Ghost Day - 4 : เพื่อนคนเห็นผี หากเป็นเพื่อนผี...น่ารักอ่ะ!
Warm Welcome, My Soulmate!-เป็นผีร่วมหอไม่ต้องรอให้ลงโรง!
ตะวันมองซ้ายแลขวาลอยตัวชะโงกดูเพื่อนคนแรกที่ตอนนี้โดนห้อมล้อมไปด้วยแพทย์และพยาบาลหลายคน ด้วยมุมสูงที่ตัวเองลอยตัวมองดูเหตุการณ์ความวุ่นวายโกลาหนตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มใจคอไม่ดี สีหน้าหมอและพยาบาลมีความกังวลอย่างหนักเมื่อดวามดันของซูกุเทินตกลงเรื่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ‘อ้าว? คุณพี่โคม่า!’ ณาญลอยได้เห็นร่างคนคุ้นตามองดูตัวเองกำลังถูกรุมรักษาบนเตียงคนไข้ ร้องทักด้วยความตกใจ
“เย็นสวัสไอ้หนู” หนุ่มหน้าคมยืนหน้ามึนดูเหตุชุลมลทางการแพทย์ เจ้าตัวยืนกอดอกโก่งคอมองขั้นตอนการรักษาเหมือนได้ดูหนังสารคดี
‘คุณเพ่! มายืนทำไรตรงนั้นครับ กลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้เลย!’ เจ้าคนน้องชี้ไม้ชี้มือให้กลับไปนอนบนเตียงคนไข้
“เข้ายังไงล่ะ” ซูกุเทินยักไหล่จนต่อปัญหาไม่ใช่ว่ารอให้ผีเด็กหนุ่มมาบอกแต่ได้ลองหลายวิธีแล้วไม่ประสบผลจนต้องมายืนงงอยู่ตรงนี้
‘พี่ออกมายังไงล่ะ?’ เด็กขึ้สงสัยถามถึงสาเหตุที่ร่างจริงดีดร่างคุณพี่โคม่าออกมา สำหรับตัวเขาเองไม่ได้โดนร่างจริงดันออกแต่เขาลุกขึ้นมาเองแต่ตัวร่างเนื้อยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม
“นายเคยโดนถีบไหม แบบเดียวกันเลย” คำตอบกวนๆ พี่แกคงจะโคม่านานเกินไปจนหงุดหงิด หรือไม่ก็อาจกำลังอารมณ์เสียที่ตัวเองต้องระหกระเหินออกจากร่าง
‘ผมเคยแต่โดนโอ๋ แบบคุณชายน่ะคุณพี่’ เห็นผมแบบนี้แล้วจะไปมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นได้อย่างไรพูดอะไรไม่คิดเลยคุณพี่นี่
‘เดี๋ยวก่อนนะ! พี่เห็นผมแล้วใช่ไหมแบบมองเห็นหน้าน่ะ’ ร่างที่เคยเห็นว่าโปรงแสงรอยวูบมาอยู่ตรงหน้าเจ้าของร่างโคม่าจนคนมองเห็นด้วยตาเนื้อถึงกับสะดุ้งตกใจ
“อืม! อย่างนั้นล่ะใครอยากจะเห็นกัน” เสียงตอบอ้อมๆ แอ้มๆ เมื่อโดนจับได้ว่าสามารถเห็นหน้าตาที่แท้จริงของร่างโปรงแสงชัดเจนแล้ว เป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปแต่ทำไมทำตัวเหมือนเด็กน้อยวัยพึ่งหย่านมถ้ามาอยู่ในบ้านเมืองเขาคงได้หนีออกจากประเทศแน่
ตะวันเองก็มองพิจารณาร่างณาญของยูกุเทินเช่นกัน ปกติเขามองเห็นหน้าไม่ชัดนักเพราะหน้าของพี่ชายโคม่ามีผ้าพันแผลปิดไว้ครึ่งหน้าแล้วไหนจะสายเครื่องมือแพทย์ต่างๆ พาดผ่านระโยงระยางทั่วไปหมด
ใบหน้าสุขุมดูดีแบบแปลกๆ ทั้งเท่ห์และน่ากลัวมีพลังทรงอำนาจ สู้พี่ทรรศก็ไม่ได้หล่อหน้าใสประกายอบอุ่นน่าอยู่ใกล้มากกว่าพี่ซุกท์เยอะเลย หรือพี่เขาอาจเป็นหนุ่มสายหล่อแนวลึกลับหล่อจนขนหัวลุก!
บรื้อ! น่ากลัวชะมัดตัวเขาเป็นผียังสั่นเลย ‘พี่รู้ไหมเกิดอะไรขึ้นกับร่างพี่’ ตะวันวกกลับมาเรื่องของคนหลุดออกจากร่างเมื่องมองพิจารณาหน้าตาพี่สุดเท่ห์จนพอใจแล้ว
“ได้ยาฉีดเหมือนปกติ ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะไอ้น้อง” เขาคิดทบทวนหตุการณ์ก่อนหน้าที่น้องผีจะทัก กลับไปทบทวนอีกสักครั้งอาจไปสะดุดกับเหตุที่ทำให้เขาแยกร่างได้แบบนี้
‘ตะวัน! ผมชื่อตะวัน’ เด็กหนุ่มย้ำชื่อตัวเองอีกครั้งจะมาเรียกไอ้น้องๆ รู้จักกันแล้วก็ต้องเรียกชื่อเสียงเรียงนามสิ มารยาทสังคมคุณพี่ซุกท์! โปรดใช้กับเด็กอย่างผมด้วย
“อ่า! ตาวาน ตาหวัน ตาหวาน ทะวาน!” คนกวนโมโหไล่เสียงเล่นคำแกล้งน้องชายหน้าตาน่าชังมองแล้วอยากจะกระเซ้าแหย่เล่น
‘ฮึ่ม!’ ได้ผลสมดังใจตะวันเบิกตาโตหน้าตาโมโหสุดๆ ที่ใครๆ ต่างออกเสียงชื่อเขาไม่ได้ ยากตรงไหนแค่สองคำสั้นๆ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทวาร! ทะวาน! ฟังแล้วอยากเอามือปิดก้น! แล้วยังจะมาตาหวาน! นี่ตาทั้งสองข้างของเขาประกายสดใสเหมือนในการ์ตูนตาหวานหรือไง
“ฮ่ะๆ ตะวัน!” คนขี้แกล้งพออกพอใจยอมเรียกชื่อที่ถูกต้องง้อคนหน้างอให้อารมณ์ดีขึ้น แปลกใจว่าทำไมไม่กังวลกับเรื่องของตัวเองเสียก่อนถ้ากลับเข้าร่างไม่ได้คงได้อยู่กับเจ้าเด็กตะวันนี้ไปตลอดชีวิตแน่
‘โห้ย! พี่แกล้งผมเหรอ!’ คนตัวเล็กอยากจะวิ่งไปต่อยพุงคนชอบแหย่นัก อยากจะตั้นหน้าหล่อๆนั่นด้วย แต่คงสุดปลายมือเพราะความสูงนี่สิหรือต้องลอยตัวต่อย! โอ้ย! เรื่องชกต่อยใช้กำลังตัดสินมันไม่ใช่แนวคนอย่างเขา
“แต่พี่เหาะอย่างนายไม่ได้หรอกนะ” ซูกุเทินกระเซ้าอีกไม่เบื่อที่เห็นเด็กรุ่นน้องกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กน้อยเมื่อไม่พอใจ ทั้งที่ปกติเบื่อเสียงเจี้ยวจ้าวของเจ้าตัวเสียนี่กระไร
‘แน่สิ ทำอย่างผมได้พี่ก็ต้องนอนนิ่งติดเตียงเหมือนผมสิ’ ตะวันตอบตามความจริงเจ้าชายนิทราอย่างเขาต่างกับอาการโคม่าของพี่ซุกท์
คำตอบของน้องทำให้คนเป็นผู้ใหญ่อย่างซูกุเทินสะอึกเล็กน้อยที่พูดโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของตะวัน ตั้งแต่ร่างโปร่งแสงวนเวียนมาหาเขาทั้งวี่ทั้งวันเขายังไม่เคยถามเจ้าตัวเลยว่าเป็นมาอย่างไร ‘พี่ไม่ลองเข้าไปนอนทับร่างพี่ล่ะ’ คนไม่ได้คิดอะไรยังคงเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าเรื่องตัวเอง กลัวว่าพี่โคม่าน่าจะตกใจเหมือนเขาตอนที่ลอยออกจากร่างครั้งแรก
“ทำแล้วก็โดนยันออกมา ได้แต่ยืนดูอยู่รอบๆ ทำอะไรไม่ได้” เสียงติดตลกขี้เล่นทุ้มต่ำลงเล็กน้อยตาของเขาจับจดไปที่แพทย์ผู้มาสมทบใหม่
‘คุณหมอดีแลนท์!’ ตะวันจำนายแพทย์ที่เดินนำหน้าเข้าห้องมาคนแรกได้ติดตาถนัดใจ
“นายรู้จักหรือ” เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เมื่อเห็นแพทย์อีกคนที่เดินตามหลังมา
‘รู้สิครับ ท่านเป็นหมอคนแรกที่ดูแลผม อ่ะ! จริงด้วยผมลืมไปเลยมีคุณหมอมาใหม่เรียกชื่อผมกับพี่ด้วยนะครับ คนนั้นไงพี่ซุกท์’ “เกิดอะไรขึ้นหรือหมอ” หมอศาสตราจารย์เอ่ยปากถามประเมินสถานการณ์ว่าอาจเป็นไปในทางที่ไม่สู้ดี
หมอผู้ช่วยรายงานอาการของคนไข้โคม่าที่คงที่มาแล้วหลายวันกลับทรุดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจารย์หมอรีบหยิบชาร์ตคนไข้ไล่อ่านรายงานอาการคนไข้แต่ไม่พบความผิดปรกติอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุ
“ครั้งสุดท้ายให้ยาฉีดอะไรไปบ้างรายงานผมมา คนไข้อาการทรงตัวมาตลอดทำไมถึงอาการแย่ลงล่ะ” หัวหน้าแพทย์ถามอย่างตรีงเครียด
“คือว่า...หมอดีแลนท์ค่ะช่วงบ่ายมีคุณหมอท่านหนึ่งมาตรวจคนไข้ค่ะ” พยาบาลตอบเสียงอ่อยๆ ไม่คาดคิดว่าความไม่รอบคอบครั้งเดียวของเธอทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
“ใคร? ทำไมผมไม่รู้ว่ามีหมอใหม่มาเพิ่ม” คนเป็นหมอพูดเสียงค่อนข้างดังแต่ไม่ได้คำตอบจากใคร
“การดูแลพวกคุณหละหลวมเกินไปนะ นี่เป็นเคสพิเศษคุณจะให้คนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอมาตรวจคนไข้โดยไม่ถามไถ่หรือแสดงบัตรหรือไง อย่างน้อยต้องรีบโทรบอกผมสิ” เสียงบ่นจากหัวหน้าหมอดังกว่าปกติจนญาณสองตนถึงกับมองหน้ากัน
คนพี่ถามตะวันว่าปกติหมอท่านเป็นคนดุดันขนาดนี้เลยหรือเปล่าคำตอบที่ได้คือเขาใจดีมากตัวน้องไม่เคยเห็นหมอเป็นแบบนี้เหมือนกัน
อาจารย์หมอแซคคารีนรีบรับช่วงต่อจากหมอดีแลนท์ ไม่บ่อยนักที่ดีแลนท์จะอารมณ์เสียแบบหยุดตัวเองไม่อยู่แบบนี้ ดูท่าแล้วลูกชายในนามของท่านเลขาฯ เป็นบุคคลสำคัญมากกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
การทำงานสุขุมสั่งการเป็นขั้นเป็นตอนทำให้สถานการณ์คลี่คลายและบรรยากาศที่หนักหน่วงเบาลงด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มละมุนหูฟังสบายของยอดหมอนักวิจัย การสืบหาความผิดปกติทำเป็นกระบวนการอย่างรวดเร็วเมื่อผลการตรวจเลือดส่งตรงมาถึงมือทีมวิจัย
“เครื่องประดับโดนวางยาแล้วล่ะหมอดีแลนท์” ผลของเลือดไม่ชัดเจนนักแต่คนผ่านงานวิจัยมานักต่อนักไม่คิดว่าผลที่ดูน่าปกติแต่ค่าเลือดสมบูรณ์เกินไปสำหรับคนไข้อาการสาหัสเช่นนี้ หากผลเลือดไม่ถูกทำขึ้นมาใหม่ก็น่าจะเป็นปฏิหาริย์ที่ร่างโคม่าจะเริ่มกลายเป็นคนไข้ระดับปกติ
“เรามีปัญหา!” เสียงหมอดีแลนท์โทรรายงานรองเลขาฯ ทันที ความปลอดภัยของลูกชายที่เซบาสเตียนเคยกังวลเป็นจริงแล้วในวันนื้ ปลายสายไม่ได้ตอบอะไรกลับมามากนัก เขารับรู้ด้วยคำสั่งแสนสั้นว่าเขาจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพิเศษของซูกุเทินไปถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วและตอนนี้คนถืออำนาจใหญ่ที่สุดในที่นี้เร่งสอบสวนสถานการณ์ด้วยการซักฟอกผู้เกี่ยว ข้องทุกคนและขยายผลไปถึงคนรอบตัวด้วย วงจรปิดถูกสั่งให้ตรวจสอบอย่างละเอียดมามีใครเข้าออกบริเวณนี้บ้าง
‘เล่นใหญ่มาก พี่เป็นเจ้าชายบ้านไหนเมืองไหนหรือครับเนี่ย?’ ตะวันสังเกตการณ์ด้วยความสนอกสนใจ
คนไข้โคม่าอาการทรุดลงแพทย์คนสำคัญจะต้องร่วมด้วยช่วยกันรักษาและต่อว่าพยาบาลที่เผลอเลอในหน้าที่จริงจังขึงขังขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ คนมีชื่อเสียง ดาราเซเลป ก็ต้องเป็นเจ้าคนนายคนสักประเทศหนึ่ง
“ก็คงเป็นคนสำคัญล่ะมั้ง ตาหวานถามทำไมล่ะ” เจ้าของเรื่องไม่ได้ทุกข์ร้อนมากนักแม้จะไม่ได้อยู่ในร่างจริงของตัวเอง เขาให้คำนิยามตะวันเสียใหม่เพราะดวงตาน้องคู่นั้นสุขใสสว่างไสวไร้มลทินเป็นเด็กน้อยจิตใจดี
ต่างจากเด็กผู้ชายในบ้านเมืองของเขาเหมือนอยู่คนละโลก หากบ้านเมืองสงบสุขเขาคงได้เจอเด็กหนุ่มแบบตะวันมากขึ้นหรือเปล่านะ
‘จิส์ ตะวันสิ อะไรกันเนี่ย’ ฟังแล้วสะดุดชื่อใหม่ของตัวเอง นี่เป็นคำแนวไหนอีกล่ะเนี่ยนอกจากทวารยังจะมี ‘ตาหวาน’ นี่อีก เมื่อครู่ยังออกเสียงตะวันได้ถูกต้องอยู่เลยไหงเปลี่ยนอีกแล้วล่ะ
‘ตกลงพี่ซุกท์เป็นใคร บอกผมได้แล้วอย่าแถไถ’ คนถามรอคำตอบอย่างจริงจัง
“ก็แค่คนบนดินแดนเล็กๆ มีพื้นดินกระหย่อมหนึ่ง มีทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา” ซูกุเทินเล่าสภาพบ้านเมืองตัวเองให้เด็กน้อยในสายตาตัวเองฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในความคิดและในสายตาของเขาแล้วประเทศที่เขามีคือสิ่งที่สวยที่สุดตั้งแต่เขาเติบโตมา
‘พี่โคม่าจนเพี้ยน!’ ร่างเด็กหนุ่มลอยมาจ้องหน้าเขาสำรวจตรวจตราความผิดปกติที่ตอบคำถามคนปกติได้ไกลจนเกินเข้าใจ
“ถ้าตายคงยิ่งกว่าสำคัญ” พี่ใหญ่ลอยหน้าลอยตาตอบกวนๆ ส่งๆ ไป ไม่จำเป็นเลยที่เด็กตะวันจะต้องมารับรู้เรื่องราวและหน้าที่การงานของเขาอย่างน้อยให้เขาอยู่แบบคนไร้เกราะป้องกันใดๆ แบบคนธรรมดาทั่วไปดูบ้างถึงจะเป็นร่างจำแลงในตอนนี้มันน่าจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดี
‘อะไรกัน พูดจาไม่รู้เรื่อง ช่วยพูดภาษาเดียวกันด้วยสิครับคุณพี่’ เด็กน้อยในสายตาคนหนุ่มเริ่มไม่พอใจคำตอบที่ได้รับ ลอยตัวจ้องหน้ามือกอดอกหน้าตาพร้อมจะวิ่งเข้าฟัดใส่เขาทันทีถ้าพูดไม่เข้าหูอีกครั้งเดียว
“เราจะยืนคุยกันตรงนี้เหรอ” พี่โคม่าถามเสียงอ่อนลงญาณคนเล็กก็อ่อนตาม เป็นเด็กน้อยว่าง่ายน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
‘แล้วพี่อยากจะไปคุยที่ไหนร่างพี่อยู่นี่’ ตะวันหันไปมองร่างพี่เขาที่กำลังมีเหล่าแพทย์พยาบาลช่วยกันเตรียมการย้ายคนไข้คนสำคัญไปยังสถานที่อื่น
‘โอ้ว! อะไรอีก? เกิดอะไรอีกล่ะเนี่ย!’ น้องชายต่างชาติตาโตมือไม้กวัดแกว่งห้ามปรามเหมือนตัวเองจะหยุดการกระทำนั้นได้
‘หยุดเลยน้า!’ จะย้ายเพื่อนพี่ผีคนแรกของเขาไปไหนเขาไม่อยากเหงาเหว่ว้าอยู่คนเดียวที่นี่อีกแล้วสองปีมานี้เขาเบื่อจนร่างโปร่งแสงจะสลายกลายเป็นอากาศอยู่โรงพยาบาลนี้แล้ว
ยูกุเทินมองตะวันทำท่าทางประหลาดๆ เอะอะโวยวายเหมือนว่าคนอื่นจะได้ยินได้เห็นอย่างนั้นแหล่ะ เขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้รอยยิ้มที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าตัวแปลกใจว่านานแค่ไหนแล้วที่กล้ามเนื้อรอบริมฝีปากไม่ได้ถูกยกแย้มยิ้ม น่าสนใจจริงๆ นะเจ้าเด็กน้อยตะวัน มีกลุ่มคนมาใหม่ปิดปังหน้าตาสวมชุดกาวน์สีเข้ม หน้าตาเข้มนิ่งขรึมหนึ่งในนั้นบอกว่าจะมาทำหน้าที่รับคนไข้รายนี้ไปดูแลต่อด้วยตัวเอง พร้อมแสดงบัตรประจำตัวและจดหมายแสดงเจตจำนงค์และอำนาจในการพาคนไข้คนสำคัญเปลี่ยนผ่านการดูแลไปยังหน่วยงานอื่น คราวนี้พยาบาลคนเดิมไม่พลาดที่จะโทรแจ้งหัวหน้าแพทย์และบอกผู้ช่วยให้รีบโทรหาผู้อำนวยการให้รีบมาตรวจสอบสถานการณ์ ผู้ช่วยพยาบาลผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินออกหน้ารับเอกสารมาตรวจสอบถ่วงเวลาให้คนสำคัญทั้งสองมายังสถานที่แห่งนี้เสียก่อน อำนาจหน้าที่ของบุคลากรที่นี่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจและไม่มีใครคิดทำเกินหน้าที่
หนุ่มโคม่าคิดไว้ในใจว่าท่านเลขาฯ คงไม่ปล่อยให้สถานการณ์ผิดพลาดเกิดขึ้นกับเขาได้อีก คนกลุ่มที่มาคือเหล่าคนสนิทของตัวเขาเอง ไม่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองต้องอยู่สภาพนี้เขารู้สึกสบายใจมากที่ไม่พาคนของเขาเข้าขบวนระเบิดนั้นไปด้วย
เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ได้ทำงานใหญ่เพื่อประเทศมาหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือการที่คนของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บไปกับความบุ่มบ่ามและความทะนงตนในความแกร่งกล้าของตัวเองเกินไป
ผู้อำนวยการมาพร้อมกับลุงสองผู้เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลแห่งนี้และโรงพยาบาลในเครือ บุคคลกรของโรงพยาบาลทำความเคารพพร้อมแจ้งเรื่องและเอกสารของรับตัวผู้ป่วย
“ผมเตรียมห้องพิเศษไว้แล้ว พวกคุณย้ายคนของคุณตามผมมา ผู้อำนวยการช่วยเรียกศาสตราจารย์...” ยังไม่ทันส่งการจบคนที่ท่านผู้บริหารอยากพบก็มาถึงห้องคนไข้เรียบร้อย
“ผมมาแล้วครับและนี่เลขาท่านรองฯ” แพทย์นักวิจัยมาพร้อมกับบัดด์คนสนิทของท่านเลขาฯ คนทั้งคู่เคยพบกันมาก่อนแล้วพวกเขาจับมือทักทายตามปกติและพยักหน้าทักกลุ่มคนเสื้อกาวน์สีเข้มที่ยอมรับในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์
‘เฮ้! เขาจะย้ายคุณพี่จริงๆ แล้วนะ’ มือไม้ดึงร่างพี่ผีให้เข้ามาใกล้ร่างของตัวเอง เด็กหนุ่มมองลุงสองที่ไม่เคยแสดงตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้หากไม่มีเรื่องสำคัญ ยากที่จะเดาเหตุการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ต่อจากนี้
‘ต่อไปเขาต้องยุ่งมากขึ้นแน่ๆ’ ตั้งแต่ได้เจอพี่โคม่าชีวิตผีของเขาตื่นเต้นได้ตลอดเวลากลายเป็นว่าทุกวันผีน้อยๆ อย่างเขาไม่ต้องลอยไปนั่นลอยมานี้ไร้สาระไม่มีแก่นสารอีกต่อไปแล้ว แต่เขายังต้องนอนเรียนนอนกายภาพด้วยนี่นาถึงจะน่าเบื่อแต่ก็ต้องทำล่ะนะ
ขณะเคลื่อนย้ายคนไข้ร่างญาณของซูกุเทินถูกลากให้เดินตามคนกลุ่มนั้นไปด้วยโดยอัตโนมัติ ส่วนเด็กผีตะวันลอยตัวโชว์หน้าชูคอเหมือนนักข่าวตามติดสถาณการณ์สำคัญไม่มีผิด
คนที่ร่วมการย้ายเขามีศาสตราจารย์ ผู้บริหาร บัตด์และคนของตัวเองไม่นับสองญาณที่ตามกลุ่มคนนี้มาด้วยล่ะนะ
“เรื่องเป็นยังไงกันท่านศาสตราจารย์แซค” คนเป็นลุงถามแพทย์ที่ถูกเซบาสเตียนแนะนำให้ทำการวิจัยเคสของหลานชาย
“มีคนลอบวางยาลูกชายท่านเลขาฯน่ะ” จากการดูกล้องวงจรปิดโดยรอบเห็นแล้วว่ามีคนนอกแอบเข้ามาภายในโรงพยาบาลด้วยการปลอบตัวเป็นแพทย์แล้วใช้บัตรผ่านของคนในโรงพยาบาลแผ่นเครื่องแสกนเข้ามาได้
ด้วยเป็นสถานที่ปลอดภัยระดับสูงความระแวดระวังภัยของคนในองค์กรเต็มสิบแทบจะเหลือศูนย์เพราะทุกคนไว้วางใจเทคโนโลยีความปลอดภัยมากจนเกินไป ใครพูดคุยอะไรกันบ้างนั้นผีพี่ใหญ่กับน้องผีคนเล็กได้ยินได้ฟังชัดเจนแจ่มแจ้ง เด็กตะวันหันไปมองหน้าพี่โคม่าอีกครั้งคิดในใจว่าชีวิตนี้คุ้มนักที่ได้รู้จักคนใหญ่คนโตถ้าไม่เป็นอาชญากรร้ายแรงก็ต้องเป็นประธานธิบดีแน่ถึงมีคนลอบฆ่า
“คิดเพ้อเจ้อน่ะเรา” มองตาก็รู้ความคิดเจ้าเด็กนี่ต้องคิดว่าเขาเป็นอาชญากรมีหมายฆ่าล่าหัวแน่ๆ เจ้าผีตัวจ้อยได้แต่หัวเราะคิกคักไปตามเรื่องตามราวอย่างน้อยก็ถูกแค่ครึ่งหนึ่งล่ะนะ
การย้ายคนไข้เหมือนเล่นสลับร่างรถไฟ ถึงไม่ได้เปลี่ยนลิฟท์ไปมาแต่มีหลายชั้นที่ผนังด้านตรงข้ามเปิดปิดสลับข้างกัน เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับการปรับเปลี่ยนผนังลิฟท์ไปมาเหมือนพี่ซุกท์จะไปเยี่ยมร่างเขาที่ห้องวีไอพีพิเศษ ที่จัดไว้ให้หลานชายนิทราของเจ้าของโรงพยาบาล
ไม่มีใครมาเยี่ยมเขาได้จนกว่าจะได้รับการอนุญาติจากลุงสองมีเพียงหมอลูซส์ที่มีบัตรผ่านโดยตรง ส่วนครูและวิทยากรที่จะมาสอนและให้ความรู้กับร่างของเขาได้แค่บัตรผ่านชั่วคราวเท่านั้น อย่างน้อยความปลอดภัยของเขาก็สูงกว่าพี่ซุกท์ละน้า ปลอยภัยเหมือนโดนปล่อยลอยแพรแค่ไม่พัดออกทะเลลอยเคว้งคว้างภายใต้แสงดาวและลมทะเลพัดไกลออกฝั่งไปเรื่อยๆ! ‘มีแพรสองเรือนถูกปล่อยร้างลอยเคว้งหรือเปล่าครับพี่’ มือคนพี่จับหัวตะวันให้หันกลับไปมองทางข้างหน้าเมื่อหน้าเยาว์วัยหันขวับมาคุยกับเขา ซูกุเทินไม่เข้าใจความหมายประโยคแปลกๆ ที่คนน้องพูด จะเป็นเรือนจะเป็นแพรเขาหาได้ใส่ใจในตอนนี้เขาอยากใช้ความคิดเงียบๆ ดูสถานการณ์ต่อจากนี้ไปก่อน การที่เขาหลุดออกมาจากร่างแบบนี้ต้องมีใครคิดและวางแผนทำร้ายเขาแน่นอน ดวงเขาคงแข็งชนะฆาตระเบิดก็ไม่ตายฉีดยาพิษให้แล้วยังรอด! ก็ถือว่ารอดละนะรอดจากคนกลายเป็นร่างจำแลงแล้วกันยังไม่อยากเป็นผีเต็มขั้นเกรงใจน้องตะวัน!
อ้าว...ไหงท่านซุกท์ออกจากร่างมาล่ะนั่น? ฝากนิยายแฝดเรื่องนี้ด้วยนะคะชาวเล้าเป็ดทุกคน
จากผีเดียวจะกลายเป็นสองผีในเรื่องไหมกลับมาลุ้นกันนะท่านผู้อ่านทุกคน อยากคอมเม้นท์พูดคุยหลังไมค์กันได้นะคะ ไคซ์ขอเว้นวรรคเรื่องนี้ระยะหนึ่งแต่จะพยายามไล่ๆ ลงช่วงปีใหม่จะได้มีอ่านรับปีใหม่กับนิยายใหม่เรื่องนี้จ้าฝากด้วยนะหาก แล้วเจอกันตอนใหม่ บ๊าบาย