บทที่ 9.
นายตุลกำลังนั่งคิดอยู่ในใจว่า..เหตุใดเจ้าของบริษัทอย่างคุณพิชญะถึงได้ว่างงานได้ขนาดมานั่งเฝ้าหุ้นส่วนเหมือนมีอะไรงอกขึ้นมาบนหัว ทั้งที่ห้องทำงานของตัวเองก็อยู่ห้องถัดไปแท้ ๆ แถมมันยังมานั่งจ้องไม่ยอมขยับ เหมือนรอจะถามอะไรซักอย่าง
"บอสบริษัทนี้ทำไมมันว่างจังเลยวะ!!?" สุดท้ายแล้วคนที่ถูกจ้องก็เลยเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง ต้องวางดินสอในมือที่กำลังร่างแบบลง เพราะทนไม่ได้ที่ตัวเองมาโดนนั่งจ้องเหมือนเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอะไรซักอย่าง
"แปลก!!?" ไอ้คุณพิชเอาศอกเท้าลงบนโต๊ะแล้วมือประสานกันวางคางของตัวเอง แถมด้วยการขมวดคิ้วมองตรงมา...จะว่าไปไอ้ที่แปลกก็คือคนที่มานั่งจ้องหน้าคนอื่นนั่นแหละโว้ย!!
"เออ...แปลก!!! มานั่งจ้องหน้ามีปัญหาอะไรวะ ไอ้คุณพิช!!?" คนที่โดนคำถามกลับคล้ายจะโดนหาเรื่องเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
ก็ตั้งแต่ตอนที่มันเรียนจบ และมีแผนจะแต่งงานกับสาวรุ่นน้องคณะนิเทศฯ แต่คุณเธอดันหักหลังไอ้คุณเพื่อนที่แสนซื่อหันไปคบกับหนุ่มรุ่นเดียวกัน ทุกสิ่งอย่างที่ไอ้คุณตุลมันสร้างมาตลอดระยะเวลาสองปี สร้างทุกสิ่งอย่างเพื่อรอให้น้องนางที่อ่อนกว่าสองปีเรียนจบ และเข้าพิธีแต่งงาน ทั้งบ้านที่จะเป็นเรือนหอ หลักประกันความมั่นคงในชีวิตครอบครัวก็เลยเป็นอันต้องปิดจบโครงการ แล้ว..มันก็เก็บเนื้อเก็บตัว ทำแต่งาน งาน...แล้วก็งาน ที่บ้านแห่งความหลังนั่นแหละ...
แล้วสาเหตุที่มานั่งจ้องหน้าเพื่อนร่วมงานก็เพราะมันแปลก...แปลกที่ไอ้เพื่อนตุลคนเดิมที่ชอบหอบงานกลับไปทำที่บ้าน โดยอ้างว่าที่ทำงานเสียงดัง คิดไม่ออกบ้างล่ะ ชอบบรรยากาศที่บ้านเพราะมีหนังสือให้หาข้อมูลเยอะบ้างล่ะ และอีกสารพัดที่มันจะสรรหามาเป็นข้ออ้างไม่ชอบเข้าบริษัท ห้องทำงานของไอ้คุณหุ้นส่วนอีกครึ่งของที่นี่ก็เลยว่างเปล่าแทบจะตลอดทั้งเดือน แต่ในระยะนี้มันแปลกตรงที่...ไอ้คุณเพื่อนมันกลับหอบงานมานั่งทำที่ห้องทำงาน!!
"ไม่ได้มีปัญหาโว้ย แค่แปลกใจ..หรือมันหมดฤดูจำศีลแล้ววะ ไอ้คุณตุลมันถึงได้หอบงานออกมาทำนอกบ้านได้" นายตุลขยับแว่นให้เข้าที่ ก่อนจะทิ้งตัวพิงกับเก้าอี้ ยกมือขึ้นกอดอกเหลือบมองเพื่อนตรงหน้าอย่างเซ็งจัด....นี่รึสาเหตุที่ต้องมาโดนนั่งจ้องเหมือนนักโทษ ไอ้เพื่อนเวร!!
"อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่ได้รึไง!!?"
"มันก็ได้อยู่หรอกคร้าบบ แต่มันแปลกวะ" พิชญะหรี่ตามองเหมือนกำลังหาจุดผิดสังเกตบนใบหน้าเพื่อน แต่ไอ้มนุษย์ฉลาดอย่างไอ้คุณตุลมันก็มักจะซ่อนอารมณ์ทุกสิ่งอย่างได้อย่างแนบเนียนชนิดหาตัวจับยาก
"เรื่อง...!!?"
"ก็เรื่อง...!! เออ!! ช่างมันเหอะ ว่าแต่พักนี้ดูสดใสขึ้นนี้หว่า มันเป็นเพราะอะไรหว่า หรือว่า....?" พิชญะบอกพร้อมกับยิ้มให้ นี่ถ้าคุณภรรยาของตัวเองรู้เรื่องคงได้หมดห่วง ทุกวันนี้เจอหน้าสามีถามถึงแต่เพื่อน ถ้าได้รู้ว่าไอ้ตุลคนเดิมที่เอาแต่สิงอยู่ในบ้าน ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจามองตรงไปแต่ทางข้างหน้า มันกลับมามีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์รอบข้าง
"อะไรอีกล่ะ เรื่องมากจริงวุ้ย ไม่มีงานการทำรึไง ไอ้คุณบอส!!" นายตุลยกแก้วกาแฟที่ชงมาได้ซักชาติขึ้นมาจิบ เพื่อหลบเลี่ยงสายตาช่างสงสัยของไอ้คุณเพื่อนที่ยังไม่เลิกมองมาด้วยสายตาที่เหมือนจะมองจะทะลุเข้ามาในใจได้
"หรือว่า..กำลังมีความรัก!!"
พรวด!!!!
"แค่ก ๆ ไอ้!!...ไอ้เพื่อนเลว!!" กาแฟพุ่งดิครับท่าน เมื่อไอ้คนตรงหน้ามันเล่นลูกตรงสอยเข้ากลางพุง จะเหลือเรอะ!!!
"เฮ้ย!! ฮ่า ๆ แสดงว่าพูดถูกอ่ะดิ" คุณบอสพิชหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบใจ และสมน้ำหน้าไอ้เพื่อนมาดมากไปด้วยในคราเดียว เอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชู่ส่งให้โดยไม่คิดจะสนใจสายตาโหด ๆ ที่มองมา
"ถูกป๊ะอะไรล่ะ!!! ดูดิงานเลอะหมดเลย ไอ้เพื่อนเวร!!" เจ้าของงานคว้าแผ่นกระดาษขึ้นมาสะบัดไปมา แต่มันก็ไร้ประโยชน์ กระดาษร่างแบบแผ่นเมื่อกี้ก็เลยมีลวดลายเป็นจุดสีน้ำตาลแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามราวกับงานศิลปะ(ประชด)
"อย่ามาทำเป็นไก๋ ใครคือผู้โชคร้ายคนนั้นวะ!!?" กระดาษร่างแบบที่เลอะถูกขยำเป็นก้อนเพราะไม่สามารถใช้งานได้ต่อ ถูกขว้างใส่ไอ้คนถามได้ตรงเหม่งเป๊ะ ๆ นับว่าฝีมือยังแม่นใช้ได้
"ไม่มีโว้ย อย่ามาเพ้อเจ้อ!!" พิชญะหันมาแยกเขี้ยวใส่ ก้มไปคว้ากระดาษก้อนเดิมที่ลอยมาตกกระทบกับหัวแล้วร่วงลงพื้นขึ้นมา ก่อนจะขว้างคืนให้เจ้าของคนเดิม
"จำไว้เลย มีอะไรปิดบังเพื่อนฝูง คราวหน้าจะไม่ให้ยืมน้องพาร์มเล่นด้วยเลยเหอะ!!!" ดูเอาเหอะ ไอ้คุณบอสลูกหนึ่งมันเอาคำมาขู่ คำขู่น่ากลัวที่ว่าก็คือลูกชายวัยขวบเศษของมันกับยัยน้ำดาวคณะที่ตอนนี้ออกจากงานไปเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน
"งั้นก็รีบ ๆ ไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงลูกเลยป่ะ!!" ขืนปล่อยให้มันอยู่นานกว่านี้มีหวังได้โดนมันจับพิรุธอะไรได้แน่ ว่าแต่...แสดงออกขนาดนั้นเลยรึไง แล้ว...มีความรักอะไรตอนไหนวะ ไอ้คุณตุลยังมึนตัวเอง
"นี่มันเที่ยงแล้วครับคุณหุ้นส่วนหยายยยย ออกไปหาอะไรกินกัน" พิชญะยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู แต่ไอ้คุณหุ้นส่วนใหญ่มันกลับหมุนเก้าอี้ไปอีกทาง
นายตุลส่ายหน้ากับตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองไปทางผนังห้องที่เป็นกระจก ห้องทำงานที่มองเห็นวิวตรงหน้าบริษัทพอดี ใครบางคนที่กำลังก้าวลงมาจากรถ พร้อมกับโบกไม้โบกมือให้คนขับ กระจกที่นั่งด้านหลังถูกกดเลื่อนลงพร้อมกับใบหน้าของเด็กสาวคนหนึ่งยื่นออกมาพูดอะไรสองสามคำกับคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง
"ตั้งใจทำงานนะคะที่ร้ากกกก" คนที่กำลังจะเดินเข้าไปในตึกที่ทำงาน หันกลับมามองหน้าคนพูดราวกับเจอเรื่องสยองขวัญ พอไอ้พวกที่อยู่ในรถมันเห็นก็หัวเราะกันใหญ่
"ไอ้หยก!! อย่าพูดอะไรชวนขนลุกทำลายสติคนอื่นแบบนี้อีกนะเว้ย น่ากลัวเป็นบ้า" เจ้าของคำพูดชวนสยองยื่นหน้าออกมาพร้อมกับแลบลิ้นให้ หาได้มีความสำนึกในการกระทำเสี่ยว ๆ ของตัวเองไม่
"งั้น...คุณฮ้า ตั้งใจทำงานนะฮะ แล้วก็อย่ากลับบ้านดึกนะคุณ ผมเป็นห่วง" คราวนี้เป็นไอ้ไม้ที่ก้าวขาพรวดเดียวมานั่งทำหน้าเจ๋ออยู่ข้างไอ้เอิงเจ้าของรถ เมื่อกี้เป็นคำพูดชวนสยอง แต่คราวนี้เป็นชวนอ้วกแทน แถมมันยังกระแดะทำตาวิ้ง ๆ ใส่อีก ถ้าไม่ติดว่าอยู่หน้าบริษัท คงได้วิ่งไล่เตะเรียงตัว
“ฉันขึ้นไปส่งแกได้ป่ะ เผื่อเจอหนุ่มหล่อ ๆ จะได้หิ้วกลับ ฮ่า ๆ” ดูมันไอ้หญิงหยก เมื่อกี้มันยังเรียกกระผมว่าที่รักอยู่เลย แล้วดูมันหัวเราะซะปากกว้างแบบนั้นหนุ่มหล่อที่ไหนจะให้มันหิ้ว คงกลัวโดนมันงับเอามากกว่า
"พอเลย!! คราวหน้าไม่ขอติดรถมาด้วยแล้ว รีบ ๆ กลับไปเลย ชิ่ว ๆ " โดนโบกมือไล่แทนที่จะสำนึก ไอ้พวกเพื่อนตัวแสบมันกลับหัวเราะกันสนุกสนาน กว่าที่พวกมันจะพากันเคลื่อนตัวออกไป วายุก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับส่ายหน้ากับตัวเองอย่างขำๆ ในพฤติกรรมของเพื่อนในกลุ่ม
เพราะเป็นตอนเที่ยงที่บริษัทก็เลยไม่ค่อยมีคนอยู่ คิดถูกที่รีบมาตอนนี้ อาหารสำเร็จรูปที่ถือติดมือมาด้วยหวังไว้ลึก ๆ ว่าใครบางคนที่อยู่ในห้องข้างบนยังคงไม่ได้ออกไปไหน เพราะตอนขึ้นมาเห็นอยู่ว่ารถยังจอดสนิทอยู่ที่ลานจอดรถ
"ไอ้เด็กนี่ก็ขยันเกิ๊น สงสัยเฮียมันฝึกมาดี" เสียงพูดทำลายความเงียบ ทำเอาเจ้าของห้องหันไปมองด้วยหางตา ไอ้คุณบอสที่น่าจะเปิดประตูออกไปจากห้องนานแล้ว กลับยืนยิ้มกวนประสาทอยู่ที่เดิม
"เออ!! เด็กใครให้มันรู้ซะบ้าง หึหึ" อาหารกลางวันคงจะไม่ต้องออกไปหากินไกลให้ร้อนแดดและเสียเวลา ในเมื่อเห็นอยู่ว่าไอ้เด็กโย่งมันถืออะไรติดมือขึ้นมาด้วย แล้วที่อยากจะด่ามันก็คือ...ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน ถ้าเมื่อกี้ตอบตกลงรับปากไปกินข้าวข้างนอกกับไอ้คุณเพื่อน มันมิต้องมานั่งหง่าวเป็นหมีหงอยอีกรึ สุดท้ายพอกลับไปบ้านมันก็ทำหน้างอประชดอีก
ก๊อก ก๊อก
"ขออนุญาตครับเฮีย...อ้าว...คุณพิชญะ" วายุยืนนิ่งค้างอยู่ที่หน้าประตูห้อง ตลอดทางที่เดินเข้ามาทางสะดวกก็จริง แต่ดันมาเจอของใหญ่บิ๊กบอสของที่นี่ มานั่งหมุนเก้าอี้เล่นในห้องไอ้คุณเฮีย จากที่ยิ้มกริ่มมาตลอดทางไอ้ไวไวก็เลยมาฝ่อเอาตอนที่เห็นหน้าเครียด ๆ ของไอ้คุณเฮียนี่แหละ
"เข้ามาซิ.." น้ำเสียงเจ้าของห้องช่างฟังดูห่างเหิน และเย็นชาที่สุดจะกล่าว ทำเอานักศึกษาทำงานพิเศษยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับตามอย่างที่ได้รับคำเชิญ
"ครับ...!!?" นายตุลเหลือบมองไอ้เด็กโย่งที่ยังยืนทำหน้างง แอบซ่อนกล่องของกินไว้ข้างหลังเหมือนกลัวมีใครเห็น ทั้งที่ตัวเองเป็นคนออกกฎเอง แต่พอเห็นความพยายามของไอ้หมีไวไวแล้วก็อดโมโหตัวเองไม่ได้
ห้องทำงานดูเหมือนจะเงียบกริบ เมื่อต่างคนต่างจ้องหน้ากันไปมา ไม่มีใครพูดอะไรจนคนที่มาใหม่เริ่มอึดอัดเหมือนไม่มีอากาศหายใจ จะเดินออกไปก็ใช่ที่ จะให้ยืนนิ่งอยู่แบบนี้ก็เหมือนจะขาดใจตายได้ง่าย ไอ้ไวไวมายืนผิดที่ผิดทางโดยไม่ได้ตั้งใจครับท่าน รู้งี้โทรมาก่อนก็ดีหรอก...
"แกล้งน้องมันทำไมวะไอ้ตุล คนกันเองแท้ ๆ น้องวายุใช่ไหม เข้ามา ๆ เรียกพี่พิชก็ได้" สุดท้ายแล้วคนที่ทนความกดดันไม่ไหวก่อนเป็นคนแรก ก็คือคุณบิ๊กบอสของที่นี่ที่เดินเข้ามาตบไหล่นักศึกษาหน้างง ที่ยังคงยืนอึ้ง โดยมีไอ้คุณเฮียนั่งกลั้นหัวเราะจะเป็นจะตายอยู่ที่เก้าอี้
"เฮีย แกล้ง ผม อีกล่ะ!!" ไอ้คนที่ถือกล่องเสบียงอาหารกลางวัน อุตส่าห์หอบหิ้วหลบสายตาไอ้เสือโหยสามตัวมาจากหน้ามหาลัย เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เป็นห่วงกลัวว่าป่านนี้ไอ้คุณเฮียจะยังไม่ได้กินข้าว แล้วพอมาถึงก็มาโดนแกล้งให้เหวออีก ทำกันได้เหอะคนเรา
"ฮ่า ๆ เป็นไงล่ะ ไม่โทรมาบอกก่อน สมน้ำหน้า!!! เอาอะไรมาด้วย มาดูดิ เร็ว ๆ " ไอ้คุณเฮียกวักมือเรียก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันน่าให้กินดีไหม!!? ไอ้ไวไวนึกว่าจะเป็นเรื่องซะแล้วไหมล่ะ ใจหายหมด!!
"ผัดไทยเจ้าอร่อยหน้ามหาลัย พี่พิชมาทานด้วยกันซิครับ ผมซื้อมาหลายกล่อง" เพราะไม่รู้ว่ากระเพาะไอ้คุณเฮียจุได้เยอะแค่ไหน ไอ้ไวไวก็เลยโทรไปสั่งป้าแกมาได้ 4 กล่อง เป็นไงล่ะลูกอ้อนของไอ้ไวไวไม่เคยแพ้ใคร หึหึ
“อิจฉาแหะ มีคนส่งข้าวส่งน้ำ ถึงว่าไอ้คุณเพื่อนมันถึงได้โผล่หน้ามาอยู่ที่นี่ได้ อุ๊บ!!” ยังไม่ทันกัดจิกเพื่อนตัวเองจบ ตะเกียบคู่หนึ่งก็ถูกยัดเข้าปากบอสพูดมากให้เงียบ ก่อนที่ไอ้คนทำมันจะหันไปสนใจของกินตรงหน้าต่อ
“เอาไปกินซะ จะได้เงียบ ๆ ซักทีเหอะ” กล่องอาหารกลางวันถูกหยิบมาวางตรงหน้า พร้อมเครื่องปรุง พิชญะทำเป็นเหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะคว้าหมับมาได้ทันที่ไอ้คุณเพื่อนมันจะคว้ากลับไป ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง
“เฮียเติมเครื่องไหม? เดี๋ยวผมแกะให้” เหมือนโลกนี้มีเพียงแค่สองเรา เมื่อนักศึกษาฝึกงานเด็กในสังกัดไอ้คุณตุลมันเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้เฮียมัน แล้วจากนั้นคุณบอสอย่างพิชญะก็กลายเป็นบุคคลที่สามไปโดยปริยาย ทำได้แค่เหลือบมองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา แปลกใจที่คนอย่างไอ้คุณตุล....ยอมให้ใครเข้าใกล้ได้ขนาดนั้น
“แผลที่ปากหายรึยัง เติมพริกไปขนาดนั้นเดี๋ยวกินไม่ได้!” คนที่กำลังแกะถุงพริกชะงัก เงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มให้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เฮียดูให้หน่อยยังมีรอยอยู่ไหม ตรงมุม ๆ อ่ะ” พอเห็นว่าไอ้คุณเฮียเป็นห่วง วายุก็เกิดอยากอ้อนขึ้นมา ไม่คิดว่าจะได้ผล แต่ไอ้คุณเฮียก็ดันยื่นมือมาแตะ ๆ ตรงมุมปากตรวจดูให้อย่างที่ขอ ทำเอาไอ้หมีขี้อ้อนแทบจะโดดเข้าใส่ ลืมไปว่ายังมีอีกคนนั่งรวมอยู่ในห้อง
“เหมือนจะหายแล้วนะ ระวัง ๆ หน่อยก็แล้วกัน” ไอ้หมีไวไวฉีกยิ้มให้อีกที พร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
สายตาของบุคคลที่สามยังคงเหลือบมองใบหน้าของทั้งสองคนอย่างแปลกใจปนสงสัย ไอ้การดูแลกันเหมือนเป็นระบบอัตโนมัติแบบนี้ มันเหมือนกับว่า....
“อะแฮ่ม!! แค่ก ๆ ถั่วงอกมันพันคอวะ โทษทีขอไปหาน้ำกินก่อนนะ”
พิชญะถอยหลังไปจนชิดประตูห้อง ก่อนจะเปิดประตูแล้วเบียดตัวเองออกไป พร้อมกล่องผัดไทของตัวเองที่ยังถือติดมือ ไม่ใช่รับไม่ได้อะไรหรอก แต่...บรรยากาศหวานปะแล่ม ๆ กับภาพที่ทั้งสองคนดูแลกัน ดูยังไงมันก็ไม่ใช่พี่น้องกันธรรมดาแน่ ไอ้เด็กนั่นมันรู้...มันรู้แน่ ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไอ้คุณเพื่อนนี่แหละมันจะรู้ตัวไหมว่าที่มันแสดงออกมา ทั้งสีหน้าและแววตามันหมายถึงอะไร...เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ไอ้คุณตุลมันฉลาดทุกอย่าง ยกเว้นความรู้สึกของตัวเอง!!!...เวรกรรมของฝ่ายไหนกันล่ะคราวนี้!!!
“พี่พิชเป็นอะไรไปอ่ะเฮีย” ไอ้หมีไวไวสอยเส้นเข้าปากตัวเอง แล้วเอ่ยปากถามทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ย ๆ
“มันก็เพี้ยนแบบนี้แหละ ตั้งสติได้เดี๋ยวก็กลับมาเอง” เจ้าของห้องตอบเหมือนไม่ใส่ใจ
นายตุลเหลือบสายตามองหน้าไอ้เด็กโย่งที่กำลังกินแบบไม่สนใจใครแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด จะอะไรซะอีก ก็เศษพริกกับถั่วที่ติดอยู่ตรงมุมปากด้านที่เคยเป็นแผลนั่นไง กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไร นายตุลก็เอื้อมมือไปปาดมันออกให้อย่างเบามือ แล้วก้มลงไปกินอาหารกลางวันของตัวเองต่อ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปสนใจว่าอีกคนกำลังนั่งนิ่ง ปากที่ขยับเคี้ยวของกินในปากกลับค้างอยู่แบบนั้น
ในหัววายุตอนนี้กำลังเหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งวนอยู่ข้างใน ในอกมันพองโตขนาดที่ว่าไม่ต้องกินของที่วางอยู่ตรงหน้าก็สามารถอิ่มได้ อารมณ์นึกอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ เหมือนตอนที่เล่นฟุตบอลแล้วฝ่ายตัวเองทำประตูได้ เพียงแค่สัมผัสเมื่อกี้...สัมผัสที่แม้แต่คนทำก็ยังไม่รู้ตัว
“เฮีย..ผมให้..” กุ้งตัวโตถูกคีบมาวางในกล่อง นายตุลเหลือบมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็คีบมันใส่ปากโดยเร็วเพราะกลัวจะโดนเจ้าของมันทวงคืน
“แปลก!! เพี้ยนอีกคนรึไง” ไอ้คนที่โดนว่ายังคงนั่งยิ้มจนตาหยี แล้วคีบให้อีกตัวแบบไม่กลัวว่าตัวเองจะอดกิน
“ผมให้ได้ทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าเป็นเฮีย...” วายุบอกก่อนจะคีบเส้นใส่ปากตัวเองเหมือนกับว่ามีความสุขเสียเหลือเกิน แต่แล้วกุ้งที่ตัวเองอุตส่าห์สละให้ กลับถูกไอ้คุณเฮียคีบใส่ตะเกียบแล้วยื่นมาจ่อที่ปาก เล่นเอางงอีกรอบ
“อ้าปากดิ หรือจะกินทางจมูก!!” ไอ้หมีไวไวรีบอ้าปากตามที่สั่ง ก่อนที่กุ้งตัวปัญหาจะถูกยัดเข้ามาในปาก
วายุแทบจะคายออกมาแล้วเก็บหางไว้เป็นที่ระลึก หรือไม่ก็เอาไปสต๊าฟให้แข็งแล้วเอาไปห้อยคอเป็นเหมือนเครื่องประดับล้ำค่า แค่มาอยู่กับเฮียไม่ถึงชั่วโมงก็มีเรื่องให้ดีใจได้มากมายขนาดนี้ โชคดีจริง ๆ ที่มาก่อนเวลาไม่ไถลไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ไอ้เพื่อนเอิงมันจะเลี้ยง แค่กินกุ้งตัวเดียวก็อิ่มกว่าเป็นไหน ๆ
“ตอนออกไป ถ้าใครเห็นก็บอกว่าเฮียใช้มาเก็บขยะก็แล้วกัน จะได้ไม่โดนถามมาก” เฮียตุลบอกพร้อมกับเก็บกล่องเปล่าที่กินหมดแล้วยัดใส่ถุงเดิม
“ตอนกลับเฮียจะให้ผมไปรอที่ป้ายรถเมล์เหมือนเดิมไหมอ่ะ?” เจ้าของรถแกล้งทำเป็นถอนหายใจออกมายาวเหยียด แล้วเอนตัวผึ่งพุงกับพนักพิงเก้าอี้ เหล่มองมาทางเจ้ามือมื้อกลางวันด้วยหางตา
“เอาไงดี ปล่อยให้ลองกลับเองดีไหม!!? หึหึ” ตอนแรกคนฟังก็เกือบจะปลงตก คิดเอาว่าไหน ๆ ก็ต้องมาทำงานพิเศษต่อจากนี้อีกหลายเดือน ถ้าจะเรียนรู้วิธีนั่งรถกลับเองก็คงจะดี แต่...เสียงหัวเราะต่อท้ายของไอ้คุณเฮียนี่ซิ
“เรารึอุตส่าห์หอบหิ้วของกินมาตั้งไกล แล้วดูดิ!! อยู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ ” คำบ่นยืดยาวพร้อมกับมือที่ยังเก็บกวาดบนโต๊ะ เอาเศษอาหารไปทิ้ง และยังมีที่เหลือเก็บวางไว้ให้เรียบร้อยบนโต๊ะ เผื่อว่าใครบางคนจะหิวขึ้นมาตอนบ่าย
“พูดมาก งั้นกลับเอง!!”
“เฮียใจร้ายวะ!!” นายตุลกะจะลุกขึ้นมาจับคอเสื้อไอ้หมีปากมากเขย่าให้หายแค้น
แกร๊ก!!! ประตูห้องดันเปิดเข้ามาเสียก่อนโดยไม่มีการเคาะบอกล่วงหน้า จะเป็นใครไปได้ในที่นี้ที่จะสามารถเปิดเข้าเปิดออกห้องระดับผู้บริหารได้ ถ้าไม่ใช่ไอ้คุณบอสใหญ่ของที่นี่
ภาพทั้งสองตรงหน้าทำเอาคนที่เพิ่งเปิดเข้ามาด้วยความเคยชิน ถึงกับอ้าปากค้าง เพื่อนตัวเองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังจับคอเสื้อของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ในลักษณะที่กำลังโน้มใบหน้าลงไปหากัน... แล้วพิชญะก็เพิ่งได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่าการเข้าห้องคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเยี่ยงนี้
“เออ!! คือ...ฉัน..โทษที เดี๋ยวออกไปก่อนก็ได้!!” สองคนที่อยู่ในห้องหันมามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่วายุจะอาศัยจังหวะนั้นกระโดดหนีออกจากฝ่ามือไอ้คุณเฮียโหดได้ ทิ้งให้คุณบอสผู้น่าสงสารยืนมองทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างสับสน พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ
“หรือจะเป็นคนนี้วะ” ประเด็นก็คือ...เจ้าตัวมันรู้ใจตัวเองหรือยังเหอะ!!
==================================
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน
แอบกดบวกเนียน ๆ แล้ววิ่งจากไป