขึ้นกอดตอบ หน้าซุกลงกับอกพ่อ มือกำเสื้อเขาไว้แน่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีเพียงความอ้างว้างบางเบาตกค้างอยู่ในอากาศ
เป็นคู่พ่อลูกที่หดหู่อะไรอย่างนี้นะ
ภูเมศกระชับอ้อมแขนขึ้นให้แน่นกว่าเก่า ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวตรงขอบตา แต่สุดท้ายแค่กะพริบตาสองสามครั้ง ความร้อนนั้นก็หายไป เหลือเพียงความโหวงเหวงในอกที่ยังคงอยู่เช่นเดิม ทั้งยังคล้ายจะขยายตัวมากขึ้นทุกที นับวัน...นับคืนที่พ้นผ่าน
เขาเองไม่เท่าไร แต่กับพร้อมภูมิ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่ดี อย่างน้อยก็ควรเปลี่ยนบรรยากาศให้ลูกชายร่าเริงขึ้นมาบ้าง
ชายหนุ่มกดจมูกตัวเองลงกลางกระหม่อมเด็กน้อยในอ้อมแขน ถามเสียงอู้อี้
“เบื่อกับข้าวถุงหรือยัง?”
พร้อมภูมิไม่ตอบ จึงถือว่าเป็นช่วงเว้นระยะให้เขาพูดต่อ
“พรุ่งนี้กินข้าวนอกบ้านกัน ตอนเย็นเดี๋ยวพ่อไปรับที่โรงเรียน แล้วเราแวะกินที่ร้านแถวนั้นดีไหม”
ลูกชายก็ยังไม่ตอบอะไรอีกเช่นเคย
แต่ในเมื่อไม่ได้คัดค้าน คุณพ่อเลยตีความเอาเองว่าตกลง
“เดี๋ยวพ่อจะมารับไปกินข้าวนอกบ้าน”
“อือ”
“ก็เลยจะไม่กลับกับรถนะ”
“อือ” อีกฝ่ายตอบเหมือนเดิม ส่งไอศกรีมเข้าปาก
“พี่ตัง”
“ฮื่อ”
พร้อมภูมิเหลียวมองคนที่กินช้าจนทำไอศกรีมหยดลงมาตามนิ้วและกำลังจะหกใส่กางเกงเจ้าตัวไปด้วย ยื่นมือออกไปผลักมืออีกฝ่ายที่ถือไอศกรีมอยู่ให้ออกห่างตัว
พ้นจากกางเกงได้ไม่ทันถึงวินาที ก้อนหวาน ๆ เย็น ๆ ที่ละลายเยิ้มนั้นก็ร่วงแผละลงพื้น
“กินสกปรกจัง” เขาบ่น
“พูดอะไรอย่างกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่” สตางค์สะบัดมือเบา ๆ เดินไปล้างมือที่ก๊อกน้ำใกล้ ๆ โดยมีพร้อมภูมิชะเง้อตาม ปากซึ่งยังเปื้อนคราบไอศกรีมก็พึมพำไปด้วย “พี่แก่กว่านายนะ”
เด็กชายไม่สนใจ ร้องเรียกอีกฝ่ายใหม่
“พี่ตัง”
“อะไร”
จากนั้นกลับเงียบไปอีก
“เรียกแล้วไม่พูด หาเรื่องหรือ?”
“เปล่าซะหน่อย” เด็กชายก้มหน้า จากนั้นก็เรียกใหม่ “พี่ตัง”
คราวนี้เจ้าของชื่อไม่ตอบ เดินมาย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ เหมือนไม่ได้ยิน
“พี่ตังว่าพ่อรักผมไหม”
คนฟังหันมามองเขาด้วยสายตาเนือย ๆ ดูไปก็คล้ายท่าทางของอดีตพี่เลี้ยงเขาอยู่เหมือนกัน
“จะไปรู้ได้ไง นั่นพ่อนาย”
พอรู้สึกเหมือนโดนดุ เลยหน้าจ๋อยลงนิดหน่อย
“แต่พ่อใจดีกับผมมากนะ”
“งั้นก็คงรักละมั้ง”
ถึงตอบอย่างนั้น แต่สายตากลับจ้องมองซากไอศกรีมบนพื้นอย่างสุดแสนเสียดาย ดูไม่ได้ตั้งใจฟังที่รุ่นน้องพูดสักนิด
พร้อมภูมิมองตามสายตาคนข้าง ๆ อีกที พอกำลังจะอ้าปากถามว่าแล้วคิดว่าพี่ธัญญ์รักเขาไหม ก็ชะงักไป ด้วยนึกขึ้นได้ว่าพี่ตังยิ่งไม่รู้จักพี่ธัญญ์ยิ่งกว่าพ่อของเขาเสียอีก ถามไปคงถูกเมิน ไม่ก็โดนดุกลับมาแหง ๆ สุดท้ายจึงได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตา พึมพำขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แต่เขาก็ใจดีกับผมเหมือนกันนะ”
“ก็ดีแล้วนี่” คราวนี้คนฟังกลับตอบมาได้
“เอ๋?”
“พี่เลี้ยงที่ทำตัวเหมือนแม่นายนั่นใช่ไหมล่ะ”
“รู้ได้ไง”
สตางค์ทำสีหน้ารำคาญใจ “วัน ๆ พูดถึงอยู่ไม่กี่คน”
“อ้อ..” พร้อมภูมิยิ้มเจื่อน “..เหรอ”
“แต่เขาก็ไปแล้วนี่”
“อือ”
“อะไร!? นิดหน่อยก็หน้าเบะอีกแล้ว” รุ่นพี่ใจร้ายบ่น “เด็กนี่น่ารำคาญ”
“พี่ก็แก่กว่าแค่ปีเดียวเองไม่ใช่รึไง”
คนฟังทำหน้าไม่ใส่ใจ ถือว่าแก่กว่ายังไงก็คือแก่กว่า “ไม่ชอบเด็กเลย”
“พี่ธัญญ์ก็เคยบอกอย่างนี้” พร้อมภูมิยิ่งจ๋อยสนิท ถึงกับลืมไปด้วยอีกคนว่าตัวเองอ่อนกว่าแค่ปีเดียว “ทุกคนไม่ชอบผมกันหมดเลย”
อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกทั้งปากทั้งจมูก “ก็ไหนเมื่อกี้ยังว่าเขาดีด้วยอยู่เลยไง”
“แต่เขาก็บอกว่าไม่ชอบด้วยนี่! แล้วจะรู้ได้ไงล่ะ!?”
“งั้นก็ไปถามเองสิ!”
“ก็เขาไม่อยู่ให้ถามแล้ว!”
แม้พยายามวางตัวอย่างไร ที่สุดแล้วก็เด็กทั้งคู่อยู่ดี สุดท้ายจึงเผลอขึ้นเสียงใส่กัน
คนโตกว่าพอถูกตวาดมาอย่างนั้นก็อ้าปากจะเถียง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำตาแดง ๆ จึงชะงักลง เปลี่ยนเป็นสีหน้าฟึดฟัดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังเดินหนี ท่าทางชัดเจนว่าไม่อยู่ในอารมณ์จะคุยด้วย
“พี่ตัง!”
พร้อมภูมิร้องเรียกทันทีที่รู้สึกตัวว่าเผลอทำเสียงดังใส่
แต่ฝ่ายนั้นทำเป็นไม่ได้ยินเขาอีกแล้ว
“เป็นอะไรลูกชาย” ภูเมศทักพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ซักซ้อมมาอย่างดี ขณะกวักมือเรียกเด็กชายไปหา “พ่อมารับช้าหน่อยเดียว ทำหน้าบูดเลย”
พร้อมภูมิสะพายกระเป๋า กึ่งเดินกึ่งวิ่งจากรั้วโรงเรียนเป็นคนเกือบสุดท้าย ต้องรอคนเดียวไม่เท่าไร แต่รอด้วยความไม่สบายใจหลาย ๆ เรื่องพร้อมกันทำเอายิ้มไม่ค่อยออก
“พ่อ สวัสดีครับ” ทั้งที่ปากบอกอย่างนั้น แต่ใบหน้าก็ยังมีแต่รอยยิ้มแหย
“ครับผม”
ภูเมศรับเสียงกระตือรือร้น ตัดสินใจไม่ซักไซ้ไล่เรียง เดินโอบไหล่ลูกชายไปตรงไปที่รถ พูดคุยเรื่อยเปื่อยไปด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ เตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างดีถึงขั้นนึกเรื่องที่จะคุยรอไว้ นึกเมนูอาหารที่จะสั่ง นึกถึงว่าไว้กินข้าวเสร็จกลับบ้านไปจะชวนลูกชายเล่นอะไร พลาดอยู่แค่นิดเดียวตรงที่สะสางงานได้ช้ากว่าเวลาไปไม่น้อยจนลูกต้องรอ แต่คิดว่าหลังจากนี้น่าจะกู้สถานการณ์ได้ไม่ยาก
“หิวหรือยังน่ะเรา”
พร้อมภูมิพยักหน้าหงึกหงัก หลังรถออกตัวมาได้ครู่หนึ่งจึงค่อยมีสีหน้าสดใสขึ้นบ้าง
ร้านอาหารที่ตั้งใจจะฝากท้องมื้อเย็นนี้ อยู่ใกล้กับโรงเรียนนิดเดียว อันที่จริงเดินถึงด้วยซ้ำ แต่ขับรถเองก็สะดวกกว่า
เขาเคยมาอยู่ครั้งสองครั้งแต่นานแล้ว บรรยากาศในร้านดีใช้ได้ มีทั้งส่วนที่จัดไว้เป็นสวน และด้านในอาคารที่ตกแต่งอบอุ่นเหมือนบ้าน ภูเมศเคยเล็งไว้ว่าจะมาอีกสักหน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้โอกาสสักที กระทั่งวันนี้ ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศจากกับข้าวถุงที่กินเกือบทุกวันจนเริ่มตันแล้วว่าจะซื้ออะไรกลับบ้านดี
สองพ่อลูกเดินลงจากรถ เลือกโต๊ะมุมหนึ่งด้านใน ใกล้กับชั้นวางหนังสือและโซฟาสีน้ำตาลอ่อน
ภูเมศมองไปรอบ ๆ อย่างพึงใจ ไม่ได้มานาน แต่บรรยากาศก็ยังอบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้านอย่างคราวก่อน
เขามองลูกชายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม รับเมนูจากพนักงานไปเปิดดู ผ่อนลมหายใจยาว บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดีหลังจากนี้
คืนที่ผ่าน เขานอนคิดมาตลอด เฝ้านึกย้ำซ้ำไปซ้ำมาจนไม่สามารถข่มตาหลับได้
แม้จะยังโหวงเหวงอยู่ในอก แต่หากถึงจุดหนึ่งที่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่เพื่อลูกชาย ถ้าอย่างนั้นกัดฟันตัดใจมันเสียวันนี้เลยคงดีกว่า หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องเป็นปัญหาเรื้อรังในระยะยาวต่อไป
คนสำคัญที่สุดคือพร้อมภูมิ
ภูเมศเม้มปาก ย้ำในใจว่านับจากนี้ต้องเด็ดขาด ตอนนี้เป็นพ่อคน จะคิดถึงแต่ความสุขของตัวเองไม่ได้
“พ่อครับ”
เสียงนั้นทำเขาหลุดจากภวังค์ มองไปเห็นพร้อมภูมิขยับตัวหยุกหยิก
ชายหนุ่มวาดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า รอยยิ้มที่เขาซักซ้อมมาเป็นวัน รอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ถ้ามีอะไรในครอบครัวนี้ที่พังลงไป เขาก็จะเป็นคนซ่อมมันขึ้นใหม่นับจากนี้
“ไงครับ?”
เด็กชายก้มหน้าก้มตา ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กับการรวบรวมความกล้า เอ่ยชื่อที่ตัวเองเลี่ยงจะเอ่ยถึงกับพ่อมานาน
“พ่อว่า...ตอนนี้พี่ธัญญ์—”
“พี่ธัญญ์!”
สองพ่อลูกชะงักไป เงยขึ้นมองต้นเสียงที่เอ่ยถ้อยคำนั้นออกมาซ้อนกับเสียงเด็กชายพอดี
หนุ่มน้อยพนักงานเสิร์ฟที่ยืนรอรับออร์เดอร์อยู่ข้างโต๊ะพวกเขาครู่ใหญ่ ตอนนี้หันหน้าไปอีกฝั่งร้าน ร้องทักชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินออกมาจากครัว
คนที่รูปร่างสูงโปร่ง ผมดำขลับ นัยน์ตาสีดำสนิท และรูปหน้าหล่อเหลาไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด
ทั้งอกคับแน่นเหมือนมีอะไรกำลังจะระเบิดอยู่ในนั้น
แน่นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“มาช่วยรับออร์เดอร์ทางนี้แทนที เดี๋ยวผมมา”
คนคนนั้นพยักหน้า สาวเท้าเข้ามาใกล้ แต่ยังเดินไม่ทันถึงโต๊ะ กลับชะงักค้างอยู่กลางทาง ทว่าช้าเกินกว่าจะถอยหลังกลับ
กระดาษปึกเล็กสำหรับจดถูกยัดเข้าใส่มือมาแล้ว จากมือหนุ่มน้อยพนักงานคนแรกที่เพิ่งเดินสวนออกไป พึมพำแว่ว ๆ ว่าขอไปรับโทรศัพท์พลางล้วงกระเป๋ากางเกงให้วุ่นวาย
ภูเมศกลั้นหายใจ เตรียมรับมือกับใบหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบ เดาไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร เหมือนกับคราวแรกที่พบกัน
หากแต่บัดนี้ ดวงหน้าในความทรงจำนั้นกลับคลี่ยิ้มบางเบา รอยยิ้มอย่างที่พนักงานคนหนึ่งจะพึงยิ้มให้ลูกค้า ไม่สามารถตีเจตนาเป็นอื่น
ที่ผ่านมา หลงคิดว่าสีหน้านิ่งงันของอีกฝ่ายร้ายกาจที่สุดแล้ว เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าที่ร้ายที่สุด คือรอยยิ้มซึ่งไม่แสดงถึงความพิเศษผิดแผกอันใดไปจากบุคคลอื่นต่างหาก
เก็บอาการได้ดีเกินไป หรือไม่เหลือเยื่อใยต่อกันแล้วจริง ๆ
ภูเมศไม่กล้าเดาเลย
“รับอะไรดีครับ”
รู้แค่อยู่ใกล้ ๆ นี้เอง
ใกล้จนที่เคยคิดว่าห่างแค่ไหน...กลายเป็นห่างแค่มือคว้า ยาวนานแค่ไหน...กลายเป็นยาวนานเพียงแค่สุดหนึ่งลมหายใจ
“...พี่ธัญญ์”
เป็นพร้อมภูมิที่พึมพำออกมาก่อน เสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน
รอยยิ้มยังคงวางนิ่งอยู่เช่นเดิม จนครู่หนึ่งเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก อีกฝ่ายจึงค่อยทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยขอตัว
“เดี๋ยวสักครู่จะมารับออร์เดอร์ใหม่นะครับ”
จากนั้นขยับเพื่อจะหันหลังกลับ
“ธัญญ์”
โดยไม่ทันรู้ตัว เขาคว้าข้อมือนั้นไว้อีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจจนต้องเพ่งมองให้แน่ใจอีกหน คือเมื่อเห็นมือเล็ก ๆ ของลูกชาย คว้าชายเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน
ณ เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา พร้อมภูมิเม้มปาก ก้มหน้านิ่ง แต่กำชายเสื้อธัญญ์ไว้แน่นจนข้อนิ้วซีดขาว
“...พี่...ธัญญ์...”
เสียงของลูกชายสั่นเครือ แต่ยังพอได้ยินคำว่า ‘บ้าน’ ก่อนทั้งหมดนั้นจะหายลงไปในลำคอ
ภูเมศชะงักไปครู่หนึ่ง จนเมื่อพอเข้าใจความหมายของท่าทีนั้น จึงค่อยคลี่ยิ้มช้า ๆ
แม้ไม่ได้ดูดีเท่าที่ซักซ้อมมาเป็นวัน แต่เขารู้ว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว
ความตั้งใจยังคงเป็นเช่นเดิม...แต่คงต้องเปลี่ยนวิธีการ
เมื่อคิดเช่นนั้น มือที่กุมไว้ก็ยิ่งกระชับแน่นกว่าเก่า
ถ้ามีอะไรในครอบครัวนี้ที่พังลงไป เขาจะเป็นคนซ่อมมันขึ้นใหม่เองนับจากนี้
To be continued
'ความขมไม่ยาวนาน ความหวานสิยืนยง' ค่ะ แค่ก ๆ ๆ
งวดนี้มาต่อเร็วค่ะ ไม่อยากค้างตรงนั้นนานนนน //สิบวันนี้เร็วแล้วเรอะ Orz
งวดหน้ารอสักนิดนะคะ >w<
ปล. คราวนี้มีของแถมรีพลายถัดไปค่ะ
*กอดก่ายคนอ่านนน*