“เฮ้ย! ยิ้มไม่หุบเลย อะไรจะหน้าบานขนาดน้าน!”
เสียงบาสเอ่ยแซว ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ของตัวเอง แล้วหันไปยิ้มกว่างออกแนวเขินเล็กๆ ให้กับเขา บาสหัวเราะกลับมา ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันกำลังมองผมแล้วยิ้มน้อยๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป มันเหมือนรอยยิ้มที่ชื่นชมอยู่ไม่น้อย
ผมนั่งคุยกับโฮมเลสคนนั้นอีกสักพัก ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องทั่วไป เขาแค่ถามผมเพิ่มเติมว่ามาทำอะไรที่ไหนอย่างไร ผมก็ถามเขาแค่ว่าไม่คิดจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้เหรอ เขาตอบกลับมาเพียงว่า
‘ถามว่าอยากมีมั้ย ฉันก็อยากมีนะ แต่ที่มีอยู่ฉันก็โอเคกับมันแล้ว อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันก็ไม่รังเกียจชีวิตแบบนี้นักหรอก’
ผมยิ้มเป็นกำลังใจให้เขา เพราะรับรู้ได้ว่าเขาคงพอใจกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่แล้ว ผมไม่ได้สืบเสาะประวัติเขาต่อ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ต้องมานั่งถามไถ่กันขนาดนั้น เขานั่งกอดเจ้าหมายักษ์ตัวนั้นไว้ในอ้อมกอด ไม่มีท่าทีรำคาญหรืออยากผลักไสมันออกจากตัก ผมเห็นแบบนั้นก็เลยจัดการซื้ออาหารหมาไว้ให้เขาด้วย มันจะได้มีอาหารส่วนตัวไว้กิน ผมซื้อมาให้เยอะเชียวล่ะน่าจะอยู่ได้เป็นอาทิตย์
“อย่าลืมทวงเงินค่าอาหารหมาที่ฝากซื้อมาให้นะ” ผมหันไปบอกเอิร์ทที่เดินอยู่ข้างๆ เขาส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน ทำให้หน้าหล่อคมเข้มที่มีสันกรามแข็งแกร่งแบบชายไทยแท้ดูไม่แข็งกระด้าง รู้สึกละมุน รู้สึกว่าหล่อละเมียด
รอยยิ้มช่วยให้หน้าเขาดูอ่อนลงได้จริงๆ และแววตาเวลาเขายิ้ม ทำให้ดูเป็นผู้ชายตาหวาน แต่เขาไม่ใช่คนหน้าหวานนะ เอิร์ทห่างไกลคำนั้นมาก
“ไม่เป็นไร ถือว่าเราทำบุญร่วมชาติกับแมทละกัน” ผมยิ้มเม้มปากแบบเขินๆ กระพริบตามองอีกฝ่ายพร้อมใบหน้ารุมๆ บาสส่งเสียหัวเราะชอบใจ
“นั่น มันหยอดแล้วหนึ่งดอก คืนนี้รอนับดีกว่าว่าไอ้เอิร์ทจะหยอดทั้งหมดกี่ดอก” บาสส่งเสียงร่าเริงแล้วเอามือคล้องคอเอิร์ทพลางเขย่าเบาๆ เอิร์ทยิ้มกว้าง ส่วนผมยิ้มเขินจนกล้ามเนื้อที่หน้าปวดหนึบไปหมด
เอิร์ทคงรู้แล้วว่าบาสบอกอะไรผมไปก่อนหน้านี้ เขาดูไม่โกรธบาสหรือเขินผมเลยสักนิด กลับทำตัวชิว แถมยังดูผ่อนคลายกว่าช่วงแรกๆ ที่เราเจอกันที่นิวยอร์คซะอีก ผมว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มันไม่เกร็ง ไม่ต้องคอยมองหน้าเขาที่นิ่งสนิทเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ได้เห็นสีหน้าเขาในแบบอื่นบ้างมันก็ดีเหมือนกัน
“โหย หน้าแดง หูแดงหมดแล้ว…” บาสยิ้มแซวๆ เมื่อเห็นหน้าผมแดง แก้มแดง ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยหลบสายตาของคนที่ทำให้ผมเขินที่มองมาเหมือนมีแววล้อๆ อยู่
“ไอ้เอิร์ท มึงก็หยอดแมทเบาๆ หน่อย แมทแม่งไม่เคยโดนใครจีบนะเว้ย เดี๋ยวเขาจะทำตัวไม่ถูก” ที่บาสพูดมานั่นถูกต้องอย่างที่สุด ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้า หรือวางมือแบบไหน หรือต้องวางตัวยังไง มันเลยดูประหม่า ดูเก้ๆ กังๆ ไปหมด
“จริงเหรอแมท” เสียงทุ้มของเอิร์ทถามขึ้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเงอะงะ ผมหน้าเอ๋อๆ มองอีกฝ่ายที่ยิ้มกริ่ม
“ก็… ไม่เคย ไม่มีหรอก ดูหน้าเราดิ ใครจะมาชอบ มองมาก็มองผ่านเลยไป” ผมบอกเสียงแผ่ว แต่ไม่ใช่เพราะน้อยใจในหนังหน้าตัวเอง แต่กำลังรู้สึกประหม่ากับสายตาหวานๆ ของเอิร์ทที่ส่งมาให้
“มันก็จริงนะ…” เอิร์ทบอกยิ้มๆ ผมทำหน้างอ มองค้อนเขากลับไป
“เหี้ย! มึงชอบเขาแล้วพูดงี้เนี่ยนะ” บาสโวยวายออกมา หน้านิ่วคิ้วขมวดมองเอิร์ท คนโดนมองยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
อืม… เวลาเขายิ้มนี่ ยิ้มหวานมากเลย
“ก็มองผ่าน แต่พอได้มองนานๆ ก็ไม่อยากมองผ่านแล้ว” เอิร์ทบอกด้วยท่าทีปกติ พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แต่ชวนมอง ผมก้มหน้างุด ไม่รู้จะทำตัวยังไง ไม่เคยโดนใครชมแบบกะลิ้มกะเหลี่ย ไม่เคยโดนใครทำแบบนี้ใส่
“อ้าว ก้มหน้าอีกแล้ว เงยหน้าดิ อยากมองหน้า” เอิร์ทบอกพลางยื่นมือมาสะกิดที่ข้อศอกเบาๆ ผมเลยรีบเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณเวลาได้ยินคำสั่งอะไรแบบนี้ ช่วงนี้สมองจะไวต่อคำพูดแนวนี้เป็นพิเศษเพราะต้องคอยรับคำสั่งจากอีพ่อพระเอกอยู่บ่อยๆ
“โอ้ย! นี่กูส่วนเกินใช่มั้ยเนี่ย” บาสแกล้งโวย เอิร์ทหันไปด่าคำหยาบใส่อย่างขำๆ แล้วสองคนนั้นก็ทะเลาะกัน แต่ไมได้ทะเลาะกันจริงจัง แค่เถียงกันไปมาเรื่องผมเนี่ยแหละ ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามต้อยๆ พลางมองแสงสีในย่านไทม์แสควร์ไปด้วย จอดิจิตอล จอแอลซีดีทั้งหลาย มีตัวอักษรวิ่งไปมา วิ่งโชว์โฆษณาเต็มไปหมด
จริงๆ เห็นบาสบอกว่าบาร์ที่เรากำลังจะต้องเดินเลยย่านไทม์สแควร์ไปอีก แต่ที่พาเดินเข้ามาเพราะเห็นว่าผมยังไม่เคยได้มาเหยียบที่นี่ ผมก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ที่นี่จะคึกคักเป็นอย่างมากในช่วงตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็จะปกติ ไม่เร่าร้อนอะไรเท่าไหร่ แต่กลางคืนพอมีไฟเปิดสว่างก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจทันที แสงไฟมาจากบนหน้าจอ จากตามตัวตึกและยอดตึก จากร้านค้าแบรนด์เนม รานอาหารผับบาร์ และบอร์ดเวย์ มันเลยทำให้ดูตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ
ผมไม่อยากรบกวนเวลาของอีกสองคนนั้นเลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมาเยอะ ถ่ายแค่ภาพกว้างๆ ให้รู้ว่ามาเหยียบแล้วนะ ก่อนจะอัพลงอินสตราแกรมกับเฟซบุ๊คตามวิถีของชาวโซเชียล แล้วเราทั้งสามคนก็พากันเดินไปบาร์ ที่บาสสืบเสาะหาแหล่งมาจนเจอ
บาร์ที่บาสพามานั่งชิว เป็นร้านเหล้าด้านล่างมุมตึกและอยู่ตรงมุมถนนเส้นหนึ่ง ภายในร้านมีบาร์ไม้ทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ไว้สำหรับสั่งเครื่องดื่มแล้วมีเก้าอี้ทรงสูงให้นั่งอยู่ตรงนั้นได้ แต่ในร้านก็มีโต๊ะเป็นชุด และโซฟาเป็นชุดจัดไว้ให้นั่ง มีบาร์ทรงยาวจัดไว้อยู่มุมด้านในของร้าน บรรยากาศภายในร้านให้ความรู้สึกถึงไม้สีน้ำตาล เพราะเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ทำจากไม้สีน้ำตาลเกือบทั้งหมด ให้อารมณ์คันทรี่ผสมคาวบอยหน่อยๆ แสงไฟสีเหลืองสลัวๆ เปิดไปทั่วบาร์ ให้ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อมันปะทะเข้ากับไม้แล้วสะท้อนแสงไปทั่วร้าน
“กินไรแมท” บาสเอ่ยถามหลังจากเราเลือกนั่งที่โซฟาเก่าๆ ชุดหนึ่งที่อยู่ใกล้กับประตูทางออก ผมมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องทำหน้าเหมือนคนโง่ เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี
“บาสกับเอิร์ทกินอะไร เราก็กินอันนั้นแหละ เราไม่สันทัดเรื่องเหล้าหรอก”
“แน่ใจนะว่ากินแล้วจะไม่เมา” เอิร์ทถามยิ้มๆ ผมยิ้มตอบกลับไป
“ก็กินน้อยๆ ไง กินแค่แก้วสองแก้วก็พอ”
“แก้วสองแก้วจะไปสนุกตรงไหน แมทชอบกินไรเวลาไปร้านเหล้าอ่ะ” บาสถามพลางพลิกเมนูในมือดูไปมา ผมฟังเสียงเพลงของวงเดอะบีทเทิลไหลไปไหลมาในหัวครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“เราชอบกินพวกบาร์คาดี้ (Barcadi) สเมอร์นอฟ (Smirnoff) อะไรแบบเนี้ย” บาสเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปทางบาร์ใหญ่ ก่อนจะละสายตาไปมองบาร์เล็ก
“ท่าทางร้านแบบนี้จะไม่มีว่ะ คงมีแต่พวกเหล้า งั้นแมทกินกับเรากับไอ้เอิร์ทแหละ กินให้มากกว่าแก้วสองแก้วไปเลย เมาเต็มที่ เดี๋ยวพากลับบ้านเอง” ผมยิ้มอ้าปากหวอแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ บาสเดินไปสั่งเหล้าที่บาร์ใหญ่ที่อยู่กลางร้าน ผมมองไปรอบๆ ร้าน ดูผู้คนมากมายที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส พอเหล้าเข้าปากทุกคนคงเริ่มคึกคัก ผมยิ้มนิดๆ แล้วสายตาก็กลับมามองที่เอิร์ทที่นั่งมองอยู่ก่อนแล้ว ผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มเขินๆ ไปให้เขา แล้วยืดไหล่ขึ้นเล็กน้อยแก้เขิน เอิร์ทเห็นแบบนั้นก็หัวเราะน้อยๆ
“เป็นอะไร เขินเหรอ” เอิร์ทถามสีหน้ายิ้มๆ เขาดูปกติ ดูชิวมาก ทำไมเขาดูไม่รู้สึกเคอะเขินเลยอ่ะ
“โอย… รู้คำตอบอยู่แล้ว ถามทำไมอีกล่ะ” ผมแกล้งมองค้อนเขา อีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“อยากถามให้เขินอีก”
“โวะ… นิสัยเสีย” ผมย่นจมูกใส่เขา เอิร์ทมองกลับมาด้วยสายตาวิบวับ
“เสียก็ช่วยซ่อมหน่อยดิ” เขายิ้มเหมือนพวกเพลย์บอย ยิ้มแบบชวนเชิญ ผมยิ้มเบ้ปากแล้วยกมือเกาต้นคอแก้เขิน เอิร์ทยิ้มอารมณ์ดี แต่สักพักรอยยิ้มเขาก็เริ่มหายไป เปลี่ยนมาเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดแทน ผมเบิกตากว้างมองอีกฝ่าย
“มีอะไรเหรอ…” ยังถามไม่ทันจบเขาก็แทรกเสียงขึ้นมาแต่ไม่ได้ตวาดหรือตะคอกอะไร
“ใครทำรอยที่คอ” เขาถามเสียงโทนเดียว หน้านิ่ง แต่แววตาจ้องเขม็ง ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่าเป็นรอยยุงกัด อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อย่ามาบอกว่ารอยยุงกัดนะ เราเคยทำให้แมท ทำไมเราจะไม่รู้” เขาบอกเสียงกดต่ำอยู่ในลำคอ ผมอ้าปากหวอ ไม่ได้อึ้งที่เขารู้ว่าไม่ใช่รอยยุงกัด แต่อึ้งที่เขาบอกว่าเคยทำให้
“เดี๋ยว! เอิร์ทเคยมาทำให้ตอนไหน” ผมย่นคิ้วมองหน้าเขา อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรเลยที่โดนถาม แต่กลับตอบด้วยน้ำเสียงง่ายๆ
“เมื่ออาทิตย์แรกที่เรานั่งคุยกัน แล้วแมทเผลอหลับไป” แล้วผมก็นึกไปถึงวันที่วิคเตอร์แซวเรื่องรอยจูบที่ต้นคอแต่ผมเถียงว่ามันคือรอยยุงกัด ไม่ก็โดนบุ้งโดนหนอนแทน
“อ้าว แล้วเอิร์ทมาทำให้เราทำไมอ่ะ” ผมถามเสียงหลง แบะปากเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่ได้จะร้องหรอก แค่ทำหน้าหน้าเหมือนหมากำลังสงสัย
“เนื้อที่คอแมทแน่นดี ตัวก็หอมเหมือนกลิ่นนม ว่าจะเดินผ่านไปแล้วเหมือนกัน แต่นอนเอียงคอขนาดนั้น เลยไม่ทันห้ามตัวเอง” เขายักคิ้วหน้าตายมาให้ ผมขมวดคิ้วแน่น อ้าปากกว้างกว่าเดิมแล้วเอียงคอมองเขาด้วยความทึ่งปนความงง
คนอะไรทำไมตอบคำถามได้หน้าตาเฉย นี่มันเรื่องที่ควรเฉยได้ใช่มั้ย หรือยังไง?
“แค่เนี้ย?” ผมไม่รู้จะพูดอะไรละจริงๆ อีกฝ่ายยักไหล่แล้วเอนตัวพิงโซฟา
“อือ… แค่นั้น” ผมยกมือเกาหัวตัวเอง แล้วทำสีหน้ายุ่งเหยิง เอิร์ทยิ้มขำกับท่าทางของผม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองบาสที่เดินถือขวดเหล้าใสๆ ทรงสูงที่เห็นน้ำข้างในที่เป็นสีใสเหมือนกันพร้อมแก้วช็อตขนาดเต็มฝ่ามือสามใบ พร้อมกับถ้วยเล็กที่ในนั้น
เหมือนจะเป็นเมล็ดกาแฟมาวางไว้บนโต๊ะไม้ตรงกลาง
“Sambuca เหล้าจากอิตาลี ดีกรีหนักแน่น…นี่แมทกินข้าวมายัง” บาสหันมาถาม ผมพยักหน้าตอบกลับไป บาสยิ้มแล้วดีดนิ้วด้วยความถูกใจ
“เยี่ยมเลย กินข้าวแล้วกินขวดนี้เข้าไปนะ โคตรสบายท้อง!” บาสบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะจัดการเทเหล้าสีใสเหมือนน้ำเชื่อมใส่แก้วของทุกคน หยิบเมล็ดกาแฟใส่แต่ล่ะแก้ว แก้วล่ะสามสีเม็ด
“ไอ้เอิร์ทกูยืมไฟแช็คหน่อย กูลืมหยิบของตัวเองมา” เอิร์ทล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นไฟแช็คสีเงินส่งให้ บาสจุดไฟแช็คใส่แต่ล่ะแก้ว ลูกไฟเล็กๆ สีส้มลอยวนๆ อยู่ขอบปากแก้ว แล้วยื่นส่งให้แต่ล่ะคน ก่อนจะยื่นแก้วออกมาทำท่าว่าจะชวนให้ชนแก้ว
“สำหรับเดตแรกของไอ้เอิร์ทกับแมทน้อย!” บาสบอกเสียงสดชื่น ผมหน้ายู่แต่ก็มีรอยยิ้มเขินๆ ส่วนเอิร์ทยิ้มกริ่มชอบใจ เอิร์ทเตือนให้ผมดับไฟก่อนค่อยยกดื่ม ผมกระดกแก้วนั้นเข้าไปหมดรวดเดียว รสชาติมันออกหวานนิดๆ แต่ก็มีกลิ่นแอลกอฮอลมากกว่า วินาทีที่มันผ่านช่วงลำคอ ผมรู้สึกเหมือนโดนแผดเผา แต่พอมันลงท้องไป กลับรู้สึกเย็นสบาย
“ตกลงว่าใครทำรอยที่คอ” ผมที่กำลังเทเหล้าขาว เอ้ย! เหล้าสีใสจากอิตาลีลงแก้วชะงักไป หันไปมองเอิร์ทอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะยังไม่ลืมคำถามนี้อีก
“เพื่อนที่ทำงาน เล่นปล้ำกันเฉยๆ”
“เล่นเหรอ? เล่นปล้ำกันเนี่ยนะ ไม่มีอย่างอื่นเล่นแล้วรึไง” เอิร์ทถามน้ำเสียงน่ากลัว หน้าตาที่ยิ้มๆ เมื่อกี้นี้หายไป เสียงบาสหัวเราะชอบใจดังอยู่ข้างๆ
“ไอ้เอิร์ท อย่าหึงดิวะ มึงยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลยนะ เขายังมีสิทธิโดนคนอื่นแตะเนื้อต้องตัวนะเว้ย” โอ้ยยย! สองคนนี้จะทำให้ผมสติหลุดนะ การที่เขาพูดจาแบบนี้ มันทำให้ผมประหม่า ทำให้รู้สึกเกร็ง เพราะผมไม่เคยโดนจีบ ไม่เคยโดนพูดจาเหมือนมีเจ้าของแล้วมาก่อน ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง แสดงสีหน้าท่าทางแบบไหนถึงจะเหมาะสม
เอิร์ทสีหน้าเซ็ง ดูก็รู้ว่ากำลังหงุดหงิด บาสหัวเราะหึๆ ในลำคอ ผมจัดการกระดกเหล้าเข้าปากเป็นแก้วที่สอง ความรู้สึกยังโอเคอยู่ ยังรู้สึกตัว ผมไม่อยากเมามาก เพราะรู้ลิมิตตัวเองดี พอคิดถึงเรื่องเมาแล้วก็ต้องหันไปมองเอิร์ท เขาบอกผมเคยจูบเขาตอนเมา และนี่ถ้าผมเมาครั้งนี้ ผมไม่ปล้ำเขาเลยเหรอเนี่ย
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ รู้แต่ว่าโต๊ะผมเริ่มเสียงดังแข่งกับเสียงเพลง โต๊ะอื่นๆ พอเริ่มเมามากขึ้นและยิ่งดึกมากขึ้นก็เริ่มเสียงดังตามเลเวลความเมา ผมนั่งหัวเราะกับเรื่องเล่าตลกทั้งหลายของบาส ยกแก้วดื่มไปแล้วไม่รู้กี่แก้ว แต่ที่รู้ที่เห็นตอนนี้คือ ขวดเหล้าเป็นขวดที่สามแล้ว สติผมเริ่มเบลอๆ มึนๆ แต่ก็ยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่
“ไอ้เอิร์ท รุ่นพี่ผู้ชายที่คณะมึงคนนั้นเขายังตามจีบมึงอยู่ปะวะ” บาสถามเสียงกังวาน ใบหน้าแดงก่ำ แต่เขาก็ยังดูไม่เมา ยังดูปกติดี ส่วนเอิร์ทสายตาดูกรึ่มๆ แต่ผิวขาวเหลืองของเขายังคงไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“เออ! จีบอยู่ แม่งจีบน่ากลัวขึ้นทุกวัน ขนาดรู้ว่ากูมาอเมริกา มีการบอกว่าจะบินมาเยี่ยม แต่ขอให้กูไปนอนที่โฮสเทลเป็นเพื่อนหน่อย” เอิร์ทบอกหน้านิ่วน้อยๆ ผมยิ้มหัวเราะกับใบหน้าของเขา
“แล้วเขาจะมาจริงเหรอวะ?”
“ไม่รู้ แต่กูบอกไปแล้วไม่ต้องมา กูไม่มีเวลาให้หรอก”
“เขาก็หน้าตาดี นิสัยก็เจ้าบุญทุ่มดีนะมึง ไม่เอาจริงดิวะ” ผมมองสองคนนั้นคุยกันไปมา เอิร์ทสั่นหัวหน้าตาเหมือนกลัวๆ พี่คนที่ว่านี่ต้องรุกเอิร์ทหนักมากแน่ๆ ผมหัวเราะคิกคัก เอิร์ทมองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะคว้าเอวผมเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“เมายัง” เขาถามเสียงนุ่มลมหายใจร้อนผสมกลิ่นแอลกอฮอลรสชะเอมรดอยู่ที่หน้าผาก ผมยิ้มตาเยิ้มแล้วส่ายหัวไปมาบนไหล่กว้างของเขา
“ยังงง… ยังโอเคอยู่” ผมบอกเสียงอ้อแอ้ แล้วยิ้มกว้าง มันยังไม่เมานะ แต่มันมึน เอิร์ทยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้ามายื่นให้ผมอีก
“นี่มึงจะเผด็จศึกแมทคืนนี้รึไง” บาสถามเสียงกลั้วหัวเราะ ผมยกยิ้มเมาๆ แล้วรับแก้วเหล้ามาจากเอิร์ทก่อนจะกระดกรวดเดียวหมด พอคอมันคุ้นชินกับความแสบร้อน ผมก็ยกดื่มได้สบายมาก
“ไม่รู้ ดูก่อน ถ้ายั่วแบบครั้งที่แล้ว กูไม่ปล่อยไปหรอก” เอิร์ทว่าอย่างขำๆ ผมเอามือดันอกแน่นนุ่นของเขาไว้ แล้วมองหน้าเขา ด้วยสายตาเยิ้มๆ ของตัวเอง
“แน่ะ! นิสัยไม่ดี จะปล้ำเราตอนเมาหรอ…” ผมสะอึกเลยหยุดพูดไป บาสหัวเราะเสียงดัง เอิร์ทยิ้มกว้างอย่างชอบใจในคำพูดนั้น
“แหม! ไอ้นี่ ทีพี่คนนั้นไม่เอา จะเอาแมทนะ ถามจริง สรุปมึงชอบได้ทั้งหญิงทั้งชายใช่มั้ย” บาสเปิดปากถาม ผมนั่งโงนเงนอยู่ข้างเอิร์ท อีกฝ่ายเห็นว่าผมดูไม่มั่นคงเลยดึงไปซบไหล่ไว้
“มึงคบกูมาก็เห็นไม่ใช่หรอว่ากูคบกับใครบ้าง”
“แต่มึงไม่เคยคบผู้ชายเป็นตัวเป็นตนนะ มีแต่พวกที่มาจีบมึง”
“ก็เขาจีบกู กูไม่ได้จีบเขา”
“อ้าว แมทก็ผู้ชาย อาจจะนิสัยเหมือนผู้หญิงหน่อย แต่ต่างกันตรงไหนวะ” แม้จะมึน แต่ก็อยากได้ยินคำตอบนั้น ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาที่ก้มมองลงมาจนจมูกแทบจะชนกัน
“ก็นี่แมท…” เขาตอบออกมาแค่นั้น เหมือนเขาเองก็หาคำตอบของคำถามบาสไม่เจอเหมือนกัน ผมเลิกคิ้วมองหน้าเขางงๆ อย่างมึนๆ ก่อนจะก้มหน้าหนีสายตาเขา
“โวะ! ไอ้ห่า คำตอบเหี้ยไรของมึงเนี่ย” เอิร์ทไม่ตอบอะไรนอกจากหัวเราะในลำคอ แล้วประครองร่างผมเอาไว้แบบนั้น
ผมรู้สึกถึงความสั่นที่กระเป๋าเกาเกง เลยดันตัวออกจากอกเอิร์ทแล้วคลำๆ หาโทรศัพท์ก่อนจะดึงออกมาดู เป็นการสั่นเตือนจากว้อทแอพ กดเปิดดูก็เห็นข้อความนั้นมาจากวิคเตอร์
‘ฉันกำลังกลับบ้าน ส่วนนายก็กลับได้เลย’
พอเห็นข้อความนั้นผมก็ยิ้มกว้างอย่างคนเสียสติ ส่งอีโมชั่น โอเค ยิ้มตาหวาน ยิ้มตาเป็นรูปหัวใจ อีโมชั่นส่งจูบ ไปให้เขาเต็มจนเห็นลางๆ ว่ามันยาวพรืด ก่อนจะส่งเสียงดีใจอย่างดังจนเอิร์ทกับบาสมองด้วยความตกใจ
“วู้ววว! ไม่ต้องกลับไปละเว้ยยย!” ผมตะโกนออกมา รับรู้ได้ว่าโต๊ะรอบๆ หันมามองด้วยความฉงนกันนิดหน่อยก่อนที่จะหันกลับไปสนใจธุระตัวเองต่อ ผมยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยกเหล้าเทใส่แก้ว และยื่นออกไปข้างหน้าเชิญชวนให้อีกสองคนชนแก้วด้วยกัน
“เจ้านายปล่อยเรากลับบ้านแล้ววว! ต้องฉลองงง!” ผมบอกเสียงดีใจ วันนี้ได้เลิกงานเร็วกว่าปกติ มันต้องฉลองสิ
“งั้นเหรอ เอ้าๆ งั้นฉลองๆ ฉลองให้แมทน้อย!” บาสว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วยกแก้วขึ้นดื่ม เอิร์ทก็ชนแก้วแล้วยกขึ้นดื่มตาม
เราสามคนนั่งเมากันจนเกือบจะสั่งขวดที่สี่มาแล้ว แต่เอิร์ทหันมามองสภาพผมที่ตอนนี้หน้าแดงแปร๊ด ไอ้ตรงลำคอที่มีรอยแดงๆ คราวนี้ดูเนียนไปเลยพอกินเหล้าเข้าไปเพราะตัวผมแดงเถือก แต่ไม่ได้รู้สึกคันหรอกนะ มันเป็นอาการแดงแบบคนที่ไม่ค่อยกินเหล้าอย่างผมน่ะ พอกินทีและถ้ากินหนักๆ จะมีสภาพตัวแดงๆ แบบนี้แหละ พอเอิร์ทเห็นแบบนั้นก็ชวนกลับเพราะเวลาตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว แถมผมยังดูไม่มีสติ นั่งโงนเงนไปมา จะล้มแหล่มิล้มแหล่ แต่มีเอิร์ทคอยประครองไว้
“โดนไอ้เอิร์ทจับปล้ำคืนนี้ซะแล้วมั้งแมทน้อย” ผมได้ยินเสียงบาสแว่วๆ มา ผมหันไปยิ้มตาฉ่ำใส่บาส ยกนิ้วชี้ส่ายไปมา
“ไม่อาววว ไม่โดนนน ไม่ห้ายยย อยากได้ต้องจีบเสะ ไหนว่าชอบ ไหนว่าจะจีบงายยย” บาสหัวเราะอย่างถูกใจ ผมได้ยินเสียงหัวเราะมาจากคนที่ประครองผมไม่ให้ล้มอยู่
“ข้ามขั้นไปก่อนได้มั้ย แล้วเดี๋ยวค่อยจีบอีกที” เอิร์ทว่าอย่างตลก ผมทำหน้ายุ่งแล้วแหงนหน้าไปมองเอิร์ท แบะปากใส่ก่อนว่าเขาเสียงอ้อแอ้
“เอิร์ทหื่น เอิร์ทบ้า…” แล้วผมก็เรอเสียงดัง จนอีกสองคนหัวเราะดังลั่น ผมยิ้มแป้นตามด้วยความเมา เท้าเดินไปตามแรงประครองของเอิร์ท
แหมมม… ช่วงแรกๆ อะไรก็ดี๊ดีเนอะ นี่ใช่มั้ยที่เขาเรียกกันว่าช่วงโปรโมชั่น ผมเคยเห็นแต่เพื่อนๆ ในกลุ่มโดนจีบ โดนประคบประหงมอย่างดีในตอนแรกๆ แทบจะเป็นนางฟ้ากันทู้กกกคนนน แต่ตัวผมเองไม่เคยเจออะไรแบบนี้หรอก
“เอิร์ท…เอิ๊ก…” ผมเรียกเอิร์ทและส่งเสียงเรอไปด้วย เอิร์ทมองกลับมาอย่างขำๆ
“ขอบใจนะ…” ผมบอกเสียงอ่อนเสียงหวาน ดวงตาก็หวานเยิ้ม รู้สึกได้ว่ามันฉ่ำไปด้วยน้ำ รู้สึกเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงกระบอกตาเยอะกว่าปกติ
“ขอบใจอะไร” ผมมองเขาตาปรือ กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดออกมาเสียงเหมือนคนง้องแง้ง
“ขอบจายยย ที่ชอบบบเรา เราไม่เคยมีใครมาชอบเลยยย มีแต่ไปชอบเขาแล้วก็อกหักกก…ฮือออ…” ผมเบะปากร้องไห้
“อ้าวเฮ้ย ปีแตกซะงั้น!” เสียงบาสดังมาจากอีกข้าง ผมหันไปมองหน้าบาสทั้งน้ำตา
“เราซึ้งใจจจ ที่เอิร์ทมาชอบ เราขอบคูนนน” ผมบอกเสียงกระซิก บาสหัวเราะอีกรอบ ที่เห็นผมพูดจาไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนสติไม่เต็ม ผมหันกลับไปมองเอิร์ทที่มองมาด้วยรอยยิ้มเท่ๆ
“ถ้าเราไม่ชอบเอิร์ทตอบ เอิร์ทโกรธมั้ยยย…” ผมถามหน้าตางัวเงีย และสติก็เริ่มงัวเงียเต็มทน
“ไม่อยากให้โกรธ แมทก็ชอบเราตอบสิ” ผมส่ายหัว เบ้ปากเล็กๆ เหมือนจะร้องไห้อีกรอบ
“ม่ายยยรู้ววว… เราไม่รู้ว่าชอบเอิร์ทมั้ย แต่เราขอบคุณ ขอบคุณที่ชอบคนที่ไม่มีอะไรอย่างเรา…” เอิร์ทยิ้มก่อนจะเช็ดน้ำตาที่แก้มให้จนหมด แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีคราบเย็นๆ ติดอยู่ที่หนังใต้ตาเล็กน้อย
“ยังไม่ต้องชอบมันตอนนี้ก็ได้แมท แต่แมทจะให้มันจีบมั้ย” ผมพยักหน้าหงึกๆ จนบาสยิ้มขำ
“จีบสิ… จีบเลยยย… เราไม่เคยโดนจีบบบ จีบมาจีบมาจีบช้านนนที~…” ผมร้องเพลงเสียงยานออกไป สร้างเสียงหัวเราะให้บาสกับเอิร์ทอีกรอบ ผมเองก็ยิ้มขบขันพร้อมหน้าตาเมาๆ
“แต่ว่า…” ผมมองหน้าเอิร์ทแล้วยิ้มเผล่ให้เขา อีกฝ่ายยิ้มกว้างอย่างขำๆ กลับมา
“ถ้าจีบแล้วเราไม่ชอบบบ… เอิร์ทอย่าร้องไห้แบบเรานะ… อย่าร้อง… ร้องไห้มันทรมานนน… ปวดตา… ปวดหัว… ปวดใจไปหมดดด… อย่าร้องไห้ให้คนอย่างเรา… เอิร์ทหน้าตาดี มีคนให้เลือกอีกเยอะ… เราสิไม่มีคายให้เลือกหรอกกก…” ผมบอกเสียงอ้อแอ้ ส่งเสียงแจ๊บๆ เปลือกตาก็ทำท่าจะปิดลงแล้ว
“สัญญาสิ…สัญญาว่าจะไม่ร้องไห้เพราะเรา…” เปลือกตาผมค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับสติที่ใกล้หลุดเต็มทน แต่ก็ยังทันได้ยินเสียงทุ้มๆ ของเอิร์ท
“เราสัญญา…”
----------------------------TBC.----------------------