พอใกล้ค่ำเราสองคนก็เลิกออกกำลังกาย อันที่จริงหลังจากผมนอนซบอกเขา วิคเตอร์ก็ลุกขึ้นไปออกกำลังต่ออีกนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เลิก เราพากันไปอาบน้ำ ใส่ชุดคลุมลงมาทานอาหารเย็น ผมกับเขากินอาหารคลีนกันต่ออีกมื้อ กินไปกินมามันก็อร่อยดีนะ ถึงจะชืดๆ กว่าอาหารปกติไปหน่อยก็เถอะ ผมจัดการเตรียมอาหารที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อไว้ให้เขาด้วย จำพวก ไก่ ไข่ นม อะไรแบบนี้ จริงๆ สมัยนี้มันก็มีทางลัดสำหรับคนเล่นกล้ามนั่นก็คือพวกเวย์โปรตีน แต่ผมไม่อยากให้เขากินโปรตีนสำเร็จรูปนั่นอย่างเดียว อยากให้เขาได้จากอาหารพวกนี้ด้วย
“ไม่เอาหรอก เหมือนผมใส่กระโปรงเลย” ผมบอกหน้ายู่เมื่อเขายื่นเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนตัวโคร่งไซส์ขนาดตัวเขามาให้ผมใส่ ผมหันไปหยิบเสื้อยืดลายการ์ตูนมาริโอ้สีขาว แขนเสื้อยาวถึงข้อศอกสีดำออกมาใส่คู่กับกางเกงเดฟสกินนี่สีน้ำเงิน วิคเตอร์หัวเราะเบาๆ แล้วเอาเสื้อไปเก็บ เขาเลือกใส่เสื้อยืดคอวีสีขาวเนื้อผ้าหนากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน
“ต้องใส่หมวกด้วยหรอ นี่มันกลางคืนแล้วนะ” ผมเอ่ยถามเขางงๆ เมื่อเขาสวมหมวกแก็ปสีขาวลงบนหัวผม และใส่สีดำที่มันอักษรตัว V เงินลงบนหัวตัวเอง
“นายไม่สบายอยู่นะ ส่วนฉันชินกับการใส่หมวกเวลาออกไปข้างนอก” เขาว่าแล้วกระชับเสื้อกันหนาวลายทหารที่ผมใส่อยู่ จริงๆ ช่วงนี้มันไม่ใช่หน้าหนาวจัดหรอก เพราะมันยังอยู่ในช่วงสปริง อากาศอุ่นสบาย แต่ตอนกลางคืนพอไม่มีแดด ลมก็จะเย็นจนรู้สึกยะเยือกที่ผิวได้เหมือนกัน ยิ่งสำหรับคนป่วยอย่างผมก็จะยิ่งหนาวกว่าคนปกติหน่อย ผมยิ้มด้วยความเข้าใจ ส่วนวิคเตอร์เป็นคนติดหมวกจริงๆ นั่นแหละ อาจเป็นเพราะด้วยหน้าที่การงานของเขา พอออกไปข้างนอกเขาก็คงไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายด้วยนักหรอก
ตอนที่อยู่บนรถไฟ วิคเตอร์ถูกหลายสายตาเหลือบเมียงมองมาคล้ายกับว่าไม่แน่ใจว่าใช่เขาหรือเปล่า แต่เพราะใส่หมวกและหันหน้าหนีโซนที่คนนั่งเยอะๆ เลยทำให้ไม่ชัดเจนว่าเป็นวิคเตอร์แน่ๆ หรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้น เคยรู้สึกกันมั้ยว่าพวกดารานักแสดงถึงแม้เขาจะปกปิดตัวเองยังไง แต่มันจะมีออร่ากระจายออกมาจากตัวคนเหล่านี้
เราเดินขึ้นบันไดจากใต้สถานีขึ้นมาโผล่บริเวณใกล้ๆ กับเซ็นทรัลปาร์คในยามค่ำคืน แสงสว่างตามตึกสูงและไฟตามข้างทางส่องสว่างไปทั่วเมืองนิวยอร์ก เซ็นทรัลปาร์คตอนกลางคืนก็เปิดไฟสว่างไสวไม่ปล่อยให้ความมืดครอบงำ บรรยากาศในยามค่ำนั้นแสนคึกครื้น ผู้คนออกมานั่งรับประทานอาหารกันขวักไขว่แถวร้านอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เซ็นทรัลปาร์ค มีทั้งนั่งตามร้านปกติ กับร้านที่กางเต้นท์ตามถนนติดๆ กัน ซึ่งอย่างหลังผมว่าน่าสนใจกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนร้านอาการตามสั่งที่เมืองไทย แต่ที่นี่แต่ล่ะร้านก็จะมีอาหารเอกลักษณ์ของเขาเลย
วิคเตอร์พาผมเดินไปเรื่อยๆ ผมก็ยกกล้องที่เอาคล้องคอมาด้วยถ่ายรูปมุมต่างๆ ที่สนใจ ผมไม่เคยออกมาเดินย่านเซ็นทรัลปาร์คตอนกลางคืนเลย เพิ่งรู้ว่ามันคึกคักขนาดนี้ น่าจะคึกคักพอๆ กับที่ไทม์สแควร์แต่ที่นี่ดูสะอาดกว่าเยอะ
“หูววว! ตึกเอ็มไพร์สวยจังงง!” ผมร้องบอกตาโตเมื่อเรากำลังเดินเข้าใกล้ Top of the rock มากขึ้นเรื่อยๆ ยอดตึก Empire state โผล่โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางตึกต่างๆ แสงไฟสีน้ำเงินเขียวแดงที่ไล่สีไปตามยอดตึกนั้นชวนตื่นตาตื่นใจ ได้ยินมาว่ามันจะเปลี่ยนตามสีของแต่ล่ะวันเลย แต่บางวันก็เล่นไล่สีอย่างที่ผมเห็นอยู่นี่แหละ ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป อยากจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง แต่ผมก็ลืมเอาไว้กับวิคเตอร์ และเขาก็ไม่ได้เอามา เอามาแต่ของตัวเอง เดี๋ยวค่อยเอาไฟล์รูปลงคอมก็แล้วกัน
“Two. (สองใบ)” วิคเตอร์บอกกับพนักงานที่ขายบัตรอยู่ด้านล่าง ผมจะควักเงินให้เขาเป็นค่าตั๋วขึ้นไปชมวิว แต่เขาบอกปัดไม่รับ จัดการจ่ายให้ผมและยื่นบัตรให้พนักงานที่รอฉีกตั๋วอยู่ เราเดินไปรอลิฟต์ที่พนักงานกดให้ กดขึ้นไปบนชั้นชมวิว ระหว่างทางผมก็อดรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ไม่ได้ ลิฟต์เปิดออกพร้อมกับเสียงเพลงที่ดังฟังสบายๆ เราขึ้นมาบนโถงกว้างๆ ที่มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่แน่นขนัดจนน่าอึดอัด เราเดินออกไปด้านนอกที่คล้ายระเบียง พื้นปูด้วยกระเบื้องสีส้มอ่อนๆ กระจกบานใหญ่สีใสถูกตั้งกันไปรอบระเบียงชมวิวเพื่อกันคนไม่ให้พลัดตกลงไปและช่วยกันลม ที่ด้านบนนี้จะพัดแรงกว่าด้านล่าง
เราเดินไปแถวมุมๆ ระเบียงกระจก ตรงที่คนน้อยๆ หน่อย ผมจับปีกหมวกไปไว้ด้านหลัง กวาดตามองวิวภาพกว้างของตึกในมหานิวยอร์คยามค่ำคืน แสงไฟสีเหลืองสีขาวส่องแสงสว่างจนทำให้ท้องฟ้าสีดำมืดด้านบนนั้นสว่างตามไปด้วย แม้นจะไม่มีดาวอยู่บนฟ้าแต่ว่าแสงไฟจากตามตัวตึกและยอดตึกก็ระยิบระยับไม่แพ้ดาว ที่เด่นที่สุดก็แน่นอนว่าเป็นตึกสูง 102 ชั้นที่ใช้เวลาสร้างสี่ร้อยสิบวันอย่างตึก Empire state นั่นเอง ตัวตึกทรงสูงสี่เหลี่ยม ยอดตึกไล่ระดับคล้ายยอดพีระมิด แสงไฟที่ผมเห็นด้านล่างนั้นไล่เรียงตัวกันอย่างสวยงามท่ามกลางความมืดของท้องฟ้า ยิ่งท้องฟ้ามืดสนิทยอดตึกนั้นก็ยิ่งเด่น
“วิคเตอร์…” ผมเอ่ยเสียงไม่มั่นใจ ผู้ชายที่กำลังยืนมองวิวอยู่ข้างๆ ผม หันมาเลิกคิ้วใส่ผมเป็นเชิงถาม ผมเม้มปากเบาๆ เอ่ยถามด้วยความหวาดๆ เล็กน้อย
“ถะ… ถ่ายรูปกันมั้ยครับ” ผมแทบจะกลั้นใจถาม เพราะกลัวจะไปทำให้เขาอารมณ์เสีย วิคเตอร์ทำสีหน้าประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ผมเลยยิ้มกว้างด้วยความโล่งอก หยิบกล้องเตรียมดึงออกจากคอ
“ไม่ใช้มือถือถ่ายล่ะ แบบนี้มันลำบากไปรึเปล่า”
“ผมไม่ได้เอามือถือมานี่นา ก็อยู่กับคุณนั่นแหละ” ผมว่าแล้วเบะปากนิดๆ
“เอามือถือฉันก็ได้นี่” ผมเลิกคิ้วขึ้นมองเขา ถามเสียงงงปนตกใจ
“ได้เหรอ?!” เขายิ้มขำกับอาการที่ผมแสดงออก
“ได้สิ” วิคเตอร์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เขายื่นส่งให้ผม ผมรับไว้ในมือ เลือกเปิดโปรแกรมกล้องถ่ายรูป เข้าไปยืนชิดเขาและยื่นมือตัวเองออกไป วิคเตอร์ย่อตัวเอาหน้าเบียดเข้ามาชนผมจนแก้มเราติดกัน ผมพยายามยืดแขนออกไปแต่ทำยังไงก็เก็บหน้าเราสองคนไม่หมด ไม่รู้ว่าเพราะหน้าผมบานหรือแขนผมสั้นกันแน่
“ฮือออ แขนผมสั้นอ่ะ” วิคเตอร์หัวเราะตลกขับขัน เขายืดตัวขึ้น เอามือขวาโยกหัวผมไปมาแล้วใช้มือซ้ายดึงโทรศัพท์ไปถือไว้ในมือเขาเอง โห โคตรจะต่างกัน แขนเขายืดแทบจะถึงฝั่งบรู๊คลิน (เว่อร์) เห็นหน้าเราสองคนชัดเจน แถมยังได้วิวเป็นยอดตึกเอ็มไพร์ด้วย
ผมฉีกยิ้มแฉ่งใส่กล้องเต็มที่ วิคเตอร์ก็ทำหน้าที่กดไป มียกกล้องเป็นแนวตั้งบ้าง แนวนอนบ้างสลับกันไป เน้นวิวมากกว่าเน้นหน้า แต่บางรูปก็เน้นหน้ามากกว่าวิว วิคเตอร์ดึงปีกหมวกไปไว้ด้านหลังตอนที่หันมาจุ๊บลงบนหน้าผากผมแล้วกดถ่ายรูป ผมหัวเราะคิกคักในลำคอ วิคเตอร์ยิ้มกว้าง แต่สักพักรอยยิ้มเขาก็เจื่อนลง สายตาเขากวาดมองไปทั่วบริเวณระเบียงชมวิว ผมหันไปมองก็เห็นมีคนมองเขาอยู่เช่นกัน ไม่ได้มองทุกคนหรอก เพราะแต่ล่ะคนก็ดูวิว ถ่ายรูปของตัวเองไป แต่มันก็มีบางคนบางกลุ่มส่งสายตามองมา มีทั้งมองผ่านๆ มองเฉยๆ มองอย่างสงสัยใคร่รู้ บ้างก็ส่งรอยยิ้มอย่างเอ็นดูมาให้ ผมหันกลับมาหาวิคเตอร์ เขาถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าดูคล้ายเหนื่อยๆ
“ใส่หมวกอย่างเดิมเถอะครับ” เขาพยักหน้ารับนิ่งๆ ดึงปีกหมวกกลับมาด้านหน้าตามเดิม ผมยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้เขา รู้สึกกระวนกระวายใจยังไงชอบกล วิคเตอร์ยิ้มอ่อนๆ ตอบกลับมา
“ขึ้นไปดูวิวจากอีกชั้นมั้ย จะได้มองเห็นฝั่งเซ็นทรัลปาร์คด้วย” ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองลานระเบียงชั้นสูงสุดที่เป็นจุดชมวิวอีกชั้นของตึกนี้ เห็นคนอยู่บนนั้นไม่มากเท่าไหร่
“ไปก็ได้ครับ” วิคเตอร์ยิ้มกลับมาแล้วพาผมเดินกลับเข้าไปโถงที่เราเดินออกมา เดินไปกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปอีกชั้นซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นได้ทั้งฝั่งสวนและฝั่งตึก พอลิฟต์เปิดออกก็โดนลมเย็นๆ ปะทะเข้าที่หน้า ผมกระชับเสื้อกันหนาวมีฮู้ดของตัวเอง ก้าวเท้าเดินช้าๆ ไปพร้อมวิคเตอร์ สายตาหันไปมองวิวจากฝั่งเซ็นทรัลปาร์คที่เห็นยอดต้นไม้สว่างไสวได้เพราะแสงไฟในสวน ทะเลสาบขนาดใหญ่ทอแสงไฟจนดูงดงามตามท้องเรื่องของเวลากลางคืน บางจุดมีแสงไฟสีส้มดวงใหญ่สาดลงไปจนเห็นพื้นหญ้าลิบๆ จากตรงนี้
“นายจะบินกลับวันไหน” เขาถามตอนที่เราเดินมาถึงตรงกลางลาน หยุดยืนมองวิวตึกเอ็มไพร์ จากตรงนี้จะเห็นตึกในมุมกว้างกว่าข้างล่าง และตึกก็ดูสูงเพรียวกว่าด้านล่างด้วย
“ก็น่าจะสิ้นเดือนนี้แหละครับ อีกสองอาทิตย์เพื่อนผมจะบินมาที่นี่ เรานัดมาเที่ยวด้วยกันที่นิวยอร์ค” ผมบอกยิ้มๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ยอดตึกสีสวยของเอ็มไพร์
“จริงสินะ อาทิตย์หน้าก็ถือว่านายฝึกงานเสร็จแล้ว” ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วพยักหน้ายิ้มๆ วิคเตอร์ยิ้มตอบกลับมาน้อยๆ
“ตอนแรกผมก็จะอยู่ยาวถึงกรกฎาคมเลย เพราะกว่าผมจะเปิดเทอมก็ตั้งสิงหาฯ แน่ะ แต่เงินเหมือนจะไม่เอื้ออำนวยให้ผมอยู่ต่อได้ยาวขนาดนั้น” ผมยิ้มแห้งๆ รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างยากจนเหลือเกิน จริงๆ ก็ยังมีเงินเหลืออยู่แหละแต่ผมก็อยากไปญี่ปุ่นก่อนกลับ อยากไปช้อปปิ้งที่ฮาราจูกุ และแน่นอนว่าถ้าพวกเก้ากับแบมมาที่นิวยอร์ก มีหรือที่มันจะไม่ช้อป ได้ข่าวว่ามันเข้าเอ้าท์เล็ทที่ฟลอริด้าหมดไปหลายบาทแล้ว
“อยู่ต่อสิ เดี๋ยวฉันเลี้ยงนายเองก็ได้” ผมยิ้มขำ วิคเตอร์ยกยิ้มมุมปากทั้งสองข้างและส่งสายตาประมาณว่าเขาจะเลี้ยงดูจริงๆ นะ
“ให้ผมอยู่ต่อในฐานะอะไรล่ะครับ ต่อสัญญาทาสงั้นเหรอ” ผมบอกพร้อมรอยยิ้มขำไปเรื่อย บอกแบบไม่ได้คิดอะไร
“อยู่ในฐานะคนพิเศษของฉันได้มั้ย” ผมที่กำลังยิ้มไปเรื่อยเปื่อยถึงกับเปลี่ยนเป็นยิ้มเก้อ มองเขาแบบเบลอๆ คล้ายเพิ่งโดนอะไรทุบหัวมาจนหัวสั่นสนั่น
“ฉันชอบนะ เวลาที่นายอยู่ข้างๆ กันแบบนี้” เขาบอกเสียงทุ้ม รอยยิ้มอบอุ่นละมุนใจระบายอยู่บนใบหน้าหล่อคมของเขา ใจผมสั่นไหวเบาๆ มันเต้นกระตุกนิดๆ ตอนที่เขาบอกให้อยู่ข้างๆ เขา แบบนี้มันดีใช่มั้ยนะ ผมกำลังถามใจตัวเองว่ามันโอเคหรือเปล่า
“ผมก็ชอบเหมือนกัน”
“งั้นก็อยู่ต่อสิ” ผมยิ้มน้อยๆ ในใจมันหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก วิคเตอร์ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดึงของบางอย่างออกมา เขาเอื้อมมือขวามาดึงมือซ้ายผมไป ผมมองตามงงๆ สักพักเขาก็เอานาฬิกาเรือนหนึ่งมาคล้องที่ข้อมือซ้ายผม มันเป็นนาฬิกาของแบรนด์ Calvin Klein สำหรับผู้ชาย สายนาฬิกาเป็นหนังสีดำ ตัวเรือนนาฬิกาเป็นทรงกลมสีเงิน หน้าปัดเป็นเข็มสั้นเข็มยาวสีน้ำเงินแซมสีขาวปลายๆ ผมช้อนตามองเขาด้วยความงง วิคเตอร์มองกลับมายิ้มๆ มือก็ใส่นาฬิกาให้ผมจนเสร็จ ผมยกข้อมือขึ้นดู เรือนสีเงินสะท้อนกับแสงบนยอดตึกจุดชมวิวของตึก
“ฉันให้ ฉันเห็นนายชอบหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้มือถือไม่ค่อยได้อยู่กับนาย นายคงลำบาก” ผมยิ้มงงๆ คือไม่แน่ใจว่าควรดีใจมากๆ มั้ยหรือควรดีใจน้อยๆ หรือยังไงดี แต่ผมรู้สึกดีอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเขาซื้อของให้ แต่เป็นเพราะเขาสังเกตผมด้วย
“คุณก็คืนมือถือผมมาสิ” ผมบอกแล้วบู้ปาก แต่ตาไม่ยอมละไปจากนาฬิกา มันเรียบๆ ไม่เยอะสิ่ง แต่มันดูหรูหรา ดีใจจังที่เขาซื้อให้ (คิดได้ละ ว่าควรดีใจ)
“ไม่เอา เดี๋ยวนายไม่สนใจฉัน” ผมย่นคิ้ว เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแว้บหนึ่ง แล้วก้มลงมองนาฬิกาต่อ
“เห็นมั้ย พอมีอย่างอื่น นายก็ไม่สนใจฉัน ถอดออกเลย” เขายื่นมือทำท่าจะมาถอดนาฬิกาออก ผมเอามือหลบไปข้างหลังทันที
“แอ๊ะ… ให้แล้วให้เลยสิ” ไม่มีการเล่นตัวไม่เอาทั้งนั้นแหละ ถือว่านี่เป็นค่าจ้างที่ดูแลเขามาสามเดือนก็แล้วกัน ผมว่าเรือนนี้แพงแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าเขาเอาของฟรีมาให้ผมนะ เพราะเขาเคยเป็นนายแบบกางเกงในแบรนด์นี้อ่ะ
“ไม่น่าให้ตอนนี้เลยจริงๆ” เขาหรี่ตามองผมที่ยิ้มหน้าบ้องแบ๊วใส่ ผมเอามือที่ใส่นาฬิกาออกมาดูอีกรอบ เงยหน้ามองเขาอีกที
“นี่กะเอามาล่อลวงไม่ให้ผมกลับไทยใช่มั้ยเนี่ย”
“แล้วสำเร็จมั้ยล่ะ” ผมยิ้มกว้าง หัวเราะกิ๊กอารมณ์ดี เขยิบเข้าไปใกล้เขา มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง มีคนอยู่ราวๆ สิบกว่าคน แต่อยู่กระจัดกระจายและกำลังสนใจในกิจกรรมของตัวเอง ผมหันกลับมายิ้มให้เขา เขย่งตัวหอมแก้มเขาไปหนึ่งฟอด วิคเตอร์เหมือนจะตกใจไปเล็กน้อยแต่สักพักเขาก็คลี่ยิ้มออกมา
“อยู่ต่อก็ได้” ขอโทษนะเก้า แบม แกไปเที่ยวญี่ปุ่นกันสองคนนะ ชั่วโมงนี้ฉันขอกอบโกยกับผู้ชายคนนี้ก่อน
วิคเตอร์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้ ก้มลงมาหอมกลางกระหม่อมผมไปหนึ่งที ผมยิ้ม ซุกแก้มกับอกแกร่งของเขา รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดและอกอุ่นนี้
“ขอบใจนะ” เขาบอกเสียงแผ่วเบา ผมผละหน้าตัวเองออกจากอกเขา เงยหน้าขึ้นสบตาคู่สวยคมของเขาที่กำลังเป็นประกาย
“ตอนผมอยู่ที่นี่ คุณจะไม่มีใครใช่มั้ย” เขาส่ายหัวทันทีที่ผมถามจบ
“Just you. (แค่นาย)” ผมยิ้มกว้าง แม้จะไม่มั่นใจว่าเขาจะทำได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะเขามีนิสัยเปลี่ยนผู้หญิงบ่อย แต่ถึงยังไงผมก็รู้สึกดีใจอยู่ดี แม้จะยังติดใจอะไรอยู่เล็กน้อย…
“I need to know something. (ผมอยากรู้อะไรบางอย่าง)”
“What? (อะไรเหรอ)” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ รู้สึกใจเต้นตุบๆ นี่ขนาดคำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่อยากถามจริงๆ นะเนี่ย
“When you fuck me—you’re fuck—or you’re make love? (ตอนที่คุณมีอะไรกับผม คุณแค่เอา หรือว่าทำรัก)” วิคเตอร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน สีหน้าเขาดูเหมือนคนหลงทาง แววตางุนงง ถึงขั้นยกมือเกาแก้มตัวเองเบาๆ
“ฉันว่ามันก็ไม่ต่างกันตรงไหน ยังไงมันคือการที่เรามีเซ็กส์กัน” เหมือนมีเชือกอยู่ที่ใจผม แล้วเขาก็กระตุกแรงๆ จนแทบหลุดออกจากอก ความรู้สึกผมดับวูบครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะปั้นยิ้มยากขึ้นมา
“ฉันไม่เข้าใจว่าจะแยกกันทำไม ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน ยังไงนายก็ทำให้ฉันรู้สึกดีอยู่ดีนั่นแหละ” เขาบอกคล้ายจะหงุดหงิดเล็กๆ ผมยิ้มและพยักหน้าเชิงว่าเข้าใจแล้ว เพราะไม่อยากชวนเขาทะเลาะ ไม่อยากให้เขาอาละวาดหรืออารมณ์เสียตอนนี้
“คิ้วขมวดอีกแล้ว” ผมว่าแล้วยกสองมือขึ้นไปคลายคิ้วเขาที่หัวคิ้วแทบจะพุ่งชนกัน วิคเตอร์คลายคิ้วออก ใบหน้าเขาผ่อนคลายมากขึ้น ผมแอบดึงแก้มสองข้างเขาเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยวยักษ์หน้าบูดหน้าเบี้ยว
“อย่าถามอะไรเยอะนักเลย แค่ทุกวันฉันมีความสุขที่ได้อยู่กับนาย และนายก็มีความสุขที่ได้อยู่กับฉัน แค่นั้นก็น่าจะดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาว่าหน้างอเล็กน้อย ผมแอบยิ้มกับหน้าบึ้งๆ เหมือนเด็กของเขา
“ก็ดีแล้ววว!” ผมบอกเสียงยาน วิคเตอร์ยิ้มกริ่มพอใจ จับมือซ้ายผมที่ใส่นาฬิกาไว้มาดู
“ชอบมั้ย” ผมยิ้ม พยักหน้าเร็วๆ
“ชอบสิครับ เรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ว่ามองไม่เบื่อเลย”
“เหมือนนายไง” ผมอ้าปากหวอ วิคเตอร์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมหุบปากลง อมยิ้มเขินๆ รูจมูกบานเพราะพยายามกลั้นยิ้มเขินเอาไว้ ผมเสหันไปมองตึกเอ็มไพร์ที่เปลี่ยนสีไฟยอดตึกเป็นสีแดงอย่างเดียวแล้วแว้บหนึ่ง ค่อยหันกลับมาหาเขาอีกที
“ซื้อของให้ผม ผมไม่มีอะไรจะให้ตอบแทนหรอกนะ” ผมแกล้งว่าเปลี่ยนประเด็นเพื่อแก้บรรยากาศเขินๆ นี้ วิคเตอร์ยิ้มหล่อแล้วบอกเสียงทุ้มน่าฟัง
“หายป่วยเมื่อไหร่นายได้ตอบแทนฉันแน่” ผมหน้าร้อนและแดงปลั่ง เมื่อรู้ว่าไอ้สิ่งที่เขาบอกนั้นมันหมายถึงอะไร วิคเตอร์หัวเราะน้ำเสียงคุกคามแล้วพาผมเดินไปอีกฝั่งที่เห็นวิวเซ็นทรัลปาร์ค ผู้คนเริ่มทยอยเดินลงลิฟต์ไปจนเหลือหลอมแหลมอยู่สองสามคน
ผมยืนเกาะขอบปูนระเบียงชมวิวไว้ มีวิคเตอร์ยืนซ้อนหลังอยู่ ด้านหน้าของเขาแนบชิดกับด้านหลังของผม ผมกวาดตามองวิวยามค่ำคืนของนิวยอร์กเอาไว้ให้เต็มตา เพราะไม่รู้ว่าผมจะได้กลับมาอีกมั้ย ถ้าอยู่ต่อที่นี่ ยังไม่กลับไทยพร้อมแบมกับเก้า ก็ยืดเวลาได้อีกแค่เดือนเดียว หลังจากนั้นก็ต้องกลับไทย
แล้วผมกับเขาเราจะยังไงต่อนะ ก่อนกลับเขาจะให้ในสิ่งที่ผมหวังไว้รึเปล่า ผมไม่กล้าพูด ไม่กล้าถาม เพราะผมกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังมีอยู่ตอนนี้จะหายไป เพราะตอนนี้ก็อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ เรามีความสุขที่อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ก็ดีสุดๆ แล้ว ผมยกสองมือขึ้นจับมือเขา บีบมันไว้เบาๆ วิคเตอร์ก้มลงจูบกลางกระหม่อมผมผ่านหมวกหนึ่งทีแล้วยืดตัวมองวิวตามเดิม เสียงเพลงลอยแว่วมาช่างเข้ากับบรรยากาศ
Turn the lights down low, and kiss me in the dark… หรี่ไฟให้มืดลง แล้วจูบฉันในความมืด
‘Cause when you touching me, baby I see sparks… เพราะทุกครั้งที่เธอสัมผัสฉัน ที่รัก ฉันเห็นประกายไฟระยิบระยับ
You make my heart go… เธอทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
[ตอนต่อไปด้านล่างค่ะ]