Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75539 ครั้ง)

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
อีรุงตุงนังกันไปหมด  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1







26 .






สรุปแล้วอาการเบื้องต้นของคุณภัทราพรคือหมดสติแล้วพลัดตกบันได ทีแรกคุณชัชสงสัยว่าเป็นอันไหนก่อนแต่พยานยืนยันตรงกันว่าคุณภัทมีอาการวิงเวียนจนวูบไปแล้วพอดีกับที่ยืนอยู่ใกล้บันไดจึงเซล้มลงมา โชคดีที่น้ารื่นฤดีรีบคว้าตัวไว้เลยไม่ถึงกับกลิ้งหลุนๆตกลงมา เมื่อพามาส่งถึงมือหมอเรียบร้อยทุกคนพลอยโล่งอก แต่ผมนี่สิที่ยังแบกความผิดบาปไว้เต็มบ่า เพราะถ้าวิเคราะห์กันแบบลึกๆ คุณภัทคงเครียดเรื่องคุณกรอยู่แล้วยังมาโดนผมปั่นหัวจนโมโหถึงได้วูบไปแบบนั้น


ตอนนี้ผมกับคุณชัชกำลังนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ส่วนน้ารื่นตามไปดูอาการของคุณภัทราพรอย่างใกล้ชิดเพิ่งจะกลับมา


“อะไรกันคะคุณกานต์?!” น้ารื่นนั่งลงปุ๊บ ผมก็โผเข้าไปกอดด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุด การที่น้ารื่นช่วยคุณภัทไว้ก็เหมือนช่วยทุเลาความผิดผมเช่นกัน “อยู่ๆดีมากอดน้าทำไม แน่ะ! คนมองกันใหญ่แล้วนะ”


“กานต์ผิดเองครับ ถ้ากานต์ไม่พูดถึงบ้านสวนขึ้นมาคุณท่านคงไม่โกรธแล้วไปที่นั่นจนเกิดเรื่อง กานต์เสียใจที่ทำอะไรไม่คิด กานต์ขอโทษนะครับน้ารื่น”


คุณชัชได้ฟังก็ขำใหญ่ แถมยังซัดหัวผมอีก แรงมือขนาดนี้ถึงไม่เห็นก็รู้น่ะว่าใคร น้ารื่นเลยรีบกอดแล้วลูบหัวผมเบาๆเป็นการปลอบขวัญ


“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ถ้าคุณกานต์ผิด น้าเองก็ผิดด้วยที่ไปทำให้คุณภัทเธอเกลียดได้ถึงขนาดนั้น นี่ก็รอว่าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่จะได้ขอโทษที่มีส่วนทำให้เธอต้องมาเจ็บตัว”


“แล้วหมอว่าไงบ้างล่ะ” คุณชัชคงขี้เกียจปลอบเราทั้งคู่เลยถามถึงเรื่องสำคัญ


“คุณหมอบอกว่าความดันค่อนข้างสูงแต่ไม่ถึงขั้นอันตราย หัวใจยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนภายนอกมีแค่รอยฟกช้ำกับอาการบวมที่ข้อเท้า นอกจากนั้นคงต้องรอทั้งผลเอกซเรย์แล้วก็รอให้คุณภัทเธอฟื้นขึ้นมาบอกเองว่าเจ็บตรงไหนอีกบ้าง”


ผมแอบถอนหายใจโล่งอก ส่วนคุณชัชไม่รู้จะร้อง ‘เฮ่อ!’ ด้วยเหตุผลเดียวกันหรือเปล่า


“งั้นเดี๋ยวรื่นไปบอกหมอให้ตรวจละเอียดๆหน่อยนะ อาการแบบนี้อาจจะมีเส้นเลือดในสมองระเบิดไปแล้วสักเส้นสองเส้นก็ได้ ”


“เดี๋ยวเถอะคุณชัช! ไปแช่งเธอทำไม แค่นี้ฉันก็ผิดหลายกระทงแล้ว” น้ารื่นเอ็ดเสียงเขียวแต่คุณชัชยังยิ้มลอยหน้าลอยตา เดาว่าสองคนนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันมานานแต่น้ารื่นก็ ยังคงให้ความเกรงใจเขาในฐานะเจ้าของบ้านคนหนึ่ง


“อย่าโทษตัวเองสิ คนที่บ้านก็บอกแล้ว รื่นน่ะอยู่เฉยๆแต่คุณภัทบุกมาถึงก็แว้ดๆใส่ซะไฟแลบแล้วอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้ตกบันไดไป นี่ฉันยังสงสัยว่าถ้ารื่นไม่ห้อยพระดีก็คงได้วิญญาณลุงกล้าช่วยคุ้มครองแหงๆ คนคิดร้ายถึงได้แพ้ภัยตัวเอง”


น้ารื่นแจกค้อนคุณชัชวงใหญ่แล้วพอดีหันมาเห็นผมมองตาแป๋วอยู่ คงรู้ว่าผมกำลังสงสัยเลยออกปากยอมให้ถามสมใจ


“กานต์ขอโทษนะครับที่ละลาบละล้วง แต่กานต์อยากรู้...คุณกฤตใช่เขาคนนั้นของน้ารื่นหรือเปล่าครับ?”


น้ารื่นเม้มปากไม่รู้ตัว ผมเลยหันไปส่งสายตาขอความร่วมมือจากคนตัวโต


“นั่นสิรื่น ถึงมันจะผ่านมาตั้งนานแล้วแต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะ ฉันเชื่อใจพี่กฤต เชื่อใจรื่นด้วยแต่คนอื่นเขาไม่รู้จักพวกเราถึงได้พูดกันไปเรื่อย ยิ่งเกิดเรื่องอย่างวันนี้เดี๋ยวคงได้ขุดคุ้ยกันไม่จบอีก ถ้ามีอะไรที่พอจะเล่าได้ก็เล่ามาเถอะ รื่นเองจะได้เลิกตกเป็นขี้ปากชาวบ้านซะที”


น้ารื่นฤดีมองหน้าผมกับคุณชัชสลับกันอยู่สองรอบถึงได้มีรอยยิ้มบางๆแล้วก็ยอมเปิดเผยสิ่งที่ถูกเก็บเป็นความลับมานาน


“ถ้าจะพูดกันจริงๆ ระหว่างคุณกฤตกับน้าอาจจะไม่ใช่ในความหมายของคำว่าแฟนหรือคนรักกันอย่างที่คุณกานต์คิดอยู่หรอกค่ะ น้านับถือคุณกฤตในฐานะลูกชายของผู้มีพระคุณ ส่วนเขาเองก็คงเอ็นดูน้าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ความใกล้ชิดอาจทำให้เราหวั่นไหวไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าความรู้สึกหวือหวาของเด็กวัยรุ่นธรรมดา พอพี่กฤตเรียนจบมหาวิทยาลัยลุงกล้าก็จัดการเรื่องการแต่งงานกับคุณภัท เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อแม่ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด น้าเองก็ยังเด็ก เพิ่งจะขึ้นม.ปลายเท่านั้น ตัวพี่กฤตก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดคำสั่งลุงกล้าได้ เราเลยตัดสินใจจากกันด้วยดี ทีแรกนึกว่าชาตินี้คงไม่มีบุญได้พบกันอีก จนผ่านไปเป็นสิบปีเห็นจะได้ ครอบครัวน้ามีปัญหาเลยต้องซมซานกลับมาขอพึ่งใบบุญลุงกล้า ตอนที่ได้พบกันอีกครั้งยิ่งต้องเจียมตัวเพราะพี่ชายที่แสนดีคนเดิมเป็นถึงลูกเขยท่านเจ้าสัว เป็นเจ้าของโรงแรมและกิจการใหญ่โต มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม เราเลยได้แต่พบปะพูดคุยกันในฐานะเจ้าของบ้านกับผู้อาศัย จนกระทั่งช่วงหลังที่ลุงกล้าเริ่มเจ็บออดๆแอดๆ ทั้งโรคเก่าความดันกับเบาหวาน ตับก็ไม่ดีเพราะดื่มเหล้าจัดมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้วยังโชคร้ายเริ่มมีอาการไตวายซ้ำเข้ามาอีก คุณหมอบอกว่าทางรอดเดียวคือต้องเปลี่ยนไต แต่ลุงกล้าไม่ยอมท่าเดียว แกบอกว่าทำใจไว้แล้ว ถ้าจะไปก็ขอไปอย่างสบาย ไม่ต้องเดือดร้อนหรือเบียดบังใครจะดีกว่า น้ากับทุกคนที่บ้านสวนเลยช่วยดูแลจนท่านสิ้นลมจากพวกเราไป แล้วจากวันนั้นคุณกฤตก็ยังอนุญาตให้น้าอยู่ที่บ้านสวนต่อมาจน...”


ความลับที่ถูกเก็บงำมาเนิ่นนานจบลงด้วยความเศร้าที่สะท้อนออกมาในน้ำเสียงที่ขาดหายไป ผมรีบกอดน้ารื่นไว้ด้วยความสงสารในชะตากรรมของหญิงสาวตัวเล็กๆที่ไม่เคยพบพานกับความสมหวัง และในอีกด้านก็ชื่นชมที่เธอยึดถือความถูกต้องดีงามเสมอมา


“พี่กฤตเองก็คงอยากจะขอบคุณเลยตั้งใจทำพินัยกรรมขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของรื่นสินะ” คุณชัชสรุปเรื่องให้แทนแล้วตามด้วยอาการทอดถอนใจเพราะตัวเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน


“เรื่องพินัยกรรมฉันเพิ่งมารู้พร้อมกับทุกคน แต่ถึงยังไงฉันก็ขอยืนยันนะคะคุณชัช ฉันกับคุณกฤตเป็นได้แค่พี่ชายน้องสาวที่รู้สึกดีๆต่อกันเท่านั้น”


ผมมองภาพที่คุณชัชพยักหน้าแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่น้ารื่นเบาๆด้วยความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแวบวาบขึ้นมาในหัว และทำให้ผมเผลอหลุดปากออกไป


“สวรรค์ไม่ยุติธรรมเลย น้ารื่นเป็นคนดีขนาดนี้แต่ยังต้องผิดหวังกับความรัก อยากรู้จริงๆว่าแถวนี้จะพอเหลือผู้ชายดีๆที่จะมาปลอบใจน้ารื่นได้บ้าง...มั้ย...น๊า?”


พอหันไปส่งยิ้มชี้ตัวผู้ชายดีๆที่อยู่ใกล้ที่สุด กามเทพฝึกหัดอย่างผมเลยได้รางวัลเป็นมะเหงกลูกใหญ่ แล้วก็ถูกเขาดึงกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกันตามเดิม


“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่”


ผมสบตาปิ๊งๆก็เลยโดนเจ้าของอ้อมแขนที่กอดอยู่เขกกะโหลกอีกหลายโป๊ก


“ยัง! ยังไม่เข็ด อีกสักทีดีมั้ย เอาให้ความคิดพิเรนทร์ๆนี่มันหลุดจากสมองไปซะเลย”


“โอ๊ย! อาเล่นแรงอ่ะ ไม่ยุ่งด้วยแล้ว ปล่อยเลย ผมจะไปนั่งกับน้ารื่น”


“ไม่ต้องเลย โตเป็นหนุ่มจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะไปนั่งกอดเขาอยู่ได้ ใครเห็นเข้าจะคิดยังไง”


“นั่นสิ ฉันคงโดนหาว่าเป็นสาวแก่ชอบกินเด็กแน่เลยนะคุณชัช”


“อ้าว! ทำไมน้ารื่นไม่เข้าข้างกานต์ล่ะครับ!” กลายเป็นว่าผมหัวเดียวกระเทียมลีบซะงั้น “อาชัชก็ด้วยแหละ มานั่งกอดผมยังงี้เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง ขอเตือนไว้ก่อนแฟนผมขี้หึงนะจะบอกให้”


“อย่าคิดว่าเราจะมีดีแค่คนเดียว ของฉันก็ขี้หึงบรรลัยเหมือนกันล่ะน่ะ”


“ใครครับ?! / ใครคะ?!”


นี่ถ้าไม่โดนกอดอยู่ก็อยากยกมือมาทะลวงรูหูจะได้ชัวร์ว่าได้ยินไม่ผิด เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินคุณชัชพูดถึงเรื่องทำนองนี้เลยสักครั้ง ขนาดน้ารื่นยังแปลกใจจนหลุดปากออกมาพร้อมกัน แสดงว่ามันต้องเป็นความลับสุดยอด!


“เอ่อ...ก็หมายถึงถ้ามี...”


เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่คนที่มีความมั่นใจสูงสุดยอดไม้อย่างท่านที่ปรึกษาอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มปาก แล้วจะยัง...ใบหูที่เริ่มแดงผิดกับสีผิว ว้าวๆ! พยัคฆ์ร้ายก็เขินเป็นด้วยเหรอเนี่ย!


“แน๊! อาชัชขี้ปด ผมว่าต้องมีแน่ๆ ใครกันครับ ผมรู้จักหรือเปล่า บอกมาเลย บอกมาเลย?!”


ผมได้ทีตั้งท่าเค้นคอคนตัวโตให้เปิดปาก แต่ขนาดจับอกเสื้อเขย่าจนยับแล้วก็ยอมคายออกมาทีละหน่อย จับเป็นคำยังไม่ได้เลย


“ก็...จะว่ารู้จัก...ก็น่าจะ...” พอถูกผมกับน้ารื่นกดดันมากๆก็เสมองไปทางอื่นแล้วจู่ๆก็หลุดออกมาว่า...  “หนูภา!”


ผมหันตามไปก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อโจทก์เก่ามายืนจ้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คุณภาวิณีมองจิกตั้งแต่มือที่ยังกำอกเสื้อคุณชัชอยู่ไล่ขึ้นมาจนผมขนลุกไปทั้งแขน ดวงตาวาวโรจน์มาหยุดมองหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสร็จก็สะบัดสายตาอย่างเดียวกันไปหาคุณชัช เรียกว่าไม่สนใครหน้าไหน ต่อให้เป็นอาแท้ๆก็โดนไม่ต่างกัน


“หนูภา!” คนตัวโตรีบลุกไปหา ยกมือไล่แตะทั้งหน้าผาก ข้างแก้มและต้นแขน แล้วรัวถามจนฟังแทบไม่ทัน “อาบอกว่าเดี๋ยวเข้าไปรับจะรีบออกมาเองทำไม แล้วนี่ยังเพลียอยู่หรือเปล่า มายังไง ใครมาส่ง หรือว่าขับรถมาเอง ไม่ดีนะรู้มั้ย ใบขับขี่หนูภาก็หมดอายุแล้วเกิดโดนตำรวจเรียกขึ้นมาจะทำยังไง”


ถ้าเป็นผมเจอแบบนี้เข้าไปคงมึนจนตอบไม่ถูก แต่สำหรับน้องสาวเจ้าของโรงแรมใหญ่ เธอกลับยกมือเท้าเอวแล้วย้อนถามอย่างไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิด


“ปีนี้อาอายุเท่าไหร่?” เป็นคำถามที่ทุกคนฟังแล้วมึนอีกรอบ พอเขาไม่ตอบหรือความจริงคือตอบไม่ถูกก็โดนหลานสาวตัวเองมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วว่าซ้ำ “อาชัชเองก็แก่ขนาดนี้ไม่คิดว่าหนูภาจะโตแล้วบ้างหรือไง เมื่อไหร่จะเลิกเห็นหนูภาเป็นเด็กสักที?!”


“ก็...อาเป็นห่วง...” คนตัวโตออดเสียงอ้อนๆพลางจับมือเรียวเล็กมากุมไว้ เฮ่อ! หมดกันภาพลักษณ์พยัคฆ์ร้ายของผม กลายเป็นลูกแมวร้องเหมียวๆไปซะแล้ว


“ถ้าแคร์กันจริงก็อย่าทำอะไรที่หนูภาไม่ชอบ ง่ายๆแค่เนี้ยทำได้มั้ย?!” คุณภาวิณีกระชากเสียงสั่งแล้วดึงมือตัวเองคืน “แล้วนี่แม่อยู่ไหนคะ”


“พยาบาลกำลังพาไปเอกซเรย์ แต่ป่านนี้คงเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ” น้ารื่นรับหน้าเสื่อตอบแทนแล้วผลก็คือ...


“ใครถามไม่ทราบ”


บอกตามตรงว่าผมกลัวแม่ลูกคู่นี้จริงๆ ต่างกันนิดเดียวตรงที่คุณภัทราพรใช้ความเป็นผู้ใหญ่และการวางตัวดีทุกกระเบียดกดดันให้รู้สึกผิดได้ตลอดเวลา แต่ต่อให้ท่านอยากจะฆ่าผมก็คงแค่คิดแล้วฉายแววอำมหิตออกมาทางแววตาและคำพูด ผิดกับคุณภาวิณีที่ทำให้รู้สึกเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย และการที่เธอไม่กลัวหรือเกรงใจใครเลยนี่ล่ะที่อันตรายสุดๆ อย่างตอนแรกที่เจอกันก็ตบผมโชว์คนทั้งโรงแรม ถ้าโชคร้ายเธอทนเหม็นขี้หน้าผมไม่ไหวขึ้นมาจะมีใครช่วยผมได้ล่ะเนี่ย!


“ภาวิณี!” หรืออาจมีแต่เขาคนนี้ที่พอจะกำราบความสวย เผ็ด ดุนี้ลงได้? “คิดบ้างนะ ปากบอกว่าโตแล้วแต่ทำนิสัยแบบนี้สมควรหรือเปล่า อย่างน้อยรื่นก็อายุมากกว่า แถมเขายังเป็นคนช่วยแม่เราไว้ มาถึงโรงพยาบาลก็วิ่งวุ่นติดต่อให้ทุกเรื่อง แล้วยังตามไปเฝ้าคุณภัทเพิ่งจะได้กลับมานั่งเมื่อตะกี้ ไม่เคารพ ไม่ยกมือไหว้ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็พูดจาดีๆ หัดทำตัวให้เหมือนคนมีมารยาทหน่อยจะได้มั้ย”


คนถูกดุหน้าเสียแต่ยังเชิดหนีด้วยความถือดี ไม่มีจะอ่อนข้อให้ง่ายๆ คุณชัชถึงกับส่ายหัว ทำท่าเหมือนอยากจะจับหลานสาวตีก้นโชว์คนทั้งโรงพยาบาลบ้าง


“ไม่เป็นไรค่ะคุณชัช คุณภาคงจะห่วงคุณแม่มาก” น้ารื่นเข้าใกล้เกลี่ยแล้วบอกต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณหมอบอกว่าตอนนี้ถือว่าปลอดภัยแล้ว เหลือแต่รอให้คุณภัทฟื้นกับอาจจะมีเช็คอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย คุณภาจะขึ้นไปรอที่ห้องพักผู้ป่วยเลยก็ได้นะคะ”


“แล้วจู่ๆแม่เป็นแบบนี้ได้ยังไง เมื่อเช้าเจอก็ยังเห็นดีๆอยู่เลย”


คำถามลอยๆแต่ฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวพยายามคุมน้ำเสียงให้อ่อนลง นับว่าวิธีของคุณชัชได้ผลอยู่เหมือนกัน แต่พอคนที่อ้าปากตอบเปลี่ยนเป็นผมเท่านั้น


“หุบปากไปเลยไอ้เด็กตุ๊ด ฉันไม่ได้พูดกับแก!”


ผมหัวหด ชักเท้าหนีไปหลบอยู่หลังน้ารื่นแทบไม่ทัน เพราะไม่ใช่แค่เสียงตวาดแต่มันจะมีมือถือลอยแถมมาด้วยนี่สิ!


“พอที!” คุณชัชรีบคว้าเรียวแขนขาวและยึดทุกอย่างที่พอจะเป็นอาวุธไปถือให้แทน “พูดกันดีๆสิ  กานต์ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็อารมณ์เสียแล้วพาลเขายังงี้อาไม่ชอบ หนูภาเป็นอะไรกันแน่ หรือว่าโมโหหิว งั้นอาพาไปหาอะไรกินดีกว่า เผื่ออิ่มแล้วจะได้เลิกอาละวาดซะบ้าง”


“อาชัชก็ดีแต่ปกป้องมัน!” คุณภาขึ้นเสียงแว้ดแต่พอคุณชัชเอาจริงบ้างก็ต้องยอมหายดื้อ เปลี่ยนเป็นมากเรื่องแทน “หนูภาไม่กินของโรงบาล มีแต่อะไรก็ไม่รู้ แถมมองไปทางไหนก็มีแต่คนป่วย ใครจะมีอารมณ์กินอะไรลง”


“ตรงโน้นมีร้านเบเกอรีที่หนูภาเคยซื้อกินอยู่ไม่ใช่หรือไง ไปหาขนมรองท้องสักหน่อยก่อน รอดูอาการคุณภัทว่าโอเคแล้วค่อยออกไปหาข้าวข้างนอกกินกัน ถ้าเรื่องมากกว่านี้จะหาว่าอาไม่สนใจไม่ได้แล้วนะ” คนตัวโตบอกเสียงเข้ม พอคุณหลานสาวยอมพยักหน้า เขาก็หันมาทางผมกับน้ารื่น


“กานต์...”


“ถ้ามีคนอื่นด้วย หนูภาไม่กิน!”


“ก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะชวนใคร แค่จะให้กานต์ตามไปดูคุณภัทกับรื่นซะ แล้วก็คอยรอกรด้วย พอเครื่องลงคงรีบมาที่นี่เลย”


ผมรีบรับคำเพื่อให้เขาวางใจจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง


“ดีมากคนเก่ง มันต้องทำตัวรู้เรื่อง ไม่งี่เง่างอแงอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก เดี๋ยวฉันซื้อขนมมาฝากนะ”


มือใหญ่ยื่นมาลูบหัวตามด้วยคำชมที่ทำให้ผมหน้าบาน แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะมีอีกคนที่หน้าหุบแล้วเดินหนีเฉย คนตัวโตถอนหายใจแล้วรีบตามไป พอทันกันจะจับมือก็ถูกงอนใส่ ต้องตามไล่ง้อ ไล่แหย่กันไปตลอดทาง ส่วนผมได้แต่ยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก


“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณกานต์”


ผมหันไปตามเสียงเรียก เดาว่าน้ารื่นคงไม่ทันผิดสังเกตเลยรีบชี้ให้เห็นก่อนที่ทั้งคู่จะเดินลับมุมตึกไป เป็นภาพที่คุณชัชทำเป็นแกล้งเขกหัวคนขี้งอนแต่อีกมือเลื่อนไปโอบรอบเอวเล็กไม่ยอมปล่อย


“กานต์ว่าอาชัชกับคุณภาดูยังไงๆก็ไม่รู้ น้ารื่นว่ามั้ยครับ”


“แล้วที่ว่ายังไงมันยังไงกันล่ะคะคุณกานต์ น้าไม่เข้าใจที่คุณถามมากกว่าอีก”


“ก็กานต์บอกไม่ถูกว่ามันจะยังไงนี่ครับ รู้แต่ว่า...แปลกๆ ไม่เคยเห็นอาชัชอ่อนข้อหรือเอาใจใครขนาดนี้มาก่อนเลย”


น้ารื่นหันไปมองอีกทีแต่คนทั้งคู่หายไปแล้วก็เลยไม่ทันช็อตสุดท้ายที่น่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่ได้เห็น...


“เพราะคุณภาเธอเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นลูกสาวคนเล็กที่คนทั้งบ้านตามใจมาตั้งแต่เด็กๆหรือเปล่าคะ คุณกฤตเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเวลาคุณชัชตามไปบ้านใหญ่ทีไรต้องลดวัยไปคอยเป็นพี่เลี้ยงเด็กจนหลานๆติดคุณอามากกว่าคุณพ่อคุณแม่ซะอีก พอโตๆกันแล้ว คุณกรเป็นผู้ชายแถมยังเป็นพี่ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว ส่วนคุณภาคงยังติดนิสัยแบบเด็กๆก็เลยขี้อ้อน ขี้ใจน้อยให้คุณชัชคอยตามใจมากหน่อย”


“ก็... คงงั้นมั้งครับ”


“น้าว่าคุณกานต์เองก็แปลกๆ นี่คงไม่ใช่เห็นคุณชัชไปเอาใจแต่คุณภาเลยเกิดน้อยใจหรอกนะคะ”


ผมรีบปฎิเสธแข็งขัน ผมก็แค่คนที่คุณชัชนึกเอ็นดู เทียบกับหลานสาวคนเดียวแล้วยิ่งไม่มีอะไรที่เขาจะต้องให้ความสำคัญ แต่ปัญหาคือถ้าน้ารื่นได้เห็นเหมือนอย่างที่ผมเห็น... ที่มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากเอวโน้มคอดึงร่างบางไปกระซิบบอกอะไรสักอย่าง เสร็จแล้วก็แอบฉกจมูกหอมเรือนผมยาวสยายหนึ่งฟอด... จะยังพูดแบบนี้อยู่มั้ยนะ





จบตอนแล้วคร้าบ


สำหรับคำถามที่ว่าอาชัชเสร็จภาวิณีหรือไม่นั้น

เอิ่มมมม ดูจากตอนนี้ก็น่าจะได้ข้อสรุปนะคะ

ถามว่าโดนแม่เสือเขมือบไปกี่รอบเลยดีกว่า ยิ่งหิว นางยิ่งดุค่ะ 555





 :bye2:




ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ถ้าหนูภาจะไม่โวยวายคงดูน่ารักกว่านี้นะ
ถ้าหนูภาเป็นแบบนี้ตลอด เราก็ไม่อยากเชียร์ให้ได้อาชัชไปหรอกนะคะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ผู้หญิงแบบนี้ได้มากินแล้ว ก็น่าทิ้งไป ทำตัวงี่เง่า ไร้สาระ มีแค่สมองไว้เรียน
แต่อย่างอื่นติดลบ ทุเรศดี มารยาทก็เลว
อ่าน 2 บท แบบลวกๆ บอกได้ว่ารำคาญมาก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แวดๆอยู่ได้ ปวดหูชะมัด

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
หนูภาไม่น่ารักเลยจริงๆ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ผู้หญิงงี่เง่า

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
คเข้าใจว่าหึง แต่นิสัยแบบนี้ไม่น่ารักเลยน่ะหนูภา

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ไม่ชอบคนอย่างภาเลย

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






27.





ตั้งแต่จำความได้แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเกินหน้าเกินตาคนวัยเดียวกัน ถ้าไม่นับช่วงที่พ่อเพิ่งจากพวกเราไป เรื่องไม่สบายจนนอนซมหรือต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยนั้นไม่เคยมี แม่แค่ไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายประจำปี นอกเหนือจากนั้นคือการปรึกษาเรื่องความสวยความงาม ลดริ้วรอยชะลอวัยตามประสาคนที่ดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างล่าสุดก็ชวนพรรคพวกไฮโซไปร้อยไหมหรือเส้นทองคำอะไรสักอย่างเพื่อยกกระชับใบหน้าจนดูสาวขึ้นผิดหูผิดตา


เพราะอย่างนี้ตอนอาชัชโทรมาบอกว่าแม่เป็นลมจนต้องเข้าโรงพยาบาล ผมยอมรับเลยว่าถึงกับช็อค โชคดีที่มีวรเมธอยู่ด้วย มันเลยจัดการให้ผมได้กลับมาเมืองไทยโดยเร็วที่สุด


ความจริงอาชัชก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่พอได้มาเห็นแม่นอนนิ่งอยู่บนเตียง หัวใจมันก็สั่นรัวด้วยความกลัว เป็นวินาทีที่ยิ่งตระหนักชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีความหมายกับชีวิตมากแค่ไหน ผมนั่งลงที่ข้างเตียงด้วยอาการเข่าอ่อน ค่อยๆยกมือเรียวบางขึ้นมากุมแล้วกดจมูกลงกับผิวอุ่น สูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่ได้เกิดจากน้ำหอมราคาแพงแต่เป็นความผูกพันมากล้นที่ผมคงเผลอหลงลืมไป


ใครๆก็รู้ว่าคนอย่างคุณภัทราพรจะต้องสวยและดูดีตลอดเวลา แต่ผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ เรียวคิ้วโก่งดังวาดเครียดตึง มีร่องขมวดนิดๆทั้งที่หลับสนิท ริมฝีปากซีดเซียวไร้สีที่เคยเคลือบ ชุดผู้ป่วยสะอาดตาสะท้อนขึ้นลงช้าๆจนลมหายใจของผมเบาลงตามไปด้วย เหตุการณ์คร่าวๆที่ได้ฟังมาบอกเป็นนัยว่าแม่มีเรื่องเครียดจนร่างกายรับไม่ไหว แล้วเรื่องพวกนั้นจะมาจากใครถ้าไม่ใช่ลูกชายชั่วๆที่เพิ่งจะได้มานั่งสำนึกผิดอยู่ข้างท่าน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่มีวันคิดแผนการบ้าๆที่ไม่เพียงขุดหลุมฝังตัวเองแต่ยังทำร้ายจนแม่เหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้


“คุณกรครับ” เสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกจากด้านหลังพร้อมกับแก้วน้ำเย็นจัดวางลงที่โต๊ะข้างเตียงคนไข้ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นยังถอยออกไปอีกไกล พยายามทำตัวเสมือนหนึ่งไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย


อะไรบางอย่างกดทับให้ต้องก้มหน้าซบลงกับมือแม่ นึกอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันอึดอัด ปั่นป่วนอยู่ข้างในจนรู้สึกถึงเส้นเลือดในหัวเต้นตุบๆ เวลาเกิดปัญหาผมจะพยายามสืบหาต้นตอและเริ่มสะสางจากจุดนั้น...


ผมรักแม่...และ...ผมรักกานต์ แม่ไม่ชอบคนรักของผม...แต่...ผมก็ไม่ต้องการใครนอกจากเขาคนนี้


เมื่อทั้งแม่และกานต์ต่างมีความหมายและสำคัญกับชีวิต ปัญหาจึงเกิดเพราะผมไม่อาจเลือกแค่คนใดคนหนึ่งและดูเหมือนตอนนี้ผมกำลังจะไม่มี...ทางเลือก


ถ้าปัญหาเกิดจากความหัวดื้อของแม่ที่ไม่ยอมรับอะไรอื่นนอกจากสิ่งที่ตัวท่านเองเป็นคนเลือก ถ้าผมยอมตามใจแม่ ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าไม่ ผมจะได้ทุกอย่างตามต้องการและมีความสุขกับสิ่งที่เลือกเอง...แต่...ความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของแม่จะใช่ความสุขที่แท้จริงของคนเป็นลูกหรือเปล่า


หากมองอีกด้านว่าปัญหาเกิดจากตัวตนของกานต์ คำถามคือเด็กคนนี้มีความผิดอะไร แม้เขาจะเป็นผู้ชาย ไม่มีทั้งทรัพย์สมบัติหรือชื่อเสียงในวงสังคม แต่ผมพูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นคนดี อาจจะดีกว่าผมด้วยซ้ำ เขาคือคนบริสุทธิ์ที่ถูกผมล่อลวงให้หวั่นไหว ลองคิดว่าถ้ากานต์เป็นผู้หญิงก็ถือว่าเขาเสียให้ผมหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ ถ้าผมจะทิ้งเขาเพื่อกลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของแม่ เป็นสามีของผู้หญิงสักคนและอาจเป็นพ่อของลูกๆที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า มันจะไม่ใช่ความสมบูรณ์พร้อมที่ต้องแลกมาด้วยรอยมลทินของคนดีๆคนหนึ่งหรือไงกัน


“เดี๋ยว!”


ผมรีบสลัดความฟุ้งซ่านเมื่อรู้สึกได้ว่าคนๆนั้นกำลังเดินหนีไป ห้องพิเศษห้องนี้แบ่งพื้นที่ของผู้ป่วยออกจากส่วนรับรองคนเยี่ยมไข้อย่างเป็นสัดส่วน ผมรีบลุกจากข้างเตียงออกมาที่ส่วนรับรองซึ่งเชื่อมต่อไปจนถึงห้องน้ำและประตู ก็เลยได้เห็นว่ากานต์กำลังจะออกจากห้องไปอยู่แล้ว ตอนผมมาถึงน้ารื่นฤดีขอตัวไปติดต่อพยาบาลพิเศษสำหรับเฝ้าไข้คืนนี้ อาชัชพาภาวิณีไปทานข้าวยังไม่กลับ บรรยากาศเลยอึดอัดเข้าขั้นวิกฤตเพราะรายนี้ก็เอาแต่ทำตัวเงียบเชียบ แล้วนี่ยังจะทำเหมือนหนีหน้ากันอย่างนั้นแหละ


“จะไปไหน”


คำตอบที่ได้คืออาการก้มหน้าส่ายหัวเบาๆแต่มือยังจับอยู่ที่ประตู ผมเลยจงใจใช้ความเงียบกดดันจนอีกฝ่ายยอมเอ่ยปาก


“คุณกรมีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”


เมื่อครู่ในอกผมสั่นรัวราวหัวใจถูกเขย่า แต่ตอนนี้เหมือนเนื้อก้อนนั้นกำลังโดนขยำจนยอกไปทั้งอก ลมหายใจสะดุด แข้งขาพาลจะอ่อนแรงอีกรอบ นี่ผมเริ่มไม่ชินกับความห่างเหินขนาดนี้เชียว?!


“กานต์ มานี่ซิ” ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกค่อยๆ แต่เสียงมันหายลงคอไปหมด ลงท้ายผมเลยต้องเดินไปหาตั้งใจว่าจะลากเข้าไปนั่งเฝ้าอาการแม่เป็นเพื่อนกัน คนตัวเล็กขัดขืนสุดฤทธิ์และเอาชนะผมได้ด้วยเหตุผลที่ว่า...


“ถ้าคุณท่านตื่นมาเห็นผม...” เจ้าตัวก็คงจะพูดไม่ออกเลยเลี่ยงใจความเสียใหม่ให้ฟังดูดีขึ้น “...ตอนนี้คุณแม่คุณไม่ค่อยสบาย อย่าทำอะไรที่ท่านไม่ชอบใจดีกว่า ปล่อยผม...”


“หมายความว่ายังไงที่ให้ปล่อย!” ผมรีบถามเพราะขืนรอฟังจนจบคงบ้าก่อนแน่


“อย่าเสียงดังสิครับ!” คนในอ้อมแขนหลุดปากดังกว่าเสียงกระซิบนิดเดียวแล้วรีบชะเง้อคอ ยื่นหน้าไปดูด้านใน เพราะแม้จะมีผนังกั้นแต่ประตูที่คั่นกลางก็เปิดอยู่ตลอด พอเห็นคนไข้ยังหลับสนิทดีก็ถึงกับเป่าปากแล้วหันมาพูดกับผมน้ำเสียงเป็นงานเป็นการเชียว


“ผมรู้ว่าคุณกรลำบากใจ ผมเลยจะไม่ขออะไรอีกนอกจากให้คุณอย่าลืมว่าผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผ่านมาชีวิตผมก็ลุ่มๆดอนๆ เจอเรื่องยากๆมาก็มาก ไม่ว่าต่อไปจะเป็นยังไงก็คงไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่คุณกรเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม มีเรื่องสำคัญๆให้รับผิดชอบมากมาย ถ้าจะต้องตัดสินใจเรื่องอะไรก็ตามอย่าใส่ใจเรื่องของผมเลย และที่สำคัญ ผมก็แค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามา เทียบไม่ได้กับพระคุณของผู้ที่ให้ชีวิตหรอกครับ


ผมรู้ว่ากานต์เป็นเด็กที่มีความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง และเป็นผู้ใหญ่เกินตัว คงเป็นคุณลักษณะเหล่านี้ที่ทำให้ผมสนใจและพาตัวเองเข้าไปผูกพันกับเขา ไม่นึกเลยว่าวันนี้ คนที่ไม่มีเหตุผล อยากทำทุกอย่างตามใจตนเอง ทำตัวไม่ต่างจากเด็กงอแงที่ร้องจะเอาของที่อยากได้จะกลายเป็นผมเอง


“แต่ฉันรักกานต์”


“แต่คุณท่านรักคุณที่สุด ในโลกนี้ยังมีอะไรเทียบเท่าความรักของแม่ได้อีกเหรอครับ”


อีกแล้ว! ผมเคยเถียงแม่ไม่ออกยังไง มาตอนนี้ก็จนด้วยคำพูดและไม่มีเหตุผลอะไรมาค้านสิ่งที่กานต์ยกมาอ้าง


“หมายความว่าจะให้ฉันตัดใจ”


“เราทั้งคู่ต่างหากครับ”


แม้จะเจ็บแปลบกับคำตอบไม่เกินคาดคิด แต่ก็ทำให้ได้ซึ้งถึงความรักที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม่รักและอยากเห็นผมมีอนาคตที่ก้าวหน้าสดใส ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงกับหนทางที่อาจผิดพลาด ส่วนกานต์นั้นก็หวังจะเห็นผมได้มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมแม้จะต้องแลกกับความเจ็บปวดของตัวเอง 


“หน้าตาก็น่ารักทำไมถึงได้ใจร้ายนัก? นี่ถ้าคนที่มีปัญหาไม่ใช่แม่ฉัน แต่เป็นพ่อหรือแม่ของกานต์ กานต์คงทิ้งฉันไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลยใช่มั้ย”


“ผมไม่รู้ครับ” ร่างบางหลบตา ก้มลงตอบเสียงอู้อี้อยู่กับอกผม “แต่ก็เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหมือนกันที่แม่ไม่อยู่ ส่วนพ่อคงไม่มาสนใจอะไรอีกแล้ว เลยไม่มีใครต้องมาเสียใจเพราะผม”


ผมผ่อนลมหายใจยาวแล้วสูดกลิ่นเรือนผมนุ่มหอมเพื่อเติมความเข้มแข็งให้กับตัวเอง นี่อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนักแต่ผมตัดสินใจแล้ว... ในเมื่อเลือกไม่ได้ก็ไม่ต้องเลือกเพราะผมจะไม่ยอมเสียคนที่ผมรักไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม!


ผมอาจจะดูเป็นลูกอกตัญญูที่ทำให้แม่เสียใจ แต่เชื่อเหลือเกินว่าวันหนึ่ง ความน่ารักของคนที่ผมรักจะทำให้แม่เปิดใจยอมรับ เผลอๆอาจจะรักเขามากกว่าผมด้วยซ้ำไป


“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากยิ่งกว่าโปรเจคท์ร้อยล้านพันล้าน แต่ฉันยังยืนยันคำเดิม ฉันรักกานต์ อยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ และฉันหวังว่ากานต์จะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้...”


คนในอกเกร็งตัวแน่น ไม่ต่างจากผมที่แทบจะกลั้นใจในขณะที่พูด จนมาถึงคำสุดท้ายที่หลุดออกไปในจังหวะเดียวกับที่คนฟังยอมเงยหน้าขึ้นมา


“ขอให้คุณกรมีกานต์ตลอดไปได้มั้ยครับ”


ลึกๆก็นึกกลัวความใจแข็งของคนตัวเล็กจึงกระชับอ้อมแขนไว้แล้วก้มลงเพื่อฉวยเอาเฉพาะสิ่งที่ต้องการ อาการเม้มปากแน่นคือด่านแรกที่ผมต้องยืนกรานความรู้สึก เมื่อไม่ยินยอมผมก็ไม่บดเค้นที่เป็นการฝืนใจ แต่ยกมือขึ้นแตะปลายคาง ออกแรงเล็กน้อยรั้งกลีบเนื้อนุ่มให้พอมีพื้นที่ได้เลาะเล็ม ขบคลึงเบาๆจนเจ้าตัวโอนอ่อนยอมเผยอริมฝีปากให้รุกล้ำเข้าไปในที่สุด เรียวลิ้นเล็กยังขัดขืนอยู่ในที พลิกหนีสะเปะสะปะให้ต้องตามไล่ตะล่อม แต่ไม่ช้าเด็กน้อยก็จับทางถูก รู้จักรัดตอบและรุกไล่เพื่อดื่มด่ำรสรักที่แสนอ่อนหวาน นานทีเดียวกว่าอาการต่อต้านจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง พอผลักผมหลุดออกได้ก็ส่งสายตากล่าวโทษข้อหาที่ไปขโมยลมหายใจจนเขาแทบขาดใจ


ผมมองใบหน้าขาวใส ประกอบด้วยดวงตากลมโต แก้มป่องสีก่ำและริมฝีปากแดงฉ่ำด้วยความรักสุดใจ รสหวานยังคาปากชวนให้เนื้อกายอึดอัดจนต้องพยายามข่มใจไม่แตะต้องให้เกินเลยไปมากกว่านี้ แต่ถ้าจะพูดไปคำตอบที่ผมได้มาก็เรียกว่าเกินคุ้ม


“ถือว่าสัญญานี้เป็นความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่ายแล้วนะ” แกล้งแซวแล้วแตะปากข้างแก้มนุ่ม จะเบิ้ลอีกทีก็โดนทุบอกดังปั้กเสียก่อน


“ถึงไม่มีผมก็ไม่เห็นจะตายสักหน่อย”


เจ้าของกำปั้นบ่นอุบ ก้มหน้างุดๆคงจะอายที่หน้าขึ้นสีหน้ากว่าเก่า ลำบากให้ผมต้องงัดคางให้ขึ้นมามองตาเพราะอยากบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากได้สัญญาใจฉบับนี้เหลือเกิน


“แต่ก็คงไม่รู้อีกแล้วว่าความสุขหน้าตาเป็นยังไง กานต์อยากให้คุณกรตายทั้งเป็นหรือไงหืม”


ตัวผมเองพูดออกไปก็เขินเพราะไม่เคยอ้อนใครขนาดนี้มาก่อน แล้วก็ได้อายจริงๆเพราะเป็นจังหวะที่ทุกคนกลับเข้ามาพร้อมกันพอดี น้ารื่นฤดีแค่มองยิ้มๆ แต่สายตาอาชัชนี่สิ รู้สึกเหมือนโดนเอาน้ำร้อนสาดหน้ายังไงยังงั้น ตรงข้ามกับภาวิณีที่ทำท่าอย่างกับจะเอามีดมาตัดแขนผมกับกานต์ให้ออกจากกัน โชคดีที่มีอาชัชคอยปราม แม่เจ้าประคุณเลยหนีไปนั่งหน้าหงิกอยู่ข้างเตียงคนไข้แทน


พวกเรารอกันอีกสักพักแม่ก็เริ่มรู้สึกตัว คุณหมอตามเข้ามาดูอาการและแจ้งว่าผลการตรวจทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีอาการบาดเจ็บอื่นนอกจากรอยฟกช้ำ ที่ค่อนข้างรุนแรงแต่ไม่ถึงกับอันตรายคืออาการข้อเท้าบวมที่เกิดจากตอนพลัดตกบันได คุณหมอจึงอยากให้อยู่รอดูอาการอย่างน้อยหนึ่งคืน จึงเกิดเป็นปัญหาทันทีเมื่อน้ารื่นบอกว่าคืนนี้ไม่มีพยาบาลพิเศษว่างเลยแม้แต่คนเดียว ผมมองรอบตัวแล้วต้องคิดหนัก ภาวิณีหน้างอด้วยความที่ไม่ชอบโรงพยาบาลเป็นทุนเดิม ส่วนน้ารื่นเต็มใจแต่ความดันของแม่คงพุ่งปรี๊ดจนต้องนอนโรงพยาบาลยาว สงสัยคงต้องเรียกเด็กรับใช้ที่บ้านสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน แต่สุดท้ายวิธีที่ผมเลือกก็คือ...


“นี่ฉันหูฝาดหรือนายพูดผิด ให้กานต์อยู่เฝ้าคุณป้าเนี่ยนะ!”


อันที่จริงผมก็คิดๆอยู่เพราะอยากให้แม่ได้ลองทำความคุ้นเคยกับกานต์ แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมากานต์ก็ขันอาสาเสียเอง เจ้าตัวยืนกรานแข็งขันว่าทำได้และเพราะอยากจะลบล้างความผิดที่เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลด้วย ผมเลยอนุญาตแล้วค่อยมาขอร้องแกมบังคับคนไข้ว่าถ้าไม่ยอมก็ต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียว ผลคือโดนแม่งอน พลิกตัวหนีแกล้งนอนหลับตาจนผล็อยหลับไปจริงๆ ผมจึงค่อยวางใจและกลับมาที่โรงแรมเพื่อเคลียร์งานต่อ วรเมธเพิ่งตามกลับมาจากสิงคโปร์ พอรู้เรื่องทั้งหมดถึงได้ร้องลั่นอย่างที่ได้ยินนั่นแหละ


“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงนี่ ทางโรงพยาบาลมีพยาบาลประจำวอร์ดตลอด... เอ๊ะ!”


ผมจ้องเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา หันกลับมาทางเพื่อนสนิทก็เห็นมันกำลังมองไปที่จุดเดียวกัน ชายวัยกลางคนท่าทางพอดูได้ ไม่ทรุดโทรมเหมือนที่เคยเจอแต่ก็ไม่ใช่ลักษณะของคนที่จะมาพักโรงแรม พอผ่านเข้าประตูมาก็ยืนหันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ผมเลยส่งสัญญาณให้พนักงานคนหนึ่งเข้าไปเชิญชายผู้นั้นมานั่งคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ


“เอ่อ...ท่าน...สบายดีนะครับ”


ผมไม่ตอบแต่พยักหน้าให้อย่างสุภาพ พยายามทำลืมทุกๆเรื่องที่อีกฝ่ายเคยก่อ นึกเสียว่าอย่างไรเขาก็คือผู้มีพระคุณของคนที่ผมรัก ใช่แล้วครับ คนที่กำลังนั่งบีบเนื้อบีบตัวอยู่ตรงหน้าผมคือนายสมบัติ พ่อของกานต์นั่นเอง


“คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับท่านเลยนะครับ ที่ผมมา...ก็แค่...”


ถึงไม่บอกก็รู้เพราะคนอย่างเขาจะรู้จักใครในโรงแรมนี้อีกถ้าไม่ใช่ลูกชายที่ถูกเอามาทิ้งไว้ กลัวก็แต่จะหาเรื่องอะไรมาให้คนของผมเดือดร้อนอีกนี่สิ


“ตอนนี้กานต์ไม่อยู่ ฉันวานให้เขาออกไปทำธุระสำคัญให้ คงพรุ่งนี้ถึงจะกลับมาที่โรงแรม คุณมีอะไรกับเขาหรือเปล่าล่ะ”


“อ๋อ ไม่มีครับ ไม่มี” สมบัติโบกไม้โบกมือให้วุ่นวาย เขาเผลอตัวสบตาผมแวบหนึ่งก็รีบก้มหน้า อยู่ในท่าสำรวมตามเดิม


“ขอบพระคุณท่านมากเลยนะครับที่เมตตาเจ้ากานต์ มันเองก็บอกว่าเจ้านายใจดี อยู่ที่นี่ไม่ได้ลำบากอะไร ผมเลยค่อยหมดห่วง”


คำพูดธรรมดาๆสื่อได้ถึงความห่วงใยชวนให้ฉุกคิดว่าตัวผมเองก็อาจมีอคติเกินไป คนเป็นพ่อเป็นลูกอย่างไรไม่มีทางตัดกันขาด กานต์เป็นเด็กดี น่ารักและกตัญญูรู้คุณ ต่อให้คนไม่มีความคิดหรือหลงผิดไปแค่ไหนก็ไม่มีทางเกลียดเด็กคนนี้ได้ลง


“ลูกชายคุณได้ดีเพราะเขามีดีในตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เพราะฉันหรือใคร คุณควรภูมิใจในตัวเขาให้มาก”


“ครับๆ ผมเองก็ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ที่สุด พี่สาวเขานั่นก็เรียนเก่ง เป็นเด็กดีทุกอย่าง ถ้าไม่มีพ่อแย่ๆอย่างผมพวกเขาคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้”


“กานต์อยู่กับฉันไม่มีอะไรต้องห่วง ส่วนกัญญาก็ตั้งใจว่าจะให้ทุนเรียนต่อและให้มาทำงานด้วยกันที่นี่ คุณควรจะเลิกโทษตัวเองแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันยังไม่สายหรอกนะ”


“ขอบพระคุณครับท่าน ผมเองก็คิดแล้วว่าจะกลับตัวกลับใจ ที่มานี่ก็จะมาลาลูกเพราะต้องออกต่างจังหวัดไปทำงานกับพรรคพวกที่รู้จักกัน ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมากรุงเทพอีก”


ผมรับไหว้และมีรอยยิ้มให้เขาเป็นครั้งแรก บอกตามตรงว่ารู้สึกดีใจแทนกานต์ อยากให้เขามาได้ยินคำพูดจากปากพ่อของเขาเองจริงๆ


“งานอะไรพอจะบอกได้มั้ย”


“ก็...งานค้าขายทั่วๆไปน่ะครับ”


ผมไม่อยากทำให้ดูเป็นการเซ้าซี้จนเกินไป และโดยส่วนตัวอยากส่งเสริมความตั้งใจดีนี้จึงหันไปหาเมธที่ยืนรับคำสั่งอยู่แล้ว รอไม่นานผมก็ได้ของที่ต้องการ


“อย่าคิดว่าฉันจะดูถูกหรืออะไร ถือซะว่าเป็นทุนเอาไปตั้งตัวแล้วกัน”


“ขอบพระคุณครับ” ฝ่ามือหยาบกร้านค่อยๆยื่นมารับเช็คจากผมด้วยอาการกล้าๆกลัว พอได้เห็นตัวเลขที่ปรากฏก็ยิ่งสั่นไปถึงน้ำเสียง “ทะ..ท่านมีบุญคุณกับผมมากเหลือเกิน ผมจะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านเลยครับ”


เมื่อไม่มีธุระอื่นให้สนทนาต่อ ผมจึงเอ่ยปากอวยพรและเอ่ยลาพร้อมกัน คนเป็นแขกกล่าวขอบคุณและยกมือไหว้อีกหลายครั้ง ยังไม่ทันที่เขาจะลับสายตาไป คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมมาตลอดก็รีบลงนั่งพร้อมคำเตือน


“จะดีเหรอกร เงินนั่นมันมากอยู่นะ”


“ค้าขายสมัยนี้ถึงไม่ใหญ่โตยังไงก็ต้องมีทุนสำรองไว้บ้าง ถ้าเงินตึงมือขึ้นมาแล้วต้องไปกู้พวกหนี้นอกระบบจะต่างอะไรกับทำงานใช้หนี้ไปวันๆล่ะ”


“แต่อย่าลืมว่าคนที่นายให้ไปเคยเป็นผีพนัน และจากประสบการณ์ของฉัน ผีพนันที่กลับตัวกลับใจได้ก็มีแต่ต้องกลายเป็นผีจริงๆแล้วนั่นแหละ”


วรเมธมองตามพ่อของกานต์แต่ผมรู้ว่ามันกำลังหมายถึงใคร แม้การพนันจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พ่อของเมธเสียชีวิต แต่ก็ได้ทำลายศักดิ์ศรีของท่านไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ ในฐานะคนเป็นลูกต้องมาเห็นพ่ออดอยากข้นแค้น ไม่มีแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอนคงไม่มีวันทำใจได้แน่ ผมก็ได้แต่หวังว่าเมธจะเก็บอดีตเหล่านั้นไว้เป็นเพียงบทเรียน ไม่ใช่ใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อตัดสินคนอื่นจนกลายเป็นมองโลกในแง่ร้ายไปเสียหมด


“ฉันไม่เถียงแต่อยากให้นายลองเปิดใจกว้างๆ ถือเสียว่าเราให้โอกาสคนๆหนึ่งกลับตัวกลับใจ ถ้าเขาทำได้ก็ถือเป็นบุญกับตัวเขาเอง และคนที่จะมีความสุขที่สุดก็คือกานต์ ฉันใช้เงินห้าแสนซื้อตัวเด็กคนนี้ ถ้าจะต้องเสียอีกห้าแสน หรือกระทั่งห้าล้าน สิบล้านแล้วทำให้เขาได้พ่อคนเดิมกลับคืนมา มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มอีกนะเมธ”


วรเมธถอดแว่น หลับตาแล้วบีบสันจมูกแรงๆพร้อมกับปล่อยลมหายใจออกมาจนสุด มันทำอย่างนี้เวลารู้สึกเครียด และโดยมากเวลาคิดเรื่องพ่อทีไรก็มักจะทำอย่างนี้ทุกที


“ฉันเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีเพื่อนเป็นนักบุญ” ขนาดเครียดอยู่มันยังแขวะผมได้อีกแน่ะ


“ความรักทำให้เราเป็นได้ทุกอย่าง นายเองก็น่าจะลองดูบ้าง”


ผมบอกแล้วตบไหล่เพื่อนหนักๆ หนอย! มันกล้าปัดมือผมออกซะนี่


“ลองทำตัวเพี้ยนๆอย่างนายน่ะเหรอ ขอผ่านดีกว่า”


ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ ผมเองยังคิดๆอยู่ว่าน่าจะลดเงินเดือนเจ้าเลขาตัวดีสักหน่อยโทษฐานเอาเวลางานไปนั่งยิ้มใส่หน้าจอไอแพดซะเรื่อย ทีเมื่อก่อนหายใจเข้าออกเป็นงานจนผมล่ะเอียนแทน แต่อย่างตอนอยู่บนเครื่องผมแอบเห็นนะว่าหน้าเฟซบุ๊คที่เปิดไว้ตลอดนั่นไม่ใช่ของมันแน่ๆ ไม่รู้ไปแอบแอดแอบคุยกับฝ่ายโน้นกันตอนไหน สงสัยต้องวานให้ไอ้ตัวแสบของผมไปสืบดูซะหน่อยแล้ว


“โธ่เอ๊ย! ทำพูดดีไปเถอะไอ้ขี้เก็ก ดูถูกว่าที่พ่อตาให้มากๆระวังเขาจะไม่ยกลูกสาวให้นะเว้ย”


ผมเตือนดีๆแต่ผลปรากฏว่ามันแจกค้อนแล้วก็เดินหนีไปเฉยเลย ไม่อยากเชื่อว่าคนซีเรียส เครียดกับงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจะเขินกับเขาก็เป็น ปกติเจ้าเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องผู้หญิงสักเท่าไหร่ อย่างดีก็แค่มองแล้วก็หาข้อติเขาไปเรื่อย แต่กับคนนี้นอกจากให้ความสนใจยังพยายามพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเหลือเกิน สงสัยถ้าไม่แพ้ตาคมๆก็คงสะดุดความโก๊ะของเธอเข้าเสียแล้วล่ะมั้ง







จบตอนแล้วคร้าบ



สรุปแล้วบ้านนี้ไม่ไหวเลยทั้งบ้าน ไล่ตั้งแต่แม่มายันลูกๆ

เฮ่ออออ น่าเหนื่อยแทนหนุ่มน้อยของเราจริงๆ

ยังไงก็ตามเป็นกำลังใจกานต์กันต่อไปนะคะ

มาดูว่าความน่ารักของเขาจะมัดใจและเปลี่ยนคนเหล่านี้ไปได้มากแค่ไหน

กานต์ ฉู้ ฉู้   :mew1:




 :bye2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 o13 ให้คุณกร นึกว่าจะแยกกับกานต์ซะแล้ว

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
พระเอกชัดเจนดีอ่ะ   ดีแล้วล่ะที่ทำแบบนี้

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
คุณกรทำดีๆ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ลูกสะใภ้สู้ๆ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
อยากเห็นฉากแม่ผัวลูกสะใภ้แล้วสิ

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




28.




ทุกครั้งที่มาบ้านสวน ไม่ว่าในสภาพจิตใจปกติหรือแบกความเศร้าหมองมาด้วย ผมจะรู้สึกดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสงบร่มรื่น สัมผัสอัธยาศัยเป็นกันเองของทุกคน ได้ชิมของอร่อย ฟังเรื่องเล่าสนุกๆ และทำตัวเป็นเด็กที่เล่นซนอยู่ตามท้องร่องไปวันๆโดยไม่ต้องกลัวหรือคอยพะวงกับเรื่องใดๆ เชื่อว่าใครที่ได้มาก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน และอาจจะเพราะสาเหตุนี้ผมถึงได้กลับมาที่นี่อีกครั้งพร้อม...คุณภัทราพร!


นึกย้อนไปถึงคืนที่นอนเฝ้าไข้สำหรับผมถือว่าผ่านไปอย่างสบายๆเพราะคนไข้หลับสนิทตลอด ผมก็แค่นั่งอ่านหนังสือไปเงียบๆหรือคุยเล่นตีซี้กับพยาบาลเวรที่เข้ามาดูอาการบ้าง มีขลุกขลักแค่ช่วงเช้าที่คุณภัทราพรอยากเข้าห้องน้ำ ผมจะช่วยเองก็กลัวท่านไม่สนิทใจเลยออกไปตามพี่พยาบาลมาดูแลให้แทนอีกที พอช่วงสายคุณภากรกับคุณชัชก็เข้ามาเพื่อเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลและรับตัวคุณภัทกลับ


ดูเผินๆเหมือนจะจบเรื่อง อาการบาดเจ็บเหลือแค่ข้อเท้าที่ยังบวมอยู่ทำให้เดินไม่ค่อยสะดวก ถ้าไม่ใช่ไม้เท้าก็ต้องมีคนช่วยพยุงป้องกันไม่ให้ล้มไปจนเป็นอันตราย แต่อาการทางใจนี่สิที่เป็นปัญหา เพราะคุณภัทราพรเอาแต่นิ่งเงียบ กลับถึงบ้านก็เก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่ถึงกับเหม่อลอยแต่ก็ไม่ยอมพูดจากับใคร ไม่คุยโทรศัพท์ ไม่ออกรับแขก กระทั่งกับลูกชายลูกสาวก็ยังถามคำตอบคำ แน่นอนว่าคุณภาวิณีต้องรีบโทษพี่ชายว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด คุณภากรเลยได้แต่ปวดหัวเพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับทั้งแม่และน้องสาวตัวเอง พอน้ารื่นฤดีรู้เข้าจึงแนะนำกึ่งร้องขอให้คุณกรพาแม่มาพักฟื้นที่บ้านสวน ทุกคนพากันคัดค้าน แต่ไม่มีใครรู้ว่าน้ารื่นกล่อมคุณกรอย่างไร เพราะสุดท้ายคนที่เกลียดบ้านสวนอย่างกับอะไร ยิ่งมาเกิดเรื่องเจ็บตัวก็คงเห็นที่นั่นเป็นยิ่งกว่านรกขุมที่ลึกที่สุดก็ถูกพาตัวใส่รถตู้มุ่งหน้าสู่บ้านสวนจนได้!


“มือเย็นจังค่ะ หรือว่าแอร์จะหนาวไป” ผมหันไปทำหน้าแหยๆให้เจ้าของมืออุ่นที่เอื้อมมาแตะ อยากตอบเหมือนกันว่ามีคุณภัทราพรนั่งแผ่รังสีอำมหิตอยู่ที่เบาะหลังอย่างนี้ ใครมันจะมีอารมณ์ยิ้มอยู่ได้ แต่น้ารื่นคงรู้สึกดีกว่าผมแน่เพราะยังหันไปถามเสียงใสเชียว “คุณภัทจะให้คนขับเบาแอร์หน่อยมั้ยคะ”


คุณภัทราพรเชิดหน้ามองออกไปนอกรถ น้ารื่นก็ไม่ถือสา หันกลับมานั่งยิ้มต่อได้อีกแน่ะ ผมว่าดูๆไปน้ารื่นนี่ก็ชักจะน่ากลัวไม่ใช่เล่น ท่าทางเหมือนกำลังสนุกอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกรติดงานสำคัญเลยมาส่งคุณภัทด้วยไม่ได้ ผมจะไม่ยอมรับปากมาด้วยเด็ดขาด ก็คิดดูว่าต้องเป็นกันชนระหว่างคุณภัทกับน้ารื่นแบบนี้มีหวังแค่ไม่รอดก็เจ็บหนักเท่านั้นเอง


หลังจากนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จามาตลอดทาง คุณภัทราพรก็เริ่มเล่นแง่ตั้งแต่วินาทีที่รถจอดสนิท น้ารื่นฤดีเลยเลือกใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ บอกลุงพันให้เข้าไปอุ้มถึงที่นั่ง คุณภัทถึงต้องยอมก้าวลงจากรถด้วยสีหน้า... อย่าให้อธิบายจะดีกว่า!


พอตอนจะขึ้นบันไดเรือนซึ่งค่อนข้างสูง แถมมีไม้เท้ายิ่งกลายเป็นไม่สะดวก น้ารื่นก็มัดมือชกอีกว่าถ้าไม่ให้อุ้มก็ต้องยอมให้ประคอง และคนที่ถูกเสนอชื่อก็คือผมนั่นเอง ทีแรกคุณภัทพยายามจะขึ้นบันได้ด้วยตัวเองแต่ไปได้ครึ่งทางเกือบก้าวพลาดถึงได้ยอมผ่อนน้ำหนักตัวให้ผมช่วยพยุงเต็มที่ เสร็จแล้วผมก็พาคุณภัทไปล้างเท้าแล้วมานั่งพักที่ชานเรือน รับลมเย็นเคล้ากลิ่นหอมของต้นปีบที่สูงชะลูดจนสามารถเอื้อมไปปลิดดอกสีขาวได้อย่างสบายๆ


สมัยที่แม่กานดาต้องโหมทำงานเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น กลับมาบ้านหมดแรงแทบจะหลับ ผมก็ชอบนวดเท้าให้อยู่บ่อยๆ รู้เลยว่าแม่ชอบเพราะบางครั้งถึงกับเคลิ้มหลับไปจริงๆ แต่สำหรับคุณภัท ผมไม่หวังให้ท่านชอบ แค่ขอทำลบล้างความผิดและเพื่อตอบแทนที่ลูกชายของท่านแสนดีกับผมบ้างก็พอ


“อะไรน่ะ” ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นคำแรกที่คุณภัทยอมเปิดปากเมื่อเห็นผมขัดสมาธิลงกับพื้นตรงหน้าแล้วหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าที่สะพายติดตัวมา


“ครีมนวดครับ” ผมรีบตอบและอ้างคำบอกเล่าจากคนที่น่าเชื่อถือกว่าตัวเอง “ป้ามาลัย บอกว่าช่วยเรื่องไขข้อเสื่อม อาการปวดขา ปวดเข่า ข้อมือเคล็ด ข้อเท้าพลิก หรือจะนวดแก้ปวดเมื่อย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็ได้ อย่างเวลาที่ป้ามาลัยทำงานต้องเดินไปเดินมาทั้งวัน พอกลับถึงบ้านใช้ยาตัวนี้นวดก็ช่วยได้เยอะเลยนะครับ”


“ฉันไม่ใช้ของสุ่มสี่สุ่มห้า ยาอะไรก็ไม่รู้!”


คุณภัทปฏิเสธเสียงแข็ง ลำพังแค่ยาที่หมอให้มาก็มากมายทั้งกินทั้งทา มาเจอของแปลกๆแถมอยู่ในมือคนไม่น่าไว้ใจเข้าไปก็คงทำใจยากอยู่ แต่ผมเชื่อว่าป้ามาลัยนั้นรักและหวังดีต่อคุณภัทไม่ต่างไปจากคุณกฤตที่เป็นเจ้านายโดยตรง ต้องเลือกแล้วว่าอะไรดีถึงได้เอามาให้ลองใช้


“ป้ามาลัยเองก็ใช้หมดไปหลายหลอดแต่ไม่มีผลข้างเคียงอะไร คุณท่านน่าจะลองดูสักนิด ถ้าทาแล้วแพ้หรือไม่ชอบยังไงก็ไม่ต้องใช้อีกก็ได้ ลองหน่อยนะครับ”


ผมส่งประกายตาแป๋วๆและน้ำเสียงอ้อนตบท้าย ขนาดคุณภากรยังไม่รอด ต่อให้แม่เขาใจแข็งแค่ไหนก็น่าจะคล้อยตามได้บ้างล่ะน่ะ


“แล้วนวดเป็นเหรอ เกิดนวดผิดท่าฉันเดินไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง”


ฮู้เร่! แค่นี้ก็ถือว่าผมทำสำเร็จ ส่วนข้อที่ท่านถามผมรีบอธิบายให้เข้าใจตามที่ป้ามาลัยบอกวิธีไว้อยู่แล้วว่า แค่ทาเบาๆให้ตัวยาค่อยๆซึมลงไปในผิวก็ได้ คุณภัทราพรนิ่งฟัง ท่าทางครุ่นคิด ถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อมือก็คง...


“อยากทำอะไรก็ตามใจ เดี๋ยวนี้ฉันบอก ฉันพูดอะไรมีใครฟังที่ไหน ขนาดลูกชายมันยังไม่เห็นหัวฉันเลยนี่”


“ไม่ใช่เลยครับ คุณกรเป็นห่วงคุณท่านมากแต่ช่วงนี้มีงานสำคัญที่ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆเลยให้ผมมาคอยอยู่รับใช้ท่านที่นี่แทน ถ้าท่านอยากได้อะไรหรือจะให้ทำอะไรก็สั่งผมมาได้เลยนะครับ” ผมเสนอตัวเต็มที่เพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระคุณภากรบ้าง ลำพังงานก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว ถ้าเขายังต้องกลับมารบกับแม่ตัวเองคงไม่ไหวแน่


“งั้นก็ไปให้พ้นๆหน้าสักที ฉันเบื่อจะเห็นเธอเต็มทนแล้ว” คนออกคำสั่งยิ้มหยันที่เห็นผมนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับอย่างปากว่า “ว่าไงล่ะ ฉันสั่งแล้วทำไม่ไม่เห็นจะทำตาม”


ผมว่า... บางครั้งการเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายเกินไปก็ใช่จะได้ผล แต่กับผู้ใหญ่ที่มีทิฐิมานะ ดื้อรั้นไม่ยอมใครจะทำหัวแข็งใส่อาจถูกว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาได้อีก ป้ามาลัยเคยแนะนำให้ผมเป็นตัวของตัวเองเพราะเชื่อว่าแค่นั้นก็ทำให้คุณภัทเอ็นดูได้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเริ่มเป็นตัวของตัวเองล่ะนะ...


“ก็ถ้าผมไปแล้วเกิดคุณท่านอยากได้อะไรขึ้นมาก็ต้องเรียกผมมาอีก ผมกลัวคุณท่านจะเหนื่อย ตะโกนเสียงดังอาจจะเจ็บคอได้เพราะงั้นให้ผมอยู่ด้วยน่าดีกว่า ผมสัญญาว่าจะอยู่เงียบๆ จะไม่รบกวนหรือทำให้คุณท่านรำคาญ จะคิดว่าผมเป็นจิ้งจก ตุ๊กแกก็ได้นะครับ แต่ผมคงปีนขึ้นไปเกาะฝาบ้านไม่ไหว ขอไปนั่งหลบอยู่หลังเสาตรงโน้น ถ้าคุณท่านต้องการอะไรก็แค่เรียกผมจะรีบโผล่หน้ามารับใช้คุณท่านทันที อย่างนี้ดีมั้ยครับ”


“โอ๊ย! แค่ฟังฉันก็เวียนหัว เธออยากทำอะไรก็เชิญเถอะ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับฉันก็พอ”


อย่าว่าแต่คนฟัง ผมพูดเองยังงงเอง ถามว่าพูดอะไรไปบ้างยังจำได้บ้างไม่ได้บ้างเลย


“โอเคครับ คำสั่งแรก ไม่วุ่นวายกับคุณท่าน รับทราบครับผม!” ผมนวดยาที่ข้อเท้าเสร็จพอดีเลยลุกพรวดทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่ง อย่าเรียกว่ากวนประสาท เอาแค่กวนเลือดลมของอีกฝ่ายให้สูบฉีดดีขึ้นก็พอ “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวลงไปดูว่าเที่ยงนี้ยายปุยทำอะไรทาน คุณท่านอยากจะทานอะไรเป็นพิเศษก็สั่งได้นะครับ ส่วนของว่างตอนบ่ายคงเป็นฝีมือยายเป้า แต่ยายเป้าถนัดขนมไทยๆ ไม่รู้ว่าคุณท่านจะชอบหรือเปล่า หรือจะให้ลุงพันขับรถไป...”


“ไป๊! จะไปไหนก็ไป!”


คุณภัทออกปากไล่แล้วแถมกล่องใส่ทิชชู่มาเร่ง แต่มีปลอกไหมพรมถักฝีมือน้ารื่นหุ้มไว้ ถึงโดนก็คงทำให้คนปาเจ็บใจมากกว่า แต่ผมก็กลัวจะไปทำให้ท่านออกแรงมากไป เกิดเหวี่ยงอะไรผิดท่าขึ้นมามีหวังได้เจ็บแขนเพิ่ม ผมเลยรีบลุกหนีลงมาที่ครัวด้านล่าง นั่งเล่นอยู่กับน้ารื่นและสองยายอีกสักพักค่อยยกสำรับมื้อกลางวันกลับขึ้นเรือน คุณภัทไม่ตั้งท่าจะไล่ผมอีกเพราะงีบหลับอยู่ที่เก้าอี้ไม้โยกตัวใหญ่เสียแล้ว ผมเลยขนงานที่คุณเมธสั่งค้างไว้มานั่งอ่านระหว่างรอ ลมเย็นๆชวนให้เคลิ้มแต่ที่สั่งตัวเองว่าห้ามหลับก็เพราะ...


“ทำอะไร?”


น้ำเสียงราบเรียบ ไร้อาการงัวเงียอย่างคนเพิ่งตื่นทำให้ผมสะดุ้งโหยง เงยหน้าแล้วก็เจอดวงตาเรียบเฉยกำลังมองสิ่งที่กางอยู่บนตักกับที่ผมถืออยู่ในมือ...


“เอ่อ...” ผมเดาจากสายตาเลยตัดสินใจอธิบายอย่างหลังซึ่งก็คือพัดไม้ไผ่สานที่ต้องใช้เพราะอากาศตอนบ่ายเริ่มอ้าว บางทีลมก็ขาดช่วงไปเสียเฉยๆ “...ผมคิดว่าคุณท่านอาจจะร้อน แต่จะไปเอาพัดลมมาเปิดก็กลัวแรงไปก็เลย...”


คุณภัทยกนิ้วกดขมับ ผมเลยละที่เหลือไว้ในฐานที่ท่านคงเข้าใจแล้วลุกไปจัดเตรียมสำรับมื้อเที่ยงที่ตั้งไว้นานแล้ว คงต้องยกลงไปอุ่นเสียก่อน


“ขอน้ำส้มแก้วเดียวพอ”


“น้ำส้มอย่างเดียวจะอิ่มเหรอครับ” ผมหันไปถาม เจอสายตาดุๆแทนคำตอบเลยต้องรีบทำตามคำสั่ง ดีที่ว่ามีน้ำแข็งใส่กระติกไว้ต่างหากเลยได้มีน้ำส้มเย็นๆมาเสิร์ฟ


“เมื่อกี้พวกที่ในสวนเพิ่งขนมะม่วงออกมาเตรียมส่งพ่อค้าที่จะมารับเย็นนี้” ผมพูดขึ้นมาลอยๆแต่คุณภัทยอมหยุดฟังเลยว่าต่อ “ยายปุยก็เลยทำน้ำปลาหวานไว้ชามเบ้อเริ่ม คุณท่านจะลองชิมดูหน่อยมั้ยครับ หรือถ้าอยากทานข้าวเหนียวมูนกับมะม่วงก็มีนะครับ ตามีบ่มน้ำดอกไม้ไว้ตั้งเข่ง เหลืองสุกหอมน่ากินมากเลยครับ”


“ก็ฉันบอกแล้วว่าเอาแค่น้ำส้ม ฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง”


แก้วเปล่าวางลงแรงกว่ากิริยาปกติบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มกรุ่น แต่ถึงขนาดดื่มจนหมดแก้วแปลว่าเจ้าตัวคงหิวไม่มากก็น้อย ผมเลยกล้าเซ้าซี้ต่อ


“แต่มะม่วงน่ากินมากๆเลยนะครับ แถมยายปุยถึงขนาดเอาหัวเป็นประกันว่าน้ำปลาหวานฝีมือแกใครได้ชิมเป็นต้องติดใจทุกราย คุณท่านน่าจะลองดูสักนิดจะได้รู้ไปเลยว่ายายปุยขี้โม้หรือเปล่า ชิมจิ๊ดนึงก็ยังดี แค่คำสองคำก็ได้ เดี๋ยวผมลงไปยกขึ้นมาเลยนะครับ”


ผมไม่รอฟังเสียงค้านก็วิ่งปรู๊ดรีบไปรีบมา พอวางจานมะม่วงกับถ้วยน้ำปลาหวาน แถมด้วยน้ำมะพร้าวอ่อนหอมเย็นชื่นใจ ผมก็ตั้งหน้าตั้งมาจ้องด้วยดวงตาเป็นประกาย สุดท้ายคุณภัทก็ยอมแพ้ ถ้าไม่ใจอ่อนให้กับลูกตื๊อของผมก็คงทนความยั่วยวนของมะม่วงน้ำปลาหวานไม่ไหว งานนี้ต้องถือว่าผมกับยายปุยแบ่งความดีความชอบกันไปคนละครึ่ง


สรุปแล้วพวกเราทั้งบ้านเลยใช้ไม้นี้จัดการกับความหัวดื้อของคุณภัทราพรอย่างได้ผล น้ารื่นขัดใจคุณภัททุกเรื่องและทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนผมออกแนวลูกตื๊อ ตีหน้ามึนจนท่านทนความทู่ซี้ของผมไม่ไหวต้องยอมเลยตามเลย แล้วเอาความหงุดหงิดไปลงกับคนอื่นๆแทน ขนาดสองยายยังโดนเรียกหา ไม่ใช่เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบแต่เพื่อต่อว่าว่าทำไมสำรับที่ขึ้นโต๊ะถึงได้มีแต่อะไรที่ดูไม่คุ้นและไม่คิดว่าจะกินลง...


“คืออย่างนี้ครับ คุณหมอแนะนำว่าคุณท่านควรทานอาหารจำพวกโปรตีนแล้วก็เสริมด้วยแคลเซียมให้มากขึ้น แต่ถ้าทานเนื้อกลัวจะย่อยยาก ผมเลยให้ยายปุยลองเปลี่ยนมาเป็นเต้าหู้ที่ย่อยง่ายและไม่มีไขมันหรือคอเรสเตอรอลจะดีกว่า ส่วนผักก็เน้นพวกที่มีแคลเซียมสูงแต่สารออกซาเลตต่ำ เพราะออกซาเลตจะเป็นตัวที่ให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ อย่างเช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ตำลึง หรือไม่ก็ถั่วพูนี่ล่ะครับ”


ผมอธิบายตามข้อมูลที่พอจะหาได้ ตอนคุณหมอบอกผมไม่ทันตั้งใจฟังเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาดูแลคนป่วยเลยต้องอาศัยหาเอาเองจากอินเตอร์เน็ต เรียกว่าต้องถือไอแพดไปยืนอ่านให้ทุกคนฟังลั่นครัว ยังโดนตาหมายแซวอยู่เลยว่าเด็กสมัยนี้ย้อนยุคกลับไปใช้กระดานชนวนกันแล้วหรือไง


“อิฉันก็ทำตามที่พ่อกานต์บอกมาทุกอย่าง แล้วคุณไม่รู้อะไร ผักพวกนี้คนที่นี่ปลูกเองกินเอง หรืออย่างตำลึงพอฝนลงทีแตกยอดเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว ถั่วพูต้นเบ้อเริ่มขึ้นอยู่ข้างครัวโน่น ตำน้ำพริกมื้อไหนก็ไปเก็บมาล้างๆใส่ปากได้เลย ไม่เหมือนไอ้ผักสวยๆ แพงๆที่พวกคนกรุงเทพซื้อกินกันหรอกนะ เขาฉีดยาเช้าตัดขายเย็นไม่ก็ฉีดเย็นตัดเช้า ขนาดคนปลูกมันยังไม่กล้ากินเองเลย!” ยายปุยร่ายยาวจนคุณภัทจะอ้าปากเถียงยังไม่ทัน สงสัยจะเคืองที่มีคนมาดูถูกกับข้าวฝีมือแก


“ฉัน...ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” แววตาขัดใจเลื่อนไปยังจานใบเล็กฝีมือยายเป้าซึ่งถ้าเป็นผมจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด “แล้วนั่นก้อนอะไร ดำๆดูสกปรกจะตาย กินได้เหรอน่ะ”


“อู๊ยยย ใส่ปากเคี้ยวๆแล้วก็กลืนจะไปยากอะไรล่ะค้า” มั้ยล่ะ ว่าแล้วไม่มีผิด ยายเป้าชอบทำขนมแต่ฝีปากไม่หวานเหมือนฝีมือแน่ “เนี่ยน่ะเขาเรียกขนมแดกงา ของโบราณหากินกันไม่ได้ง่ายๆร้อก พ่อกานต์เขาก็มากรอกหูอิฉันเหมือนกันว่าอย่าทำอะไรที่มีแต่แป้ง เพลาๆกะทิ อย่าหวาน อย่าเลี่ยน แล้วก็ให้ใส่ถั่วใส่งาเข้าไปเยอะๆ อิฉันก็เลยทำมาให้รับทานเนี่ยล่ะ ขนมฝีมือคนบ้านๆจะถูกใจถูกปากผู้ดีเมืองกรุงหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่เถอะ”


ตอนบอกชื่อขนมยายเป้าใส่อารมณ์จนคุณภัทสะดุ้ง ส่วนคนที่นั่งล้อมวงเอาแต่แอบยิ้มสะใจ ผมเลยต้องรีบเสนอหน้าก่อนที่จะมีใครลุกขึ้นมาล้มโต๊ะกินข้าว


“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จคุณท่านลองทานดูสักชิ้นสิครับ ผมรับรองว่ายายเป้าทำอะไรก็อร่อยแน่นอน แป้งมันจะนุ่มๆเหนียวๆมีไส้มะพร้าวกับถั่วหวานๆมันๆอยู่ข้างใน ส่วนที่ดำๆเนี่ยเพราะพอต้มก้อนแป้งสุกก็เอาขึ้นมาคลุกกับงาดำ งาดำมีแคลเซียมสูง รับรองว่าทานแล้วอร่อยแถมยังดีกับสุขภาพด้วยนะครับ”


ถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อคำพูดของผมก็คงเพราะทนแรงกดดันจากทุกสายตาไม่ไหว คุณภัทราพรเลยยอมพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเริ่มลงมือทานข้าว ทีแรกจะตักอะไรก็ท่าทางกล้าๆกลัวๆแต่บอกแล้วว่าฝีมือสองยายไม่เป็นสองรองใคร ข้าวกล้องหอมมะลิเคี้ยวนุ่มหนึบจึงหมดจานไม่รู้ตัว ตามด้วยขนมโบรารณชื่อไม่ค่อยสุภาพแต่พอเข้าปากแล้วคุณภัทถึงกับทำตาโตด้วยความทึ่ง แม้ไม่ออกปากแต่ที่ยอมทานต่ออีกชิ้นก็ถือเป็นคำชมดีๆนี่เอง


พอตกค่ำบ้านสวนก็ตกอยู่ในความสงบและคงจะเงียบสงัดจนกลายเป็นวังเวง น่ากลัวสำหรับคนไม่คุ้นเคย แต่ไม่มีเสียล่ะที่คนอย่างคุณภัทราพรจะออกอาการอะไรให้ได้เห็น ถึงอย่างนั้นผมคิดว่าทุกคนคงรู้จึงพร้อมใจกันขึ้นมาทำตัวเกะกะอยู่บนเรือนไม่ต่างจากคราวที่คุณภากรมาค้าง ก่อนนอนเป็นตาป้าจิตโชว์ฝีมือทำน้ำเต้าหู้ผสมงาดำอุ่นๆแจกให้ดื่มกันคนละแก้วสองแก้ว คุณภัททำหน้าปุเลี่ยนแต่ก็ยอมจิบจนหมดถ้วย พลางบ่นพึมพำว่ากว่าจะได้กลับกรุงเทพเนื้อตัวคงเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับเมล็ดงา


หลังจบรายการข่าวต่อด้วยละครอีกสองสามเบรก คุณภัทเริ่มหาว น้ารื่นจึงออกปากให้ทุกคนแยกย้ายและบอกให้ผมพาคุณภัทไปพัก ห้องที่จัดเตรียมไว้มีขนาดใหญ่กว่าห้องของคุณภากรแต่สภาพภายในไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เตียงนอนไม้สี่เสาครอบด้วยมุ้งขาวหลังใหญ่ เครื่องเรือนไม้ทุกชิ้นให้ความรู้สึกมั่นคงแข็งแรง และที่สำคัญคือเป็นห้องนอนเก่าของคุณกฤต เป็นสถานที่สุดท้ายที่ท่านตื่นขึ้นก่อนจะหลับไปตลอดกาล ทุกคนจึงพร้อมใจกันเก็บรักษาข้าวของทุกชิ้นไว้ดังเดิมเพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไป ผมไม่รู้ว่าคุณภัทราพรจะรู้เรื่องนี้มั้ย หรือถ้ารู้แล้วจะรู้สึกอย่างไรบ้างมั้ยนะ


อาการอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาก่อนนอนทำให้คุณภัทเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย ส่วนผมจัดการปูฟูกที่หน้าเตียงแล้วค่อยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน แต่ยังไม่ทันพ้นประตู เจ้าของห้องอีกห้องก็มาดักรอทำเซอร์ไพรส์ ไม่เห็นจะได้ยินเสียงรถสักแอะ แล้วจู่ๆคนตัวโตมาโผล่อยู่กลางบ้านได้ไงเนี่ย!?


“ไม่อยากให้วุ่นวายกันเลยจอดรถไว้แล้วเดินเข้ามา แม่หลับไปแล้วใช่มั้ย” คุณภากรบอกเหมือนรู้ความคิดผมอีกแล้ว แต่ไอ้อะไรอุ่นๆที่ข้างแก้มเนี่ยไม่ต้องแถมมาด้วยก็ได้นะ


“มืดขนาดนี้ก็ไม่น่าต้องกลับมาเลยนี่ แล้วทานอะไรมาหรือยังครับ” ผมบ่นด้วยความเป็นห่วง


“ไม่ค่อยหิวข้าว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า”


คนตอบฉีกปากกว้างจนผมขนลุก นึกระแวงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั่นยังไงก็ไม่รู้ แต่จะให้เขารู้ไม่ได้เดี๋ยวก็ยิ่งแกล้งผมหนักเข้าไปอีก ยังจำตอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเข็ดไม่หาย คนบ้าบอนึกอยากจะทำก็ทำไม่ได้แคร์เลยว่าแม่เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย แถมอะไรๆก็ชอบใช้กำลัง ใช้ความที่เหนือกว่ามาไล่ต้อนให้จนมุม แล้วพอผมลองตอบโต้ก็กลายเป็นเข้าทาง เกือบขาดอากาศหายใจตายไปตั้งหลายยก


“อะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมลงไปบอกยายปุยทำให้ คงนั่งดูละครกันต่อ ยังไม่นอนหรอกมั้ง”


“ที่ถามนี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าฉันอยากกินอะไร”


เขาถามพลางจ้องด้วยดวงตาแวววามของหมาป่าผู้หิวโหย ดวงตาคมเยิ้มหวานไม่ต่างจากอาการน้ำลายสอ ลูกแกะอย่างผมเลยต้องตีหน้ามึน ถึงรู้ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะขืนยอมตามใจอาจจะกลายเป็นเรื่องขึ้นมาก็ได้


“ถ้าคุณไม่ได้อยากจะกินอะไรก็ปล่อยสักทีดิ ผมจะรีบไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนเฝ้าที่หน้าเตียงคุณท่านครับ”


“เฮ่อ! อุตส่าห์นั่งรถกลับมาตั้งไกล รถก็ติ๊ดติด เหนื่อยเสียเที่ยวเลย แต่ไม่เป็นไร...” เขาบอกไม่เป็นไรแต่ผมว่ามันชักจะยังไงๆแฮะ “งั้นฉันอาบน้ำบ้างดีกว่า อย่างน้อยจะได้สบายตัวแล้วค่อยกลับไปเคลียร์เรื่องยุ่งๆต่อ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าคืนนี้จะได้นอนหรือเปล่า”


ผมเกือบยิ้มที่เขาทำท่าถอดใจแต่เรื่องที่ยกมาอ้างมันสะดุดหู วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ไม่มีใครโทรมาหาหรือส่งข่าวอะไรเลย ได้ยินอย่างนี้ชักอดห่วงไม่ได้... หมายถึงโรงแรมนะครับ ไม่ใช่ตัวเจ้าของ


“เอ๊ะ! มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ?”


“ก็นิดหน่อย ไม่หนักหนาหรอก แต่ยังไงก็ต้องกลับไปดูสักหน่อย ปล่อยเจ้าเมธกับเฮียหยามจัดการไม่รู้จะเรียบร้อยกันหรือเปล่า” อ้อมแขนกว้างหลุดออกจากตัวผมอย่างคนหมดแรง ตามด้วยเสียงถอนหายใจยาว


เฮ้ย! อย่างนี้เรียกว่าไม่มีอะไรไม่ได้แล้ว คุณวรเมธกับเฮียสยามถือได้ว่าเป็นแขนขาของคุณภากร ปัญหาน้อยใหญ่แค่ผ่านสองคนนี้คือจบ ไม่เคยลุกลามมาให้เจ้าของโรงแรมต้องร้อนใจ พอคุณกรพูดอย่างนี้ผมเลยยิ่งห่วงจนกลายเป็น...หลงกล!


ฮึ่ยยย!! สุดท้ายหมาป่าเจ้าเล่ห์ก็หลอกใช้ความห่วงใยของผมหาความสุขจนตัวเองอิ่มแปล้ ส่วนผมอย่าให้ต้องเล่ารายละเอียดเลยครับ... เหนื่อย! รู้แต่ว่าที่ผมไม่ได้ไปนอนเฝ้าคุณแม่เขาตามหน้าที่นั่นไม่ใช่ความผิดของผมก็แล้วกัน





จบตอนแล้วคร้าบ





ฟู่วววว โล่งอกแทนคุณกรที่ตัดสินใจถูกใจแม่ยก แต่จะทวงตำแหน่งพระเอกในดวงใจกลับคืนมาได้หรือเปล่า ต้องรอลุ้นกันต่อไป


สำหรับฉากแม่ผ้วลูกสะใภ้นี้ เราไม่ดรามานะ แต่ตอนหน้ากานต์จะมาช่วยคลายปมบางอย่างให้กับคุณภัท รับรองว่าแซบแน่นอนค่ะ



 :bye2:





ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
เอาอกเอาคุณแม่สามีใหญ่เลยน่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ไม่นานหรอก  :katai3:

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
กานต์ต้องเป็นลูกอาชัชกับแม่ของกานต์แหงๆ โดนอาชัชปล้ำ ไรงี้ ส่วนแม่ของกานต์คงเคยทำงานที่โรงแรมไม่ก็อาบอบนวดเหมือนกัน ป้ามาลัยถึงหน้าคุ้น

เดาว่าสาเหตุที่พ่อกานต์เริ่มกินเหล้าเพราะรู้ว่ากานต์ไม่ใช่ลูก เลยเริ่มทุบตีเมียกะลูก

ชอบเรื่องนี้ น่ารัก สนุก อยากให้กานต์โชว์สกีลความฉลาดบ่อยๆ มันส์ดี


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กานต์สู้ๆ เอาชนะใจคุณแม่สามีให้ได้
 o13 o13 o13

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
มาต่อไวๆนะครับ

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






ตอนนี้เนตบ้านเจ๊ง รอการแก้ไขอยู่

ถ้าเรียบร้อยแล้วจะรีบพากานต์มาให้เชยชมนะคร้า








ได้แต่นั่งจิ้มมือถือ ฮือออออ ทรมานจะขาดใจ   :ling1:




minemomo  ^^'
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2016 16:52:16 โดย minemomo »

ออฟไลน์ SOO2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




29.




ผมไม่ได้ลืมที่เคยบอกว่าชอบบ้านสวนเอามากๆ ไม่ว่าจะบรรยากาศหรือผู้คนก็ชวนให้รู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านตัวเอง แต่พอมาคิดดูอีกที บางครั้งผมนึกขยาดที่นี่ยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเป็นความบังเอิญหรือเรื่องตลกแต่ผมมักจะมีความทรงจำที่ไม่ดีสักเท่าไหร่โดยเฉพาะเวลาเช้าๆ อย่างวันแรกที่ได้ตื่นขึ้นมาที่นี่ ผมระบมไปทั้งตัวเพราะโดนเจ้าหนี้ของพ่อซ้อม และนับจากนั้น ถ้าคืนไหนมีคนนอนอยู่ข้างๆบนเตียงไม้หลังใหญ่ก็เชื่อขนมยายเป้ากินได้เลยว่าจะต้องพบกับความปวดร้าวแสนสาหัสเหมือนอย่างที่ผมกำลังพยายามกลั้นเสียงร้องโอดโอยอยู่ตอนนี้


หันไปเห็นคนตัวโตนอนหลับสบาย มีเสียงกรนเบาๆแล้วยิ่งดูน่าหมันไส้ แต่พอมองเขาได้ไม่นานก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกเหมือนกันว่าทำไมถึงยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล ใบหน้าคมสันหลับตาพริ้ม ริมฝีปากได้รูปเผยอนิดๆตามจังหวะลมหายใจเข้าออก เรือนผมสีดำเส้นหนาปรกลงมาคลุมหน้าผาก ดูไปก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุมากกว่ากันไม่เท่าไหร่ แต่เวลาตื่นดันกลายเป็นผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ ขี้โกง ชอบเอารัดเอาเปรียบไปเสียได้


จู่ๆร่างเหยียดยาวก็ขยับท่าแล้วหลับต่อแต่เล่นเอาผมสะดุ้ง ใจหล่นตกไปใต้เตียง ถ้าโดนจับได้ว่านั่งมองเขาอยู่แบบนี้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผมเลยรีบลุก... อูยยย ไม่ไหวแฮะ! ค่อยๆคลานลงจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่าจัดการตัวเองแล้วหนีออกจากห้องไปอย่างเงียบๆจะดีกว่า


ถึงจะยังเช้ามืดแต่แทบทุกคนในบ้านเรือนไทยก็ตื่นกันหมดแล้ว ส่วนใหญ่จะไปขลุกอยู่ในครัวช่วยกันทำกับข้าวและเตรียมของใส่บาตร และไหนๆก็มีแขกพิเศษมาที่บ้านสวนทั้งที ผมเลยทำใจกล้าๆไปปลุกและลองชวนคุณภัทราพร ทีแรกท่านปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ทนลูกตื๊อไม่ไหวเลยยอมให้ผมช่วยประคองลงมาที่ท่าน้ำด้วยกัน ที่รออยู่ไม่ใช่สองยายกับน้ารื่นแต่เป็นเจ้าของบ้านตัวโตกับเด็กหญิงตัวเล็ก ทั้งคู่ยังอยู่ในชุดนอนแต่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย โดยเฉพาะรายหนูพลอยนั้นมีกระแจะแป้งขาวไปทั้งแก้ม


“ตรงโน้นค่ะตรงโน้น นายเอื้อมมือไปอีกสิคะ จะถึงแล้ว นู้นนนนน”


“ไม่ไหวแล้วพลอย ฉันยืดสุดแขนแล้วเนี่ย ในขันก็ได้ตั้งหลายตัวแล้ว พอเหอะนะ”


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะครับ ท่านเจ้าของโรงแรมใหญ่ลงไปคลานสี่ขาอยู่ตีนท่าน้ำ แปลงร่างเป็นคนช้อนปลาตามที่เสียงแจ๋วๆร้องสั่ง ขนาดแม่เขาเองเห็นแล้วยังเบือนหน้าไปแอบยิ้ม พอทั้งคู่รู้ตัว หนูพลอยเห็นคุณภัทราพรอยู่ด้วยก็ฉวยกระชอนกับขันน้ำเผ่นแน่บทิ้งลูกสมุนให้ยืนยิ้มเจื่อนพลางก้มลงบิดน้ำ ปัดดอกแหนออกจากปลายขากางเกงแพรให้ง่วน แต่เป็นโชคของเขาที่มีพระพายเรือเข้ามาพอดีเลยได้แก้เขินด้วยการประคองคุณภัทลงไปใส่บาตร ส่วนผมไม่ได้เข้าไปร่วมวงด้วยเลยได้นั่งขำต่อกับอาการเก้ๆกังๆ โก้งโค้งจนแทบหัวทิ่ม ฮ่า ฮ่า อยากจะเอาตัวเองใส่ลงไปในบาตรด้วยก็ไม่บอก!


“กานต์” อุ้ย! มัวแต่ขำเลยลืมดูว่าพระองค์สุดท้ายพายเรือออกไปแล้ว ส่วนตรงหน้าผมมีเงาทะมึนเชียว “ไปกรวดน้ำกัน”


“คุณก็กรวดเองสิครับ ผมไม่ได้ใส่บาตรด้วยสักหน่อย หรือว่าคุณกรวดน้ำไม่เป็น”


“จะลุกดีๆหรือจะให้ใช้กำลัง”


คนถูกจับได้ทำเสียงเข้ม เขม้นตาดุปกปิดอาการเขิน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคุณภากรทำตัวน่ารักชะมัด เห็นผมหุบยิ้มไม่ลงเลยทำเป็นงอน เดินนำไปนั่งที่ใต้ต้นไม้รอ พอผมตามไปสมทบเขาก็เริ่มท่องบทกรวดน้ำด้วยความคล่องแคล่ว! ทั้งคำบาลี คำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ เจ้ากรรมนายเวรหรือแม้แต่วิญญาณเร่ร่อนก็พรั่งพรูออกมาไม่มีติดขัด เทน้ำหมดจนหยดสุดท้ายยังมีหน้าหันมาบอก...


“ถึงไม่ได้ใส่บาตร แต่ก็ได้กรวดน้ำด้วยกันไง”


แดดยังไม่ออกแต่ผมรู้สึกร้อนวูบจนทำหน้าไม่ถูก อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้ผมมีพระอาทิตย์ส่วนตัว อยากจะร้อนที่ไหนก็ได้ไม่ต้องง้อแดด ฮือออ ผมไม่น่าหลุดมาอยู่ในวงโคจรของพระอาทิตย์ขี้แกล้งเลยให้ตาย!


“จะพูดอะไรเกรงใจคุณแม่คุณบ้างดิ!”


“กระซิบเบาๆแล้วแม่ไม่ได้ยินหรอก”


บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าจะหันกลับไปมองที่ศาลาท่าน้ำ ถึงจะมีระยะห่างแต่อย่าลืมว่าที่นี่เงียบสงบมาก ขนาดนกมันคุยกันยังได้ยินเสียงจิ๊บๆชัดแจ๋วเลย


“คุณกร!”


“รักกานต์นะ”


ทำไมแค่เสียงกระซิบถึงได้ยินชัดจัง แถมยังทำให้รู้สึกถึงจังหวะที่รัวเร็วขึ้นกลางอก แล้วรอยยิ้มนั่นก็ทำให้แสบตาเป็นบ้า นี่ตกลงเขารักผมจริงๆหรือจงใจจะฆ่าให้ตายกันแน่ ผมบอกแล้วไม่มีผิด ทีตอนหลับดูซื่อๆไม่มีพิษสง แต่พอตื่นขึ้นมาเท่านั้น คนๆนี้แหละที่ร้ายกาจกว่าใคร


จอมวายร้ายส่งเสียงหัวเราะในลำคอแล้วเดินกลับไปประคองคุณภัทราพรขึ้นเรือน ทิ้งให้ผมยืนเป็นรูปปั้นหินจนป้าจิตที่ตามมาเก็บถาดกับขันข้าวยังตกใจ คิดว่าผมจะไม่สบายหรือเป็นลมเป็นแล้งไป ระหว่างมื้อเช้าผมไม่ยอมนั่งกินเป็นเพื่อนก็ยังถูกสั่งไม่ให้ไปไหน เขาจะได้กินข้าวอร่อยเพราะได้กวนประสาทผมไปด้วย กว่าผมจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้นก็หลังจากที่เขาออกไปทำงานแล้วนั่นแหละ


เฮ่อ! ลืมไปเลยว่ายังโล่งไม่ได้ ถึงหมดลูกชาย ผมก็ยังต้องรบกับตัวแม่ต่อ แล้วพอลับหลงคุณภากรเท่านั้น คุณภัทราพรก็หน้าตึง ขึ้นเสียงดุไล่ผมทันที


“จะไปไหนก็ไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”


“ได้ครับได้ แต่ถ้าอยู่เฉยๆคุณท่านอาจจะเบื่อ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาหนังสือในห้องมาให้คุณท่านอ่านจะได้เพลินๆดีมั้ยครับ”


“เอ๊ะ! ฉันบอกว่า...”


“จริงด้วย! ให้ผมเลือกคงไม่ดี งั้นผมพาคุณท่านไปเลือกเองเลยดีกว่าจะได้ถูกใจนะครับ”


นอกจากลูกไม้เดิมๆคือตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก เที่ยวนี้ผมเริ่มใช้กำลังด้วยการเข้าไปประคองให้คุณภัทลุกขึ้น พากลับเข้าห้องไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ พอถามว่าอยากได้หนังสือประเภทไหนไม่ได้คำตอบ ผมเลยต้องมาแหงนคอตั้งบ่า ไล่อ่านชื่อตามสันหนังสือสลับกับหันไปดูปฏิกิริยาเผื่อว่าจะมีสัญญาณตอบรับ หลายเล่มเข้าชักเมื่อยเลยได้แต่อ่านชื่อหนังสือให้ท่านฟังไปเรื่อยๆ กว่าจะหมดแค่แถวบนสุดทั้งเมื่อยและเริ่มแสบคอ กะด้วยสายตาคร่าวๆก็ปาเข้าไปครึ่งร้อยแต่กลับไม่มีเล่มไหนที่สะดุดความสนใจคุณภัทเลยเหรอเนี่ย


ผมหันหลังกลับแล้วอยากจะถอนหายใจแรงๆสักทีเพราะกลายเป็นว่าคุณภัทราพรไม่ได้ฟัง แต่กำลังเปิดดูลิ้นชักโต๊ะทำงานของสามีจนมาสะดุดที่ลิ้นชักเล็กอันล่างสุด แล้วมันจะบังเอิญไปมั้ยที่ผมก็เพิ่งจะเห็นอะไรสักอย่างที่ชั้นบนสุดของหิ้งหนังสือ พอเขย่งตัวหยิบของสิ่งนั้นลงมาเปิดดูก็ยิ่งแปลกใจกว่าเก่า...


คุณภัทราพรหันมามองของชิ้นเดียวกันด้วยสีหน้าที่ผมเดาใจไม่ถูก ก็แค่กระปุกเซรามิกใบขนาดวางพอดีในอุ้งมือ ตัวฝาประดับลายนูนรูปช่อดอกไม้ แม้จะดูรู้ว่าไม่ใช่ของใหม่แต่สีสันลวดลายก็ยังคมชัด เปิดออกด้านในมีแค่กุญแจดอกเล็กที่น่าจะใช้สำหรับลิ้นชักที่ติดล็อก... ก็แค่นี้เองแต่ทำไมคุณภัทถึงได้จ้องมองราวกับเจอสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่แปดของโลกด้วยก็ไม่รู้


“คุณท่านครับ...” ผมเอ่ยเรียกเบาๆแต่ดวงตาของคุณภัทยังจดจ้องอยู่ที่เดิมจนผมรู้สึกอึดอัดแทน “...งั้นผม...ลองไขดู...นะครับ”


ผมถือเอาอาการนิ่งแทนคำอนุญาตจึงค่อยๆหยิบกุญแจดอกเล็กแหย่เข้าไปในรูลิ้นชัก ล็อกด้านในค่อนข้างฝืด แถมลิ้นชักก็เป็นแค่กล่องไม้ที่ใส่เอาไว้พอดีกับช่องตามแบบเครื่องเรือนเก่า ไม่ได้มีรางเลื่อนเหมือนอย่างเฟอร์นิเจอร์ทันสมัยเลยต้องออกแรงถึงดึงลิ้นชักออกมาได้สำเร็จ ผมมองคร่าวๆในนั้นมีแค่สมุดบันทึกกับอัลบั้มรูป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังทำตัวเสียมารยาทเลยขยับออกมาเพื่อให้คุณภัทได้เห็นสิ่งที่คู่ชีวิตของท่านตั้งใจเก็บไว้เป็นความลับ


คุณภัทราพรนิ่งไปอีกครู่หนึ่งจึงค่อยๆหยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาเปิดดู ผมนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นจึงไม่เห็นว่าเป็นรูปอะไรแต่เชื่อว่าต้องมีความหมายพิเศษมากเพราะขณะที่เปิดดูและอ่านข้อความบางอย่างที่เจ้าของเขียนฝากไว้ ม่านน้ำบางๆก็เอ่อคลอดวงตาของท่าน ผมหันซ้ายหันขวาและรีบลุกไปหยิบผ้าเช็ดหน้าตรงโต๊ะกระจกมาวางใกล้ๆ ท่านเหลือบตามองแวบหนึ่งแต่ไม่ได้หยิบไปใช้


ผมรู้ว่าไม่ควรทำตัวเสนอหน้าเพราะหากมีคนอื่นอยู่ด้วยท่านก็คงพยายามเก็บกลั้นทุกอย่างไว้กับตัวเหมือนที่เคยทำมา แต่จะทิ้งให้ท่านอยู่คนเดียวในสภาพจิตใจแบบนี้ บอกตามตรงว่าทำไม่ได้จริงๆ ผมเลยลุกไปเดินดูหนังสือบนชั้นต่อเพื่อให้ท่านได้มีความเป็นส่วนตัว ไล่อ่านสันหนังสือไปได้อีกชั้นกว่าๆและเลือกหยิบบางเล่มที่น่าสนใจออกมาเผื่อเอาไว้อ่านเวลาว่างก็พอดีกับที่ได้ยิน...เสียงร้องไห้!


ภาพตรงหน้าตรึงผมอยู่กับที่ เชื่อว่าต่อให้เป็นคุณภากรก็คงมีสภาพไม่ต่างกันถ้าได้มาเห็นแม่ของเขาก้มหน้ากอดสมุดบันทึกไว้กับอก ไม่มีเสียงสะอื้นแต่น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มไม่ขาดสาย ตัวผมเองยังรู้สึกหมดแรงจนทรุดลงแล้วค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหา พยายามถามไม่ได้คำตอบ จะออกไปตามน้ารื่นก็ไม่รู้จะยิ่งทำให้อะไรๆแย่ลงหรือเปล่า ผมเลยได้แต่นั่งเฝ้าท่านร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่สำหรับผมมันเหมือนเป็นชาติเลยทีเดียว


“คุณท่านครับ...” เห็นว่าน้ำตาเริ่มขาดเม็ดผมเลยลองเอื้อมมือไปแตะที่เท้าของท่านเบาๆ “วันนี้ป้าจิตทำน้ำฝรั่ง คุณท่านรับสักหน่อยนะครับจะได้สดชื่น เดี๋ยวผมลงไปเอาให้”


“ไม่...” ปกติถึงได้ยินคำนี้ผมก็จะลุกอยู่ดี แต่คราวนี้ที่ไม่กล้าขยับตัวเพราะมีมือเอื้อมมาแตะไหล่ไว้ ผมทั้งตกใจและดีใจเพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกคุณภัทสัมผัสตัว ท่านเองก็คงรู้สึกแปลกๆเลยรีบชักมือกลับไปแต่ยังรั้งผมไว้ “ไม่ต้อง อยู่ก่อน อย่าเพิ่งไป”


คุณภัทเสมองอัลบั้มรูปที่เปิดค้างไว้แล้วเงียบไป ผมเลยทำใจกล้าๆยืดตัวขึ้นไปเกาะขอบโต๊ะเพราะอยากรู้เหมือนกันว่ารูปอะไรที่ทำคนใจแข็งร้องไห้ได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นอกจากไม่ดุ คุณภัทยังเลื่อนอัลบั้มรูปมาให้แทนการออกปากอนุญาต


“เขาคงคัดมาจากอัลบัมที่บ้าน แต่บางรูปก็ไม่เคยเห็น ไม่รู้ไปถ่ายไว้ตอนไหน”


คุณภัทกำลังมีรอยยิ้มบางๆอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยอารมณ์ที่ไม่ดีหรือความขุ่นข้องหมองใจต่างๆจะละลายหายไปกับน้ำตาหมดแล้ว ส่วนอัลบั้มที่ผมกำลังดูอยู่น่าจะเป็นการรวบรวมมาจากเวลาและสถานที่ต่างๆอย่างที่ท่านว่า มากที่สุดคือรูปของเด็กชายหญิงคู่หนึ่งในแต่ละช่วงวัย เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณภากรตอนเล็กๆ... เป็นเด็กที่ไม่ได้ดูบอบบางอย่างลูกคุณหนู หน้าตาออกซนๆ ท่าทางน่าจะเป็นหัวโจก ชอบแอคท์ท่ายิ้มกวนๆแต่ก็น่ารักดีเหมือนกัน


“มีเขียนที่ด้านหลังไว้ทุกรูปเลยครับ”


ความพิเศษอีกอย่างคือไม่มีการสอดรูปซ้อนกันเหมือนอัลบั้มทั่วๆไป จึงได้เห็นด้านหลังของภาพซึ่งไม่ใช่เพียงกระดาษเปล่า แต่เป็นพื้นที่ที่คุณกฤตใช้เขียนบอกรายละเอียดของภาพและความประทับใจส่วนตัวของท่าน  ตัวอย่างเช่น ภาพคุณภากรในชุดนักเรียนยืนจับมือคู่กับน้องสาวที่หน้าบ้านมีคำบรรยายว่า กรไปโรงเรียนวันแรก เก่งทั้งคู่เพราะภาตื่นเช้ามาส่งพี่ชายด้วย ไม่งอแงเลย มารู้ทีหลังว่าคุณภัทติดสินบนเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหม่ หรือรูปที่อาจแอบถ่ายเพราะเป็นภาพคุณภัทกับคุณภากำลังนั่งดูหนังสือเล่มเดียวกันอยู่ในห้องรับแขกเล็ก พลิกมาก็มีลายมือตัวบรรจง ลายเส้นตวัดหนักแน่น แม่ลูกเริ่มมีงานอดิเรกเดียวกันแล้ว คงต้องเตรียมห้องไว้เก็บของเพิ่มเร็วๆนี้ สงสัยต้องพากรไปหัดตีกอล์ฟบ้าง เดี๋ยวเราไม่มีพวก และอีกหลายรูปที่แม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายธรรมดาก็ยังมีถ้อยคำที่สื่อความรู้สึกได้หลากหลาย เช่นภาพของสามแม่ลูกยืนรวมกันอยู่ข้างๆรูปปั้นในสวนสาธารณะสักแห่งในต่างประเทศ ที่ด้านหลังนั้นบอกว่า เสียดายที่ติดงาน ไปเที่ยวด้วยไม่ได้ แม่ลูกเลยอาศัยรูปปั้นแทนพ่อไปพลางๆ แต่ก็น่าจะเลือกตัวที่นกไม่ขี้รดหัวซะหน่อย


“เขาเป็นคนอย่างนี้ล่ะ รอบคอบ ละเอียดลออ ใส่ใจทุกคนและทุกสิ่งรอบตัวเสมอ ฉันเสียอีกที่มองข้ามหรือบางทีก็เห็นว่าเล็กน้อยเลยกลายเป็นพลาดอะไรๆดีไปเสียหมด รู้มั้ยว่านี่อะไร” ท่านถามพลางแตะนิ้วไล้ลายดอกไม้บนฝากระปุกเซรามิค ถึงไม่ได้หันมาเห็นผมส่ายหน้าก็ยังพูดต่อ “ของชำร่วยงานแต่ง ฉันเป็นคนเลือกเองแต่ที่จริงก็แค่เปิดแคตตาล็อกดูๆเอา เสร็จงานแล้วมีเหลือมาก็เอาเก็บเข้าตู้ไม่เคยได้สนใจจะหยิบออกมาดูด้วยซ้ำ แต่เขากลับ...” ปลายเสียงสั่นและขาดหายไปด้วยความพยายามจะเก็บกลั้นความรู้สึกไว้ภายใน


“ที่ท่านเก็บกุญแจเก๊ะเอาไว้ในนี้คงเพราะอยากจะบอกว่าการแต่งงานคือจุดเริ่มต้นของความทรงจำที่มีค่าของท่านก็ได้นะครับ”
“ผู้ชายนี่ชอบมีความลับหรือไม่ก็ทำอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อนอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า”


ผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง ผู้ชายไม่ว่าใครก็คงมีทั้งความกล้าและความกลัวเหมือนๆกัน แต่ถ้าถามแค่ตัวลูกชายท่านก็อยากบอกให้รายนั้นหัดเก็บอะไรๆเป็นความลับซะบ้าง


“ท่านอาจจะเขิน ไม่กล้าบอกหรือแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆมั้งครับ” คำตอบของผมคงเป็นที่ถูกใจเลยเรียกเสียงหัวเราะเบาๆได้


“เธอคงพูดถูก ลองดูนี่สิ” สมุดบันทึกเล่มนั้นถูกยื่นมาให้แต่ผมยังไม่กล้ารับไว้ “อ่านเถอะ ฉันอนุญาต”


ผมรับมาและก้มอ่านหน้าที่เปิดค้างไว้ ปรากฏลายมือคุ้นตาเหมือนที่เห็นจากด้านหลังรูปทุกใบ


วันครบรอบปีนี้อยากให้เป็นอะไรที่พิเศษเลยว่าจะชวนคุณภัทไปเที่ยวอเมริกา ที่จริงคิดเรื่องนี้มาสองสามปีแล้วแต่ที่เลื่อนมาตลอดเพราะถ้าคุณภัทไม่ว่างก็เป็นเราที่งานยุ่งซะเอง และที่ตั้งใจไว้คืออยากให้เธอได้พักห้องเดียวกับตอนที่ไปฮันนีมูน คงเป็นอะไรที่น่าประทับใจ โชคดีได้วรเมธมาช่วยติดต่อให้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องรอเป็นปีหน้า ถ้าเป็นไปตามแผนก็เอายัยภาไปเยี่ยมพี่ชายด้วย แล้วให้สองพี่น้องเขาเที่ยวกันเองจะได้ถูกใจ ส่วนพ่อกับแม่ขอแค่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้างก็พอ

ตอนนี้โรงแรมจองได้แล้ว เรื่องตั๋วเครื่องบินกับตารางงานสั่งให้พัชรีจัดการ เริ่มเคลียร์แต่เนิ่นๆ ช่วงนั้นน่าจะว่างได้สักสองอาทิตย์ แต่จะชวนคุณภัทยังไงนี่สิปัญหา... เฮ่อ! ทีเรื่องอื่นสบายหายห่วง แต่ทำไมจะคุยกับเมียมันถึงไม่ได้ความเลยวะไอ้กฤต!


คนเขียนระบายแกมบ่นตัวเองที่ไม่ได้อย่างใจ แต่สำหรับผมบอกได้เลยว่าคุณกฤตเอาใจผมไปเต็มๆ ท่านเป็นพ่อในแบบที่ผมเองยังฝันถึง หรือจะพูดให้ถูกครอบครัวนี้สมบูรณ์พร้อมจนน่าอิจฉา พ่อแม่ต่างเป็นคนดี ลูกๆน่ารัก ทุกคนมีความรักให้แก่กัน แต่อะไรกันนะที่ทำให้พวกเขาไม่ได้มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น


“ภายนอกเขาเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ ทั้งที่อายุไม่เท่าไหร่แต่มีความเป็นผู้นำที่ใครๆต่างก็ยอมรับ ฉันเองยังคิดว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่อยากเชื่อว่าเขาก็มีมุมแบบนี้ เลยกลายเป็นว่าฉันไม่เคยรู้จักคนที่ได้ชื่อว่าสามีตัวเอง ปีแรกๆที่แต่งงานกันมีแต่ฉันที่ตื่นเต้นกับวันครบรอบ ส่วนเขาถ้าไม่ลืมก็งานยุ่งจนไม่มีเวลา ฉันบ้าบออยู่คนเดียวจนเริ่มเบื่อ หลังๆก็รู้สึกว่ามันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ก็ไม่นึกนะว่าเขาจะแอบคิดทำอะไรแบบนี้ให้ แล้วมันน่าขำมั้ยล่ะ บันทึกหน้านี้เขียนตั้งแต่มกรา เราแต่งงานกันเดือนพฤษภา แต่พอมีนา... เขาก็ไม่อยู่เสียแล้ว”


ผมถอนหายใจกับตัวเองเมื่อได้รู้ว่าอะไรที่ขาดหายไป เมื่อปราศจาก ‘ความเข้าใจ’ ความรักก็ไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริง นึกย้อนถึงเรื่องของตัวผมเองก็คงไม่ต่างกัน แม้จะขัดสนเงินทองแต่พวกเราก็ยังพรั่งพร้อมด้วยความรักความเข้าใจที่มีให้แก่กัน จนเมื่อความเข้าใจของพ่อผิดเพี้ยนไป ต่อให้แม่ ผมและพี่กัญพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาความสุขให้อยู่กับครอบครัวเราไว้ได้


“เอ้า! อะไรกัน ทำตัวขี้แยไปได้!” คิดเรื่องเก่าๆทีไรผมเป็นต้องออกอาการไม่มากก็น้อย เลยโดนคุณภัทแซวเข้าให้


“ก็ผมเสียดายนี่ครับ” หยุดสูดน้ำมูกแรงๆเสียทีค่อยพูดต่อ “ถ้าได้ไปเที่ยวอย่างที่วางแผนไว้ก็คงเข้าใจกันมากขึ้น แล้วทุกคนก็จะได้มีความสุข ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังตอนที่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว”


ถึงผมจะอายุแค่นี้แต่ชีวิตก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย บางครั้งผมยังเคยนั่งคิดถึงเรื่องความตาย ถ้าจะให้พูดตรงๆผมไม่ได้กลัวตัวเองตายแต่กลัวความตายที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่ผมรัก เหมือนอย่างที่แม่กานดาจากไปก่อนที่ผมจะได้ตอบแทนความรักและพระคุณที่ยิ่งใหญ่


“นั่นสินะ เขาถึงได้บอกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน วันเวลาที่ผ่านไปแล้วไม่มีทางหวนกลับ และต่อให้มีอำนาจหรือเงินทองมากแค่ไหนก็ไม่อาจเรียกคืนอดีตที่จบไปแล้วได้เลย”


คุณภัทราพรจบคำพูดนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ ผมเลยยิ้มกว้างตอบกลับไป ระหว่างผมกับท่านคงกำลังเกิดความเข้าใจบางอย่างที่แม้จะมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่สองฝ่ายต่างสูญเสีย แต่เชื่อว่าจะนำไปสู่สิ่งดีๆในไม่ช้า แล้วผมก็พลันฉุกคิดว่าขนาดผมกับคุณภัทยังเข้าใจกันได้ แล้วทำไมคุณภัทกับน้ารื่น...


“ฉันดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้น”


น้ารื่นฤดีต้องเป็นอีกคนที่อ่านใจผมออกแน่ๆ เพราะเพียงแค่คิดถึงก็มาปรากฏตัวให้เห็น แต่เล่นมายืนจ้องหน้าแถมคำพูดที่เรียกได้ว่าท้าทายกันตรงๆอย่างนี้ ชวนให้ได้กลิ่นของสงครามลอยมาแต่ไกล แล้วผมจะต้องทำยังไงล่ะครับทีนี้?!





จบตอนแล้วคร้าบ


หวังว่าจะชอบเรื่องราวระหว่างคุณกฤตและคุณภัท ขอบอกว่าเราชอบมาก เขียนเองก็ซึ้งเอง

ตอนหน้ามารอลุ้นคุณภัทกับน้ารื่นบ้างว่าจะเคลียร์กันออกมาอีท่าไหนนะคะ





ปล. ถึงตอนนี้เน็ตบ้านก็ยังเจ๊งอยู่ จะครึ่งเดือนแล้ว โทรจิกจนสงสารน้องคอลเซนเตอร์แล้ว ยังไงก็ต้องรอคิวช่างอยู่ดี จนไม่ไหวลองใช้ไวไฟมือถือแชร์เอา ก็ได้อยู่แต่ต้องลุ้นมาก นี่เออเรอไปสองรอบกว่าจะอัพครบ เฮ่อ...  ตอนต่อไปขอรอเน็ตบ้านใช้ได้เหมือนเดิมนะคะ


 :bye2:




ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ถถถ  แม่ผัวลูกสะใภ้อุตส่าอยู่ในโหมดสงบศึกและเป็นพันธมิตรกันทางอารมณ์ น้ารื่นเข้ามาฟิลเปลี่ยนเลย 5555

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
จะเกิดอะไรขึ้นครับ แต่คงติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นไงต่อ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ทิ้งท้ายมาให้ลุ้นเหอะ วุ้ย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เห็นไหมๆ อยู่กับกานต์เดี๋ยวก็ดีเอง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด