Gokusan คิดถึ๊งงงงงงงงง!!
ไม่ได้เที่ยว ไปทำงานบนดอย เจไดขโมยซีนอินบรรยากาศท่าทางจะชอบสุด (แต่ตัวหอมฉุยมาก)
ส่วนโจ๊กี้เมาเหล้าข้าวโพด ใสแบบตาตั๊กแตนแต่จุดไฟได้ นอนตายอยู่ 2 วัน
อีกเจบอก 'มึงห้ามพามันมาอีกเป็นอันขาด' ก๊าก!
เป็นฮอลิเดย์ที่... 555
******************************
My Dangerous Fire
รัก ร้อน เรา
ตอน 3 กลับเข้าบ้าน
geng’s
ผมเจ็บร้าวทั้งกายใจ
ถ้าระเหิดหายกลายเป็นไอล่องลอยไปในอากาศคงดีมิใช่น้อย
แต่ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์เราช่างโหดร้ายนัก
ทำไมต้องเกิดกับผม
ทำไมต้องเกิดกับคนชื่อกรกฎาคนนี้ด้วย
ทำไม เพราะอะไร แล้วคนที่กระทำย่ำยีให้แหลกสลายกลับไม่ใช่ใครอื่น
มันคือคนใกล้ตัวมากที่สุดอย่างไม่น่าให้อภัยและไม่น่าเชื่อ...เฟรม
เพื่อนสนิทคนเดียวที่มีมาตั้งแต่เกิด
คนที่ไว้ใจที่สุด
คนที่ใกล้ชิดที่สุด
คนที่ผมไม่ลังเลจะมอบชีวิตให้ถ้าเพียงเอ่ยขอ
เพื่อนเป็นเพื่อนตายทำไมทำกันได้ลงคอ
จะว่าเผลอเรอเพราะเมามายขาดสติจนไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ไม่น่า
ตั้งแต่ครอบครัวนี้ประกอบกิจการรับซื้อขายส่งสุราและน้ำเปล่า
เฟรมไม่เคยเมาหัวทิ่มจนไร้สติสัมปชัญญะเลยแม้ซักครั้งเดียว
‘กินทำไม บ้านกูขาย เห็นจนเบื่อ’ สั้นๆ แต่ได้ใจความ
จะว่าเงี่ยนจนคุมตัวเองไม่อยู่ก็ไม่ใช่
‘เล่นบาสสนุกกว่าตั้งเยอะ นมโตก็งั้นๆ เอาไม่มันส์หรอก’
จะบอกว่ามึงตามร้อยเล่ห์เล่มเกวียนของผู้หญิงไม่ทันก็ว่ามาเถอะ ผมรู้ความลับดี
เฟรมเก็บตัวไม่เคยมีแฟน ผู้หญิงเข้าหามากมายแต่เจอเก็กโหดหน้าดุ
ไม่ค่อยเทคแคร์ไม่มีทีท่าถนอมน้ำใจ หรือไม่ก็ปิดปากเงียบกริบเกินพอดี เป็นใครก็ถอย
ไม่ขวางโลกก็จริงแต่ขีดเส้นวงรอบกั้นพื้นที่ส่วนตัวสูงมาก
แล้วเสือกมาเอากู อยากตะโกนก้อง ‘ตาถั่วรึไง กูผู้ชายนะเว้ย!!!’
-----------------
ฝันร้ายว่างูตัวใหญ่เกล็ดขึ้นเงามะเมื่อมสีน้ำเงินรัดขนดแน่นจนลืมหายใจ
‘เฮือก!’ ผุดกระตุกลุกลืมตาตื่นขึ้นมาหายใจ เกือบตาย
ฝ้าเพดานสีขาว แสงไฟสว่างไม่คุ้นตา
ลอบมองโดยรอบค่อยรับรู้ว่าอยู่ในห้องพยาบาลของโรงเรียน อีก
ใจอยากผันกลับไปอยู่ในม่านมืดดำดังเคย ซ่อนเร้นกายใจไม่อยากตื่นรับรู้ความจริง
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย” คนที่ไม่อยากเจอ
งูสีดำเหลื่อมเกล็ดสีเข้มราวรัตติกาล
นิ่งขึงกับผนังห้องที่เดิมแบบเดียวกับเมื่อเที่ยงวันเป๊ะ
“...” หันมองนาฬิกาติดฝาผนัง บ่ายสองกว่าใกล้บ่ายสาม
“กลับกันเลยหรือเปล่า ช้ากว่านี้รถติด” ไม่สนผม หยิบกระเป๋าวางของกองเตรียมพร้อม
“อย่ามายุ่ง!”
“ถ้าไม่อยากให้ยุ่งก็อย่าเรื่องมาก” สวนควับไม่ถนอม
“ฮื่ย...” กัดฟันกรอด
“ไปเข้าห้องน้ำล้างหน้า จะได้กลับบ้าน” มันช่างกล้าสั่งกู
(T-T) ไอ้ชั่ว กูป่วยอยู่นะ ไม่มีลดราวาศอก
หิ้วปีกเข้าห้องน้ำก่อนปล่อยผมทำธุระส่วนตัว
เจลเย็นเกะกะหลุดจากกางเกงด้านหลัง จับดูยังมีอุณหภูมิอยู่ ใจหล่นวูบถึงตาตุ่ม
ใครแอบเปลี่ยนใหม่ให้ อับอายกับเรื่องลับหนีเงื้อมือมารไม่พ้น
-------------
-----------------
ถึงบ้านที่ไม่ใช่บ้านกรกฎา (Y-Y) เพราะมันคือบ้านใหญ่ของมันครับ
ดื้อยังไงก็ไม่ฟัง ขัดขืนแค่ไหนก็ไม่ได้ ด้วยมีพวกมากญาติเยอะอยู่กันเป็นหมู่ใหญ่
เนียนดันตัวผมขึ้นห้องชั้น 6 ฉิบ
(บ้านนี้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ผู้ชายก้มหน้าทำงานกับหุบปากให้ปิดสนิทเข้าไว้)
“กินอะไรกันมาหรือยัง?” คุณพิมพิไล หม่าม้าเจ้าของสถานที่เงยหน้าจากกองเอกสารใบสั่งซื้อ
ออฟฟิตโฮมทาวน์หน้าหมู่บ้านสวยๆ แอร์เย็นๆ มีไม่นั่ง ชอบทำงานกับโต๊ะครัว
“ยังครับ” เฟรมตอบพลางกดลิฟต์เล็กจะขึ้น (เพ็นธ์เฮ้าส์) ไม่รอ
“เดี๋ยวดูในครัวให้ แล้วเก้งหายไข้หรือยังล่ะ”
“ดีขึ้นแล้วครับ” ผม
“มีอะไรก็บอก เป็นอะไรมากจะลำบาก” คุณป้าพิมใจดี
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ จะโหวกเหวกโวยวายใช่ที่
คนในบ้านนี้เป็นยิ่งกว่าครอบครัวของผมเอง
ดูแลเลี้ยงดูแทนแม่ที่ไปทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ทิ้งผมกับยายไว้ด้วยเหตุผลบริษัทต่างชาติเงินดีจริงแต่ต้องแลกสภาวะบางอย่าง
เงื่อนไขไม่ชอบแต่จำต้องยอมรับ
บ้านหลังนี้กับบ้านจริงๆ ของเราอยู่ห่างกันแค่บล็อคถนนเดียว
และผมเคยชินกับที่นี่ยิ่งกว่าบ้านตัวเองเสียอีก
ชั้น 6 ปิดประตูตามหลังปึงเบาๆ
ผมหันหลังกลับทันทีอยากออกจากห้องนี้เต็มทน
ไม่อยากเผชิญกับเตียงกว้าง ผ้าปูสีม่วงไม่ใช่สีขาวดังเก่า
แต่มันคือที่นอนหลังเดิมไม่เปลี่ยน
“อาบน้ำซะ กินข้าวเสร็จจะได้กินยา” คำสั่งจากคนถมึงทึงไม่ยิ้มไม่พูดซักแอะเดียวตลอดการเดินทาง
“กูจะกลับบ้าน” ผม
“บ้านไหน ไม่มีใครอยู่ นอนที่นี่ล่ะ”
“ไม่! กูจะนอนบ้านตัวกูเอง จะอยู่คนเดียว”
“คิดว่ากูควรจะยอม?” สืบเท้าเข้ารวดเร็วจนแผ่นอกชนหน้าผม
ไอ้เปรตเดินดิน โหดหินใจร้ายเกินไปล่ะ
“มึงไม่ใช่เพื่อนกู” ผมไม่ลดละ
“นี่...เก้ง”
“กูจะไม่อยู่ร่วมชายคากับมึงอีกต่อไป” ยื่นคำขาด
“...” เงียบ มองอะไรไม่รู้เพราะผมก้มหน้างุดไม่ได้จับตาดู
“ตั้งแต่นี้เราขาดกัน!”
...เงียบเกินไป
...วังเวงเกินไปจนใจผมสั่น
ไม่พูดไม่ตอบ ไม่เอ่ยซักคำเป็นปกติธรรมดาของมัน
แต่ครั้งนี้กรกฎาหนาวถึงขนาดเม็ดเลือดฟรีซแข็งตัว
ต่อยตี ด่าทอก็ลงมือเลยสิอย่าช้า...หลับตารอการลงทัณฑ์
ได้ยินเสียงของหล่นตุบบนเตียงใกล้ที่ผมยืน
“ปีที่แล้วยายมึงมายืมเงิน 5 แสน ที่บ้านจะให้กู้แต่กูชิงโอนให้ก่อน”
“หะ...” ผมลืมตาตื่นเห็นกล่องรองเท้าสีดำ ขีดเครื่องหมายถูกสีส้มเด่นหรา
ตราเครื่องหมายการค้ายี่ห้อเดียวของเจ้าของห้องผู้ชื่นชอบเป็นหนักหนา
จากคำขวัญประจำตัว Just do it ‘ไนกี้’
ในนั้นมีกระดาษเอกสาร ซองจดหมายเก็บไม่เป็นระเบียบเหมือนโยนทิ้งใส่กล่องไว้เฉยๆ
“แม่มึงโดนข้อหาปกปิดบัญชียักยอกเงินบริษัทเก่า ถูกฟ้องไม่มีเงินจ้างทนาย แต่ตอนนี้เคลียร์ได้แล้วว่าโดนป้ายความผิดจากหัวหน้า”
“ไม่จริง!?” ผมไม่เคยรู้มาก่อน
“ใช่ ไม่จริง เพิ่งถอนฟ้องเมื่อครึ่งปีนี่เอง ตอนนี้เลยต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอยู่โน่น”
“กูไม่เข้าใจ” ผมมึนตามข้อมูลใหม่ไม่ทัน
“มึงขึ้น ม.4 ส่วนแม่ได้เลื่อนตำแหน่งทั้งยังไม่พ้นโปร เงินเดือนสูงลิ่วก็จริงแต่ทำไมต้องขายรถ ยายขายที่นาต่างจังหวัด ไปอยู่เมกาไม่กลับบ้านเป็นปี”
“หมายความว่ายังไง?”
“คิดดูดีๆ ปีที่แล้วบ้านมึงเจอกับอะไรบ้าง ไม่เคยเจอหมายศาลเลยเหรอ” เฟรมบังคับให้รื้อฟื้น
“ใช่ตอน ม.4 เทอมปลาย?” ผมรำลึกเหตุการณ์
นึกว่าจะพ้นสภาพย่ำแย่ แม่เพิ่งเปลี่ยนงาน
แต่บอกไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ทั้งที่พี่กวางเพิ่งสอบได้ใบขับขี่
หวังรับส่งแม่ไปกลับสนามบินและดูแลผมกับยาย
ทำไมแม่เปลี่ยนใจมีเงินให้พี่กวางเรียนยูในอเมริกา
ทั้งที่แรกสุดตัดสินใจเรียน ม.ของรัฐแถวบ้าน แผนการชีวิตกลับลำวินาทีสุดท้าย
ยายขายที่มรดก แม่ไม่กลับไทยทั้งที่บริษัทบังคับแค่ 3 เดือน คำตอบเพิ่งกระจ่าง
เรากำลังมีความหวังทว่าอดงุนงงไม่ได้ ทุกคนในบ้านเคร่งเครียดเสียเหลือเกิน
แค่ครึ่งปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้เชียวหรือ
ทำไมผมถูกปิดหูปิดตาไม่ให้รับรู้มาก่อน
และคนที่บอกเฉลยให้ได้ยินจากปากคือไอ้คนนี้...
“ใช่แล้ว ม.4 น่าจะตอนนั้น เตี่ยเฮียจะให้ทำสัญญาเงินกู้ แต่กูใต้โต๊ะโอนให้ก่อน ไม่มีสัญญาไม่มีค้ำประกัน ไม่หลักฐานอะไรเลย แม่มึงจะโกง เชิดเงินหายเข้ากลีบเมฆไปที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้”
“ไม่มีทาง!” ผมฉิววูบ แม่รักความถูกต้อง หญิงแกร่งสู้ไม่ถอย
“ก็นั่นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก แม่มึงน่าจะโบนัสเยอะ ฉลองปีใหม่เมื่อกี้โอนคืนมาให้ตั้งแสน” ร่างสูง
โบกสมุดบัญชีสีม่วงไหวๆ ก่อนโยนตุบทิ้งบนฟูกใกล้มือผม
สะอึกวูบ มิน่า ถึงเกิดเรื่องบัดสี
“เพราะอย่างนี้มึงถึงกล้าทำกับกู”
โยงใยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อัพนิยายวายลงอินเตอร์เน็ตให้พี่กวางมากเกินจนสมองเฝื่อน
คุณลูกหนี้ผู้น่ารักน่าใคร่เอาตัวขัดดอกท่านเจ้าหนี้ สไตล์ตบจูบบิวตี้แอนด์เดอะบีทต์
“เหลวไหล”
“เหลวไหลเชรี่ย! มึงมันชั่ว โรคจิต กูเป็นผู้ชายนะ แล้วกูก็ไม่ได้...”
ผมยั้งคำว่า ‘รัก’ ไม่ให้หลุดจากปาก
ดวงตาสีดำคู่นั้นเศร้าสร้อยเกินไป เย็นเยียบเกินไป
คล้ายมีเปลวไฟสีน้ำเงินรอปะทุ
“เออ! กูชั่ว กูโรคจิต กูเอาผู้ชายซึ่งก็คือมึงคนเดียว...เก้ง!”
“...” อ้าปากค้าง
จากเพื่อนยกสถานะเป็นเมียผัวชั่วข้ามคืน
48 ชั่วโมงต่อมาขยายฐานแปรพักตร์เป็นลูกหนี้เจ้าหนี้ซ้ำเติม
มารร้าย ซาตานแปลงร่างมาชัดๆ
“เอาเลย! อยากตะโกน อยากให้คนทั้งโลกรู้ก็ตามใจ กูรับได้ทั้งนั้น”
“เชรี่ย...” ผมเข่าอ่อนแต่แข็งขืนเซไปพิงโต๊ะข้างหัวเตียง
อากาศถูกสูบไม่พอหายใจ
ชีพจรอ่อนแรงกำลังจะตาย
ความสับสนถั่งโถมตั้งตัวไม่ติด
คำถามคำตอบมากมายปนเป
“ที่บอกเรื่องเงินเพราะกูจะบอกว่าอย่าได้เฮี้ยนทำอะไรบ้าๆ ไม่คิดหน้าคิดหลังเป็นอันขาด แค่ทำตัวปกติธรรมดาเหมือนที่ผ่านมาก็พอ”
“คิดว่ามันง่ายนักเหรอ” ผมประชด ความสัมพันธ์เปลี่ยน หมาโง่ตัวไหนก็มองออก
“ก็แล้วแต่ สนใจทำไม ใครเห็นก็ช่าง กูรู้ของกูคนเดียวก็พอว่ามึงน่ะ...เป็นเมียกู”
“...” เอิ่ม (-///-) ไม่ต้องตอกย้ำได้ไหม
“จะตัดขาดอะไรยังไงก็เชิญ ไม่ให้เข้าใกล้ ไม่คุย ไม่นอนด้วยยังไงได้หมด แต่ข้างนอก...ถ้าทำตัวเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหากับคนอื่น ูขี้เกียจตอบคำถามยาวๆ”
“นี่มึง...” ผมอ้ำอึ้งโดนย้อนข้อพิพาทแรกของตัวเอง
สมองสั่งการไม่ทันเพราะมัวหน้าแดงตรงคำว่า ‘นอนด้วย’ นี่ล่ะ
คิดเป็นเด็ก 5 ขวบเหมือนเดิมเป๊ะ ‘กูขี้เกียจพูด’
เฟรมคือเฟรมปากหนักคนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
“ตามนั้น คิดดีๆ ละกันว่าจะให้ทำอะไรยังไงก็บอก โอเคไหม”
“อะ...โอเค” ผมตามน้ำแบบฟังก์ชั่นเออเร่อ คดีพลิกมโหฬาร
“อ้อ! แล้วอย่าคิดทำอะไรโง่ๆ เด็ดขาด มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป กีตาร์อยู่นั่นก็เล่นซะ คิดอะไรยากๆ เรื่องมากน่ะมัน---”
“มันอะไร?” อดไม่ได้
“มันไม่ใช่คนที่กูรัก”
“อา...” ผมเงอะงะดั่งรถเร่งเหยียบมิดไมล์โดนดึงเบรคมือฉับให้เหวี่ยงสะบัดเข้าดริฟต์
“เก้งของกูน่ะ...ดื้อกว่านั้นเยอะ”
รถยนต์หลุดการควบคุม
ทุกสิ่งอย่างไร้ความหมาย
จังหวะหัวใจคนขับหยุดเต้น
กระทั่งออกซิเจนก็ลืมเอาเข้าปอด
(>0<) กรกฎาลอยคว้างกลางอากาศ
-------------
มือใหญ่ช้อนคาง ปลายนิ้วแตะพวงแก้มใกล้หลังหู
บังคับมุมเงยเพียงเล็กน้อยแล้วมอบจุมพิตแผ่วเบานุ่มนวล
ก่อนขยับบดริมฝีปากบังคับเผยอออก
แทงเรียวลิ้นร้อนหยอกเย้าเข้ากวาดกินลึกถึงหัวใจเต้นแรง หวิวหวั่นจะทรงกายไม่อยู่
จับยึดบิดเนื้อผ้าอีกฝ่ายแน่นช่วยพยุง อ้าปากหอบอากาศ
ภาพรายล้อมรอบด้านพร่าเลือนแต้มเจือสีชมพูจางๆ เกิดอาการตาบอดสีชั่วขณะ
‘จุ๊บ!’ ถูกจูบซับกับหน้าผากอีกครั้งก่อนศีรษะถูกกดเข้าวงกอด
ให้สูดกลิ่นผู้ชายตรงหน้าเต็มปอดเต็มความรู้สึก
“จะรอ...จนกว่ามึงจะอนุญาต หึหึ”
พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงฟะ แอบชกใต้เข็มขัดนี่หว่า
อมยิ้มติดมุมปาก หล่อเท่มาดร้ายชวนละลายก่อนคว้าเสื้อกล้ามดำพาดบ่า
มือใหญ่ฉวยนวมสีแดงจากไป คงฟุตเวิร์กต่อยกระสอบทรายเรียกเหงื่อที่ลานจอดรถสำหรับรับส่งของข้างล่าง
บานประตูปิดปึงพร้อมผมทรุดลงกับฟูกสีลาเวนเดอร์
ซบหน้ากับฝ่ามือตัวเองแล้ว...ซึน
*************TBC by puppyluv