เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]  (อ่าน 56190 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ด้วยความที่เป็นลูกหลานคนจีนไง ผู้ชาย ไม่ใช่แค่ชายกับชายนะแต่เป็น ชาย ชาย ชาย ที่สำคัญเป็นญาติกันด้วย ไม่ใช่ญาติห่างๆนะ ญาติสนิทอีกต่างหาก เหตุผลแค่นี้ก็หนักแล้ว

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่ทีไม่ได้เยอะแค่พี่ทีลำไย55555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทีเอย นอยกับคำพูดแฝดนรกอีกแล้ว  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                                      ตอนที่ 29  ME



“แล้วจริงๆ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ?”



“โถ่! พ่อก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพี่ทีอ่ะโลกส่วนตัวสูงจะตาย ไปอยู่กับพี่แฝดก็ต้องอึดอัดอยู่แล้ว แถมพี่ทียังเป็นคนติดบ้านด้วยยังไงก็ต้องอยากอยู่บ้านมากกว่า ใช่ป่ะ” ยัยทามโพล่งขึ้นมาแทนผมที่กำลังอึ้งอยู่



แม่ถอนหายใจ แล้วส่ายหัวหน่ายๆ



“ทามไม่ต้องบอกแม่ก็รู้นิสัยพี่ชายเราดี ..ทำเป็นพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นั่นแหละเจ้าลูกคนนี้ ก็บอกมาตรงๆ สิว่าอยากกลับมาอยู่บ้าน”



“พ่อรู้ตั้งแต่ที่ทีพูดวนไปวนมาแล้วแหละ ฮ่าๆ ๆ ปกติทีไม่พูดเยอะแบบนี้นี่ลูก” พ่อตบไหล่ผมพลางหัวเราะอารมณ์ดี



“เอาเถอะ ยังไงทีก็อยู่กับน้องมาเกือบจะสองเดือนแล้ว จะกลับมาอยู่บ้านตอนนี้ก็ไม่น่าเกลียดอะไร เดี๋ยวแม่โทรไปบอกอาแอ๋มให้ก็แล้วกัน”



ผมรู้สึกประหลาดใจ บทจะง่ายก็ง่ายแบบนี้เลย? แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว แม่ให้ผมไปอยู่กับภูผาฟ้าครามเพื่อแก้ปัญหาที่อาแอ๋มไม่ให้สองแฝดอยู่หอ เราเป็นญาติกันพ่อกับแม่คงนิ่งดูดายไม่ช่วยอะไรเลยสักอย่างไม่ได้ (ก็เล่นเถียงกันกลางโต๊ะกินข้าวแบบนั้น ถ้าพ่อแม่ผมนั่งฟังเฉยๆ ไม่ช่วยอะไรเลยนี่สิจะดูไม่ดี) จึงให้ผมไปอยู่ดูแลน้องทั้งๆ ที่รู้ดีว่าผมมีนิสัยเป็นยังไง แล้วก็คงจะคาดไว้อยู่แล้วว่าผมคงทนอยู่ได้ไม่นาน



แต่ผมก็อยู่มาได้เกือบสองเดือนกว่าแล้วถ้าจะย้ายกลับมาอยู่บ้านตอนนี้ก็ไม่ดูน่าเกลียด เพราะถือว่าอย่างน้อยก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ให้จนเข้าที่เข้าทาง ถ้าผมปฏิเสธไม่ไปอยู่ตั้งแต่แรกสิจะน่าเกลียด แถมยังจะทำให้พ่อกับแม่ดูไม่ดีไปด้วยอีกต่างหาก ถึงเราจะเป็นญาติสนิทกันแค่ไหนก็เถอะ แต่มันก็ต้องมีคิดบ้างแหละ



มิน่า… ตอนแรกแม่ถึงบีบให้ผมไปแทบตาย พ่อก็ไม่พูดอะไรเลย แต่พอผมอยู่มาจนจะสองเดือนแม่กลับยอมให้ผมย้ายกลับมาอยู่บ้านง่ายๆ



โลกมารยาททางสังคมของผู้ใหญ่มันช่างซับซ้อนเสียจริง…



“จริงๆ พ่อก็รู้อยู่แล้วแหละว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ พ่อรู้ว่าทีน่ะติดบ้าน แล้วก็ขี้รำคาญมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วด้วย คงอยู่กับเจ้าแฝดไม่ไหวหรอก นี่พ่ออึ้งมากเลยนะที่ทีอยู่มาได้นานขนาดนี้”



“อ้าว ไมพ่อพูดงี้อ่ะ” ผมโวย แต่พ่อกลับหัวเราะ



พอสารคดีจบ แม่ก็หยิบมือถือขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะโทรหาใครบางคน



“แม่! โทรหาใครอ่ะ” ผมรู้สึกตกใจเมื่อเห็นแม่หยิบมือถือขึ้นมา



“ก็โทรหาอาแอ๋มไงลูก” แม่มองผมอย่างงงๆ



ผมเกิดอาการลังเล แม่จะโทรไปบอกตอนนี้เลยหรอ ถ้าอาแอ๋มรู้เจ้าแฝดก็ต้องรู้ด้วยน่ะสิ สองคนนั้นต้องขัดขวางทุกวิถีทางแน่ๆ



“…เดี๋ยวทีโทรบอกเองแม่ ศุกร์หน้าพ่อแค่ขับรถมาช่วยขนของกลับก็พอ” โทรบอกวันพฤหัสฯ แล้วกลับวันศุกร์เลยดีกว่า ฉุกละหุกแบบนี้แหละดีพวกมันจะได้ไม่ทันตั้งตัว



แม่ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกผมว่าอย่าลืมโทรไปบอกก็แล้วกัน จากนั้นก็ไล่ผมไปช่วยทามล้างจาน เราสองคนพี่น้องขุดเรื่องต่างๆ มาคุยกันได้ไม่รู้เบื่อ ทามดูจะดีใจมากที่ผมจะกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ก็เข้าใจนะว่าผมไม่อยู่มันคงเฉาปากน่าดู



หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินกลับเข้าห้อง ล็อกประตูตามความเคยชิน เปิดพัดลม เดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนจากตู้มากองบนเตียงห้าหกเล่มแล้วนอนอ่าน



จู่ๆ ผมก็นึกถึงวันที่อาแอ๋มโทรมาขอให้ติวภูผาฟ้าคราม วันนั้นผมก็กำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่อย่างมีความสุข



ถ้าวันนั้นไม่ตอบตกลงก็คงดี



แล้ววันจันทร์ที่ผมไม่อยากให้มาถึงก็มาถึง วันนี้ผมมีเรียนครึ่งวันเช้า อีกครึ่งวันว่าง พอแยกกับเพื่อนๆ ผมก็ตรงไปที่ห้องสมุด เลือกเข้าโซนเงียบชั้นบนสุด นั่งลงบนเก้าอี้ที่หันออกไปทางผนังกระจกที่มองเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งมหา’ ลัย



ผมถอนหายใจ ผมอยากยุติเรื่องภูผากับฟ้าครามแล้ว ก็เอาสิ วันนี้เอาให้มันจบไปเลย ผมเบื่อที่จะหนีแล้ว



ผมนั่งรอเวลาที่ภูผาฟ้าครามจะเลิกเรียนแล้วกลับไปเจอกันที่คอนโดอย่างใจเย็น พลางคิดถึงถ้อยคำต่างๆ นานาที่จะใช้ตอกหน้าสองคนนั้น ถ้อยคำร้ายกาจที่จะทำให้สองคนนั้นเจ็บปวดเหมือนที่ผมเจ็บ ผมจะแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้แล้วสุดท้ายก็บอกความจริงให้พวกมันตกใจจนพูดไม่ออก ผมจะสั่งสอนพวกมัน ผมจะบอกภูผากับฟ้าครามอย่างละเอียดเป็นข้อๆ ถึงสาเหตุว่าทำไมมันสองคนถึงไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากผมแม้แต่ในฐานะพี่น้อง ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงวันนี้ผมต้องได้เห็นน้ำตาพวกมัน ไม่งั้นคงไม่หายแค้น



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



ผมรู้สึกตัวจากภวังค์อีกทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ เหลือบมองนาฬิกาก็ตกใจที่ตัวเองนั่งมาสามชั่วโมงแล้ว ...ไม่รู้ตัวเลย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นเบอร์ภูผา

ผมเก็บชีตใส่กระเป๋า



วันนี้ทุกอย่างจะจบ





โชคดีที่พอผมเดินเข้าคอนโดปุ๊บฝนก็ลงเม็ดปั๊บ พอผมเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นภูผากับฟ้าครามนั่งรออยู่ที่โซฟาแล้ว สองคนนั้นผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นผม ท่าทางมันสองคนดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ หึ คงจะร้อนตัวสินะ



ทั้งๆ ที่คิดว่าจะปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมกลับทำไม่ได้ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามุมปากมันหนักกว่าทุกวัน ผมไม่มีอารมณ์จะยิ้มเลย สักนิดก็ไม่มี มันแน่นหน้าอกไปหมดเมื่อรู้ว่าในไม่ช้าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไม่ให้มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป



คราวนี้ผมจะไม่ใจอ่อน!



ขาดเป็นขาดสิ ผมรู้ว่าความคิดของผมครั้งนี้มันดูร้ายมาก แต่ผมไม่คิดจะหยุดมันหรอก แล้วผมก็ไม่รู้สึกผิดด้วย ก็มันทำผมก่อน! ภูผากับฟ้าครามหักหลังผมทำไมเล่า!? ในเมื่อสองคนนั้นไม่แคร์ความรู้สึกผม ผมก็ไม่แคร์ความรู้สึกมันเหมือนกัน!!



สองคนนั้นทำหน้าแปลกๆ เหมือนจะไม่สบายใจที่เห็นผมมองมันด้วยหน้านิ่งๆ



“เอามาสิ” ผมแบมือไปข้างหน้า พูดเสียงเรียบ



“พี่ที …เป็นไรป่าวอ่ะ” ฟ้าครามมองหน้าผมพลางทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น



“พี่ที...” ภูผาทำท่าจะพูดอีกคน แต่ผมทนรำคาญที่มันสองคนทำตัวยึกยักไม่ไหวแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรวันนี้ผมถึงได้ขีดความอดทนต่ำนัก แค่เห็นหน้าพวกมันผมก็เดือดปุดๆ



ปัง!!!



ภูผากับฟ้าครามสะดุ้งโหยงเมื่อผมตบโต๊ะกระจกหน้าทีวีเสียงดังสนั่น



“กูบอกให้เอามาไง!!!” สองคนนั้นมองผมอย่างเหวอๆ ก่อนจะค่อยๆ หยิบเกียร์สีเงินจากกระเป๋าเสื้อวางลงในมือผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ คนละอัน



ผมหยิบเกียร์สองอันนั้นขึ้นมาส่องดูด้านในทันที แล้วก็ต้องชะงัก



ME 47 Fahkram



ME 47 Phupha



ME ... Mechanical Engineering ... วิศวกรรมเครื่องกล



รุ่นที่ 47 ... รุ่นปัจจุบัน



สลักชื่อด้วยฟอนต์ที่คณะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์…

.

.

.

.

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นี่มันยังไงวะเนี่ย = [] =!! !!!???





--------------------------------------------------

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนพิเศษ follow forever

(นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนทีอายุสามขวบครึ่ง ฝาแฝดอายุขวบครึ่ง เล่าโดยคุณสา คุณแม่มือใหม่ในเวลานั้น )





วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดคุณพ่อของสามีฉัน หรือก็คืออากงของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันนั่นเอง อาหารทุกอย่างถูกเตรียมไว้รอเรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ครอบครัวน้องแอ๋ม น้องสาวของสามีฉันที่แต่งออกเรือนไปนานแล้ว และมีลูกชายถึงสามคนด้วยกัน

ฉันไกวเปลที่เจ้าตัวเล็กงีบหลับไปเรื่อยระหว่างรอ หลังจากได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน คุณเดชก็เดินออกไปเปิดประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ฉันรีบเดินตามออกไปต้อนรับ คุณสินธุ์และน้องแอ๋มมาพร้อมกับลูกชายทั้งสามคนในชุดซูเปอร์ฮีโร่ไม่ซ้ำแบบ น้องเฟิร์สใส่ชุดสไปเดอร์แมน ส่วนฝาแฝดแก้มยุ้ยน่ารักที่ใส่ชุดแบทแมนกับซูเปอร์แมนกำลังชะโงกหน้าลงไปในอ่างปลาแล้วใช้มือล้วงลงไปจับปลาหางนกยูงในนั้นอย่างเมามัน

“เดี๋ยวเถอะ! น้องภู น้องคราม ห้ามรังแกน้องปลาของลุงนะครับ มานี่เลยๆ ต้องโดนทำโทษ ” สามีฉันเข้าไปอุ้มฝาแฝดเข้าสะเอวคนละข้างแล้วหมุนรอบตัวเร็วๆ เด็กสองคนร้องกรี๊ดๆ ผสมหัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจ พอคุณเดชปล่อยลงพื้นก็ยั้งตื๊อกอดเอวไม่ยอมปล่อย จะขอเล่นอีกๆ อยู่อย่างนั้น จนโดนคุณสินธุ์ดุถึงจะยอมเดินเข้าไปในบ้านดีๆ

“หวัดดีครับป้าสา ลุงเดช ” เด็กชายเฟิร์สในวัยเจ็ดขวบหนีบเกมบอยไว้ใต้รักแร้ ยกมือไหว้เร็วๆ แล้วชักเกมออกมาเล่นต่อ

“เฟิร์สอย่าเอาแต่เล่นเกมสิลูก ฝากแม่ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวกลับบ้านค่อยมาเอาคืน” แอ๋มว่าพลางดึงเกมบอยจากมือลูกชาย แต่เจ้าเฟิร์สก็เหนียวใช่ย่อย ไม่ยอมปล่อยจนต้องยื้อยุดกันไปมา

“ฮ่าๆ ๆ ปล่อยหลานไปสักวันน่าแอ๋ม เห็นว่าเฟิร์สเรียนพิเศษตั้งหลายอย่าง ให้เด็กมันพักบ้างเถอะ” คุณเดชว่าก่อนจะโอบไหล่น้องแอ๋มเดินเข้ามาในบ้าน ฉันเดินคุยกับคุณสินธุ์ตามเข้ามาทีหลัง แล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น

ปั๊กๆ ๆ!!!

“ที!! ตื่นๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!! ”

“ตื่นนนนนนนนนนนนนนนน”

สองฝาแฝดที่วิ่งนำเข้ามาในบ้านก่อนกระโดดถีบเปลสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่น้องทีกำลังนอนกลางวันอยู่ เปลใหญ่โคลงอย่างแรงจนน้องทีสะดุ้งตื่น

“มาเล่นกัน! มาเล่นกัน!”

สองแฝดพยายามปีนเข้าไปในเปล แต่ด้วยความที่ขอบเปลสูงเกินไปทำให้ตกลงมา น้องทีที่ถูกปลุกขึ้นมายังอยู่ในสภาพสะลึมสะลือและดูเหมือนจะยังอาวรณ์ที่นอนอยู่มากจึงทำเป็นไม่สนใจล้มตัวลงนอนต่อที่มุมเปลด้านตรงข้ามกับมุมที่สองแฝดพยายามปีนเข้ามา

แอ๋มกำลังจะเข้าไปแยกเด็กแฝดออกมา แต่คุณเดชสามีฉันจับไหล่เอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร พลางหยิบกล้องถ่ายวิดีโอที่เตรียมไว้บันทึกภาพเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้นมาถ่ายอย่างขบขัน

“เก็บไว้ให้ลูกดูตอนโต” เขาว่าอย่างนั้น ถ้าภูผาฟ้าครามเล่นเกินเหตุเดี๋ยวเขาก็ไปจับแยกเองแหละ

ฉันมองฮีโร่น้อยสองคนพยายามรังแกลูกชายตัวเองอย่างอ่อนใจ ก่อนจะชวนแอ๋มและคุณสินธุ์ขึ้นไปสวัสดีอากงอาม่าของหลานๆ ปล่อยให้สามีดูแลเด็กๆ อยู่ข้างล่าง

“เฟิร์สดูน้องด้วยนะลูก ” คุณสินธุ์สั่งลูกชายคนโตที่ยึดครองเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ปักหลักเล่นเกมบอยของรางวัลที่เพิ่งได้มาจากผลสอบคราวก่อนอย่างเมามัน บางครั้งก็เอี้ยวตัวไปมาเวลาเลี้ยวรถในเกมด้วยความอินจัด เด็กชายพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเกมต่อ

เมื่อร่างในเปลนอนหันหลังให้อย่างไม่สนใจ สองแฝดตัวแสบก็ยิ่งขัดเคือง พวกเขาเลยลุกขึ้นมาเขย่าเปลอย่างบ้าคลั่ง กะว่ายังไงก็ต้องทำให้คนในเปลตื่นขึ้นมาสนใจพวกตนให้จงได้

แต่สองแฝดไม่รู้เลยว่าทีเป็นเด็กที่ต้องไกวเปลแรงๆ ถึงจะนอนหลับ ไกวเบาๆ เคยหลับเสียที่ไหน คุณสายังเคยบ่นขำๆ ด้วยซ้ำว่ากว่าทีจะเลิกนอนเปลเธอคงไกวจนกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ ดังนั้นพอทั้งคู่เขย่าเปลแรงๆ ก็ยิ่งเข้าทาง เด็กชายทวีเดชหลับต่ออย่างสบายอารมณ์พลางส่งเสียงดังแจ๊บๆ

คมเดชกอดอกแอบถ่ายอยู่เงียบๆ เฝ้าดูว่าสองแฝดจะแกล้งอะไรลูกเขาอีก

พอเขย่าเปลและร้องเรียกเสียงดังไม่สำเร็จ ภูผากับฟ้าครามก็กระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นเก้าอี้อยู่แถวนั้นก็ช่วยกันเข็นมาตั้งข้างๆ เปล

คมเดชอึ้งไปเล็กน้อยกับความฉลาดของเด็กอายุแค่ขวบกว่าๆ อย่างภูผากับฟ้าคราม

แฝดพี่ที่วันนี้ใส่ชุดซูเปอร์แมนปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ พอขึ้นไปได้แล้วก็ชูมือขึ้นร้องเสียงดังอย่างอารมณ์ดี

“ซูเปอร์แมน! บิน บินนนนน” ร้องจบก็กระโดดลงไปในเปลดังโครมใหญ่ คมเดชอ้าปากค้างอย่างตกใจขณะรีบสาวเท้าเข้าไปแฝดน้องในชุดแบทแมนก็กระโดดตามลงไปอย่างรวดเร็วในเวลาไล่เลี่ยกัน!

......ทับลูกชายเขาเสียแบนแต๊ดแต๋

“...อึก ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง๊!!!!! ” น้องทีร้องไห้จ้าเมื่อโดนหมูตอนสองตัวกระโดดลงไปทับ ตอนแรกคมเดชคิดว่าภูผากับฟ้าครามคงแค่จะปีนลงไปเล่นกับที ไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าสองคนนี้จะกระโดดลงไปทับลูกชายเขาจนร้องไห้เสียงดังลั่นบ้านแบบนี้!

“มาเล่นกัน ^O^” พอลงไปได้ปุ๊บ ภูผากับฟ้าครามก็คว้าแขนเด็กชายทวีเดชหมับ ยิ้มกว้างจนน้ำลายหก

“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง๊!!! ม่ายยยยยเล่นนนนน!! ฮือๆ ๆ ๆ ปะป๊า ปาาาาาป๊าา แฝดแกล้งที แงงงงงงงงงงงง๊!”

ขณะที่คมเดชปรี่เข้าไปข้างเปลกำลังจะอุ้มน้องทีแยกออกมาเสียงเอะอะพร้อมกับเสียงฝีเท้าก็ดังลงมาจากข้างบน

“เกิดอารายขึ้นอาเดชชช! ทามมายอาตี๋ร้องเสียงดังแบบเน้!?” เสียงคนเป็นอาม่าดังขึ้น จนคมเดชเผลอชะงักมือ ทันใดนั้นในเปลยิ่งอลหม่าน เพราะน้องทีที่ไม่อยากเล่นพยายามวิ่งหนีสองแฝดอยู่ในเปลแคบๆ สองคนนั้นก็ดีใจคิดว่าญาติผู้พี่เล่นด้วยเลยช่วยกันจับช่วยกันต้อนพี่ชายตัวน้อยยกใหญ่ ทีหนีไปอยู่มุมเปลพลางแหกปากร้องไห้ไปด้วยไม่หยุด พอเห็นเป้าหมายกลายเป็นเป้านิ่งเด็กอ้วนทั้งสองคนก็กระโจนเข้าใส่หวังจะชนะการเล่นไล่จับในเปลแบบ2รุม1!





โครมมมมมมมมมม!!!!









(หลังจากนั้นเป็นต้นมา เด็กชายทวีเดชไม่ยอมนอนบนเปลอีกเลย....เพราะฝังใจกับเหตุการณ์เปลล้มในวันนั้น คุณสาเลยไม่ต้องไกวเปลจนกล้ามขึ้นอย่างที่เคยพูดเล่นขำๆ อีกต่อไป )

ฉันรีบปราดเข้าไปอุ้มน้องทีแยกออกมาพลางมองค้อนสามีอย่างเคืองๆ ดูแลประสาอะไรเนี่ยถึงปล่อยให้ลูกเปลล้มร้องไห้จ้าแบบนี้ คุณแม่บอกให้ฉันพาน้องทีไปล้างหน้าล้างตา ฉันจึงอุ้มน้องทีขึ้นไปบนบ้านพลางตบหลังโอ๋ให้ลูกหยุดร้องอย่างยากลำบาก ได้ยินเสียงคุณสินธุ์กับน้องแอ๋มเอ็ดลูกซะยกใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงคุณแม่ห้ามแล้วบอกให้พอแค่นี้ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันดีไม่ควรมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกัน

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันเลยจับลูกอาบน้ำซะเลย จะได้สดชื่นขึ้น ขณะถูฟองน้ำไปตามตัวก็สังเกตไปด้วยว่าลูกได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะถอนหายใจเมื่อไม่เห็นรอยฟกชั้นดำเขียวเลือดตกยางออกบนตัวน้องที

น้องทีเป็นเด็กแปลก ไม่ว่าจะร้องไห้หนักแค่ไหน พอจับอาบน้ำก็จะหยุดร้องทันที

หลังจากประแป้งจนหอมฟุ้งแล้ว ฉันก็จับน้องทีใส่เสื้อยืดสีขาวลายก้อนเมฆสีฟ้า กับกางเกงขาสั้นสีดำขอบกางเกงสีเขียวมีรูปเบ็นเท็นสกรีนอยู่ ฉันยิ้มบางๆ อย่างถูกใจความคิดตัวเอง...จะได้เข้าธีมซูเปอร์ฮีโร่

แต่งตัวเสร็จฉันก็จูงลูกลงมาข้างล่าง ทุกคนกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ พอเราสองแม่ลูกปรากฏตัว น้องแอ๋มก็รีบยกเค้กที่ปักเทียนสว่างไสวเข้ามา เหมือนเค้กจะทำให้น้องทีลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้เพิ่งจะโดนญาติผู้น้องแกล้งจนร้องไห้ไปหยกๆ เจ้าตัวร้องเพลงวันเกิดเสียงดังอย่างตื่นเต้นที่จะได้กินเค้ก ส่วนสองแฝดยังพูดหรือร้องเพลงยาวๆ ได้ไม่ชัดเจนจึงได้แต่ดำน้ำร้องมั่วๆ ซั่วๆ แต่เสียงดังไม่แพ้น้องทีประหนึ่งจะประชันความดังก็ไม่ปาน อากงอาม่าหัวเราะเบาๆ ยกมือลูบหัวหลานๆ อย่างเอ็นดู

ทันทีที่เพลงจบ ลูกหลานรบเร้าให้ผู้อาวุโสอธิษฐาน ท่านก็ไม่ขัดศรัทธาพึมพำขอให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขก่อนจะลืมตาขึ้น

“อากงต้องเป่าทีเดียวให้ดับหมดเลยนะคับ คุณครูบอกว่าถ้าเป่าดับหมดทีเดียว คำขอจะเป็นจริงแหละ” น้องเฟิร์สเล่าอย่างกะตือรือล้น

“โอ๊ย! กงแก่แล้ว เป่าคนเดียวไม่ไหวหรอก มา อาที อาเฟิร์ส อาแฝด มาช่วยอากงเป่าดีกว่า”

“ไม่ได้นะอากง คุณครูบอกต้องเป่าคน...”

ปู๊ดดดดดดด ๆ ๆ ๆ

เฟิร์สพูดยังไม่ทันจบภูผากับฟ้าครามก็อ้าปากกว้างสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วช่วยกันเป่าเทียนบนเค้กอย่างเอาเป็นเอาตายจนน้ำลายกระเด็นออกมาเป็นฝอยๆ อาบหน้าเค้กจนชุ่ม

รอบด้านเงียบกริบไปในบัดดล

“ภูผา! ฟ้าคราม! ... ” คุณสินธุ์เตรียมเอ็ดลูกชายฝาแฝดที่ทำตัวไม่รู้กาลเทศะอย่างยิ่ง

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” อากงหัวเราะเสียงดังอย่างตลกขบขัน จากที่สินธุ์จะดุลูกชายต่อเลยต้องพับเก็บไปดุต่อที่บ้านแทน ทุกคนหัวเราะตาม ก่อนจะมีการตัดเค้กแจกจ่าย

เมื่อได้รับจานเค้กมาแล้ว ทีก็เดินไปนั่งกินอย่างเรียบร้อยข้างๆ เฟิร์สที่กินไปนั่งเล่นเกมมือเดียวไปอย่างเทพ

ภูผากับฟ้าครามยิ้มแต้ถือจานเดินเตาะแตะจะเข้ามานั่งใกล้ๆ แต่ก็ถูกคนเป็นแม่ลากกลับมานั่งข้างๆ ตัว ไม่ยอมให้ไปกวนพวกพี่ชายอีกเป็นครั้งที่สอง

พอทีกินเสร็จก็ลุกเดินไปเดินมาในบ้าน ส่วนภูผากับฟ้าคราม หลังจากจัดการเค้กชิ้นใหญ่ไปคนละสองชิ้นจนพุงกางแล้วก็อาศัยจังหวะที่พวกผู้ใหญ่เผลอแอบคลานออกมาจากวงเงียบๆ

เด็กชายเฟิร์สเหลือบมองน้องชายแวบหนึ่งก็รู้ทันทีว่าน้องคิดอะไรอยู่

“ไอ้อ้วน! มานี่มา จะให้ยืมเกม อยากเล่นไม่ใช่หรอ” เฟิร์สกำลังเซ็งที่แพ้หลายๆ ตาติดกันรวดเลยคิดจะวางมือสักพัก พอเห็นน้องชายจะไปแกล้งญาติผู้น้องอีกก็นึกสงสารเลยรั้งสองแฝดเอาไว้กับตัว

เฟิร์สแปลกใจเล็กน้อยที่น้องชายสองคนไม่สนใจเกมที่ตนหยิบยื่นให้ ทั้งที่ตอนอยู่บ้านแย่งกันแทบตาย เด็กชายชายยักไหล่ก่อนจะก้มหน้ากดเกมอีกครั้ง

ภูผากับฟ้าครามเดินตามทีขึ้นไปข้างบน

“ตามมาไม?” เด็กชายทวีเดชขมวดคิ้วเมื่อหันมาเจอเด็กแฝดคู่กรณีเดินตามมาต้อยๆ

“ที เล่นกันๆ! ^O^ ” ไม่ว่าเปล่า ฉุดมือเขาอีกต่างหาก

“ไม่ ไม่เล่น” ทีดึงมือออก เดินไปยังห้องของพ่อกับแม่ที่ตนนอนทุกวัน

“เล่นกันน้าาาา ๆ ” สองแฝดยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ถึงทีจะตัวสูงกว่าแต่ทั้งคู่อ้วนกว่ามากและมีพละกำลังเหลือเฟือ ไม่มีทางที่เด็กชายทวีเดชจะเอาชนะได้แน่ๆ

“อย่ามายุ่งกะพี่นะ ไม่งั้นจะฟ้องอาแอ๋มจิงๆ ด้วย” ทีขู่ เด็กชายไม่รู้สึกอยากเล่นกับน้องชายฝาแฝดเลยสักนิด สองคนนี้ชอบเล่นแรงๆ ชอบแกล้งปิดไฟเวลาเขาเข้าห้องน้ำแล้วดันประตูไว้ไม่ให้เขาออก ชอบเอาหมอนข้างไล่ตีเขา ชอบโกงเวลาเล่นเกมด้วยกัน ชอบทำของเล่นของเขาพัง คราวที่แล้วทียังจำได้ว่าหนึ่งในสองคนนี้นั่งทับรถบังคับคันโปรดของเขาจนพังคาตูด วิ่งไล่จับกันจนไปชนกระจกแต่งตัวในห้องอากงอาม่าแตกไปครึ่งบาน เขาไม่ทันระวังเผลอไปเหยียบเข้าเลยโดนบาดเท้าเลือดไหลซิบๆ เอาโยโย่ที่เวลาเล่นแล้วจะมีไฟขึ้นของเขาไปจุ่มบ่อปลา แล้วอะไรอีกนะ โอ๊ย เยอะมากจนสมองเล็กๆ ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ของทีจำได้ไม่หมด

เมื่อก่อนทีเห่อน้องที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบสองคนนี้มากเพราะเห็นว่าเป็นของแปลก แต่เมื่อทั้งคู่โตจนเดินวิ่งได้ ทีก็พบว่าน้องสองคนไม่น่ารักอีกต่อไป เมื่อรู้ว่าสองคนนี้จะมาที่บ้านเมื่อไหร่ เด็กชายทวีเดชมักจะวิ่งไปแอบทุกครั้ง โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพฤติกรรมชอบแอบของเจ้าตัวมันยิ่งไปกระตุ้นให้เด็กแฝดรู้สึกสนุกและอยากจะมาบ่อยๆ เพื่อจะได้เล่น ‘ซ่อนหา’ กับญาติผู้พี่

“ไม่เล่น!” เด็กชายทวีเดชผลักน้องชายฝาแฝด ภูผากับฟ้าครามไม่ทันตั้งตัวเลยเซแท่ดๆ ทีอาศัยจังหวะนั้นวิ่งเข้าห้องพ่อแม่แล้วปิดประตู เด็กแฝดพยายามดันประตูเข้ามา โชคร้ายที่เด็กชายทวีเดชในตอนนั้นไม่รู้วิธีล็อกลูกบิดจึงได้แต่ใช้ตัวดันประตูไว้ไม่ให้แฝดนรกดันเข้ามา

…แต่ในที่สุด ทีก็ต้านแรงหมูตอนสองตัวไม่ไหว ประตูเปิดผางออกในที่สุด











“มาเล่นซูโม่กัน!” เตียงนอนถูกเปลี่ยนเป็นสนามซูโม่ ทีไม่เอาด้วยจะก้าวลงจากเตียง แต่ก็โดนลากขึ้นไปใหม่ แล้วหมูแฝดสองตัวนั่นก็ผลักเขาล้มลงกับเตียงหลายรอบจนเด็กชายทวีเดชชักจะทนไม่ไหว เริ่มมีน้ำโหขึ้นมา จึงรวบรวมแรงผลักคืน สองคนนั้นก็ทำตัวอ่อนยอมล้มลงไปนอนบนฟูกนุ่มๆ แต่โดยดีแล้วหัวเราะชอบใจที่พี่ยอมเล่นด้วย ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมาเล่นผลักกับทีใหม่ เด็กชายทวีเดชรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยที่ตัวเองโดนรุมแบบนี้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ทีรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากเล่นแล้ว เล่นไปก็แพ้ โดนผลักล้มผลักล้มอยู่นั่นแหละ ใครมันจะไปสนุกด้วย เลยจะเดินหนีออกจากห้องลงไปหาพ่อแม่ แต่เด็กแฝดก็ไม่ยอมเลยกลายเป็นวิ่งไล่จับกันอยู่ในห้อง ทีกระโดดหนีขึ้นไปบนเตียง หยิบหมอนใบใหญ่ปาใส่ภูผากับฟ้าคราม เด็กแฝด หยิบหมอนที่พี่ปาลงมา ปากลับขึ้นไป สุดท้ายก็กลายเป็นการเล่นจระเข้ไปซะงั้น ทีตั้งกฎว่าภูผากับฟ้าครามต้องอยู่ข้างล่าง ห้ามขึ้นมาบนเตียง เพราะเป็นจระเข้ เด็กแฝดก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย เขาสองคนต้องทำยังไงก็ได้ให้ทีตกลงมาในน้ำหรือก็คือที่พื้นถึงจะชนะนั่นเอง

ทีวิ่งหนีวนไปวนมาอยู่บนเตียงในขณะที่เด็กแฝดเอาหมอนบ้าง หมอนข้างบ้างปาใส่เพื่อให้ทีล้มลงใกล้ๆ ขอบเตียง พวกเขาจะได้ฉุดอีกฝ่ายลงมาข้างล่าง

ทีเองก็ไม่ยอมแพ้ หยิบหมอนข้างใบโตไล่ตีหัวเด็กแฝดอยู่บนเตียงเหมือนเล่นเกมตีหัวตัวตุ่น รู้สึกสะใจที่ในที่สุดก็มีโอกาสเอาคืน แต่เด็กแฝดมีหรือจะยอมโดนอยู่ฝ่ายเดียว สองคนนั้นรวมพลังกันยื้อหมอนข้างเอาไว้แล้วกระชากแรงๆ จนทีที่จับหมอนข้างอีกด้านอยู่ตกลงมาบนกองหมอนที่หล่นอยู่รอบๆ เตียง

“แฮ่!! จะกินล่ะนะ !” จระเข้สองตัวหัวเราะชอบใจที่ในที่สุดก็ฉุดเหยื่อลงมาในอาณาเขตของตนได้ ฟ้าครามกระโจนเข้าไปจักจี้อีกฝ่ายส่วนภูผาก็เอาฟันงับๆ แขนของทีจนชุ่มน้ำลายไปหมด ทีได้แต่หัวเราะดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนกองหมอน พยายามกระเสือกกระสนจะปีนหนีกลับขึ้นบกซึ่งเป็นอาณาเขตของตนให้ได้ รอจนสองแฝดเล่นกับเหยื่อจนพอใจแล้วถึงได้ถูกปล่อยตัวขึ้นมาบนบกแล้วเล่นกันใหม่อีกรอบ อีกรอบ และอีกรอบ

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของคุณสาที่แอบย่องขึ้นมาดูเพราะเป็นห่วงว่าทีจะโดนแกล้งอะไรแรงๆ หรือเปล่า แต่เมื่อเห็นว่าสุดท้ายเด็กทั้งสามเข้ากันได้ดีจึงวางใจ เดินกลับลงไปเม้ามอยต่อด้านล่าง













แอ๊ดดดด





“ภูผา ฟ้าคราม กลับบ้านได้แล้วลูก ” คุณแอ๋มเดินขึ้นมาตามลูกชายฝาแฝดกลับบ้านเมื่อเห็นว่าได้เวลากลับเสียที

แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้เธออดที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้

เด็กสามคนนอนรวมกันอยู่บนเตียงที่หมอนผ้าห่มกระจัดกระจายเต็มไปหมด ทีนอนอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยร่างอ้วนกลมปุ๊กของภูผาและฟ้าครามที่เอาแขนเอาขากอดก่ายคนตรงกลางเอาไว้อย่างแน่นหนาจนเธอรู้สึกอึดอัดแทน พอทีขยับพลิกตัวสองคนนั้นก็จะขยับตามแล้วเอาหน้าไปถูๆ แก้มคนตรงกลาง เป็นภาพที่ดูน่ารักมากจนเธอต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายไว้















“งื้อ! ม่ายอาววว ม่ายกลับบบ ” สองแฝดงอแงเมื่อคุณสินธุ์พยายามจะอุ้มเจ้าตัวขึ้นจากเตียง

“ไม่เอาไม่งอแงนะครับ กลับบ้านเร็วลูก ฮึบ ” คุณสินธุ์พยายามอุ้มหนึ่งในหมูตอนขึ้น แต่ภูผาก็อิดออดพยายามทิ้งตัวลงบนเตียง กอดคนตรงกลางไว้แน่น ไม่ยอมโดนแยกออกมาท่าเดียว คุณสินธุ์จึงหันไปงัดตัวฟ้าครามแทน แต่ผลก็ออกมาเป็นเหมือนเดิม สุดท้ายต้องขอแรงคุณเดชมาช่วยแยก สองแฝดงอแงดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในอ้อมแขนเมื่อจะอุ้มพาลงไปข้างล่าง

“สงสัยจะง่วงเลยงอแง” คุณเดชว่าก่อนอุ้มภูผาเดินตามคุณสินธุ์ลงมาข้างล่าง

“ไม่อาววว ไม่กลับบ้านน จะเล่นกับพี่ที แงๆ ๆ ๆ ๆ ” ภูผากับฟ้าครามร้องไห้จ้าตลอดทางกลับบ้าน มองดูแล้วน่าสงสารจนคุณแอ๋มต้องปลอบใจลูก

“ไม่ร้องนะครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็มาอีกเนอะ ”

ได้ผล สองแฝดหยุดร้องไห้ นั่งจ้องผู้ใหญ่ตาแป๋ว

“จริงนะ?”

“…ถ้าทำตัวดี อาทิตย์หน้าจะพามาลอยกระทงกับพี่ที เอาไหม?” คุณสินธุ์ถามยิ้มๆ

สองแฝดมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มจนแก้มแทบแตก

“เย้!!”









เด็กแฝดหันไปมองบ้านที่เพิ่งจากมาจนลับสายตา







สักวัน…ถ้าได้อยู่ด้วยกันทุกวันไม่ต้องแยกจากกันอีก..ก็คงจะดี







---------------------------------------------------------------------

ติดเเท็ก #เกียร์คู่ (@candleguard) มาหวีดกันเถอะค่า!!><


ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                         ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน


(บทภูผา)



“มึงจำเกียร์ที่กูเก็บมาได้ปะ?” ไอ้ครามเสนอความคิด


"ไอ่เกียร์ที่ได้มาตอนปีนน้ำตกครั้งนั้นอ่ะนะ” ผมนึกย้อนไปถึงเกียร์ใครก็ไม่รู้ที่ไปเจอตอนปีนน้ำตกเมื่อตอนออกค่าย

“เออ เอาอันนั้นไปให้พี่ทีเหอะ”

“แต่มันมีอะไรเขียนไว้ข้างในด้วยนะ แถมยังเลขอะไรนั่นอีก น่าจะเป็นเลขรุ่น กูว่าอย่าเลยว่ะ เดี๋ยวโดนจับได้”

“ก็แค่ยื่นให้ดูว่าเอามาได้แล้วนะ อย่าให้พี่ทีเห็นข้างในดิ รีบโชว์รีบเก็บก็จบ”

“…….”

“มึงเห็นด้วยป่ะวะไอ้ภู กูรู้นะว่ามึงก็ขี้เกียจไปง้อปีโป้แล้ว”

ผมนิ่งคิด

“…ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ” ผมตอบรับเนือยๆ

“เนอะ..” ไอ้ครามเงียบไป ทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่

“…” ผมกดไอโฟนเล่นอย่างใจลอย

“…” ไอ้ครามนั่งควงปากกาในมือ

ผมรู้ว่าไอ้ครามคิดอะไรอยู่ อันที่จริงแล้วเราไม่ได้อยากทำแบบที่คิดสักเท่าไหร่ แต่มันนานแล้วนะ มันเหนื่อยแล้ว มันมองไม่เห็นเลยว่าปลายทางอยู่ตรงไหนและเมื่อไหร่ บางทีเราอาจจะไม่มีวันได้เกียร์ไปตลอดกาลเลยก็ได้ถ้าพี่ทีจงใจไม่ให้เราได้

ผมหลับตาลงอย่างเหน็ดเหนื่อย มันอธิบายความเหนื่อยนี้ไม่ถูก มันไม่ได้เหนื่อยแบบหอบแฮ่กๆ แต่เหนื่อยแบบเหนื่อยสะสม เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ เหมือนกับผมไล่ตามพี่ทีมานานมากๆ เหมือนผมไม่ได้เพิ่งมาไล่ตามเขาเอาตอนนี้ แต่ไล่ตามมานานมากแล้ว นานจนไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน มันเหมือนเหนื่อยล้าไปถึงวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น...

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องมาวิ่งไล่ตามคนคนนี้ หน้าตาก็ธรรมดา ฐานะก็ธรรมดา ก็แค่เด็กเนิร์ดธรรมดา ไม่รู้ทำไมต้องเป็นคนคนนี้ มันฝังจิตฝังใจจริงๆ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายเพอร์เฟ็คขนาดไหนจะผ่านเข้ามา ผมไม่เคยสนใจ ไม่ว่าพวกเค้าจะพยายามเรียกร้องความสนใจจากผมหรือไอ้ครามด้วยวิธีไหน แต่กลับเป็นพี่ทีที่ได้รับความสนใจจากพวกผมอย่างเต็มเปี่ยมจนล้นเสมอโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย…มาตั้งแต่เด็ก...แต่พี่ทีคงไม่รู้เลย

ตุบ ... เสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้นผิวเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“งั้นเหรอ…เอ้า คนน้อง…แสบพอกับพี่ชายนะ เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็อย่าเอาอย่าง ให้รู้จักห้ามปรามไม่ใช่ร่วมด้วยช่วยส่งเสริมเข้าใจไหม”

ผมลืมตาแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง

“เฮ้ย! คราม กูว่าอย่าเลยว่ะ” ไอ้ครามหันมามองผมพลางขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่าทำไม

“มึงจำตอนที่พี่ทีใช้ไอ้ขวดมาเฝ้าเราได้ป่าววะ มึงจำได้ใช่มั้ยความรู้สึกตอนที่รู้ความจริงอ่ะ ที่พวกเราโกรธพี่ทีสุดๆ ไปเลยน่ะ”

ไอ้ครามพยักหน้า

“มึงลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูดิ…ขนาดพวกเรายังไม่ชอบเลย แล้วถ้าเราไปสับขาหลอกพี่ทีแบบนั้นแล้วถ้าโดนจับได้พี่ทีจะรู้สึกยังไง” ผมพยายามหว่านล้อมฟ้าคราม

“แล้วถ้าพี่ทีจับไม่ได้ล่ะ” ไอ้ครามเอาเท้าเขี่ยถังขยะเล่น ผมกลอกตามองบน นี่ที่กูพูดมันไม่เข้าหูมึงเลยสินะไอ้กร๊วกนี่

ผมถอนหายใจแล้วจ้องหน้ามันอย่างจริงจัง

“กูพูดขนาดนี้มึงยังคิดไม่ได้อีกหรอวะ! เอาเหอะ..ถ้ามึงจะทำก็ทำไปคนเดียว ครั้งนี้กูไม่เอาด้วย กูจะไม่หักหลังพี่ที คนนี้กูจริงจัง! จริงจังมากๆ!”

ในขณะที่ผมกำลังเริ่มออกอาการหัวเสีย ไอ้ครามกลับหัวเราะแล้วเอาตีนดันถังขยะมาทางผม

“กูคิดได้ก่อนมึงอีกไอ้กร๊วกเอ๊ย!!” มันพยักพเยิดให้ผมมองไปยังถังขยะโล่งๆ ที่เมื่อวานจำได้ว่าเพิ่งเอาขยะไปเททิ้ง ที่ก้นถังมีวัตถุสีเงินส่องล้อแสงแวบๆ อยู่ พอเงยหน้าไอ้ครามก็ยิ้มกวนตีนส่งมาให้ อ้อ แสดงว่าเสียงตุบเหมือนคนทิ้งของอะไรสักอย่างตอนผมพักสายตาเมื่อกี้เป็นเสียงทิ้งเจ้านี่สินะ

ไอ้ครามลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่ประตู มันชะงักไปนิดที่เห็นประตูปิดไม่สนิท แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนออกไปมันหันกลับมาแลบลิ้นใส่ผม

“กูไม่ยอมให้มึงทำตัวเป็นพระเอกคนเดียวหรอก แบร่! :p”





(กลับสู่ปัจจุบัน)



“กูบอกให้เอามาไง!!!” ภูผากับฟ้าครามส่งเกียร์มาให้ผมคนละอัน

ผมหยิบเกียร์สองอันนั้นขึ้นมาส่องดูด้านในทันที แล้วก็ต้องชะงัก



ME 47 Fahkram

ME 47 Poopaa



ME ... Mechanical Engineering ... วิศวกรรมเครื่องกล



รุ่นที่ 47 ... รุ่นปัจจุบัน



สลักชื่อด้วยฟอนต์ที่คณะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์…





= [] =!!!



#หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ คือแคปชั่นของผมในตอนนี้

.

.

.

โอยยยยย ตายๆ ๆ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงจริงๆ นี่ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรอ? นี่กูคิดไปเองอีกแล้วหรอ!? โอ๊ยยยยย!! อับอายเป็นที่สุดTT////////TT

มือไม้สั่นไปหมด มันไม่รู้จะทำตัวยังไงดี บังคับตัวเองไม่ได้เลย เหมือนสติมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่มีหน้าจะมองภูผากับฟ้าครามเลย มันทั้งตกใจ ทั้งดีใจ แล้วก็...













ปลื้มมมมมมมมมมมมม ^ (++++++++++++++++) ^





โอ๊ย อยากยิ้มให้แก้มแตก ปลื้มใจสุดๆ ไปเลยว่ะครับ ไม่ใช่ปลื้มที่ได้เกียร์นะ แต่ปลื้มที่ภูผากับฟ้าครามจริงใจกับผมต่างหาก

ผมห้ามตัวเองไม่ได้แล้วมันยากเหลือเกินในเวลานี้ที่จะสั่งให้ตัวเองหยุดยิ้ม ยิ้มแบบที่กว้างที่สุดในชีวิต ไม่อยากให้สองคนนั้นเห็นหน้าตัวเองในตอนนี้เลย ไม่อยากเลยอ่ะ รู้สึกเสียเซลฟ์ยังไงชอบกล มันจะว่าผมเพี๊ยนไหมที่เมื่อกี้ทำหน้าโหดอย่างกับยักษ์ แล้วปุบปับก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเท่าจานดาวเทียม

ผมก้มหน้าแล้วเอามือข้างที่ว่างปิดหน้าไว้ ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมยิ้มจนแก้มจะแตกแล้ว บวกกับอายตัวเองด้วยที่คิดเป็นตุเป็นตะเป็นช่องเป็นฉากไปคนเดียวตั้งหลายวัน ทุเรศชิบหาย ผมจะจำใส่ใจไปจนตายเลยว่าอย่ามโนไปเอง! T///T;;;;

“พี่ที ... ยังโอเคอยู่นะ?”

“ไม่ต้องดีใจจนร้องไห้ก็ได้ โอ๋ๆ ”

ไอ้บ้านี่! กูไม่ได้เอามือปิดหน้าร้องไห้โฟร้ยยยยย

ผมยืนปิดหน้าอยู่กับที่ ไอ้สองคนนั้นก็พยายามจะมาแงะมือผมออกอยู่นั่นแหละ โอ๊ย! อย่าแงะได้ไหม ยิ้มอยู่!

“พี่ทีทำไมต้องเอามือปิดหน้าด้วยอ่ะ”

“…..”

“ไม่พูดแบบนี้สงสัยเขินอยู่ล่ะมั้ง กิ๊วๆ ”

โว๊ยยยยยยย เลิกล้อเลียนกูซักที!

“ไม่ได้เขิน! ^O^**” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบทันควัน พยายามทำน้ำเสียงให้เข้มที่สุด แต่มันคงไม่มีอานุภาพเท่าเมื่อก่อนเพราะมันดันกลั้วหัวเราะพร้อมรอยยิ้มประดับมุมปาก จะหาว่าผมอ่อนก็ได้ แต่เชื่อเหอะว่าใครอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องเป็นแบบผมกันทั้งนั้น!

ไม่ไหวแล้ว ผมต้องหนีไปตั้งหลักในห้องตัวเองก่อน

คิดได้ดังนั้นผมจึงเดินก้มหน้างุดๆ ผ่านภูผากับฟ้าครามไปทางห้องตัวเอง ไม่อยากยิ้มแล้วโว๊ย หยุดยิ้มสักทีดิวะไอ้บ้า^O^!! เดี๋ยวปั๊ดต่อยปากแตกเลย ^O^!

“อ๊ะๆ! จะไปไหนคร้าบ” ฟ้าครามกอดผมจากทางด้านหลัง

“ปล่อยก่อนฟ้าคราม เดี๋ยวพี่มา^O^” ทำไมต้องพูดไปยิ้มไปด้วยวะกรู โอ๊ยยยยย บ้าจริงๆ เก๊กหน้าไม่อยู่ ต้องหนีไปสงบสติด่วนๆ T////T

“คราวนี้ไม่ให้หนีไปไหนแล้วนะ มาคุยเรื่องที่ติดกันไว้ได้แล้วพี่ที” ภูผาเดินมาดักหน้าผม แล้วแกะมือที่ปิดหน้าอยู่ของผมออก ฟ้าครามก็ทำงานเข้าขากับภูผาเหลือเกิน พอภูผาแงะมือผมออกจากหน้าได้ปุ๊บฟ้าครามก็รีบกอดรวบมือผมให้ชิดไปกับลำตัวปั๊ป จะหนีจะผลักก็ทำไม่ได้ ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกอยากหายตัวได้มากเท่านี้เลย

“พี่ที ฟังที่ภูจะพูดให้ดีๆ นะ” ภูผาจับไหล่ผม จนผมต้องเม้มปาก เงยหน้าขึ้นมอง ตอนแรกผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าผมจะอาละวาดใส่สองคนนี้ จากนั้นเราก็จะขาดกันชนิดที่ว่ามองหน้าไม่ติดอีกต่อไป เป็นอันยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด แต่เรื่องมันดันพลิกล็อก แล้วผมก็ไม่ได้เตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์แบบนี้เอาไว้ด้วย จะดิ้นหนีไม่ยอมฟังก็ไม่ได้เพราะภูผากับฟ้าครามทำตามเงื่อนไขทุกอย่างครบถ้วนแล้ว ผมก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

“ภูรักพี่ที / ครามรักพี่ที” ภูผากับฟ้าครามพูดพร้อมกันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“…..”

“ไม่ใช่รักแบบปลื้มไอดอล ไม่ใช่รักแบบญาติด้วย ครามรักพี่ทีนะ…รัก…แบบที่อยากอยู่ด้วยตลอดไปเลย”

“อย่ามองว่าพวกเราเป็นเด็กอีกเลยนะพี่ที วันนี้ภูกับครามอายุ 19 แล้วนะ”

ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดเจ้าแฝด…ก็แน่ล่ะสิผมเคยถามหรือเข้าเฟซไปส่องหาหรือก็เปล่า ให้ตายเถอะ รู้สึกผิดอีกแล้วนะเนี่ย ทั้งๆ ที่ผมอยู่กับสองคนนี้มาก็นานพอสมควร แต่กลับไม่เคยถามวันเกิดเอาไว้เลย บ่งบอกความใส่ใจที่ผมมีต่อสองคนนั้นสุดๆ ฮ่ะๆ -_-;;

โอ๊ย! ทำไมผมมันเลวแบบนี้วะ ทั้งแอบฟังน้องมันพูดกันแบบฟังไม่ได้ศัพท์รีบจับมากระเดียด ก่อนกลับมาก็เอาแต่คิดหาคำด่าแสบๆ กะจะมาทำร้ายจิตใจกันโดยไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของสองคนนั้น ไม่พอ! กลับมาแล้วยังขู่กรรโชกน้องมันอีก วันเกิดน้องก็ไม่เคยใส่ใจ ของขวัญก็ไม่มีให้ ไม่อวยพรแล้วยังไปตะคอกใส่ ทำไมผมถึงชั่วช้าสามานย์ขนาดนี้!!

“…อ่า เอ่อ สุขสันต์วันเกิดนะภูผา ฟ้าคราม” ผมพูดเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิด ผิดแบบศาลไม่รับอุทธรณ์เลยล่ะ

“แล้วของขวัญล่ะ ครามให้ของขวัญพี่ทีเป็นเกียร์ไปแล้วนะ พี่ทีคงไม่ลืมวันเกิดพวกเราหรอกใช่มั้ย?”

ขอโทษนะ ไม่ลืมหรอก…แต่ไม่เคยจำเลยต่างหาก-v-;;

ผมถอนหายใจ แก้ตัวไปก็คงฟังไม่ขึ้น ยอมรับไปตรงๆ เลยดีกว่า

“ขอโทษจริงๆ พี่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดภูกับคราม เอาเป็นว่าพี่จะให้ของขวัญย้อนหลังพรุ่งนี้แล้วกัน บอกมาสิว่าอยากได้อะไร แต่อย่าแพงมากนะทรัพย์จางอยู่” อย่างน้อยก็ยังดีที่ใช้เรื่องของขวัญมาเบี่ยงประเด็นที่คุยกันอยู่เมื่อกี้ไปได้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธคำสารภาพรักของสองคนนั้นยังไงดี

“ได้เหรอ? ขออะไรก็ได้เหรอ” ภูผาถามย้ำ

“…ถ้าไม่แพงมากอ่ะนะ”

“ไม่แพงหรอก พี่ทีไม่ต้องจ่ายเงินสักบาทเลยด้วยซ้ำ” ฟ้าครามพูดด้วยน้ำเสียงดูมีความสุข

“อะไร? จะเอาอะไรฮึ?” ผมถามอย่างสงสัย ชักสังหรณ์ใจแปลกๆ

ฟ้าครามย้ายมายืนข้างหน้าผม กลายเป็นว่าตอนนี้ผมยืนประจันหน้าเข้ากับสองฝาแฝด ภูผากับฟ้าครามคว้ามือผมไปจับกันคนละข้าง เล่นเอาความอายที่เพิ่งจางหายไปของผมแล่นกลับขึ้นมาใหม่ จะดึงมือหนีก็กลัวน้องมันเสียใจ แถมอีกใจมันก็ไม่อยากจะดึงออกซะด้วยสิ เย้ย! นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย!



“พี่ที...//พี่ที...”











“เป็นแฟนกันนะ // เป็นแฟนกันนะ”









อธิบายเพิ่มเติมค่ะ555

- พอภูกับครามคิดได้แล้ว วันจันทร์ก็ไปตามตื๊อขอลายเซ็นจากปีใหม่ต่อโดยอ้างว่าขอเป็นของขวัญวันเกิด ประจวบกับพี่ปีใหม่แกจะให้ในอาทิตย์นี้อยู่แล้ว แกเห็นความพยายามบวกกับเห็นเป็นวันเกิดก็เลยยอมให้ค่ะ

- เกียร์ในถังขยะน่ะมีเจ้าของนะคะ



ติดเเท็ก #เกียร์คู่ (@candleguard) มาหวีดร้องกันเถิดสาวกเอยยยย






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปมเกียร์เยอะจัง ที่น้ำตก ในถังขยะ  :hao4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อันที่เก็บได้เป็นของแฟนอาจารย์คนนั้นหรือเปล่า

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เห้ยๆ ไอ้แฝดไม่ควรทิ้งเกียร์เขานะ ยิ่งตัวเองก็อยู่วิศวะ รู้ความหมาย รู้ว่ากว่าจะได้มามันเป็นยังไง ยิ่งไปเก็บมาจากน้ำตกอีก โอ้โห ไหนจะมีเรื่องไสยๆ เข้ามาอีก ทิ้งถังขยะแบบนั้น เหมือนหยามกันเลย ถึงนิสัยไอ้แฝดไม่ดีเท่าไหร่ก็อย่าให้มากนักเลย มันเกินไป

ปล. เราเด็กศิลปกรรมไม่อินเรื่องเกียร์ แต่รู้สึกถึงเรื่องของธรรมดาสังคม

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่ทีก็หน้าแตกไปสิงานนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านตอนแรกๆไม่ชอบทีเลยจริงๆ บุคลิกนิสัย อ่านแล้วแบบคนอย่างนี้น่ารำคาญ
แต่พอมีแฝดมาวนเวียนใกล้ๆนี่ก็เจอความป่วงของแฝดเข้าไปไม่รุ้จะกรอกตาใส่ใครดี
แต่หลังๆมานี่ความน่ารักมันมาตอนไหน เอาใจช่วยแฝดมากๆ แต่ก็เข้าใจที่พี่ทีเล่นตัว ติดมากละนะ
แต่ระดับแฝดแล้ว ยังไงทีคงสุ้ไม่ไหวหรอก ขอเป็นแฟนแล้ว ทีต้องไม่ตกลงแน่ๆ เดาว่า

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                                   ตอนที่ 31 ก็เอาสิ


“เป็นแฟนกันนะ // เป็นแฟนกันนะ”

“…………”

“……”

“…….”

“พี่ที…ชอบครามบ้างไหม?

ชอบ…ชอบสิ ชอบมาก

“พี่ที คบกับภูนะ เป็นแฟนกันนะ อย่าเงียบดิพี่ที”

…แต่ว่า…มันไม่สมควร



เราสามคนกำลังพากันถลำลึกลงไปสู่เส้นทางที่ผิดพลาด



ผมเม้มปากแน่น ความสุขสมหวังที่เอ่อล้นในใจเมื่อสักครู่พลันหดหายเมื่อคิดถึงสัจธรรมความเป็นจริง ในสังคมปัจจุบัน แม้คู่รักชาวเกย์จะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่คนอีกเป็นจำนวนมากก็ไม่ได้ยอมรับกันสักเท่าไหร่โดยเฉพาะในแถบเอเชียชาวไทยอย่างเราด้วยแล้ว การคบหารักกับผู้ชายถือเป็นเรื่องแปลก น่าอับอาย เป็นที่ตลกขบขันของคนอื่นๆ ไม่มากก็น้อย

พ่อแม่จะรู้สึกยังไงที่มีลูกชายคนเดียว แต่กลับมาเป็นแบบนี้ ไหนจะบ้านอาแอ๋มอีกล่ะ

ผมจะทนรับสายตาที่คนรอบข้างมองมาได้ไหม

ตอนนี้เราอาจจะรักกัน แต่ถ้าในวันข้างหน้าหมดรักกันแล้วล่ะ เราทั้งสามจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติโดยไม่ถูกสายตาของคนรอบข้างมองว่ายังเป็นพวกรักร่วมเพศได้หรือเปล่า

ผมเป็นลูกชายคนเดียว ผมมีหน้าที่ต้องสืบสกุล

ผมยังมีพ่อแม่ให้ต้องดูแล มีน้องสาวให้ต้องเป็นห่วง

แล้วถ้าผมแก่ตัวไป ภูผากับฟ้าครามตายก่อน ผมไม่สู้ต้องอยู่โดยไม่มีลูกหลานมาดูแล ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในบั้นปลายชีวิตหรอกหรือ

ผมมองไม่เห็นเส้นทางที่เราทั้งสามจะเดินไปด้วยกันได้เลย

.

.





.

“…ไม่ได้หรอก เพราะพี่…ไม่เคยคิดกับเรา…ในแง่นั้นเลย”

“…………” ภูผากับฟ้าครามมองผมด้วยแววตาชะงักงัน

“ไปรักคนที่ดีกว่านี้ คู่ควรกว่านี้เถอะนะ เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้จริงๆ ” ผมพยายามแกะมือสองคนนั้นออก แต่ภูผากับฟ้าครามกลับจับมือผมแน่นไม่ยอมปล่อย

“พี่ทีโกหก!!”

“พี่พูดจริงๆ ” ผมยิ้มบางอย่างเหนื่อยล้า

“พี่ที! ทำไมล่ะ พี่ทีไม่มีความสุขเวลาอยู่กับพวกเราเลยหรอ ภูกับครามทำอะไรผิดอ่ะ ทำตัวไม่ดีตรงไหนอีกล่ะ บอกมาสิว่าไม่ชอบอะไร ภูจะได้ไม่ทำ!”

“ภูกับครามเป็นเด็กดีมากเลยล่ะตอนนี้ รับผิดชอบตัวเองได้แล้วด้วย แถมตอนนี้ยังเป็นที่รักของคนรอบข้างเต็มไปหมด…”

“แต่ก็ไม่เป็นที่รักของพี่!!”

“รักสิ …รักในแบบ…”

“พอแล้ว!! ครามไม่อยากฟังคำว่าพี่น้องอะไรนั่นแล้ว คำก็พี่น้อง สองคำก็พี่น้อง …พี่ทีอ่ะเป็นคนดีที่โคตรชั่วเลยรู้ตัวมั้ย ให้ความหวังทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรเลย!!” ครามเขย่าตัวผมอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาที่เคยสดใสเริ่มแดงก่ำ

“ก็ถ้าจะปฏิเสธแต่แรก แล้วจะมาหลอกให้ความหวังกันทำไมวะ?!”

ผมปล่อยให้สองคนนั้นพ่นคำตัดพ้อต่อว่าออกมาให้เต็มที่โดยไม่พูดอะไร แต่ยิ่งเห็นผมนิ่งเท่าไหร่ภูผากับฟ้าครามก็ดูจะทวีความโกรธความเสียใจมากขึ้นเท่านั้น นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกสับสน ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปนั้นมันดีแล้วจริงๆ หรือ ยังจะมีวิธีพูดตัดความสัมพันธ์แบบอื่นที่ละมุนละม่อมกว่านี้ ทำร้ายจิตใจกันน้อยกว่านี้อีกไหม

“พี่ไม่ได้หลอก ไม่เคยให้ความหวังอะไรด้วย พี่บอกเราสองคนไปหลายครั้งแล้วนะว่าพี่รักเราแบบพี่น้อง”

“แล้วหลอกให้ครามไปเอาเกียร์ทำไมวะ!!”

“ทั้งๆ ที่ภูจริงใจกับพี่ที ทำตามกติกาทุกอย่าง ทำไมพี่ถึงเอาความรักของผมมาหลอกให้ทำนู่นทำนี่ ใจพี่ทีทำด้วยอะไร ถ้าไม่รักแล้วบอกทำไมว่าเอาเกียร์มาให้แล้วจะบอกคำตอบ!”

“นี่พี่ก็ตอบแล้วไง”

“เหี้ยเอ๊ย!!!!”

เพี้ยะะะะะะะ!!!!

ผมตบหน้าภูผา แล้วก็ต้องตกใจจนมือสั่น ผม…ผมตบน้องหรอ

อยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา

บ้าจริง…น้ำตาแม่งไม่หยุดไหลเลยว่ะ มันเจ็บจริงๆ นะ ตบคนที่เรารักเนี่ย ไม่ไหวแล้ว ผมทนทำใจแข็งต่อไปไม่ได้แล้ว …ผมรักภูผา …ผมรักฟ้าคราม ใจผมมันเจ็บไปหมดตั้งแต่ตอนที่พูดจาทำร้ายจิตใจน้องแล้ว ผมหวังดีกับน้องนะ ไม่อยากให้ต้องเดือดร้อนในอนาคต ไม่อยากให้น้องโดนมองเป็นตัวแปลกประหลาด ไม่อยากให้น้อง…

แน่หรือ…มันเพื่อตัวน้องหรือเพื่อตัวผมเองกันแน่ คนที่กลัวจะโดนมองเป็นตัวประหลาดไม่ใช่ผมเองหรอกหรือ คนที่กลัวว่าจะทนสายตาคนรอบข้างไม่ได้ไม่ใช่ตัวผมเองหรอกหรือ คนที่กลัวจะถูกทิ้งไม่ใช่ผมเองหรอกหรือ คนที่ไม่เชื่อมั่นในความรักไม่ใช่ตัวผมเองหรอกหรือ

ดูสิ…คนชั่วๆ …คนที่คิดถึงแต่ตัวเองอย่างผมน่ะ…มันไม่สมควรให้ใครมารักหรอก

แล้วผมก็ร้องไห้ เกลียดตัวเองที่ไม่เคยเป็นคนดีจริงๆ ได้เลย ทั้งๆ ที่อยากจะคิดดี ทำแต่สิ่งที่ดี แต่ความคิดกลับสวนทางการกระทำไปเสียหมด

“…” ภูผากับฟ้าครามสวมกอดผม แล้วสองคนนั้นก็ร้องไห้

“รักภูเถอะนะพี่ที ภูขอ ฮึก…”

“บอกครามสิว่าเมื่อกี้แค่โกหก”

“…” ผมส่ายหน้ากับอ้อมกอดของสองคนนั้น

“ครามทำไรผิดอ่ะ ครามทำอะไรผิดอีกหรอ…”

ผมก็ยังคงส่ายหน้า

“ภูรักพี่ที” กอดของสองคนนั้นแน่นขึ้น

“…” ผมยังคงส่ายหน้า สองมือพยายามดันตัวออกห่างเมื่อรู้สึกว่าอ้อมกอดนั้นแน่นเกินไปแล้ว

“ครามรักพี่ที” ยิ่งดิ้นหนี ก็ยิ่งรัดแน่นเข้า จนผมเริ่มหายใจลำบาก ไหล่ของสองคนนั้นกดเบียดใบหน้าผมจนแทบมิด ร่างกายแนบชิดจนแม้แต่อากาศก็ผ่านไปไม่ได้ ผมรู้สึกอึดอัดและหวาดกลัว…ภูผากับฟ้าครามแปลกไป

“ภู คราม พี่หายใจ ไม่ออก” ผมออกแรงดันสองคนนั้นออกจากตัวอีกครั้ง แต่มันก็เปล่าประโยชน์ มือที่ใช้ดันถูกกอดแนบไปกับตัวจนยกขึ้นมาไม่ได้อีก





“เป็นของพวกเรานะครับ”





ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อคำคำนั้นหลุดออกมาจากปากภูผาและฟ้าคราม รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสกับความอ่อนนุ่มของเตียง ใจผมเต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนก ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันไปหมด ผมรู้สึกเวียนหัว ตาลาย หายใจไม่ออก มือเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนอุณหภูมิทั้งหมดในร่างกายมันพุ่งขึ้นไปที่หน้า น้ำตาผมไหลไม่หยุด ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มานานแล้ว นานมากแล้วจริงๆ



“ฮึกกกกก ฮือออออๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”



ผมร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อายใคร เหมือนความเครียด ความอึดอัด ความเสียใจทั้งหลายที่แบกมาทั้งชีวิตมันกำลังทลายลงมา ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมได้แต่ร้องไห้ ร้อง แล้วก็ร้อง มันไม่ใช่แค่เรื่องของภูผากับฟ้าครามที่ทำให้ผมเสียใจ เรื่องต่างๆ มากมายที่แบกรับ ที่อดทน ที่ฝืนใจ ที่คนอื่นทำกับผม ที่ผมต้องทำเพื่อคนอื่น ความสุขในชีวิตที่แทบไม่เคยมี ความเหนื่อยล้าที่ต้องสู้กับจิตใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันกำลังระเบิดออกมา



ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแตกสลาย…ย่อยยับไม่มีชิ้นดี







หลังจากเรื่องในคืนนั้น ผมก็ไม่กลับไปที่คอนโดอีกเลย ในวันศุกร์ ผมกับพ่อช่วยกันขนของกลับบ้านในช่วงเวลาที่สองคนนั้นยังมีเรียนอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้า

ทุกคนต่างรู้กันหมดว่าผมย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ยกเว้นสองคนนั้น

แล้วในช่วงเวลาค่ำๆ ที่คาดว่าสองคนนั้นน่าจะกลับถึงห้องแล้ว โทรศัพท์ผมก็ดังไม่หยุด ผมกดตัดไปไม่รู้กี่ร้อยสาย

กว่าโทรศัพท์จะหยุดสั่น ก็ปาไปหลายชั่วโมง…

ผมนั่งมองโทรศัพท์มือถือในมือที่หน้าจอเป็นสีดำ

…มันจบแล้วสินะ





เมสเสจหนึ่งเด้งขึ้นมา ผมลังเลใจอย่างมากที่จะเปิดอ่าน

แล้วในที่สุด ผมก็ไม่อ่าน…

โดยที่ไม่รู้เลยว่า เนื้อหาข้างในมันจะเป็นแบบนี้





‘ถ้าพี่ทีไม่กลับมา ภูกับครามจะพังชีวิตตัวเองให้ดู แล้วก็ขอให้รู้ด้วยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดต่อจากนี้ มันเป็นความผิดของพี่คนเดียว’





---------------------------------------

ฟังเพลง ถลำ ของบี้ไปด้วย เเต่งไปด้วย ได้อารมณ์ดีนะตอนนี้555 อย่าเครียดๆ ชิวๆ ^O^

https://www.youtube.com/watch?v=UzQH0Xc-Kkw

ลองฟังๆ เข้าเเก๊บอยู่

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปวดตับแทนพี่ทีจริง ๆ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เฮ้อ!! ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :z3: :z3: :z3:   ปวดตับ ปวดไตเลย

ภูผา ---> ที <--- ฟ้าคราม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
โอ๊ย... สงสารใครดี

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                        ตอนที่ 32  ฉันแพ้ให้เธอทุกทาง…



นอนไม่หลับ นอนไม่หลับเลย



ผมนอนพลิกตัวบนเตียงอย่างอึดอัด ไม่ว่าจะข่มตาอย่างไรก็หลับไม่ลง ได้แต่ผุดลุกขึ้นนั่งในความมืด



ผ้าม่านสีหม่นในห้องถูกลมจากนอกหน้าต่างพัดปลิวเป็นระลอกๆ แสงสีส้มจากเสาไฟบนเกาะกลางถนนส่องลอดหน้าต่างเข้ามารำไร หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่เรืองแสงในความมืดบอกว่าตอนนี้เวลาได้ล่วงเข้าสู่วันใหม่มา 3 ชั่วโมงแล้ว



ผมเสียใจ



ผมเสียใจ



แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี



โคมไฟข้างหัวเตียงถูกเปิดขึ้น พร้อมกับเสียงชีทเรียนที่ถูกเปิดอ่านทีละหน้าๆ สายตาหลังกรอบแว่นสีดำทอดอ่านแต่ละบรรทัดอย่างสงบราบเรียบ จนกระทั่งแสงแรกของวันใหม่สาดส่องเข้ามาในห้อง



ผมอาบน้ำ แต่งตัว เดินลงบันไดไปกินข้าวเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ นั่งดูข่าวเช้าพร้อมน้องสาว พูดคุยหยอกล้อกัน เหมือนที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านี้



ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม



ทุกอย่างจะต้องเข้ารูปเข้ารอย



ผมจะยังคงเป็นนายทวีเดช นักศึกษาดีเด่นตลอดไป



เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่



เป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องสาว



เป็นลูกที่พ่อแม่โอ้อวดได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉาพ่อแม่ของผม



ไม่มีวันที่ผมจะยอมออกจากกรอบใบนี้…กรอบที่ทุกคนจำกัดความไว้ว่าดีงาม น่าชื่นชมถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและค่านิยมของสังคมทุกประการ…อะไรที่จะฉุดรั้งผมให้หลุดออกจากกรอบแห่งความดีงามนี้ผมจะกำจัดมันออกไปให้หมด…ไม่ให้เหลือเลย



ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เจอภูผากับฟ้าครามเลย รู้สึกแปลกใจเล็กๆ แต่ถ้าคิดตามหลักความจริงแล้ว ปี1ไม่ได้เรียนที่คณะตัวเอง ส่วนใหญ่มีเรียนแต่ที่คณะวิทย์ กับตึกเรียนรวม ในขณะที่ปี3อย่างผมแทบจะอยู่แต่ในคณะ ถ้าไม่นัดเจอ หรือจงใจมาหากัน โอกาสที่จะเจอกันมันก็ยากนั่นแหละ แม้แต่ในเวลากินข้าวก็ยังกินกันคนละโรงอาหารเลย



ถามว่าผมยังเสียใจอยู่มั้ย ตอบเลยว่ามาก ยังคงเศร้า ยังคงรู้สึกผิดอยู่เหมือนเดิม ไม่กล้าพบหน้าด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอกันอีกเลย ไม่อยากรับรู้ข่าวคราวการเคลื่อนไหวใดๆ ของภูผาฟ้าครามทั้งนั้น อยากเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องที่เผอิญเรียนอยู่ที่เดียวกัน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองไป



แต่ต่อให้ผมจะเสียใจแค่ไหน จะรู้สึกย่ำแย่เพียงไร ผมก็ยังสามารถยิ้มได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดิม ไม่มีใครจับความรู้สึกผมได้สักคน แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มก็ตาม บอกแล้วไงว่าผมน่ะเสแสร้งแกล้งยิ้มเก่งจะตาย แค่ยิ้ม ทุกคนก็จะคิดว่าผมไม่เป็นไร แค่ยิ้ม…ทุกอย่างก็จะผ่านไปเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด



ผมรู้ว่าบางครั้งการได้เล่าปัญหาให้คนอื่นฟัง ต่อให้คนอื่นจะช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็จะสบายใจขึ้น …แต่ผมไม่ชอบเล่าความทุกข์หรือปัญหาของตัวเองให้ใครฟังหรอก ยิ่งกับคนที่ผมรักด้วยแล้วก็ยิ่งไม่อยาก…ไม่อยากให้เขาต้องมารับรู้ปัญหาของผม ไม่อยากให้เขาต้องมาทุกข์ใจที่ได้แต่ฟัง แต่ช่วยเหลืออะไรผมไม่ได้เลย



ผมเคยมีแฟน คนแรก และคนเดียวตอนมอห้า ผมรู้ว่าความรักเป็นยังไง แล้วก็รู้ด้วยว่าการตัดใจจากความรักมันเจ็บปวดแค่ไหน ผมเป็นฝ่ายบอกเลิกเธอเองในวันที่เราเรียนจบมอปลาย ในวันที่เรายังรักกันอยู่…บอกเลิก…ทั้งที่เราไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว



มันเจ็บปวดมาก…แต่ไม่ช้าเวลาก็เยียวยาทุกสิ่ง



พอมองย้อนกลับไป ผมไม่เสียใจเลยที่เลือกปล่อยมือเธอในวันนั้น ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ผมก็จะยังทำเช่นนั้นอีก ไม่ว่าจะย้อนกลับไปได้สักกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็ตาม



ครั้งนี้ก็เช่นกัน…ถึงมันจะเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง



แล้วในอนาคต เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านสุขุมรอบคอบกว่าในตอนนี้ ผมเชื่อว่าภูผากับฟ้าครามจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ



ผมเชื่อว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว







Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



“ฮัลโหล ว่าไงไก่” ผมรับโทรศัพท์ขณะอ่านชีทเรียนทบทวนไปด้วย การสอบมิดเทอมใกล้เข้ามาทุกที สัปดาห์หน้าก็จะสอบแล้ว



‘พี่ที ไอ้แฝดยังไม่กลับจากฮ่องกงอีกหรอ มันคิดอะไรอยู่วะถึงไปเที่ยวฮ่องกงกันตอนช่วงใกล้สอบ’



“ฮะ! อะไรนะ ฮ่องกงอะไร พี่ไม่เห็นรู้เรื่อง” ผมที่กำลังอึนๆ มึนๆ กับเนื้อหาในชีทถึงกับตาสว่างทันที เฮ้ย! พูดอะไรของมันอ่ะ ฮ่องกงอะไรนะ? ไอ้แฝดไปฮ่องกงหรอ ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ!?



‘อ้าว ก็อาทิตย์ที่แล้วพวกมันบอกผมว่าจะไปเที่ยวฮ่องกงกับครอบครัวสี่วัน นี่พี่ไม่รู้หรอครับ พี่อยู่ห้องเดียวกันกับพวกมันไม่ใช่หรอ ผมก็นึกว่าพี่รู้แล้วซะอีก?’



“พี่ย้ายกลับมาอยู่บ้านได้อาทิตย์กว่าแล้ว…”



‘เอ้า จริงดิ…เออ ผมว่าจะโทรมาถามว่ามันสองคนเป็นอะไรรึเปล่า ไม่มาเรียนอาทิตย์นึงแล้วเนี่ย ไปหาที่คอนโดก็ไม่อยู่ เบอร์บ้านพวกมันผมก็ไม่รู้ พี่ถามๆ ให้หน่อยนะ พวกมันปิดโทรศัพท์ไม่ยอมรับสายผมทั้งคู่เลย กวนตีนจริงๆ ’



ลางสังหรณ์ในใจผมเริ่มร้องเตือน พอวางสายจากไอ้ไก่ปุ๊บ ผมก็รีบโทรหาอาแอ๋มทันที



‘หืม? ฮ่องกงหรอ? เปล่านี่จ๊ะ ช่วงนี้ครอบครัวอาไม่ได้มีแพลนจะไปไหนเลย ไปเอามาจากไหนว่าพวกอาไปฮ่องกงกันมาเนี่ยฮึ’



มือของผมที่ถือโทรศัพท์อยู่เย็นเฉียบ …



อะไรอีก…มันสองคนจะทำอะไรอีกแล้ว!?



ลางสังหรณ์บอกผมว่าคราวนี้มันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ ใจผมร้อนรนราวกับถูกควักออกมาย่างทั้งเป็น พยายามโทรหาสองคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็พบว่าปิดเครื่องกันไปทั้งคู่



อาแอ๋มบอกว่า สองคนนั้นบอกว่าช่วงนี้จะไม่คุยโทรศัพท์เพราะจะตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ที่คอนโด



ไอ้ไก่บอกว่า สองคนนั้นบอกว่าจะไปเที่ยวฮ่องกงกับครอบครัวสี่วัน แต่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเรียนจนกระทั่งผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว ไปหาที่คอนโดก็ไม่เจอ



… สองคนนี้บอกไม่ตรงกัน…



ผมคว้ามือถือกับกระเป๋าเงินพุ่งไปโบกรถแท็กซี่หน้าบ้านเพื่อไปยังคอนโดกรีนเพลสทันที เมื่อไปถึงห้องผมก็ใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป ไม่มีวี่แววของทั้งภูผาและฟ้าคราม ผมไล่เปิดหาทีละห้องไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอใครเลย



สภาพในห้องสองคนนั้นดูเละเทะกว่าเมื่อตอนที่ผมยังอยู่มาก ปกติสองคนนี้รักสะอาดกันจะตายไม่น่าจะทนอยู่ในห้องที่มีสภาพเละเทะแบบนี้ได้เลย



ถังขยะมุมห้องเหมือนถูกเตะล้มระเนระนาด เศษกระดาษ ถุงขนมกระจัดกระจายอยู่บนพื้น แสงสีเงินเล็กๆ สะท้อนเข้าตาผม



เกียร์อันหนึ่งตกอยู่บนพื้น



ผมเก็บขึ้นมา แล้วก็พบว่ามันไม่ใช่ของภูผากับฟ้าคราม ดูจากเลขรุ่นแล้วเก่ามาก คนละสาขาอีกต่างหาก เกียร์อันนี้มาอยู่ในห้องเจ้าแฝดได้ยังไง



ผมได้แต่ปัดความสงสัยไปไว้ข้างหลังก่อนจะวางเกียร์อันนั้นลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าสองคนนั้น แล้วก็ต้องกำหมัดแน่นเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้ารวมถึงกางเกงหลายตัวหายไปจากตู้



ผมทรุดตัวลงกับพื้น รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น …เอาอีกแล้ว ก่อเรื่องอีกแล้ว ไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง เมื่อไหร่จะหยุดทำเรื่องบ้าๆ ให้คนอื่นเค้าต้องมาคอยเป็นห่วงสักที!!



ผมพลันนึกถึงข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน บางทีสองคนนั้นอาจจะบอกก็ได้ว่าไปไหน



‘ถ้าพี่ทีไม่กลับมา ภูกับครามจะพังชีวิตตัวเองให้ดู แล้วก็ขอให้รู้ด้วยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดต่อจากนี้ มันเป็นความผิดของพี่คนเดียว’



เอาอนาคตตัวเองมาเล่นตลก เพียงเพราะต้องการบังคับให้ผมกลับไปหาเนี่ยนะ



ทำไมภูผากับฟ้าครามต้องทำถึงขนาดนี้ คนอย่างผมมันมีอะไรดี ทำไมถึงต้องฝังใจ ทำไมถึงไม่เลิกยึดติด ปล่อยมือผมไปสักทีไม่ได้หรือไง ปล่อยผมไป จะยื้อไว้ทำไมก็ผมบอกไปแล้วนี่ว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง!!



ร้ายกาจ…สองคนนั้นฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าจุดอ่อนของผมคืออะไรจึงใช้สิ่งนั้นมาข่มขู่ผม



ถ้าขู่ว่าจะทำร้ายที่ตัวผมโดยตรง ผมไม่แคร์หรอก



แต่ขู่ว่าจะทำร้ายตัวเองเพียงเพราะผมเป็นต้นเหตุ…นั่นทำให้ผมเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนทำร้ายเองเป็นสิบเท่า



มันเก่ง…ที่ทำให้ผมเจ็บปวดได้จริงๆ จากการทำร้ายตัวเองของพวกมัน



ดีใจมั้ยล่ะ พวกมึงทำสำเร็จแล้ว!



ผมกุมศีรษะ ความรู้สึกผิด ความโกรธ ความกลัว ความวิตกกังวลถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด



หายไปตั้งอาทิตย์นึงแล้ว ภูผากับฟ้าครามไปอยู่ไหน ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่ว่าไปก่อเรื่องที่อื่นจนโดนคนกระทืบตายไปแล้วหรอกนะ



ขาดเรียนไปตั้งหนึ่งอาทิตย์ แถมยังเป็นช่วงใกล้สอบที่อาจารย์มักจะสอนกันตัวโก่งเพราะสอนไม่ทัน อาจารย์บางคนก็ติวข้อสอบให้ในช่วงนี้ แล้วงานต่างๆ ที่ต้องส่งก่อนสอบล่ะ ส่งกันไปหรือยัง



ต่อให้กลับมาทันสอบ แล้วจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบ เล่นขาดเรียนกันแบบนี้ ได้ติวได้อ่านกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่าสองคนนั้นไม่อ่านกันเองหรอก ก็คงจะรอให้ผมช่วยติวเหมือนเดิมนั่นแหละ จะทำยังไงดี ถ้าสองคนนั้นติดเอฟก็ต้องลงเรียนซ้ำตอนปิดเทอม หรือที่แย่กว่านั้นถ้าได้เกรดเฉลี่ยรวมเทอมแรกไม่ถึง2.00ก็จะถูกตักเตือน แล้วถ้าเทอมต่อๆ ไปยังได้เกรดไม่เกิน2.00อีกสองรอบก็จะถูกรีไทร์



ถ้าอาแอ๋มรู้ว่าสองคนนั้นหายตัวไปจะเสียใจขนาดไหน อาสินธุ์จะรู้สึกอย่างไร แล้วผมจะมองหน้าทุกคนได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นสาเหตุที่ทำให้สองคนนั้นหายตัวไป เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นภายหลังการจากมาของผม



ทุกอย่างเป็นความผิดของผม



ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้



ถ้าผมไม่บอกปฏิเสธน้องไปในช่วงนี้ มันก็จะไม่เกิดเรื่อง ถ้าผมไตร่ตรองให้ดีกว่านี้ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรออกไป ถ้าผมไม่เลือกเดินออกมาแล้วทิ้งสองคนนั้นเอาไว้ ถ้าผมไม่หนี ถ้าผมอ่านข้อความให้เร็วกว่านี้ …ถ้าผมใส่ใจมากกว่านี้ ถ้าผมรอบคอบมากกว่านี้ …มันคงไม่เกิดเรื่องขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในช่วงนี้ที่กำลังจะสอบ ช่วงที่เป็นเหมือนก้าวแรกในอนาคตของคนทั้งคู่



แล้วถ้าน้องกลับมาไม่ทันสอบล่ะ หรือถ้าน้องไม่กลับมาอีกเลยล่ะ



ผมจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่



อยู่ไหน หายไปไหน กลับมาได้แล้วภูผาฟ้าคราม



…พี่แพ้แล้ว



ผมเสียใจ ทั้งรักทั้งเกลียดพวกมันเลย ทำไมต้องบังคับให้ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินกลับไปหาด้วย



ทำไมต้องใช้ประโยชน์จากนิสัยแคร์คนอื่นมากเกินไปของผมด้วย



ผมเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ



เพราะผมแคร์คนอื่นมากเกินไป ทำให้หลายครั้งต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง



แต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้ เพราะคนที่ผมแคร์ก็คือคนที่ผมรัก ผมยอมฝืนใจตัวเองเพื่อคนที่รักได้เสมอ



ผมอยากจะร้องไห้



อยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมรู้สึกเหมือนชีวิตตัวเองเป็นหุ่นกระบอก เชิดตัวเองไปตามความต้องการ

ความพึงพอใจของคนรอบข้าง



ไม่มีใครบังคับให้ผมทำแบบนั้น เป็นผมเองที่เลือกจะทำเพียงเพื่อให้คนที่ผมรักมีความสุข



ผมถึงไม่อยากยอมรับไง ว่าตัวเองชอบภูผากับฟ้าครามเข้าไปแล้ว



ผมถึงต้องรีบถอนตัวไง ก่อนที่มันจะถลำเกินไปกว่าคำว่า ‘ชอบ’



เพราะถ้ามันกลายเป็นคำว่า ‘รัก’ เมื่อไหร่ล่ะก็



ผมจะไม่สามารถปฏิเสธภูผากับฟ้าครามได้อีกเลย


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                          ตอนที่ 33  ออกเดินทาง



สี่วันแล้วที่พีทีขนของย้ายออกไปจากห้องพวกเรา ถึงแม้ว่าจะโทรไปกี่ร้อยสายก็ไร้การตอบรับ ขนาดส่งข้อความไปขู่ก็แล้วยังไม่ยอมกลับมา



สี่วันแล้วที่พวกเราไม่ยอมไปเรียน เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง เฝ้ารออย่างอดทนว่าพี่ทีจะต้องกลับมาแน่ๆ ต้องกลับมาต่อว่าพวกเรา ลากพวกเราไปเรียน แล้วเราก็จะจับพี่ทีเอาไว้ไม่ให้หลุดมือ กอดแน่นๆ อ้อนแรงๆ ทำยังไงก็ได้ให้พี่เขายอมกลับมาอยู่ด้วยกันต่อ พี่ทีเป็นคนขี้ใจอ่อน ถ้าได้อ่านข้อความแบบนั้นแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องกลับมา ไม่ว่าจะโกรธ จะเกลียด จะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ต้องกลับมา



พี่ทีรักเรา



เรารักพี่ที



พวกเรารักกัน



แล้วทำไมพี่ทีถึงทิ้งเราไป เราทำอะไรผิด? เราเป็นเด็กดี เราเชื่อฟัง เราทำตามที่พี่เค้าต้องการทุกอย่าง อยากได้อะไรก็หามาให้ แล้วทำไมถึงไม่ยอมอยู่ด้วยกันต่อ ทำไมถึงต้องหนีไปด้วย?



ไม่คบก็ไม่คบดิ ยังมีเวลาอีกตั้งนานที่จะศึกษาดูใจกัน เราไม่ได้บังคับให้ตอบตกลงทันทีสักหน่อย ทำไมต้องพูดจาตัดรอนกันแบบนั้น แค่ตอบปฏิเสธยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่เล่นหนีไปเลย พี่ทีก็เป็นแบบนี้ตลอด พอเจอปัญหาก็ชอบหนี ไม่เคยคิดถึงจิตใจคนที่เค้าอยู่ข้างหลังบ้างเลย



คนใจร้าย



พี่ทีใจดำ



คนกลับกลอกเจ้าเล่ห์เพทุบาย



ร้ายกาจ







หรือพี่ทีจะทิ้งเราแล้วจริงๆ



ปกติน่ะ ถ้าอ่านข้อความแบบนั้นแล้ว พี่ทีจะต้องทนอยู่เฉยไม่ได้แน่



แต่นี่…ก็ผ่านมา4วันแล้ว



หรือพวกเราจะมองพี่ผิดไป?



หรืออันที่จริง พวกเราไม่เคยรู้จักตัวจริงของพี่เลย?



ทำไมไม่กลับมา อย่างน้อยโทรมาด่าก็ยังดี



หรือคิดจะตัดขาดพวกเราออกไปจากชีวิตจริงๆ พวกเราจะเป็นจะตายยังไงก็เชิญอย่างงั้นสิ?



“คราม ไปกันเถอะ” ผมลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่ลงในกระเป๋าเป้



“ไปไหน? ไปตามพี่ทีหรอ? ..พี่เค้าไม่เอาพวกเราแล้วยังไม่รู้อีกหรอ”



“เปล่า ไม่ได้ไปตาม”



“แล้วไปไหน?”



“ซักที่…ไกลๆ ”



“จะสอบแล้วนะภู”



“เบื่อ อ่านไปก็ไม่เข้าหัว”



“…นั่นดิ ไม่ได้อยากเรียนตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่เนอะ”



พวกผมก็แค่เรียนตามที่พ่อแม่คิดให้ ที่เลือกเข้าที่นี่ก็แค่อยากอยู่กับพี่ที เราไม่มีความฝัน เราไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น แค่อยากอยู่สบายๆ ไม่ทำงานก็มีตังค์ใช้ไปตลอดชีวิต



น่าเบื่อจัง



ชีวิตแม่งโคตรน่าเบื่อเลย



ก็ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ต่อไปเพื่ออะไร เรียนไปแม่งก็ไม่เห็นจะสนุกเลย จบไปก็ต้องไปทำงานน่าเบื่อๆ อีก คนสมัยก่อนไม่ต้องเรียนสูงยังรวยได้เลย ทำไมพวกเราจะต้องเรียนอะไรยากๆ เพื่อกระดาษโง่ๆ แผ่นเดียวด้วยนะ



พอไม่มีพี่ทีอยู่ด้วยแล้ว เราก็รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเลย



ไม่เหลืออะไรเลย



ทุกอย่างรอบตัวไม่มีความหมายเลย



น่าเบื่อ น่าเบื่อ น่าเบื่อ ไปหมด



“ไปกันเถอะ”



ไปไหนก็ได้ที่มันไกลๆ หาเรื่องแก้เบื่อทำ แล้วถ้ามันดีก็ไม่อยากกลับมาอีกเลย



เบื่อคนใจดำ เบื่อพี่ชาย เบื่อพ่อ เบื่อแม่จู้จี้ เบื่อมหา’ ลัย เบื่อไอ้ขวด…ไอ้เพื่อนขี้ฟ้อง



“ถ้ามึงไม่อยากไป ก็ไม่ต้องตามมาก็ได้”



“ไม่…กูไม่ทิ้งมึง เราจะไปด้วยกัน”



แล้วเราสองคนก็หันหลังให้กับประตูห้อง



…ที่ครั้งหนึ่ง เราเคยมีความทรงจำมากมาย…ร่วมกับใครคนหนึ่ง…ที่ทิ้งพวกเราไปอย่างไม่ไยดี







เรานั่งรถไฟฟรีเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่นั่งไปนานๆ มันก็เริ่มน่าเบื่อ เบาะเก่าๆ มีรอยขาดจนเห็นไส้ฟองน้ำสีเหลืองปริออกมา ห่อขนมถุงพับเป็นชิ้นเล็กๆ เสียบตามรูไม้กระดาน เหล็กที่ขอบหน้าต่างขึ้นสนิม กระจกเต็มไปด้วยฝุ่น



…แต่ช่างมันเหอะ



พวกเรามองออกไปนอกหน้าต่างบานกว้าง วิวทิวทัศน์ด้านข้างเหมือนวิ่งเข้าหาเรา แต่อันที่จริงเรากำลังวิ่งเข้าหามันอยู่ต่างหาก



อ่า…อยากไปทะเลจัง



แล้วก็ไปเที่ยวน้ำตก



หลังจากนั้นก็ไปดูดาวบนภูเขา



อ่า…มันต้องสนุกแน่ๆ



แล้วหลังจากนั้นล่ะ…หลังจากนั้นอีกล่ะ…



ครืนนนนนนนนน



…ฝนตก สมแล้วที่เขาบอกว่าภาคใต้เป็นแดนฝนแปดแดดสี่



“ฟ้า…อย่าร้องไห้”



สายฝนโหมกระหน่ำอย่างหนักจนต้องดึงบานหน้าต่างลงมา ฝนตกแรงจนบดบังภูเขาที่เราเห็นเมื่อครู่หายไปในม่านหมอก



ฝนตกจนภูเขาหายไปทั้งลูก …เกิดมาเพิ่งเคยเห็น อย่างกับมายากลเลย



หนาว



ผมหนาวจังเลย



ทั้งที่ตัวเองเป็นคนชอบอากาศเย็นมากแท้ๆ



ทำไมแค่ฝนตกถึงหนาวขนาดนี้นะ







พี่ที



จะตามมาไหมนะ…





ลงจากรถไฟด้วยอาการเมื่อยขบ มองไปรอบตัว เห็นแต่บ้านเรือนไม่กี่ชั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วยต้นไม้ เงยหน้ามองไปไกลสักหน่อยก็เห็นภูเขา ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ต่างถิ่นแล้วจริงๆ



ถามทางคนแถวนั้น ว่าจะไปทะเลที่ใกล้ที่สุดต้องไปยังไง เจอภาษาถิ่นใต้เข้าไปทำเอาต้องยืนคุยกันอยู่นานกว่าจะรู้เรื่อง



ที่นี่ไม่มีรถไฟฟ้า มอไซค์รับจ้างก็น้อย แท็กซี่นี่แทบไม่เห็นเลย มีแต่รถสองแถวคันเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนตุ๊กๆ กับรถตู้



บางที ถัดจากดูดาว พวกเราอาจจะข้ามฝั่งไปประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ ก็ใกล้กันซะขนาดนี้



ตอนยืนรอรถฝนก็ตกอีก แล้วเราก็เปียก แต่ก็แค่นิดหน่อย



จากสองแถว ต่อรถตู้ แล้วก็ต่อสองแถวอีก



ทั้งที่ควรจะรู้สึกรำคาญ แต่ก็แปลกที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด



ทะเลตอนฝนตกไม่น่าจะสวย



แต่มาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับแล้ว ก็ไปต่อดีกว่า



ฝนอาจจะหยุดตกก็ได้



แล้วเราก็มาถึงทะเลอย่างที่หวัง อ่า…มันก็สวยดีนะ เกิดมาไม่เคยไปทะเลตอนฝนตกเลย



เราสองคนนั่งกินอาหารทะเลที่ร้านริมชายหาด อร่อยดี กุ้งสดมาก ได้ซดน้ำแกงร้อนๆ หลังจากตากฝนมามันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ไม่มีผิด



“ครามดูนั่นดิ อะไรอ่ะ” ผมชี้ไปที่โคนต้นมะพร้าวที่อยู่ไกลๆ เหมือนเห็นอะไรดำๆ อยู่ใต้ต้นนั้น มันขยับได้ด้วย



“…ม้าป่ะ..?” ไอ้ครามหรี่ตามองทะลุม่านฝน



“ม้าจริงๆ ด้วย” มันขยับแล้ว แต่ก็แค่ขยับเบาๆ แล้วก็ยืนนิ่งต่อไปท่ามกลางสายฝน มองดูแล้วน่าสงสาร เจ้าของทำไมไม่พามันไปหลบฝน ผูกไว้แบบนี้มันก็ต้องยืนตากฝนไปไหนไม่ได้น่ะสิ



พอฝนหยุด เกาะหลายๆ เกาะก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาให้เห็น



เราสองคนเดินไปตามชายหาด เตะน้ำเล่นใส่กันอย่างสนุกสนาน เจออะไรแปลกๆ ที่โดนซัดมาติดชายฝั่งก็วิ่งเข้าไปสำรวจ เราเจอปูด้วย พยายามจะจับมันใส่ถุงพลาสติกที่เก็บได้แถวนั้น แต่มันวิ่งเร็วชะมัด …เออ มันมีตั้งแปดขา เราสองคนมีรวมกันแค่สี่ขา จะไปวิ่งตามมันทันได้ไง …ก็ได้แต่แก้ตัวให้กับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างขำๆ



“น้องๆ เป็นนักท่องเที่ยวเหรอครับ” ผู้ชายร่างสูงโปร่งไว้หนวดเคราหรอมแหรมสวมแว่นสีชาไว้ผมยาวดูเซอร์เดินเข้ามาทักพวกเรา



อะไรน่ะ ไม่น่าไว้ใจเลย



“อ้าวน้อง อย่าเดินหนีสิ พี่ไม่ใช่คนน่าสงสัยนะไอ้น้อง…หยุดคุยกันก่อน”



แล้วคนน่าสงสัยที่ไหนเขายอมรับว่าตัวเองน่าสงสัยกันวะ ยิ่งพูดออกตัวก่อนแบบนี้ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่



“หลีกไป” ผมขมวดคิ้ว เมื่อผู้ชายคนนั้นเดินมาขวางหน้าพวกเราที่เดินหนี



“พี่มาจากกรุงเทพฯ น้องเป็นคนที่นี่หรอ พี่อยากคุยกับพวกน้องว่ะ พี่มองพวกเรามาสักพักแล้ว..”



“ใครน้องมึง!”



“อุ้ย! ดุแฮะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” ไอ้เวรนี่มันเป็นใครวะ ทำไมกวนตีนแบบนี้เนี่ย!? มิจฉาชีพแนวใหม่เหรอ? หลอกขายของหรอ? หรือพวกค้าแรงงานมนุษย์ขึ้นเรือประมง!?



เรามองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดระแวง กลัวจะมีพรรคพวกของมันซุ่มอยู่ ความกลัวเริ่มเข้ามาเกาะกินจิตใจที่แทบไม่เคยกลัวอะไรเลยของพวกเรา บทสัมภาษณ์ชีวิตทาสเรือประมงที่พี่ทีเคยเปิดให้ดูผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ พวกค้ามนุษย์จะทำเป็นเข้ามาถามว่าเรามาทำอะไร ถ้าบอกว่ามาหางานทำก็จะชักชวนไปทำงานด้วย แล้วก็หลอกขึ้นเรือ จากนั้นชีวิตก็จะถูกใช้งานราวกับทาส ถูกทำร้ายร่างกาย ใช้แรงงานหนัก ให้กินอาหารชวนหยี แต่ละมื้อไม่เคยอิ่มท้อง ไม่ได้อาบน้ำจนเป็นโรคผิวหนัง จุดจบมีหลายแบบ ตั้งแต่ว่ายน้ำหนีแล้วตายในทะเล ไม่ก็ถูกจับกลับมาได้แล้วโดนลงโทษอย่างหนัก น้อยมากที่จะหนีกลับมาได้



เราจำได้ว่าพี่ทีเปิดให้ดูเพราะต้องการให้พวกเราระวังตัว ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแล้วที่ถูกจับตัวไปขาย ผู้ชายก็ไม่เว้น…วันนั้นเราดูกันขำๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่มาเกิดขึ้นเองกับตั



---------------------------------------------------------------

จริงๆ ตอนตั้งชื่อให้สองแฝด เคยคิดจะให้ชื่อ ฟ้ามืด กับ ฟ้าหม่น ด้วยเเหละค่ะ

ดูเพราะเเบบเศร้าๆ ดี เเต่เหมือนจะไม่เหมาะกับนิสัยเลยต้องเปลี่ยนเป็น ภูผา ฟ้าคราม 555



มากรีดร้องด้วยกันได้นะคะ! ติดเเท็ก#เกียร์คู่ (@candleguard)


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ให้พ่อแม่มันรู้ทีเถอะ จะให้ธีตามปวดหัวกับทุกปัญหาที่แฝดก่อทุกครั้งหรือไง

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
ความรัก มัก มี อุปสรรค... พี่มี ภูผา ฟ้าคราม

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ที ไปปรึกษาผู้ใหญ่เถอะ ทั้งฝ่ายเรากับฝ่ายน้องน้อง ให้รู้เรื่องกันไปเลย ทีรับคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                               ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว



ชายหนุ่มแว่นสีชามองตามหลังเด็กหนุ่มสองคนที่เดินหนีไปยิ้มๆ

“น่าเสียดายนะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย

“เสียดายเด็กสองคนนั้นหรือ?” ชายหนุ่มถอดแว่นออกเหน็บที่กระเป๋าเสื้อ

“เสียดายแทนสองคนนั้นที่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปต่างหาก”

“จะไปว่าเด็กสองคนนั้นก็ไม่ได้ บางทีผมอาจจะทำตัวน่าสงสัยเกินไปหน่อย…”

“ผมว่าคุณควรพิจารณาตัวเองนะครับ …ขนาดคนเพิ่งเคยเจอกันเค้ายังรีบเดินหนีเลย”

“ฮ่าๆ ๆ นั่นสินะ …ไปกันเถอะ ใกล้ได้เวลานัดแล้ว”

“รู้ด้วยหรอครับ แล้วก็ยังออกมาเถลไถลอีกนะครับ” อีกฝ่ายทำสีหน้าเอือมระอาเต็มทนก่อนจะดันหลังให้เดินไปขึ้นรถ

“…น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละ” ชายหนุ่มมองข้ามไหล่กลับไปด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันกลับมา

แต่ก็ช่างมันเถอะ นิสัยเกเรแบบนั้น ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักหรอก..











หลังจากเดินหนีไอ้คนแปลกหน้านั่นมาได้แล้ว พวกเราก็นั่งพักกันที่เก้าอี้ริมหาดแถวๆ นั้น ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดสนิท เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มดังให้ได้ยิน

“นอนไหนดีวะ” ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เราต้องมากังวลเรื่องที่หลับที่นอน

“โรงแรมแถวนี้มั้ย” ว่าพลางพยักพเยิดไปทางโรงแรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล

เราเดินเข้าไปถามหาห้องพัก มีน่ะมันมี แต่ราคาแพงมากอ่ะ คืนละตั้งสามพัน ให้ตายเถอะ ถึงพวกเราจะมาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน แต่เห็นราคาแล้วมันอดปวดใจไม่ได้ ค่าเช่าคอนโดพวกเราเดือนละหมื่นอยู่กันสามคน นี่นอนคืนเดียวสามพัน แค่นอนไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วป่าววะ เราเดินถามราคาห้องพักโรงแรมอื่นต่อ แต่ราคาก็พอๆ กันไปหมด เฮ้อ

เราเดินเคียงกันไปบนชายหาดที่น้ำทะเลในยามนี้สีดำราวกับหมึก มองไม่เห็นอะไรเลย รอบด้านเงียบไปหมด เหมือนหาดทั้งหาดเป็นของเราแค่สองคน ลมทะเลพัดโกรกจนรู้สึกเหนียวตัว อยากอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆจังเลย

เรากลับไปยืนรอรถริมถนนตรงจุดที่รถเคยจอดส่ง ตั้งใจว่าจะนั่งรถกลับเข้าตัวเมือง อย่างน้อยก็น่าจะมีที่พักราคาถูกกว่านี้พอที่จะอยู่ได้หลายๆ วัน แล้วก็ว่าจะหาอะไรกินสักหน่อย แถวนี้ทำไมร้านค้าถึงปิดเร็วนักนะ เงียบไปหมดจนดูวังเวง

แปะ! แปะ!

อย่าตกใจ มันไม่ใช่เสียงฝนตก แต่เป็นเสียงพวกเรายืนตบยุงกันต่างหาก

เห้อ บาปกรรมจริงๆ



ผมนิ่งไป นี่ผมคิดอะไรน่ะ …

‘บาปกรรม’

‘ฮะ? อะไรนะพี่ที’

‘มดมันอยู่ของมันดีๆ ก็เอามือไปบี้มัน ใครๆ ก็รักชีวิตนะคราม’

‘ก็เดี๋ยวมันมากัดคราม’

‘ปัดออกดิ’

แปะ!

‘ฮัดช่า! เสร็จกู’ ผมตียุงที่บินมาเกาะขาพี่ทีสำเร็จ โอ้โห เละเป็นซากติดขาพี่ทีเลยอ่ะ

‘ไอ้คราม!’

‘ฮ่าๆ ๆ โทดพี่ มือมันไปเองอ่ะ ทำไงได้’

ผมเอามือปัดๆ ไล่ยุงที่มาตอม แต่ให้ตายเถอะ ยุงที่นี่ทั้งตัวใหญ่ ทั้งกัดเจ็บ บางทีมันก็กัดมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวจนผมเผลอตีมันไส้แตกตายไปก็หลายตัว ช่างมันแล้วเว้ย โอ๊ย! คัน ยุงบ้าเอ๊ย! อุตส่าห์ปรานี เนรคุณจริงๆ เลย นี่แน่ะ! มันต้องโดนตีให้ไส้ทะลัก

แปะ!! แปะ!! แปะ!! แปะ!!

“เห้ย ไอ้คราม ใจเย็นเว้ย”

เพิ่งจะสองทุ่มเอง ไม่มีรถแล้วหรอวะ ไม่จริงน่า……









(บทภู)





ซ่าาาาา ซ่าาาาา

พวกเราตื่นขึ้นมาบนเก้าอี้บริเวณจุดรับส่งผู้โดยสารของรถประจำทาง ไม่รู้พวกเราหลับกันไปตอนไหน แต่รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางสายตาของคนรอบๆ ตัวเสียแล้ว

เหยดดด อายชิบบบ ปลุกไอ้ครามรัวๆ !

หลังจากตื่นกันแล้วพวกเราก็ได้นั่งรถสองแถวเข้าตัวเมืองสมใจสักที

ไอ้ครามก้มหน้าเสิร์ชหาที่พักราคาถูก ก่อนจะเจอที่อพาร์ตเม้นคืนละ 500 บาท ตั้งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไม่มากนัก หลังจากที่โทรไปสอบถามห้องว่างแล้ว เราก็ได้ที่พักสมใจ

อพาร์ตเม้นแห่งนี้ ถึงจะอยู่ในละแวกมหา’ ลัย แต่ก็อยู่ลึกเข้าไปในซอยมากๆ ผมกับไอ้ครามเดินหาอพาร์ตเม้นนี้กันจนขาแทบลาก พอไปถึงจ่ายค่าประกันความเสียหาย 300 บาทแล้ว ผมกับไอ้ครามก็ได้คีย์การ์ดห้องหมายเลข 712 มา

เราสองคนเข้าไปยืนในลิฟต์เงียบๆ ต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง

พอถึงห้อง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ห้องขนาดปานกลางไม่ถึงกับเล็กไม่ถึงกับใหญ่ ประกอบด้วยเตียงเดี่ยวสองหลังตั้งคู่กันโดยมีโคมไฟกั้นกลาง มีโทรทัศน์จอแบนเครื่องใหญ่อยู่ที่เคาน์เตอร์ปลายเตียง มีตู้เย็นที่บรรจุน้ำเปล่าสองขวดแช่ไว้เย็นเจี๊ยบ ห้องน้ำสะอาดสะอ้าน มีผ้าเช็ดตัวเตรียมไว้ให้สี่ผืน เมื่อเปิดม่านออกก็จะเห็นบรรดาบ้านเรือนมากมายที่ถูกภูเขาเบื้องหลังโอบล้อมไว้

โดยไม่ต้องพูดอะไร ผมกับไอ้ครามทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหน็ดเหนื่อย และหลับไปอีกครั้งเพราะยังคงอ่อนเพลียจากการเดินทางเมื่อวานและการนอนบนเก้าอี้สาธารณะที่ไม่สบายตัวเมื่อคืน



‘ดูท่าท่านจะชอบนั่งริมน้ำเหลือเกินนะ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่ามันมีจระเข้’ เสียงทุ้มดังขึ้น เบื้องหน้าของเจ้าของเสียงคือแผ่นหลังของชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีขาวหลวมๆ ชายคนนั้นนั่งขัดสมาธิจุ่มเท้าข้างหนึ่งลงในน้ำ ท่าทางสบายอกสบายใจนัก

ชายคนนั้นหันกลับมา เขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้ชัดเจน มีเพียงรอยยิ้มมุมปากนั้นที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

‘ฉันกินข้าวนะมิใช่กินหญ้า เรื่องจระเข้น่ะ เก็บไว้หลอกเด็กเถิดพ่อ’ ชายเสื้อขาวหัวเราะในลำคอ ผู้มาใหม่ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง ไม่นานบุรุษอีกคนก็ปรากฏกายขึ้นมาร่วมวงสนทนา

เหมือนจู่ๆ ก็ถูกดึงตัวให้ห่างจากสามคนนั้นไปเรื่อยๆ เสียงสนทนาเบาลงไปทุกทีๆ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแผ่นหลังของชายเสื้อขาวที่เอนตัวเท้าแขนไปด้านหลังพลางแหงนหน้าขึ้นมองดอกลีลาวดี โดยมีคนสองคนนอนหนุนตักอยู่คนละข้าง ท่าทางดูเป็นสุข

‘ท่านจะไม่มีวันทรยศพวกเราใช่ไหม?’



เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่ภูผาจะลืมตาตื่นโดยที่จำความฝันไม่ได้เลยสักนิดเดียว…

ภูผาไม่เคยรู้ว่าตัวเองฝันถึงเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนโต เพราะเมื่อลืมตาตื่น ความฝันทุกอย่างก็จะอันตรธานหายไปจากความทรงจำ





(จบบทภูผา)











(บทฟ้าคราม)





นี่เป็นวันที่สี่แล้วกับการผจญภัยในภาคใต้ของเรา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมกับไอ้ภูเดินทางไปที่นู่นที่นี่มากมายไปหมด ไปเล่นน้ำตกโตนงาช้างบ้างล่ะ ขึ้นเขาตังกวนบ้างล่ะ ไปเดินถนนนางงามที่เขาว่ามีสตรีทอาร์ตให้ถ่ายรูปกับมีของกินอร่อยๆ ข้ามสะพานติณสูลานนท์ไปเกาะยอ ฯลฯ

วันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่เราออกไปเตร็ดเตร่กันจนเหนื่อย แล้วกลับมานอนหมดสภาพกันที่ห้อง

หลังจากนอนพักจนหายเหนื่อย ผมก็แงะตัวเองออกจากเตียงเพราะทนคราบเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวันไม่ไหว คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เดินเช็ดผมกลับมาเขย่าเรียกไอ้ภูให้ไปอาบน้ำบ้าง แต่ทันทีที่แตะโดนตัวอีกฝ่าย ผมก็ต้องขมวดคิ้วแล้วแตะดูอีกรอบ

“ไอ้ภู มึงตัวรุมๆ ว่ะ” อีกฝ่ายปรือตามองผม ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนจะนอนต่อ

“ลุกไปอาบไหวมั้ยเนี่ย”

“… ไม่อาบ จะนอน” มันทำเสียงรำคาญ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เห้ย! มาแปลก ปกติมันกับผมรักสะอาดมากๆ เลยนะ ไม่มีหรอกคำว่าซักแห้งถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ถ้าพวกเราไม่ได้อาบน้ำก่อนนอนล่ะก็ให้ตายก็นอนไม่หลับอ่ะ

“เออๆ ๆ นอนไป” ผมเลิกเซ้าซี้เพราะรู้นิสัยแฝดตัวเองดีว่าเป็นคนขี้รำคาญ (ก็เหมือนผมนั่นแหละ เหอๆ) ผมลงไปหาซื้อพาราด้านล่างก่อนจะกลับขึ้นมาบังคับให้ไอ้ภูกินยาแล้วปล่อยให้มันนอนต่อให้เต็มที่

ผมกับไอ้ภูเป็นคนแข็งแรง เวลาป่วย แค่กินยาลดไข้แล้วนอนพัก ตื่นมาก็หายแล้ว

ผมมองไอ้ภูใช้ผ้าห่มม้วนตัวเองเป็นดักแด้ (ไม่ร้อนหรอวะ?) ก่อนจะปิดไฟนอน

หวังว่าพรุ่งนี้มันจะหายดี เพราะยังมีโปรแกรมที่อยากไปอีกเยอะเลย..


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ที ก็รา  ภู-ฟ้า ก็แรง    o22 o22 o22

ที ก็้ อย่างนี้ทุกที ทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจ ทั้งของตัวเองและแฝด

สามคนนี้เคยมีอดีตกันมาแต่เก่าก่อนหรือนี่

คนหนึ่งก็ตัวรุมๆ เป็นไข้ไม่สบาย เพราะตากฝนกันแน่ๆ
เอ๊...........หรือเป็นไข้เลือดออก ก็นอนที่เปลชายหาดกันทั้งคืน  :z3:
แล้วจะพบกันได้อย่างไร
ภูผา ---> ที <--- ฟ้าคราม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อ้าว ภูผา ฟ้าคราม มาเที่ยวสงขลาหรอ พักหาดใหญ่สินะ หอแถว มอ. แน่ๆ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
อ่านแล้วหน่วงๆ สู้ๆแล้วกันทุกคน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หน่วงดีจัง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด