บทที่ 18 รู้จัก
“วันนี้พวกมึงจะมาที่ห้องกูกันกี่โมง”
“ก็สักทุ่มนึงแหละ ทำไมอะ”
“อ๋อ กูต้องไปซื้อของเข้าหอ ไม่รู้ว่าจะนานไหม เออกุญแจสำรองกูอยู่กับใครอะ”
“อยู่กับกู ไม่เป็นไรเดี๋ยวถ้ามึงกลับช้าแล้วกูถึงก่อน เดี๋ยวโทรบอกละกัน”
“เออได้” ผมรับคำทะเลก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าคาดอก “เดี๋ยวกูไปก่อนนะ เจอกันมึง”
“แล้วเจอกัน” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องเรียน หมดแล้วสำหรับงานที่ต้องส่ง หลังจากนี้ก็เหลือแค่สอบไฟนอลอีก 3 วัน เสาร์อาทิตย์นี้ก็ต้องอ่านหนังสือ
วังวนของนักศึกษาที่แท้ทรู
ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้วครับ ผมเพิ่งเคลียร์งานส่งอาจารย์เสร็จ หลายวันมานี้ล้ามาก นอนน้อยเพราะต้องจัดการอะไรหลายๆ อย่าง แต่เดี๋ยววันหยุดผมจะนอนแม่งทั้งวันเลย ตื่นมาค่อยอ่านหนังสือ หรือว่าตอนนอนจะเอาหนังสือหนุนไว้ใต้หมอนด้วยดีวะ คือบางทีในหัวก็คิดนะว่าเราจะทำแบบนั้นทำไม แต่คิดไปคิดมามันก็ไม่ได้เสียหายหรอก ตื่นมาหนังสืออาจจะยับนิดหน่อยหรือไม่ก็ขาดสักหน้าสองหน้า
งั้นเอาเป็นว่าอ่านดีดีก็แล้วกัน
ผมมีนัดกับสิบสามที่ห้าง AA ซึ่งป่านนี้เขาคงรออยู่ที่นั่นแล้วล่ะ วันนี้นังน้อนเลิกเร็วกว่าผมครับตั้งแต่ตอนเที่ยง เขาบอกว่าเรียนเสร็จแล้วจะไปติวกับเพื่อนที่ห้องสมุดของคณะ สักบ่าย 3 จะมารอที่ห้างก่อน ผมไลน์ไปบอกเขาแล้วแหละว่ากำลังไป อาทิตย์ที่ผ่านมาเราสองคนได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นนะตอนที่เลิกเรียน คงเพราะเขาไม่ต้องซ้อมคฑาแล้ว มันจะสอบไงก็เลยงดซ้อม แต่ถ้าผ่านช่วงไฟนอลไปก็คงซ้อมตามตารางเหมือนเดิม
เหนื่อยแย่เลยเจ้าแฟน
ช่วงปิดเทอมของมหา’ลัยผมมันสั้น จากเทอม 1 ไปเทอม 2 มันแค่เดือนนิดๆ เอง เหมือนโรงเรียนมัธยมฯ เลย แต่ช่วงเปลี่ยนปีการศึกษาจะปิดนานนะ แต่ด้วยความที่ผมอยู่ในฐานะของหนึ่งในคณะกรรมการนักศึกษา ช่วงปิดเทอมยังมีงานที่ต้องเข้ามาประชุมวางแผนเลยอะ แล้วรุ่นผมทำกันอยู่แค่ 5 คน มารุ่นพวกสยามถึงได้เพิ่มคน อย่างน้อยก็เยอะกว่ารุ่นเฌออะครับ แต่ช่างเถอะ หน้าที่ของรุ่นผมมันจบตั้งแต่รับน้องแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้น้องๆ ทำไป
ไม่โชคดีมันก็โชกเลือดแหละ....มีอยู่แค่ 2 อย่าง
ผมนั่งรถเมล์จากหน้ามหา’ลัยมาจนถึงห้าง AA ความจริงเมื่อเช้าก็ตั้งใจจะเอารถมานะ แต่ไม่รู้ว่ากุญแจรถอยู่ที่ไหน เมื่อวานจำได้วางไว้หลังตู้เย็น พอมาวันนี้คือหาไม่เจอ น้องมันก็ไม่น่าจะเดินไปไหนได้ป้ะวะ ผมก็งง ตอนเด็กๆ เคยคิดด้วยว่าบางทีการที่เราหลับไปเนี่ยะ สิ่งของในห้องอาจจะมีชีวิตแล้วก็แอบปาร์ตี้กัน ย้ายที่ไปตรงโน้นตรงนี้แล้วก็ไม่ยอมกลับมาอยู่ที่เดิม พอเป็นแบบนั้นเราที่ตื่นมาตอนเช้าก็จะหาของไม่เจอ
เก่งจังเฌอเรื่องเพ้อเจ้ออะ
“พี่เฌอ”
ผมหันมาเสียงเรียกก็พบร่างสูงที่สวมชุดนักศึกษาเต็มยศ วันนี้เซ็ตผมเสยไปด้านหลังอย่างเนี้ยบ รู้สึกว่าจะไปถ่ายรูปอะไรสักอย่างให้คณะนี่แหละ ไม่สวมแมส ไม่ใส่แว่น หน้าใสเพียวๆ ทุกอย่างคือหล่อคมไปหมดยกเว้นที่ถือกระเป๋าลิตเติ้ลทวินสตาร์
น่ารักมากค้าบ
“รอนานไหม”
“ไม่เท่าไหร่ครับ พี่กินอะไรมารึยัง”
“ยัง.....ไปหาอะไรกินก่อนไหมแล้วค่อยไปซื้อของ”
“ได้นะครับ ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย” สิบสามเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหยิบกุญแจรถผมส่งมาให้ “พี่ลืมเอาไว้บนหลังตู้เย็นห้องผม”
เห็นไหมว่าผมวางไว้หลังตู้เย็นจริงๆ.....แค่ไม่ใช่ห้องตัวเองเท่านั้นแหละ
“ขอบคุณนะคุณ” ผมเก็บน้องกุญแจรถใส่กระเป๋าตัวเอง “เมื่อเช้าผมหาแทบตาย”
“อยู่ที่ห้องผม พี่คงหาเจอหรอก”
“เอาน่า ก็ยังดีที่อยู่ห้องคุณ” ผมยิ้มแป้นให้เขา “ไปกันเถอะ ผมหิวแล้ว” ว่าแล้วผมก็เดินนำสิบสามเพื่อหาร้านอาหาร กินอะไรดีวะ ชาบูก็ดีนะ อยากกินอะไรที่มันเยอะๆ อะ
มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ “....ลากผมไปหน่อย”
“ลากอะไรของคุณ” ผมหลุดหัวเราะพลางมองมือเขาที่ประสานเข้ามือตัวเอง “หลอกจับมือผมกลางห้างเลยเหรอนังน้อน ร้ายนักนะ”
“ไม่ได้หลอกครับ ผมจับให้เห็นเลย”
“คุณไม่กลัวว่าจะมีคนมองเราแปลกๆ เหรอ”
“คนอื่นคือคนอื่นครับ....แต่พี่คือแฟนผม” สิบสามหันมองผมนิ่งๆ
“ผมจับมือแฟนตัวเอง ไม่เห็นจะแปลกเลย ถ้าใครคิดว่าการที่ผมทำแบบนี้แล้วแปลกๆ มันน่าจะเป็นปัญหาของเขานะครับ” ตึกตัก
ความไม่แคร์นี้มันดีจริงๆ
ผมขยุ้มหัวนังน้อนไปทีนึงด้วยความมันเขี้ยว น่ารักเกินไปแล้วโว้ยยยย การที่เราจับมือกันในที่สาธารณะมันก็เป็นสิทธิ์ของเรานะ เป็นแฟนกัน จับมือกันไม่ใช่เรื่องแปลก นี่เบสิกมากเลยสำหรับผม ความจริงการโอบไหล่ก็ไม่ถือว่าแปลกเหมือนกัน ตราบใดที่การกระทำไม่เข้าข่ายอนาจารแล้วผิดกฎหมาย ก็ไม่นับว่าแปลกทั้งนั้นอะ มันเป็นเรื่องปกติที่ใครก็สามารถทำได้ การที่สิบสามบอกว่าใครก็ตามที่มองเราสองคนด้วยสายตาแปลกๆ มันก็เป็นปัญหาของเขาจริงๆ อะ
ถ้าไม่ชอบใจก็รบกวนแพลนสายตาไปทางอื่นนะครับ
ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาก็เดือนกว่าแล้วใช่ไหมครับ คือคนรอบข้างเรารับรู้เรื่องนี้ ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีปัญหา บรรดาเพื่อนๆ ก็สนับสนุนผมมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วสำหรับการเป็นแฟนกับสิบสาม คือหลายคนรู้เรื่องที่เราคบกัน ในเฟซบุ๊กก็ตั้งสถานะเอาไว้ แต่มันก็ยังมีคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายและก็วอแวอยู่นะ ส่วนมากจะเป็นผมมากกว่าที่มีคนทักเข้ามาขอคุยด้วย ต่อให้ผมมีแฟนก็ไม่เป็นไร เขาโอเคถ้าจะแอบคุยกัน
น้องโอเคแต่พี่ไม่โอเคครับ
แฟนพี่ก็คงไม่โอเคอย่างมาก
คือมันก็มีเหตุการณ์แบบนี้ตลอดต่อให้จะกับแฟนคนไหนก็เถอะ ซึ่งผมจะปฏิเสธแล้วตัดคนแบบนั้นออกไปจากชีวิตทันที คนดีดีที่ไหนจะมาคุยกับแฟนคนอื่น ความสัมพันธ์ของคนรัก การนอกใจเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดแล้ว เวลาโดนนอกใจแม่งเจ็บจริงๆ นะ พอเราถามว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็จะหาเหตุผลแสนข้อมาอ้างว่าเพราะเราอย่างนั้น เพราะเราอย่างนี้ คือเหตุผลพวกนั้นเราไม่ควรมาได้ยินหลังจากที่เขานอกใจเราป้ะวะ
เราควรรับรู้ตั้งแต่แรก....จะได้ปรับไงถ้ามันเป็นปัญหา
นอกใจก็คือนอกใจ....เหตุผลอะไรก็ฟังไม่ขึ้น
โมโหอะไรวะเนี่ยเฌอ
“สิบสาม”
“ว่าไงครับ”
“ห้ามนอกใจผมนะ”
เจ้าตัวหันมองผม “....ครับ”
“หื้อออ...อ....พูดก่อนว่า น้องสิบสามจะไม่นอกใจครับ”
“น้องสิบสามจะไม่นอกใจครับ” “จะรักพี่เฌอ”
“....จะรักพี่เฌอ” ฉ่า
ให้เขาพูดเองก็เขินเองว่ะ
“ดีมากนังน้อน ” ผมยิ้มให้เขาอย่างชอบใจ “เป็นแฟนพี่ต้องทำตัวน่ารักนะครับ”
“พี่ก็ด้วย ห้ามนอกใจผม แต่ความจริง.....ผมก็มั่นใจอยู่นะว่าจะไม่มีใครทำให้พี่เปลี่ยนใจไปจากผมได้ ใครจะรักพี่เฌอได้เท่าที่ผมรักอะ ไม่น่ามีป้ะครับ”
“คุณนี่มัน.....” อย่าบอกรักทั้งๆ ที่หน้านิ่งแบบนั้นสิวะ ใครจะทำตัวถูกล่ะสิบสาม
“ผมพูดจริงๆ นะครับ”
“....เฌอ” ผมหันตามเสียงเรียกก็พบกับร่างสูงและลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านข้าง “.....ป๊า”
“สวัสดีครับ” สิบสามยกมือไหว้หลังจากที่ได้รับรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร คือสถานการณ์นี้คิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่ปุบปับแบบนี้ไหมวะ
“อื้ม....สวัสดีนะ เธอคงเป็นแฟนของเฌอใช่ไหม”
“ครับ ผมชื่อสิบสาม เป็นแฟนพี่เฌอครับ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงเรียบพลางยิ้มบางๆ อย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นนิ่งๆ อย่างนั้นแต่รู้ได้เลยว่าเขากำลังประหม่ามาก นังน้อนที่เป็นแบบนี้ก็ตลกเหมือนกันนะ
“แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันล่ะ”
“กินข้าวน่ะครับ”
“งั้นเอางี้ไหม เดี๋ยวป๊าเลี้ยงเอง ไปกินข้าวกัน”
ผมพยักหน้ารับเบาๆ “เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เฌออยากกินชาบู”
“ได้ เออวัณลพ ไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันโทรหา”
“ได้ครับคุณท่าน” คุณวัณลพรับคำก่อนจะเดินไปอีกทาง ส่วนป๊าก็เดินนำผมไปที่ร้านชาบูซึ่งอยู่ชั้น 4 ของห้าง
กินข้าวด้วยกันครั้งล่าสุดก็โน่นแหละ เดือนก่อนอะที่สาดน้ำใส่หน้าไอ้ภัทร ผมไม่มีปัญหากับการกินข้าวกับป๊านะ ยิ่งถ้ากินนอกบ้านแล้วไม่มีคุณเกสรอยู่ด้วย ทุกอย่างมันก็ปกติไง ตอนนั้นก็เคยบอกกับภัคอยู่ว่าถ้าอยากกินข้าวด้วยก็ให้นัดไปกินข้างนอกเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะคารมกัน คือกับเมียป๊า เฌอน่าจะยังมีปัญหาอยู่ แต่ถ้ากับบรรดาพี่น้องด้วยกันคงไม่มีแล้วแหละ เมื่อวันก่อนไอ้น้องเวรมันซื้อสติ๊กเกอร์ในไลน์มาใหม่ มันก็มาลองเทสกับไลน์ผม
เทสสติ๊กไลน์ตอนตี 3 อะ.....หึ
อย่าให้พี่เจอหน้านะน้อนภัทร
ผมกับสิบสามนั่งลงฝั่งตรงข้ามป๊า มือเรียวหยิบกระดาษไปจดยุกยิกๆ ผมก็จัดแจงสั่งโน่นนี่นั่นพลางถามป๊าว่าเอาอะไรบ้าง เขาบอกว่าเอาอะไรก็ได้ โอเคเลย เดี๋ยวจดไปว่าเหมาทั้งร้าน เก็บเงินที่เจ้าสัวกฤตคนที่รวยๆ อะ ฮ่าๆ ๆ ๆ พนักงานต้องเป็นงงแหละถ้าเขียนไปแบบนั้น
“ขำอะไรครับ”
ผมทำหน้ามุ่ยใส่นังน้อน “คนเราก็ต้องคิดอะไรในใจแล้วขำออกมาบ้างแหละ ทำไม คุณไม่เคยเป็นรึไง”
“ไม่เคยครับ”
“จืดจางมากเลยอะ คุณไม่มีจินตนาการอ๋อ”
“ผมแค่ไม่ขำเท่านั้นแหละ” เขาบอกก่อนจะส่งกระดาษจดให้พนักงานแล้วรินน้ำให้ผมกับป๊า “นี่ครับ”
“ขอบใจเธอนะ เออแล้วนี่....คบกันมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“เดือนกว่าแล้วครับ” สิบสามตอบก่อนจะแย่งปากกาไปจากมือผม “แขนผมเลอะไปหมดแล้ว พี่นี่เหมือนเด็ก”
“ผมกำลังวาดหน้าแบด แบดให้คุณนะ”
“พี่จะวาดบนแขนผมไม่ได้นะครับ หมึกปากกาเป็นสารเคมีนะ ถ้าจะวาด วาดบนกระดาษนี่ครับ” เจ้าตัวหยิบกระดาษโพสอิทจากกระเป๋าส่งมาให้
“คุณไม่เคยดู Your Name อะดิ”
“นั่นมันอนิเมชั่นไงครับ พอเลย เลิกเถียงผมได้แล้ว คุณพ่อพี่ขำใหญ่แล้วนะครับ”
ผมหันขวับไปมองทางป๊าทันที “ขำอะไรอะป๊า”
“ขำเฌอไง เหมือนเด็กจริงๆ อย่างที่สิบสามเขาว่า อายุเยอะกว่าเขาจริงรึเปล่าเนี่ยะ”
“จริงสิป๊า” ผมหยิบปากกาจากมือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะหรี่ตามองเขา “ระวังตอนหลับเถอะคุณน่ะ”
“หึ....”
ไม่ต้องมาหึเลย
“สิบสาม” ป๊าเอ่ยเรียกนังน้อน
“ครับ”
“เธอเรียนอะไรเหรอ”
“เรียนหมอครับ ตอนนี้ปี 2 แล้ว”
ป๊าพยักหน้ารับรู้ “คบกันเฌอมาเดือนกว่าสินะ รู้จักเขามากแค่ไหนล่ะ”
“พี่เฌอเป็นคนขี้ลืมครับ ลืมของเก่งเป็นที่หนึ่ง วางของสลับที่ไปหมด เขาไม่เคยจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่พอเป็นเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น เรื่องที่ทำให้เขามีความสุขหรือเสียใจ เรื่องแฟนเก่าของเขาแต่ละคน ไม่เคยลืมเลยครับ จำได้แทบทุกอย่าง”
“อื้ม....แล้วยังไงอีก”
“พี่เฌอชอบสีเขียวครับ ชอบสูบบุหรี่และดื่มเหล้ามาก เวลาเมาชอบล้ม แล้วก็จำอะไรไม่ได้ ดีหน่อยที่ตั้งแต่คบกันเขาลดเรื่องพวกนี้ลง ผมค่อยหายเป็นห่วงหน่อย”
“นอกจากขี้ลืมแล้วก็ขี้เหล้าสินะ”
“ป๊า!!!! เฌอลูกป๊านะ”
“ดีแล้วที่ลดได้บ้างน่ะ แล้วยังไงหืม....เธอเล่าต่อสิ”
“พี่เฌอมองโลกในแง่ดีมากครับ เขาไม่ค่อยคิดอะไรที่เป็นด้านลบ เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ให้เกียรติคนอื่น ใจดีกับสัตว์มาก อะไรก็ตามดูเป็นน้องสำหรับเขาไปหมด ชอบการเอาชนะเหมือนกันนะครับ บางอย่างยอมไม่ได้ ทำอะไรก็จะพยายามให้มันออกมาดีที่สุด ใจเย็นในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะใจเย็น เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี”
“อื้ม....มีอีกไหม”
“เขาไม่ชอบเลข 13 ครับ เขาบอกว่ามันเป็นอาถรรพ์ที่เขาเจอมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันที่ 13 มักจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับเขา เวลาเขามีแฟน ความรักก็มักจะจบลงวันที่ 13 หรือวันที่ครบรอบการคบกัน 13 วัน ซึ่งถ้านับเรื่องของความรักจริงๆ ผมเป็นคนแรกที่ผ่านอาถรรพ์มาได้และผมคงเป็นคนสุดท้ายนั่นแหละครับ.....
คุณพ่อยกพี่เฌอให้ผมนะครับ” ตึกตัก
นังน้อนนนน
“ยกให้แล้วจะยังไงต่อ”
“ผมก็จะดูแลเขาให้ดีที่สุดและทำให้เขามีความสุขในทุกๆ วันครับ” “เธอนี่สุดยอดจริงๆ เลยนะสิบสาม” ป๊ายิ้มให้ชอบใจพลางมองผม “เขาคงเป็นเลข 13 ที่ดีที่สุดในชีวิตของเฌอแล้วล่ะ”
“ก็คงแบบนั้นแหละป๊า”
13 ไหนจะดีเท่านี้คงไม่มีแล้ว
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าร้อนๆ ของตัวเองอย่างประหม่า เขารู้จักผมเยอะกว่าที่ผมรู้จักตัวเองอีก คือบางอย่างตัวเราจะไม่รู้หรอก มันต้องคนอื่นมอง นี่ถ้าป๊าไม่ถามว่าสิบสามรู้จักผมมากแค่ไหน ผมคงไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองที่เขารู้จักเป็นยังไง โคตรรู้สึกดีเลยอะ ใครจะไปคิดว่าภายใต้บุคลิกนิ่งๆ ที่ไม่ค่อยสนใจอะไรแบบนั้นจะจดจำเรื่องราวของคนอื่นได้มากขนาดนี้ หรือเพราะว่าคนอื่นนั้นคือผมนะ....ก็อาจจะใช่แหละ
ใจสั่นไปหมดตอนที่บอกให้ป๊ายกผมให้
จริงจังแหละเรื่องจะเป็นลูกเขยน่ะ สถานการณ์เมื่อกี๊คือจำลองการสู่ขอครับ นังน้อนแม่ง....ทำอะไรไม่นึกถึงใจกันเลย เขินว่ะ ป๊าคงชอบใจเขาน่าดูจากคำพูดเหล่านั้น แล้วสิบสามอะ ไม่ใช่คนที่มีแต่คำพูดไง คือเวลาปกติก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ทุกอย่างจะออกทางการกระทำเสมอ จริงเลยที่บอกว่าจะดูแลผมและก็ทำให้มีความสุขทุกวัน แล้วอินเนอร์ตอนพูดนะ หน้าโคตรจริงจัง ไม่มียิ้มหลุดสักนิดเดียว
สิบสามก็ยังเป็นสิบสาม
ถึงแม้จะต่อหน้าพ่อแฟนก็เถอะ
“งั้นป๊าก็ต้องฝากเฌอด้วย ตัวป๊าเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อได้ดีสักเท่าไหร่ เรื่องนั้นถ้าอยากรู้ก็ถามเฌอเอานะ”
“หื้อออ....ป๊าทำหน้าที่ของป๊าได้ดีเท่าที่ทำได้แล้ว ไม่ต้องคิดเยอะหรอก” ผมหยิบหมูไปใส่ถ้วยป๊า “ตอนนี้เฌอโตแล้ว บางอย่างเข้าใจถึงเหตุผล ไอ้ส่วนที่ไม่เข้าใจก็ต้องใช้เวลา มันเป็นเรื่องปกติ ป๊าตามใจเฌอมาตลอด คอยเป็นห่วง ส่งลูกน้องมาตามดู มีปัญหาก็พร้อมจะช่วย แค่นั้นก็มากพอแล้วป๊า”
“เฌอไม่โกรธป๊าแล้วเหรอ”
“ไม่เข้าใจมากกว่าแต่มันก็เรื่องสมัยก่อนอะ ชีวิตเฌอน่ะนะ ขอแค่ไม่มีปัญหากับคุณเกสร แล้วเขาไม่มาว่าแม่ก็พอแล้ว ถ้าเฌอโกรธป๊า เฌอไม่มากินข้าวกับป๊าหรอก”
“ได้ยินแบบนี้ป๊าก็สบายใจ อื้ม....เดี๋ยวป๊าจะโอนเงินให้เฌอนะเรื่องที่ใช้หนี้พนันบอลให้เจ้าภัทร”
“ป๊ารู้ด้วยอ๋อ” ผมเทน้องกุ้งใส่ในหม้อ “รู้ได้ไง”
“รู้เพราะลูกน้องรายงาน ความจริงรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเจ้าภัทรไปเล่นพนันบอล เขาประชดแม่เขาน่ะ เรื่องเรียนนั่นแหละ แต่เจ้าตัวคงคิดไม่ถึงว่าผลที่ตามมามันรุนแรงยังไง”
“สอนมันไปยัง ถ้ายังไม่สอนเดี๋ยวจะด่ามันให้”
“ก็บอกไปแล้วแหละว่ามันไม่ดี มีอะไรก็มาคุยกับป๊าตรงๆ เรื่องอยากซิ่วไปเรียนออกแบบ ป๊าก็ไม่มีปัญหา ป๊าไม่เคยบังคับอะไรลูกๆ อยู่แล้ว อยากทำอะไร ถ้ามันไม่เดือดร้อนใครก็ให้ทำ ป๊าไม่อยากให้พวกเราเจอแบบที่ป๊าเคยเจอ ก็อยากให้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ”
“แล้วคุณเกสรอะป๊า เขาไม่ยอมจะทำไง”
“ก็ช่างเขา เงินที่เจ้าภัทรใช้ทุกวันก็เป็นเงินป๊าอยู่แล้ว คุณเกสรไม่ได้มาให้เงินลูก ถ้าเขาไม่พอใจก็เป็นปัญหาของเขาแล้วล่ะ เชื่อเถอะ สักวันนึงเขาจะคิดได้เองว่าอะไรมันควรเป็นยังไง”
“เป็นแบบนั้นก็ดีแล้วนะป๊า” ผมมองนังน้อนที่เอาหมี่หยกไปลวก “คุณลวกหมี่หยกอ๋อ”
“ใช่ครับ พี่ไม่ลวกเหรอ”
“ไม่ลวก สงสารน้องกระเทียมเจียว” ผมบอกก่อนจะคีบกุ้งใส่ปาก
“ไม่แกะเปลือกกุ้งก่อนเหรอครับ”
“คุณไม่รู้เหรอว่าเราจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการแกะกุ้งเลยถ้าเรากินมันทั้งเปลือก” แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยนะเพื่อป้องกันการติดคอ
“ทุกทีผมก็เห็นพี่ไม่กินเปลือกกุ้งนะ”
“ก็ทุกทีคุณแกะให้” ผมบอกก่อนจะแย่งหมี่หยกที่เหลือครึ่งจานมากิน กินแบบลวกก็เหมือนมาม่าป้ะวะ เส้นพองๆ อืดน้ำ แถมน้องกระเทียมเจียวก็ละลายไปกับน้ำซุปอีก
สงสารว่ะ
ใครจะกินยังไงมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ ความชอบไม่เหมือนกันมันเป็นเรื่องปกติ เราสามคนใช้เวลากินชาบูด้วยกันพักใหญ่ก่อนจะแยกย้าย ป๊าบอกว่าต้องไปงานเลี้ยงตอนค่ำ อื้ม....แล้วก็กินชาบูไปเยอะมากๆ ด้วย ก็ช่างเขาเถอะ งานสังคม แค่ไปก็พอแล้วล่ะมั้ง ส่วนผมกับนังน้อนก็มาซื้อของเข้าหอที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างสุด เหมือนวันนั้นเลยที่ผมมาซื้อของขวัญให้น้องเดียร์อะ
พูดถึงน้องเดียร์....
จากวันที่ปาดรถผมคว่ำก็ยังไม่จบไม่สิ้นครับ มันเป็นเหมือนสงครามผ่านแอคหลุมบนโซเชี่ยลอะ เขาคิดว่าผมไม่รู้มั้ง น่ารำคาญนะเอาจริงๆ ควรพอได้แล้วไหม เสียเวลากับตรงนี้มันมีความสุขเหรอวะ ไม่เข้าใจเลย เธอน่าจะยอมรับความจริงสักที
คิดแล้วเพลียใจว่ะ.....พอๆ เลิกคิด
“เป็นไงบ้างคุณ ป๊าผม”
“ใจดีกว่าที่คิดเยอะเลยครับ” สิบสามเข็นรถมาที่โซนขนมก่อนจะหยิบคารามูโจ้มาใส่เต็มไปหมด “ตอนแรกผมนึกว่าคุณพ่อพี่จะดุมากกว่านี้”
“แต่เขาหน้าดุอยู่นะ ผมรู้ว่าคุณประหม่าตอนที่เขาทักตอนแรก”
“ประหม่าสิครับ ผมล่วงเกินพี่ไปแล้ว ยังไม่ได้ขอเขาเลย”
ผมหยิกแขนเขาเบาๆ “พูดอะไรเนี่ยะ”
“ก็จริงนี่ครับ แต่ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะขอแล้ว”
“เดี๋ยวจะโดน”
เจ้าตัวเอียงหัวมาใกล้ “....อยากโดนจังเลยครับ”
“หึ....นังน้อน” วอนซะแล้ว
ผมหยิบขนมใส่รถเข็นก่อนจะลากไปที่โซนอื่นต่อ วันนี้มีติวเพราะงั้นต้องเตรียมเสบียงไว้เยอะหน่อย แต่ละคนในแก๊งค์ปลาทองคือกินจุมาก แดกเยอะแบบถล่มทลาย เวลาพวกมันไปห้องผมนะ ของกินคือหมดเลยไอ้เวร แต่เอาเถอะ ไปห้องใคร ห้องคนนั้นก็ของกินหมดนั่นแหละ วันนี้ผมน่าจะติวยันสมองพังกันไปข้าง ซื้อเบียร์ไปสักลังดีกว่า อ่านหนังสือไปจิบเบียร์ไป โคตรสุนทรีย์เลยอะ
กินเบียร์สักพักก็พากันหลับ
หนังสือไม่ต้องอ่านมันละ
“คืนนี้ผมไม่ได้ไปนอนด้วย ถ้าคิดถึงก็อดทนเอานะ” ผมยักคิ้วให้เขาอย่างกวนส้นตีน “ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็โทรมาหาได้ จะคุยด้วยสักจึ๋งนึง”
“แค่จึ๋งเดียวเองเหรอครับ”
“ใช่ ถ้าคุยมากกว่าจึ๋งนึงเดี๋ยวจะไม่ได้ติวซะก่อน”
“ทำไมไม่ได้ติวล่ะครับ”
“ก็จะขับรถไปหาคุณแทนไง” ผมมองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน “กลับหอแล้วคุณจะทำไรอะ อ่านหนังสือเหรอ”
“ก็คงแบบนั้นครับ พี่เฌอจะติวจนดึกเลยเหรอ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันอะ ปกติมักจะเป็นแบบนั้น คือคุณเก็ทฟีลว่าเพื่อนๆ ผมมันก็มีแฟนไหม แต่ทุกคนก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเองอะ ช่วงสอบก็เป็นแบบนี้”
“ผมเข้าใจครับ พี่ก็ตั้งใจติว อาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว เดี๋ยวพอสอบเสร็จ เวลาว่างก็ค่อยอยู่ด้วยกันก็ได้”
“ผมกลัวเด็กแถวนี้จะงอแงน่ะสิ”
“ผมเนี่ยนะจะงอแง” มือเรียวหยิบแกลอนนมมาใส่รถเข็น “ให้พูดอีกทีครับ”
“เออ ผมเองก็ได้ที่จะงอแงอะ แค่คิดว่าตัวเองจะต้องคิดถึงคุณผมก็แบบ....” ผมผ่อนลมหายใจ “ทำไมผมติดคุณจังวะ” แบบนี้ที่เพื่อนๆ แซวว่าผมติดผัวก็จะเป็นความจริงอะดิ
ไม่อยากยอมรับแต่แม่งจริง
ตั้งแต่วันนั้นที่มีอะไรกันอะ ผมติดสิบสามมากขึ้นจริงๆ นะ อยากอยู่ด้วยตลอดเวลาเลยแต่ด้วยหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบมันก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้ไง ผมไม่รู้ว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ คือเวลาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ในหัวก็คิดว่าเออ ทำงานตรงนี้ให้เสร็จ ตั้งใจทำนะ ถ้าเรียบร้อยหมดทุกอย่างก็จะได้ไปหานังน้อนแบบสบายใจ เอออีกอย่างคือความขี้หวงของผมก็เพิ่มขึ้น บางทีก็หงุดหงิดตัวเอง เฌอไม่เคยเป็นแบบนี้เลยอะ
เพราะมีผัวแน่ๆ ดูออก
“ติดผมน่ะไม่แปลกครับ” มือเรียวเขี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้ “แต่ถ้าติดคนอื่นละก็น่าดู”
“ผมมีแค่คุณนะ” ผมยิ้มหวานให้เขา พอสิบสามเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน ข้างแก้มขึ้นสีระเรื่อ เขินแน่ๆ ล่ะอาการแบบนี้
“น่ารักจังครับ ใจไม่ไหวอะ อยากกอด อยากหอมให้หัวโยก” นังน้อนเอ่ยเสียงอ่อนพลางก้มเอาจมูกถูไหล่ผม อ้อนเก่ง เก่งกว่าใครทั้งโลกเลยค้าบ
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ขนาดนั้นเลยครับ ไปกันเถอะ จ่ายเงินแล้วผมจะได้ไปส่งพี่ที่ห้อง พี่เฌอจะเอาอะไรอีกไหมครับ”
“ไม่แล้วล่ะ ไปจ่ายเงินกัน”
ร่างสูงเข็นรถเดินนำมาที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน หลังจากจัดการอะไรต่างๆ เสร็จ สิบสามก็เข็นรถออกมาที่ชั้นจอดรถ เราช่วยกันเอาของยัดไว้ที่เบาะหลังก่อนที่ผมจะขึ้นมานั่งประจำแหน่งตัวเองพร้อมกับคาดเบลท์เรียบร้อย นังน้อนที่นั่งอยู่ข้างๆ มองผมอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมออกรถสักที
อะไรของเขาวะ
“ไม่ออกรถอะคุณ”
นิ้วเรียวจิ้มที่แก้มตัวเองเหมือนเป็นสัญญาณ “....เร็วครับ”
“เห้อะ....คุณนี่มัน” ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาดังฟอด “พอใจยัง”
“ยังครับ”
“สิบสาม”
“จุ๊บก่อน”
จุ๊บ “อะ....คุณต้องการอะไรอีก”
“ไม่ต้องการอะไรแล้วครับ ผมมีพี่เฌอก็เกินพอแล้ว” ตึกตัก
เห้อะ....เจ้าเด็กนี่
“ฝากไว้ก่อนเถอะ....นังน้อน”
อย่าให้ถึงคราวเฌอนะ
TBC
สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว ก็เจอครอบครัวครบทั้ง 2 ฝ่ายแล้วนะคะ ชอบบทสนทนาตอนกินชาบูมาก นังน้อนเขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างของคนพี่มากนะ ก็กำหนดบทจบแล้วค่ะ จะจบลงบทที่ 23 นะคะ ก็เหลืออีก 5 บท น่าจะแสนเวิร์ดนิดๆ ไม่รวมตอนพิเศษ ถ้าจบแล้วชาลจะแก้คำผิด รีไรท์ให้นะคะ เรื่องจะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า
สามารถติดต่อข่าวสาร + ข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ