Part I
“พ่อครับ ย่าเป็นอะไร”
“ย่าพลัดลื่นหกล้มในห้องน้ำหน่ะลูก”
ผมวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยังหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล หลังจากแม่โทรมาบอกว่าพ่อกำลังพาย่ามาส่งที่โรงพยาลใกล้บ้าน ขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับจากโรงเรียน ผมเป็นห่วงท่านมากๆ ผมเป็นหลานชายเพียงคนเดียวย่าจะดูแลเอาใจผมเป็นพิเศษ ผมก็รักท่านมากๆ ย่าชอบทำขนมอร่อยๆให้กินเสมอๆ
“คุณหมอครับ ย่าผมเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“คนไข้ปลอดภัยดีครับ ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรที่รุนแรง พักผ่อนสักพักก็กลับบ้านได้แล้วครับ”
“เฮ่อ ค่อยโล่งอกหน่อย” ผมถอนหาย อย่างโล่งอก กอดพ่อเอาไว้แน่นข้างกายด้วยความรู้สึกที่โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกหลังจากที่รู้ว่าย่าของผมปลอดภัยแล้ว
“ย่าเป็นไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนรึป่าว? ” ผมถามย่าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นสุขขณะที่บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยออกมาจากห้องฉุกเฉิน ย่ายิ้มให้ผมพลางยกมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
“แค่กๆ”
“แค่กๆ แค่กๆ”
“ย่าสำลักเหรอครับ ดูสิครับน้ำหมากกระเซ็นโดนเสื้อเปื้อนอีกแล้วเนี่ย ขนาดมาโรงพยาบาลยังไม่หยุดเคี้ยวหมากอีกนะ ดูสิพ่อเสื้อเปื้อนหมดแล้วอ่ะ” ผมถามย่าแบบแซวๆ พลางหันไปยิ้มกับพ่อ
“แค่กๆ แค่กๆ” ย่ายังเหมือนสำลักไม่หยุด ดูสินั่นเสื้อเปื้อนหมดแล้ว
เฮ่อ กิจวัตรของคนแก่ อ่านหนังสือธรรมมะแล้วก็เคี้ยวหมาก สินะ เหอะๆ เพลิดเพลินเหมาะแก่การพักผ่อนของผู้สูงอายุแบบย่าของผมหล่ะ
“แค่กๆ แค่กๆ แค่กๆ” ย่ายังสำลักไม่เลิกอีกเหรอเนี่ยะ ผมเดินนำอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย พลางหันมามองย่า น้ำหมากกระเซ็นมาโดนเสื้อจนเปื้อนไม่พอ ดูสิย้อยไหลไปข้างแก้มแล้ว
“ผมเช็ดให้นะ” ผมเอามือไปเช็ดแก้มให้ย่า เหมือนที่ย่าชอบเอามือมาเช็ดปากให้ผมตอนที่ผมกินขนมเลอะปากตอนเด็กๆ คราบน้ำหมากแดงติดแก้มย่าเหมือนเด็กกินไอติมเปื้อนๆ ไม่มีผิด
แต่ทำไม!!
ทำไมน้ำหมากมันถึงลื่นแล้วก็ข้นนักหล่ะ ผมยกมือขึ้นมาดม กลิ่นมันช่าง คาวๆ คุ้นๆ เหมือนเลือดพิกล
เลือดเหรอ
มันเหมือนเลือดอย่างนั้นเหรอ!!
“พ่อออออออออออ !! ย่าไอออกมาเป็นเลือด” ผมร้องตะโกน อย่างตกใจสุดขีด ย่ายังไอไม่หยุดและมากขึ้นเรื่อยๆ พี่บุรุษพยาบาลวิ่งออกไปตามหมอ ย่าไอไม่หยุดและมากขึ้นเรื่อยๆ หมอวิ่งเข้ามาดูอาการแล้วพยักหน้าให้บุรุษพยาบาล สั่งนู่นนี่อย่างโกลาหล
“แม่ๆ แม่อย่าเป็นอะไรนะ” พ่อผมใจคอไม่ดี วิ่งตามรถเข็น ที่หมอได้เข็นย่าไปแล้ว ผมวิ่งตามไปอย่างติดๆ
“ย่า ย่าอย่าเป็นอะไรนะครับ ย่าต้องอยู่กับผมนะครับ” ผมวิ่งตามรถเข็นตะเบ็งเสียงเซ็งแซ่ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง โดยมีพ่อกอดผมวิ่งไปพร้อมกัน
“พลั่ก”
ผมสะดุดขาตัวเองหกล้มหน้าคว่ำลงพื้น รู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ข้อเท้าพ่อหันมาดูผมบอกพ่อว่าไม่เป็นอะไร หมอวิ่งเข็นเตียงย่าไปแล้วพ่อก็ตามไปติดๆ ผมพยายามลุกขึ้นวิ่งตามไป แต่รถเข็นวิ่งออกไปผมไกลทุกที ผมเจ็บที่ข้อเท้าเหลือเกินผมพยายามวิ่งตามอย่างสุดกำลัง แต่รถเข็นวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ
“ย่าครับ ย่า”
ผมร้องตามอย่างสุดเสียงเหมือนคนจะขาดใจ รถเข็นไกลออกไปเรื่อยๆ ผมพยายามจะวิ่งตาม แต่แล้วผมก็ล้มลงอีก
“ย่าครับ ย่า...................!!”
“ย่า ......................................”
ฝัน
มันฝันอีกแล้วสิเนี่ยะ ผมฝันแบบนี้อีกแล้ว ผมสดุ้งตื่นได้สตินั่งเหนื่อยหอบอยู่บนเตียง ฝันถึงย่าอีกแล้ว ย่าจากผมไปนานหลายปีแล้ว นี่ก็จะสิบกว่าปีแล้วสิเนี่ยะ ผมยังฝันแบบนี้เป็นประจำ ผมหายใจระรินเหนื่อยหอบอยู่บนเตียง แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ววะเนี่ยะ
“ตีห้า สี่สิบห้า งั้นเหรอ วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม” ผมนั่งมองนาฬิกาที่อยู่ข้างเตียงนอน
“20 สิงหาคม งั้นเหรอ” มันวันอะไรวะคุ้นๆ
“20 สิงหาคม 20 สิงหา”
ผมบ่นรำพึงรำพันครุ่นคิดวันอะไร ทำไมมันคุ้นๆ นักวะช่างมัน
เฮ่อ!! แต่ว่าฝันเห็นย่าอีกแล้ว วันนั้นมันเป็นวันที่ย่าจากผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
“20 สิงหา ย่า ย่า 20 สิงหา งั้นหรอ..........”
“ตายห่าแล้วมึง!!” ผมอุทานขึ้นมาพร้อมนึกขึ้นมาได้แล้วว่าวันนี้เป็นวันอะไร
“พ่อครับ เดี๋ยวผม ออกไปตักบาตรนะครับ วันนี้วันครบรอบวันที่ย่าเสีย” ผมเดินลงมาจากห้องนอนหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว
“เออ จริง วันนี้เหรอเนี่ยะ พ่อลืมไปได้ไงกัน อืมนี่ พ่อฝากเราด้วยนะ พ่อมีนัดกับคนที่เขาจะมาเสนอโครงการต่อเติมอาคารแต่เช้าเลย อ่ะนี่เงินซื้อของทำบุญนะลูกซื้อสังฆทานถวายพระท่านด้วย เอาที่มันดูดีหน่อยนะลูก ของที่เราถวายท่านไปบุญกุศลที่เราส่งไปย่าเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เราให้ของที่ดีแก่พระแก่เจ้า บุญกุศลที่คนได้รับที่เราส่งไปให้ก็จะได้สุขสบายนะลูกนะ” พ่อบอกผมพลางยื่นเงินให้ผมหนึ่งพันบาท ผมรับตังค์ แล้วก็ขี่จักรยานไปตลาดใกล้บ้าน ตินถนนใหญ่วัดก็อยู่ใกล้ๆเนี่ยะหล่ะ
ยังเช้าอยู่เลย พระน่าจะออกมาบิณฑบาตแล้วหล่ะมั๊งป่านนี้ ผมก็คิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนปั่นมาถึงตลาด ผมเดินซื้อของตามสิ่งที่ย่าชอบทำให้ผมกินบ่อยๆ ตอนที่ย่ายังอยู่ ย่าชอบทำขนมกับแกงอร่อยๆ ทั้งนั้น
คิดแล้วมีความสุขจริงๆสมัยที่ยังเป็นเด็กเนี่ยะ แกงนี่ย่าก็ชอบทำ ขนมนั่นย่าก็ทำ มีแต่ของที่ย่าชอบทั้งนั้นเลย เหมือนย่ามาเข้าฝันมาบอกเราเหมือนเด็กทวงวันเกิดเลยนะเนี่ยะ มาตลาดก็เจอแต่ของที่ย่าชอบทำให้เราทั้งนั้นเลย คิดแล้วมีความสุขจริงๆ คิดถึงย่าจังเลยครับ อยากกอดอยากหอมย่าจังเลย คิดแล้วชื่นใจจัง
คิดถึงย่าแล้วชื่นใจ แต่พอคิดถึงคนที่อยู่ไกลกัน แล้วมันช่างกลับกันสิ้นดี กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอหน้ากัน เจอกันล่าสุดก็วันที่จะจบจากโรงเรียนเก่า ต่างคนต้องต่างแยกไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง ทำยังไงได้เล่า ต่างคนคนต่างมีหน้าที่ต้องทำนี่นะ เอาแต่ใจเราเองไม่ได้หรอก เขาก็มีหน้าที่ของเขา เราก็มีหน้าที่ของเรานี่หว่า ถ้าเป็นคู่กันจริงป่านนี้ต้องกลับมาเจอกันแล้วหน่ะ จะว่าไปเราเองก็ย้ายมาอีกจังหวัดนึงเหมือนกัน คงจะได้เจอกันอยู่หรอกคิดไปก็ไร้สาระ
ฟ้าคงกำหนดมาแล้วให้เป็นแบบนี้แต่แรกแล้วหล่ะ ตลาดนี่หมาเยอะจังเลยหว่ะ คุ้ยกองขยะเละเทะไปหมด เทศบาลมันไม่ทำหน้าที่สงวนพันธ์หมาจรจัดกันเลยหรือไงวะเนี่ยะ
“พ่อหนุ่มๆ จะใส่บาตรไม่ใช่เหรอ พระมาแล้วนั่น ยืนเหม่ออยู่ได้พระท่านจะได้กลับวัด”
ป้าแม่ค้าบอกผมที่มัวยืนคิดอะไรไร้สาระอยู่ได้ ผมข้ามถนนวิ่งไปฝั่งตรงข้ามของตลาด พระท่านกำลังรับนิมนต์อีกบ้านนึงพอดี
“นิมนต์ ครับหลวงพี่” หลวงพี่ท่านหยุดตรงหน้าผมเปิดฝาบาตรออกมากลิ่นข้าวสวยหอมฟุ้งลอยมาเตะจมูกพาให้หิวข้าววุ๊ย
“วันนี้เป็นวันคล้ายวันเสียของย่าผม เดี๋ยวผมจะขอกรวดน้ำด้วยนะครับ สังฆทานด้วยครับ”
“สังฆทาน สังฆทาน”
"เอ่อ สังฆทาน" ผมหันซ้ายหันขวาตายแล้วกูลืมซื้อมาด้วย พ่อย้ำแล้วเชียวนะ มัวแต่ดูของกิน ลืมจนได้
“เอ่อ หลวงพี่ครับ นิมนต์ รอแป๊บนึงนะครับ ผมลืมซื้อสังฆทาน แหะๆ” ผมหัวเราะเจื่อนๆ กลบเกลื่อนความขี้ลืมของตัวเอง หลวงพี่ท่านก็เหมือนจะกลั้นหัวเราะให้ผมยิ้มๆ อย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า
“แง่งงงงงงงงง แง่งๆๆๆ"
"เอ๊งงงงงง เอ๋งๆๆ”
เสียงหมากัดกัน สงสัยจะแย่งกองขยะกันแหงๆ นั่นไงกูว่าแล้วแม่งแย่งขยะกันแดกอีกแล้ว เทศบาลอยู่ไหนวะไม่มาจับไปตอนให้มันหมดไปซะที สงสารลูกหมาที่ต้องเกิดมาจริงๆ เกลื่อนตลาดไปหมด กัดกันแย่งของกินอยู่ได้ ผมยืนบ่นในใจระหว่างรอข้ามไปอีกฝากของถนน
“โยมมมมมมมมม ระวัง!!”
“ว๊ายยยยยยย” เสียงหลวงพี่ร้องตะโกนเรียกบอกผม ปนกับเสียงของแม่ค้าในตลาด..
......................
Part II
ที่โรงพยาบาล
“คุณหมอครับ ลูกผมอยู่ไหน” ชลธรวิ่งเข้าไปถามหมออย่างร้อนใจเมื่อเห็นหมอออกมาจากห้องฉุกเฉิน หลังจากทราบข่าวว่าลูกชายของตนโดนรถชนที่หน้าตลาดเขารีบมายังโรงพยาบาลทันที
“ใจเย็นๆ ครับ ใจเย็นๆ ลูกคุณคนไหนครับ” หมอเอ่ยบอกอย่างเข้าใจญาติของผู้ป่วยที่ต้องเจอเมื่อเจอเคสอุบัติเหตุเช่นครั้งนี้
“นายพลวัฒน์”
“พลวัฒน์ เอกสวัสดิ์หน่ะหมอเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ชลธรบอกหมออย่างลุกรี้ลุกรนความร้อนใจที่อยู่ข้างในของชลธรที่ห่วงใยต่ออาการของลูกชายของตนนั้นยากแก่การที่จะทำให้เขานิ่งนอนใจได้
“หมอคะหมอลูกดิฉันเป็นยังไงบ้าง ลูกชายดิฉันหน่ะ” สิริยาหญิงสาววัยกลางคนวิ่งเข้ามาถามอีกหนึ่งคน
“คนไหนครับลูกของคุณ เผอิญมีคนไข้สองคน คุณสองคนเป็นสามีภรรยากันหรือเปล่า” หมอเอ่ยถามกลับมา
ทั้งสิริยาและชลธร หันมามองหน้ากัน
“เปล่าครับ/ค่ะ” ทั้งคู่ตอบพร้อมกันเหมือนกับว่านัดกันมาอย่างไรอย่างนั้น หลังจากเมื่อมองหน้ากัน ว่าอีกฝ่ายต่างเป็นคนที่ตนไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เช่นกัน
“ตกลงว่าลูกคุณชื่ออะไรครับคุณผู้หญิง” หมอถามซ้ำ อีกครั้ง
“วชิรา ธรรมสาธร ค่ะ เขาเป็นยังไงบ้างคะ” สิริยา บอกชื่อของลูกชายตน พร้อมถามไถ่อาการของลูกเมื่อทราบว่าลูกชายของตนขับรถชนเข้ากับเสาไฟฟ้า
“ทั้งสองคนปลอดภัยครับ พ้นจากขีดอันตราย แต่ยังต้องรอดูอาการอีกสักระยะ ตอนนี้หมอขอให้พวกเขาอยู่ในห้อง ICU”
“หมอคะแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความปลอดภัย 100% สิคะ” สิริยาถามด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่อทราบว่าลูกชายของตนแค่พ้นขีดอันตรายเท่านั้นแต่ก็ยังวางใจไม่ได้
“นั่นสิครับ” ชลธรเสริมทับคำพูดของสิริยา หมอไม่ได้พูดอะไรต่อพร้อมเดินผ่านทั้งสองคนไปหลังจากเสร็จหน้าที่ของตน
“พ่อครับพ่อ ไอ่พลเป็นไงบ้าง” วุฒิกร กระหืดกระหอบร้อนใจวิ่งเข้ามาถามชลธร หลังจากที่ทราบข่าวจากแม่ค้าในตลาดว่าพลเพื่อนของเขาโดนรถชนที่หน้าตลาดขณะกำลังจะข้ามถนน
“อยู่ในห้องฉุกเฉินอยู่เลยกร หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแต่ยังต้องอยู่ในห้อง ICU” ชลธรเอ่ยบอกเพื่อนของลูกชายตน
“แล้วรู้ตัวคนที่มันขับรถชนพลหรือยังครับ”
“ยังเลยกร”
“ลูกคุณโดนรถชนหรือคะ” สิริยา ที่ยืนฟังทั้งสองคุยกันถามด้วยสีหน้าตกใจ
“ใช่ครับ” ชลธรตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายความกังวลเท่าใดนัก
“หวังว่า..........”
“อะไรหรือครับคุณน้า” กรเอ่ยถามหญิงสาววัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้าของตน
“หวังว่าจะไม่ใช่คนที่ลูกของดิฉัน ขับรถชนหน่ะค่ะ” สิริยาตอบเสียงเครือพร้อมกับสะอื้นร้องไห้เมื่อพอจะทราบว่าชายทั้งสองที่มารอญาตินั้นอาจจะเป็นคนที่ลูกชายของตนประสบอุบัติเหตุร่วมในครั้งนี้
“แม่คะแม่ วิฐเขาเป็นยังไงมั่งคะ” วาริน หญิงสาวในชุดสาวออฟฟิศที่ดูปาดเปรียว วิ่งมาถามสิริยาด้วยอาการร้อนใจไม่ต่างจากบุคคลที่อยู่หน้าห้องฉุกเฉินทั้งสามคน
“ริน” วุฒิกรเอ่ยชื่อเรียกถามหญิงสาวเบื้องหน้าตน
“กร ใช่กรใช่รึเปล่า กรมาทำอะไรที่นี่” หญิงสาวถามกลับเมื่อพบว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าตนนั้นเป็นใคร
“พลมันโดนรถชนหน่ะ แล้วรินหล่ะ”
“วิฐ หน่ะวิฐเขาขับรถชนเสาไฟฟ้า” หญิงสาวตอบสะอื้นไห้ เมื่อจะบอกสาเหตุว่าตนมาทำไม
“วิฐ ไอ่วิฐ ที่พลมัน….” กรถามเพื่อนสาวที่ตนรู้จักเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนเก่าของตนเช่นกัน
“ใช่ วิฐขับรถชนเข้ากับเสาไฟฟ้า ก่อนหน้านั้นก็ชนเข้ากับคนเข้า” รินพยักหน้าตอบพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณน้าครับ คุณน้าเป็นแม่ของวิฐหรือครับ” กรเอ่ยถามเสียงสั่นยังไม่ทันที่สิริยาจะได้เอ่ยตอบกลับไป
พยาบาลวิ่งออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าร้อนรนพร้อมกลับมาพร้อมกลับหมออีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นครับหมอ” ชลธรเอ่ยถามหมอด้วยอาการร้อนใจ
“คนไข้ทั้งคู่เกิดอาการชักขึ้นมาพร้อมกันครับ” หมอตอบอย่างร้อนรนพลางวิ่งเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
“วิฐ ตาวิฐลูกแม่”
สิริยาสะอื้นไห้หลังจากทราบอาการล่าสุดของลูกชายตน ไม่ต่างกับชลธรที่สีหน้าเคร่งเครียดด้วยความห่วงใยลูกชายของตนไม่แพ้กัน
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นญาติของผู้ประสบอุบัติเหตุหรือเปล่าครับ” ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามพร้อมตำรวจอีกสองนาย และพระภิกษุรูปหนึ่ง
“ใช่ค่ะ/ครับ” สิริยาและชลธรตอบรับในคำถาม
“คือ พระรูปนี้ท่านอยู่ในเหตุการณ์และก็เป็นคนที่พูดคุยคนสุดท้ายกับผู้ที่โดนรถชน ทางเราจึงขอให้ท่านช่วยบอกเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง และท่านก็ยินดีเราจึงนิมนต์ท่านมาด้วย” ตำรวจเอ่ยบอกพร้อมแนะนำพระสงฆ์ที่มาพร้อมกับตำรวจ
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะโยม ลูกชายของโยมหน่ะเขานิมนต์อาตมาให้รับบาตรจากเขาแล้วเขาบอกว่าจะถวายสังฆทานด้วยแต่ลูกชายของโยมลืมซื้อเลยบอกให้อาตมารอเขาก่อน เขาก็รีบข้ามถนนไป แต่ก็มีรถอีกคันวิ่งมาเร็วมากได้หักหลบฝูงสุนัขที่กัดกันอยู่ข้างถนนแล้วก็เสียหลักได้มาชนเข้ากับลูกชายของโยมแล้วก็ไปชนเข้ากับเสาไฟฟ้า เรื่องราวก็เป็นดังที่อาตมาเล่านี่หล่ะโยม”
“ลูกคุณขับรถชนลูกของผมอย่างนั้นหรอ” ชลธลร้องถามสิริยาหลังจากได้ฟังเรื่องราวด้วยความเกรี้ยวกราด
“เขาไม่ได้ตั้งใจ คุณก็ได้ยินอย่างที่พระท่านเล่ามาว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ก่อนออกจากบ้านลูกชายของฉันบอกว่าวันนี้เขามีงานต้องไปติดต่อให้บริษัทที่เขาทำงานและงานนี้เป็นงานชิ้นแรกของเขาและเป็นงานชิ้นสำคัญเขาตั้งใจมากๆ และเขาก็บอกว่าเป็นงานที่เขาหวังไว้สูงมากที่สุดที่เขาเฝ้ารอ แต่ก็ประสบอุบัติเหตุเข้าซะก่อน”
“ผมก็มีนัดเจรจางานเหมือนกันเพราะลูกของคุณนั่นหล่ะทำให้ผมต้องยกเลิกงานนี้ไป” ชลธรต่อว่าสิริยาที่ลูกชายของหล่อนขับรถชนลูกของตนที่ทำให้ตนต้องเสียงาน
“มันเป็นอุบัติเหตุนะโยม ไม่มีใครอยากให้เกิดทั้งนั้น” พระสงฆ์กล่าวเสริม ก่อนจะเดินถอยออกไป
“นั่นสิครับคุณพ่อ คุณน้าครับ ใจเย็นๆนะครับ เราทั้งหมดต่างไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมามันเป็นอุบัติเหตุ” กรกล่าวเสริมพร้อมวารินยืนโอบกอดสิริยาไว้ด้วยความกังวลไม่ต่างจากทุกคน
“คุณอาคะคุณอาใช่ คุณชลธร เอกสวัสดิ์ หรือเปล่าคะ” รินเอ่ยถามชายสูงวัยเบื้องหน้าของหล่อน
“ใช่ แล้วก็เป็นพ่อของคนที่โดนรถชนนี่ด้วย” ชลธรตอบเสียงกร้าวสีหน้าเครียด
“ถ้าเช่นนั้นก็…เป็นคนที่วิฐจะเสนอโครงการต่อเติมวันนี้แล้วก็เป็นพ่อของพลด้วยสิ” วารินพูดออกมากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“พ่อครับ หมอออกมาแล้วครับ” กรบอกเมื่อเห็นหมออกมาจากห้องฉุกเฉิน และไฟห้องถูกดับลง
“คุณหมอคะลูกของดิฉันเป็นอย่างไรบ้าง”
“ลูกของผมหล่ะหมอ ไอ่พลลูกผมเป็นไงบ้างหมอ” ทั้งชลธรและสิริยา ต่างแย่งกันถามไถ่อาการของลูกชายของตนด้วยความห่วงใยของหัวอกของคนเป็นพ่อและแม่
หมอยืนนิ่งไปสักพัก
“พวกคุณทำใจดีๆ นะครับ” หมอเอ่ยสีหน้านิ่งเฉย
“คุณไม่ได้หมายความแบบนั้นใช่หรือเปล่าคะหมอ”
“ลูกผมเป็นอย่างไรบ้างหมอ” ทั้งสองพูดเสียงเครือปนสะอื้นไห้
“ทางเราได้พยายามสุดความสามารถแล้ว คนไข้ทั้งสองเกิดอาการทนพิษบาดแผลไม่ไหวขึ้นมาพร้อมกันเราต่างพยายามทุกวิถีทาง ทั้งสองต่างสิ้นใจพร้อมกันครับ”
“ตาวิฐ”
เมื่อสิ้นเสียงสิริยาก็เป็นลมสลบไป ซึ่งไม่ต่างกับชลธรที่ยังยืนเหม่อลอยกับสิ่งที่ได้ยินเหมือนโลกทั้งใบแตกสลายความหวังที่มีเลือนหายไปตรงหน้า น้ำตาไหลปริ่มอาบสองแก้มของผู้เป็นพ่อ
“แม่คะ แม่ฟังรินนะคะ ตอนนี้วิฐจากเราไปแล้ว วิฐ ไปสบายแล้วค่ะแม่ หลับอย่างเป็นสุขอยู่ข้างๆคนที่เขารักแล้วค่ะแม่” รินร้องไห้เสียงเครือพูดปลอบแม่ของเพื่อนตนเอง
“พ่อครับพลมันก็ได้หลับสบายอยู่ใกล้ๆคนที่มันรักแล้วเช่นกันครับพ่อ”
ทั้งวุฒิกรและวารินต่างสะอื้นไห้มองหน้ากันเมื่อทราบว่าเพื่อนของทั้งคู่จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับคงเหลือไว้เพียงความทรงจำของพวกเขาที่จะจดจำไปตลอดว่าทั้งคู่จากไปพร้อมๆกัน
"พลกับวิฐ เขาคงได้เจอกันแล้วหล่ะกร" วารินบอกเพื่อนชายของเธอด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่าทั้งสองจากเราไปไม่หวนกลับและเขาก็ได้เดินทางไปยังภพหน้าที่สุขสบาย
......................
Part III
“พ่อครับ ย่าเป็นอะไร”
“ย่าพลัดลื่นหกล้มในห้องน้ำหน่ะลูก”
ผมวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยังหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล หลังจากแม่โทรมาบอกว่าพ่อกำลังพาย่ามาส่งที่โรงพยาลใกล้บ้าน ขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับจากโรงเรียน ผมเป็นห่วงท่านมากๆ ผมเป็นหลานชายเพียงคนเดียวย่าจะดูแลเอาใจผมเป็นพิเศษ ผมก็รักท่านมากๆ ย่าชอบทำขนมอร่อยๆให้กินเสมอๆ
“คุณหมอครับ ย่าผมเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“คนไข้ปลอดภัยดีครับ ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรที่รุนแรง พักผ่อนสักพักก็กลับบ้านได้แล้วครับ”
“เฮ่อ ค่อยโล่งอกหน่อย” ผมถอนหาย อย่างโล่งอก กอดพ่อเอาไว้แน่นข้างกายด้วยความรู้สึกที่โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกหลังจากที่รู้ว่าย่าของผมปลอดภัยแล้ว
“ย่าเป็นไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนรึป่าว? ” ผมถามย่าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นสุขขณะที่บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยออกมาจากห้องฉุกเฉิน ย่ายิ้มให้ผมพลางยกมือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
“แค่กๆ”
“แค่กๆ แค่กๆ”
“ย่าสำลักเหรอครับ ดูสิครับน้ำหมากกระเซ็นโดนเสื้อเปื้อนอีกแล้วเนี่ย ขนาดมาโรงพยาบาลยังไม่หยุดเคี้ยวหมากอีกนะ ดูสิพ่อเสื้อเปื้อนหมดแล้วอ่ะ” ผมถามย่าแบบแซวๆ พลางหันไปยิ้มกับพ่อ
“แค่กๆ แค่กๆ” ย่ายังเหมือนสำลักไม่หยุด ดูสินั่นเสื้อเปื้อนหมดแล้ว
เฮ่อ กิจวัตรของคนแก่ อ่านหนังสือธรรมมะแล้วก็เคี้ยวหมาก สินะ เหอะๆ เพลิดเพลินเหมาะแก่การพักผ่อนของผู้สูงอายุแบบย่าของผมหล่ะ
“แค่กๆ แค่กๆ แค่กๆ” ย่ายังสำลักไม่เลิกอีกเหรอเนี่ยะ ผมเดินนำอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย พลางหันมามองย่า น้ำหมากกระเซ็นมาโดนเสื้อจนเปื้อนไม่พอ ดูสิย้อยไหลไปข้างแก้มแล้ว
“ผมเช็ดให้นะ” ผมเอามือไปเช็ดแก้มให้ย่า เหมือนที่ย่าชอบเอามือมาเช็ดปากให้ผมตอนที่ผมกินขนมเลอะปากตอนเด็กๆ คราบน้ำหมากแดงติดแก้มย่าเหมือนเด็กกินไอติมเปื้อนๆ ไม่มีผิด
แต่ทำไม!!
ทำไมน้ำหมากมันถึงลื่นแล้วก็ข้นนักหล่ะ ผมยกมือขึ้นมาดม กลิ่นมันช่าง คาวๆ คุ้นๆ เหมือนเลือดพิกล
เลือดเหรอ
มันเหมือนเลือดอย่างนั้นเหรอ!!
“พ่อออออออออออ !! ย่าไอออกมาเป็นเลือด” ผมร้องตะโกน อย่างตกใจสุดขีด ย่ายังไอไม่หยุดและมากขึ้นเรื่อยๆ พี่บุรุษพยาบาลวิ่งออกไปตามหมอ ย่าไอไม่หยุดและมากขึ้นเรื่อยๆ หมอวิ่งเข้ามาดูอาการแล้วพยักหน้าให้บุรุษพยาบาล สั่งนู่นนี่อย่างโกลาหล
“แม่ๆ แม่อย่าเป็นอะไรนะ” พ่อผมใจคอไม่ดี วิ่งตามรถเข็น ที่หมอได้เข็นย่าไปแล้ว ผมวิ่งตามไปอย่างติดๆ
“ย่า ย่าอย่าเป็นอะไรนะครับ ย่าต้องอยู่กับผมนะครับ” ผมวิ่งตามรถเข็นตะเบ็งเสียงเซ็งแซ่ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง โดยมีพ่อกอดผมวิ่งไปพร้อมกัน
“พลั่ก”
ผมสะดุดขาตัวเองหกล้มหน้าคว่ำลงพื้น รู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ข้อเท้าพ่อหันมาดูผมบอกพ่อว่าไม่เป็นอะไร หมอวิ่งเข็นเตียงย่าไปแล้วพ่อก็ตามไปติดๆ ผมพยายามลุกขึ้นวิ่งตามไป แต่รถเข็นวิ่งออกไปผมไกลทุกที ผมเจ็บที่ข้อเท้าเหลือเกินผมพยายามวิ่งตามอย่างสุดกำลัง แต่รถเข็นวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ
“ย่าครับ ย่า”
ผมร้องตามอย่างสุดเสียงเหมือนคนจะขาดใจ รถเข็นไกลออกไปเรื่อยๆ ผมพยายามจะวิ่งตาม แต่แล้วผมก็ล้มลงอีก
“ย่าครับ ย่า...................!!”
“ย่า ......................................”
ฝัน
ฝันมันคงเป็นฝันอีกแล้วใช่ไหม ตื่นสิตื่น
ฝันแบบนี้อีกแล้ว ตื่นสิ ฝันซ้ำๆ ซากๆ อีกแล้ว
“พล”
“นั่นพลใช่หรือเปล่า”
ใครนั่นเสียงใคร เสียงใครนะคุ้นหูเหลือเกิน
“พล ใช่พลจริงๆ ด้วย พลมานั่งทำอะไรตรงนี้”
“วิฐ"
"วิฐจริงด้วยเราวิ่งตามรถเข็นของย่าแล้วเราหกล้มขาแพลง เราลุกไม่ไหว เราจะไปหาย่า”
“งั้นขึ้นหลังเรานะ แล้วเราจะไปส่งพลไปตามหาย่าของพลกัน เราจะไปด้วยกันนะพล จากนี้เราจะก้าวไปพร้อมกันนะพล”
ฟ้า......................ฟ้าคงกำหนดมาแล้วให้เป็นแบบนี้แต่แรกแล้วหล่ะสินะจบแล้ว คร๊าบบบบบบบบบบบบบบ