21
สัญญาของลูกผู้ชายอย่างงั้นเหรอ
บ้าชะมัด
ผมเก็บสมุดหนังสือใส่กระเป๋าหลังจากที่นั่งคิดอะไรมาได้ซักพัก อาจารย์ปล่อยตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ไอ้ฟ้าก็ไปรับน้องสาวมันแล้วก็กลับบ้านไปแล้วด้วย เหลือผมกับไอ้พวกเพื่อนๆที่ต้องทำความสะอาดห้องที่ยังหลงเหลืออยู่ ประตูโรงเรียนที่เปิดอ้ากว้างกับพวกนักเรียนที่ค่อยๆทยอยกันออกไป ผมมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง
หวังว่าคงไม่มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นแล้วนะ
ก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนพลางมองไปยังเงาที่สะท้อนที่กระจกหน้าต่าง ริมฝีปากที่มักจะไม่ค่อยยิ้มให้ใครของตัวเองกลับยิ้มออกมาเหมือนคนบ้า ผมใช้มือตบๆหน้าตัวเองสองทีก่อนจะกลับมาบึ้งตึงเหมือนเดิม แต่พอเดินก้าวพ้นออกมาจากประตูห้องเรียนก็ต้องยิ้มออกมาอีกรอบ
บ้าเอ้ย
ผมไปหลงคารมกับคำพูดของผู้ชายแย่ๆแบบนั้นได้ไงวะ
“ยืนยิ้มเป็นตาแป๊ะอยู่ได้!” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นที่ระเบียงทางเดิน ผมหันไปมอง ร่างเล็กๆที่สวมแว่นตายืนถือกองเอกสารกองเบ้อเริ่มเดินเข้ามาใกล้ผม
“ไง”
“ยังไม่ตาย สบายดี” ไอ้กี้ตอบกวนส้นตีนแล้วดันผมให้หลีกทาง ผมก็เกิดอาการอยากจะกวนคนตรงหน้าขึ้นมาเลยยืนขวางเอาไว้
“ค่าผ่านทาง” ผมยิ้มพลางยื่นมือออกไปตรงหน้า ไอ้กี้มองหน้าผมลอดผ่านแว่นของมัน
“บ้านมึงเป็นทางด่วนเหรอไอ้ห่า”
กรรม
ปากคอเราะร้าย!
“เออว่าแต่ ไอ้นาทีเป็นไงบ้างอ่ะ?” คนตรงหน้าผมเลี่ยงถาม ผมหัวเราะนิดๆก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวหยอยๆที่เหมือนหมูหยองของมันเบาๆ
“แน่ใจเหรอว่าจะถามถึงไอ้ที?” ไอ้กี้เบะปากไม่พอใจ
“กูไม่อยากรู้ละ”
“พวกมันโดนไล่ออกทั้งสี่คน ประธานสภา ไอ้พีท ไอ้ริค แล้วก็ไอ้ที” ผมว่า แต่เลี่ยงที่จะพูดชื่อของพระกาฬออกมา คำดูถูกที่ออกจากปากมันเมื่อวานทำให้ผมโมโหมาก
ผมไม่นึกเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะดูถูกคนได้เก่งขนาดนี้ทั้งๆที่ยังหาความจริงไม่ได้ ได้แต่ปากพล่อยพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นอย่างเดียว
“เรื่องอะไรวะ?”
“มีคนใส่ความว่าค้าประเวณี”
“งั้นเหรอ…” ไอ้กี้มีสีหน้าสลดลง ก่อนมันจะหันกลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้ง
“ไม่เกี่ยวกับกูนี่เนอะ หลบดิ๊!!!” ขาเล็กๆเตะขาผมแล้วเดินชนไหล่ผมอย่างจัง ผมมองท่าทีเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าไอ้กี้ต้องเป็นห่วงเพื่อนสนิทมันอยู่แล้ว
แต่ผมไม่อยากให้กี้คบกับพระกาฬ … ผมเห็นแก่ตัวไปมั้ย?
“กี้!” ผมตะโกนเรียกคนที่กำลังจะเลี้ยวเข้าห้องพักครู ไอ้หมาแว่นมันหันมาทำหน้างงๆใส่
“มึงไม่ได้ชอบพระกาฬใช่มั้ย?” ไอ้กี้มองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วสูง
“หน้าอย่างมันอ่ะนะ? ให้ฟรีแถมข้าวกูยังไม่เอาเลยเว้ย!!!!” ก่อนร่างเล็กจะหายเข้าไปในห้องพักครูทันทีที่ตะโกนดังลั่น ผมอึ้งไปนิดๆกับคำพูดนั้น
ถ้าไอ้กาฬได้ยินคงช้ำชอก …
ให้แม่งรู้ซึ้งซะบ้างไอ้พวกพูดก่อนคิดเนี่ย
ผมเดินออกจากตึกเรียนแล้วโบกแท็กซี่เพื่อกลับไปที่บ้านของตัวเอง วันนี้ผมต้องกลับไปดูพวกจดหมายพวกค่าน้ำค่าไฟของเมื่อเดือนที่แล้ว รวมไปถึงกลับไปรดน้ำต้นไม้ที่บ้านด้วย
‘ครืด ครืด’
จู่ๆโทรศัพท์ที่ปิดเสียงอยู่ก็สั่นขึ้น ผมรีบคว้ามันออกจากกระเป๋ากางเกงพลางมองชื่อที่หน้าจอ
“ว่าไง?” ผมทักทายด้วยคำปกติที่ชอบใช้เมื่อรู้ว่าใครโทรมา ปลายสายเงียบไป
อะไรของแม่งวะ โทรมาก็ไม่พูด
“นาที … มึงจะเงียบทำไมวะ?”
(ป่าน เลิกเรียนหรือยัง?) เสียงเบาๆที่แทบจะจับใจความไม่ได้ดังลอดมาจากปลายสาย ผมขมวดคิ้ววุ่น เสียงของนาทีดูสั่นๆผิดปกติชอบกล
“อือ เลิกแล้ว มีอะไรวะทำไมเสียงเบาจัง?”
(…) นาทีเงียบไปอีกครั้งพร้อมกับเสียงที่เหมือนกับเสียงสะอื้นเบาๆ
“ที…”
ผมชักใจคอไม่ดีขึ้นทุกทีเมื่อเสียงสะอื้นเหมือนปลายสายกำลังร้องไห้นั่นดังขึ้นเรื่อยๆ
“ที เกิดอะไรขึ้น!?”
(รถนาราโดนเจาะยาง อาการโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาล) “ว่าไงนะ!!!”
ผมรีบบึ่งมาที่โรงพยาบาลทันทีที่รู้ว่าพี่นาราเกิดอุบัติเหตุ เหตุการณ์นั่นยิ่งตอกย้ำเมื่อรถแท็กซี่จอดลงตรงหน้าโรงพยาบาลที่มีผู้คนมากมายยืนอยู่ด้านหน้านั่นพร้อมนั่งเงียบราวกับส่งกำลังใจให้ใครซักคน ท้องฟ้าที่เริ่มจะมืดไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขา ในมือของพวกเขามีป้ายผ้าและป้ายไฟเหมือนที่เคยเห็นเวลาที่แฟนคลับตามพวกดารา ป้ายพวกนั้นมีชื่อไอริสติดอยู่
ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น ใจที่ร้อนรนทำให้ต้องเดินก้าวยาวๆตรงไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลก่อนจะสอบถามห้องไอซียูที่มีร่างของพี่นาราอยู่ข้างใน
ใครกัน … ใครกันที่โหดร้ายขนาดนี้
ผมออกจากลิฟท์แล้วตรงไปที่ห้องไอซียู เมื่อเลี้ยวพ้นหัวมุมมา สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ผมเข่าอ่อนลงดื้อๆ ภาพที่คุณพ่อที่รักลูกชายสุดหัวใจกำลังนั่งวอนขอให้คุณหมอผ่าตัดให้ดีที่สุด ภาพที่ไอริสคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูห้องไอซียู และภาพที่นาทีกำลังนั่งนิ่งราวกับคนไร้วิญญาณอยู่ริมกำแพง
“ที” สองขาผมก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้านาที ใบหน้าซีดเซียวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเงยหน้ามามองผมก่อนจะคว้าร่างผมเข้าไปกอด ใบหน้าซุกอยู่ที่หน้าท้องพร้อมกับการร้องไห้แบบไร้เสียงสะอื้น
ผมลูบหัวนาทีเบาๆ ในใจก็รู้สึกโหวงและหนักอึ้งไปหมด
“ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง พี่นาราจะต้องปลอดภัย … เชื่อกูสิ”
ที่ผมทำได้ … ก็คงทำได้เพียงแค่ปลอบคนตรงหน้านี่อย่างเดียวจริงๆ
เวลาเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทั้งนางพยาบาล คุณหมอท่านอื่นๆ คนไข้ผู้ป่วย บางคนหยุดมองร่างของผู้ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าห้องไอซียู แต่ก็ไม่ได้จะเข้ามาถามว่าเขาใช่ไอริสมือกลองของวงร็อคชื่อดังที่กำลังเป็นที่กล่าวขานในเวลานี้อยู่หรือเปล่า
นาทีหยุดร้องไห้แล้วแต่ก็ยังเงียบและไม่คุยอะไรกับใคร คุณพ่อกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนแล้วโดยผมจะเป็นคนติดต่อคุณพ่อเมื่อหมอออกมาจากห้องผ่าตัด ซึ่งตอนนี้ก็ใช้เวลาไปประมาณสองชั่วโมงเห็นจะได้
ผมบีบมือนาทีพลางมองร่างของไอริสที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ที่พื้น มันนานพอๆกับเวลาที่พี่นาราเข้าไปในห้องไอซียู ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อที่จะเข้าไปหาไอริส บอกให้เขามานั่งที่เก้าอี้ มันอาจจะดีกว่าที่เขาต้องนั่งคุกเข่าอยู่แบบนี้ แต่นาทีคว้ามือผมเอาไว้ก่อน
“เรียกเฮียว่าพี่วิน … นาวิน …” นาทีว่าก่อนจะเมินหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากจะเห็นอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมกดจูบลงบนหน้าผากของนาทีเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาไอริส
“พี่…” มือของผมแตะลงบนไหล่ของพี่ไอริส … เขาไม่ขยับเลยซักนิด ผมหันไปมองนาทีที่ยังคงเบือนหน้าไปอีกทาง ก่อนจะถอนหายใจ ผมรู้ว่าพี่แกเป็นห่วงน้องชาย แต่ถ้าทำแบบนี้คนที่จะไม่สบายอาจจะเป็นเขาก็ได้
“พี่นาวิน ไปนั่งที่เก้าอี้เถอะครับ”
“น้องชายฉันทำอะไรผิด” เสียงของพี่วินดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ค่อยๆเงยขึ้นจากพื้น
“น้องชายฉันทำอะไรผิดทำไมถึงต้องทำร้ายกันแบบนี้” ดวงตาเศร้าสร้อยที่บวมจากการร้องไห้อย่างหนักจ้องมองไปยังประตูห้องไอซียู ผมรู้สึกหดหู่เกินจะทน
“น้องชายฉันไปทำอะไรให้ทำไมถึงต้องทำกับเขาแบบนี้!!!! ตอบพี่ทีสิป่าน ตอบพี่ที!!!!”
คนตรงหน้าผมตะคอกลั่นก่อนจะโผเข้ากอดผมแน่น น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ร่างสูงสะอื้นอย่างหนักเรียกสายตาสงสารจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้อย่างสุดขั้วหัวใจ ผมกอดตอบพี่นาวิน พี่ชายคนโตของบ้านธาราทรัพย์ ผู้ที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของบ้าน พยายามกลั้นความอ่อนแอของตัวเองไว้ด้านใน แค่สองคนนี้อ่อนแอก็แย่พอแล้ว ผมจะไม่เป็นตัวถ่วงแน่ๆ
ผมต้องเข้มแข็ง และพวกเขาเองก็เหมือนกัน
“พี่นาราจะต้องปลอดภัยครับพี่ พี่เขาจะต้องปลอดภัย…”
ผมพยุงร่างของพี่วินขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอเรียกชื่อไอริสออกไปด้วยชื่อเล่นจริงๆที่พ่อตั้งให้ไม่ใช่ชื่อในวงการ เขาก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักก่อนจะโผเข้ากอดทั้งผมและนาทีอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งหมดแรงที่จะร้องไห้อีกต่อไป พี่วินเลยนอนลงที่โซฟาด้านหน้าแล้วใช้หนังสือปิดหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นเขา
“รู้อาการของพี่นาราหรือเปล่า?” ผมหันไปถามนาทีที่นั่งนิ่งมาจะครึ่งชั่วโมงได้ ก่อนริมฝีปากสีซีดจะค่อยๆขยับพูด ทั้งๆที่ผมรู้ดีว่ามันอาจจะทำให้นาทีรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกที่ต้องพูดอาการของพี่ชาย แต่ถ้าผมไม่รู้อะไรเลยผมจะปลอบพวกเขาได้ยังไง
“กระดูกซี่โครงหักแทงทะลุปอด กระดูกขาซ้ายแตกละเอียด เลือดไหลไม่หยุด…” พูดออกมาแค่นั้นนาทีก็ก้มหน้าลงไปกุมขมับแล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ผมเบิกตากว้างกับอาการที่หนักจนแทบจะเรียกได้ว่าสาหัสมาก
“ที…”
“ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย พี่นาราไปทำอะไรให้ เขาไม่เคยมีศัตรูที่ไหน พี่นาราไม่สมควรจะได้รับอะไรแบบนี้” ผมดึงร่างของนาทีที่เริ่มสะอื้นเข้ามากอดเอาไว้แล้วปลอบมันอีกครั้ง แต่ร่างโปร่งก็ยังพูดออกมาไม่หยุด
“พี่ชายกูเจ็บ กูก็เจ็บ เจ็บกว่าเป็นล้านเท่า…”
นาทีกอดตอบผมแน่น มือสองข้างกำอยู่ที่เสื้อนักเรียนของผมจนมันตึงไปหมด ยังไม่ทันที่เราสองคนจะได้พูดอะไรต่อ เงาที่ประตูห้องไอซียูก็ปรากฏขึ้น ผมดันร่างของนาทีออกพลางวิ่งเข้าไปหาคุณหมอที่เปิดประตูออกมา พอๆกับพี่วินที่ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วตรงเข้าไปหาคุณหมอ
“น้องชายผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” พี่วินพยายามจะเขย่าตัวคุณหมอที่ดูเอกสารอะไรบางอย่างในมือ ผมดึงแขนพี่เขาเอาไว้แล้วหันไปมองนาทีที่เลือกที่จะนั่งมองอยู่นิ่งๆ
“ใจเย็นๆครับคุณไอริส น้องชายคุณพ้นขีดอันตรายแล้ว”
เหมือนยกภูเขาลูกโตออกจากอก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พอๆกับพี่วินที่หันมากอดผมแน่น
แต่หลังจากนั้น มันต้องมีคำว่า…
“แต่…”
คุณหมอขัดขึ้น อารมณ์ของพวกผมถูกขัดตามไปด้วย
มันเป็นสิ่งที่แพทย์ต้องทำเพื่อที่จะปลอบใจญาติของคนไข้ พ้นขีดอันตราย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าหายดี
“เขาอาจจะมีอาการแทรกซ้อนในระยะแรก หมอจึงไม่สามารถให้เยี่ยมได้”
“แทรกซ้อน? แทรกซ้อนยังไงครับหมอ?” พี่วินหันไปถามหมออย่างร้อนรน ผมกระตุกแขนเขาเพื่อให้เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองหน่อย เพราะดูท่าทางพี่แกอยากจะกระชากคอเสื้อหมอใจจะขาดแล้ว
“ไปคุยกันในห้องแล้วกันครับ”
คุณหมอว่าพลางผายมือเดินตรงไปที่ห้องที่อยู่ด้านข้าง พี่วินมองหน้าผมก่อนจะกดจูบลงบนหัวผมเหมือนพี่ชายปลอบน้องชายแล้วเขาก็เดินหายเข้าไปพร้อมกับหมอ ผมยืนอยู่ด้านนอกพร้อมกับลูกชายคนเล็กของบ้านที่เลือกที่จะไม่เปิดใจรับฟังอะไรทั้งนั้น
“พี่นาราปลอดภัยแล้ว โทรบอกคุณพ่อกันเหอะ” นาทีพยักหน้า ก่อนจะจับมือผมเอาไว้แน่น
ไม่หรอก เราต่างก็รู้ดีว่าพี่นารายังไม่ปลอดภัย
ไม่อย่างนั้นต้องออกจากห้องผ่าตัดไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว…
“นาที!!” จู่ๆเสียงทุ้มๆที่ดังขึ้นด้านหลังก็เรียกความสนใจจากผมและนาที ผู้ชายร่างโปร่งสวมชุดกราวน์สีขาววิ่งเข้ามาหานาที นาทีปล่อยมือจากผมแทบจะทันทีก่อนจะโผเข้ากอดร่างโปร่งของคุณหมอคนนั้น
“พี่หมอ!” ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ นาทีเหมือนเด็กเล็กๆเมื่อคุณหมอคนนั้นลูบหัวของมันเบาๆ เสียงสะอื้นที่เก็บไว้ต่อหน้าผมกลับถูกปล่อยออกมาจนทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านสะเทือนใจกับเสียงร้องไห้ของลูกผู้ชายคนหนึ่ง
“วินล่ะ?” คุณหมอร่างโปร่งถามขึ้น นาทีชี้เข้าไปที่ห้องด้านข้าง
“ทีไม่เข้าไปเหรอ?”
“ไม่ ผมไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว”
มือของนาทีจิกเสื้อกราวน์ไว้แน่นจนคุณหมอที่พยายามจะสะบัดตัวออกไปไหนไม่ได้
“ทีปล่อยพี่ก่อนนะ พี่ต้องรู้อาการของนารา”
“พี่อย่าทิ้งผมไปนะ!! อย่าทิ้งผม”
“ที … พี่ต้องเข้าไปฟังอาการของนารา ไม่งั้นพี่จะช่วยอะไรไม่ได้”
‘หมับ’
ผมที่ฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่นานสองนานเดินเข้าไปดึงแขนนาทีออกมา มือของผมบีบแน่นลงบนแขนหนาๆของนาทีพลางมองไปยังคุณหมอร่างโปร่งที่ดูจะอายุมากกว่าผม
“ผมดูเขาให้เองครับ” ผมว่า พี่หมอก้มหัวให้ผมก่อนจะขยี้หัวนาทีแล้วเดินหายเข้าไปในห้องที่มีพี่วินกับคุณหมอเจ้าของไข้ของพี่นารา
“เลิกทำตัวงี่เง่าซักที พี่นาราไม่เป็นอะไรแล้ว”
“มึงก็พูดได้นี่ ไม่ใช่พี่ชายมึงซักหน่อย!” นาทีตะคอกใส่ผมกลับอย่างหัวเสีย ผมเบิกตากว้างแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจในอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของมัน
ผมค่อยๆคลายมือออกจากแขนของนาทีแล้วมองร่างตรงหน้าอย่างผิดหวัง นาทีเหมือนรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา ใบหน้าของมันสำนึกผิด เรียวคิ้วขมวดกับขอบตาที่บวมเฉ่ง มือของมันเอื้อมมาหมายจะจับตัวผมแต่ผมกระถดถอยหนี
ทำไม … ถึงพูดอะไรไม่คิด
“ป่าน …”
“ใช่ พี่นาราไม่ใช่พี่ชายกู…” ผมสบถเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินถอยหลังออกมาเรื่อยๆพอๆกับนาทีที่เดินตามมา
“มันไม่ใช่แบบนั้น กู…”
“แต่เขาเป็นพี่ชายมึง … เป็นพี่ชาย … คนที่ … กู … รัก” เสียงที่เบาลงเรื่อยๆ คำว่ารักที่แทบจะกลืนหายเข้าไปในลำคอ ความร้อนที่ใบหน้าที่เอ่อขึ้นไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เป็นความรู้สึกแย่ลึกๆที่มันพูดแบบนั้น
ถึงผมจะเคยเจอพี่นาราแค่ครั้งเดียว แต่เพราะเป็นคนที่นาทีรัก เป็นพี่ชายของนาที ผมก็เคารพเขาเหมือนพี่แท้ๆคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าผมไม่เสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่เพราะนาทีไม่ฟังบ้าอะไรเลย
“ป่าน…”
มือของนาทีคว้าเข้าที่แขนของผม ผมเงยหน้ามองมันอย่างผิดหวัง
“ป่าน กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”
‘ผั่วะ!!!’
ผมฟาดหมัดลงที่ใบหน้าของคนที่เพิ่งร้องไห้อย่างหนักมาจนลงไปกองกับพื้น พยาบาลร้องตกใจแล้วจะเข้ามาห้ามพวกผมแต่พี่นาวินก็ออกมาจากห้องพร้อมกับหมอทั้งสองคนแล้วเข้ามาห้ามผมกับนาทีเอาไว้ก่อนที่จะเลยเถิดไปกว่านี้
“ใจเย็นๆป่าน” พี่วินว่า เหมือนเขาจะได้ยินบทสนทนาของผมกับนาทีเมื่อตะกี้ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเลย
“ขอโทษงั้นเหรอ! ง่ายขนาดนั้นเลยดิ!! ทำไมเวลาพูดไม่หัดคิดก่อน สมองน่ะมีมั้ย!!!” ผมตะคอกลั่นแล้วดิ้นอย่างสุดแรงเมื่อมือของพี่วินล็อคตัวผมเอาไว้ ผมกำหมัดแน่น อยากจะชกหน้าคนตรงหน้าให้ตายคาโรงพยาบาลไป แต่ก็ทำได้เพียงแค่สั่งสอน
“กูไม่ได้ตั้งใจ…” นาทีก้มหน้ามองพื้นอย่างสำนึกผิด
“มึงก็สักแต่พูดนั่นแหละนาที มึงเคยแคร์ความรู้สึกของคนที่มึงรักบ้างหรือเปล่าวะ เห็นกูเป็นหัวหลักหัวตอที่เวลามึงอยากจะพูดห่าอะไรก็พูดออกมาเลยงั้นเหรอ!!!”
“ป่าน … พอเถอะ ไปหาพ่อกับพี่” พี่วินว่าก่อนจะโยนกุญแจรถให้กับพี่หมอที่นาทีเข้าไปกอดเมื่อตะกี้ พี่หมอคนนั้นทำหน้างงๆ “ฝากสั่งสอนน้องสุดที่รักของแกระหว่างทางไปบ้านฉันด้วยแล้วกัน ฉันเบื่อที่จะบ่นมัน ไอ้เด็กปากหอยปากปู
ปากพล่อย”
พี่วินด่าน้องชายคนเล็กของบ้านก่อนจะลากผมออกไปที่ลานจอดรถ ผมเดินไปขึ้นรถตู้สีดำซึ่งเป็นรถที่จำได้ว่าเป็นรถของทางบริษัทของพี่วิน มองไปด้านหลังก็เห็นว่าพี่หมอคนนั้นพานาทีขึ้นรถบีเอ็มสีขาวไป
“อย่าไปถือสาไอ้ทีมันเลยนะ มันโดนตามใจแต่เด็กน่ะ” พี่วินว่าพลางนั่งลงข้างผมแล้วสั่งให้คนขับรถขับตรงไปที่บ้านของเขา ผมกัดริมฝีปากแน่นแล้วหันไปมองกระจกด้านหลังที่มีบีเอ็มสีขาวขับตามมา
“คุณหมอคนนั้นใครเหรอ?” ผมถามขึ้น พี่วินหันตามไปมองแล้วยิ้มออกมานิดๆ
“หึงแฟนหรือไง?”
ผมชะงักไป
“เปล่า”
“ฮ่ะๆ หมอนั่นชื่อกวาง เป็นเพื่อนพี่ตั้งแต่สมัยเด็กๆ นาทีติดเจ้านั่นแจเลยล่ะ” พี่วินว่า ผมสังเกตเห็นความบวมช้ำที่ใต้ตาของเขาเป็นอย่างดี บ่งบอกว่าพี่วินร้องไห้หนักขนาดไหน
“ติด?”
“อือ ไอ้กวางก็เหมือนกับพี่ชายอีกคน ติดที่ว่าไอ้นั่นมันชอบยอไอ้ที จนเด็กมันติดนิสัยแย่ๆมาไง” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะนิ่งไปเมื่อพี่วินมองออกไปนอกหน้าต่าง
“พี่นาราเป็นยังไงบ้างเหรอครับ?” ผมรู้ว่าอาจจะไม่ถูกกาลเทศะที่ผมจะเข้าไปรู้เรื่องของครอบครัวของคนตรงหน้า แต่ผมเป็นห่วงพี่นาราจริงๆ
“ที่นาทีไม่นั่งรถมากับเรา ก็เพราะแบบนี้ล่ะ” พี่วินหันมามองผม ดวงตาสีดำสนิทสั่นไหวเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นเหมือนกลั้นน้ำตาให้ไหลย้อนกลับเข้าไป
เกิดอะไรขึ้น
“เลิกปกป้องผู้หญิงที่ชื่อหญิงซักทีป่าน…” จู่ๆเสียงทุ้มก็พูดขึ้นมา ผมชะงักไป
“ครับ?”
“จดหมายนี่ถูกทิ้งไว้ที่คอนโซนรถของนาราตอนที่พี่ไปดูที่เกิดเหตุ”
กระดาษเปื้อนเลือดยับยู่ยี่จนแทบขาดแผ่นหนึ่งถูกวางลงบนตักผม ผมหยิบมันขึ้นมาคลี่ดูแทบจะทันที
‘มันยังไม่จบหรอกนะ … กับสิ่งที่น้องชายแกทำไว้กับฉัน’
“พี่แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นหญิง?” ผมเลิกคิ้วถามคนตรงหน้า มือก็สั่นจนแทบจะควบคุมไม่ได้
“ปฏิเสธสิว่า คนๆนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ป่านรู้จัก” มือหนายื่นกระดาษมาให้ผมอีกใบ รูปถ่ายที่ชัดเจนจากกล้องวงจรปิดของลานจอดรถชื่อดัง ร่างของผู้หญิงตัวเล็กกับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์ขายาวสีดำที่คุ้นตา ผมสีน้ำตาลที่ยาวถึงกลางหลัง กับลูกน้องคนสนิทที่สวมชุดสีดำกำลังทำอะไรบางอย่างกับรถบีเอ็มสีดำคันหนึ่ง
ร่างทั้งร่างของผมกำลังถูกไฟฟ้าภายในร่างกายช็อต
ถึงนาทีจะควงผู้หญิงมาเยอะก็จริง แต่นั่นคือน้องหญิงจริงๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่วินถึงได้รู้ว่าคนๆนี้คือน้องหญิง แต่เท่าที่ฟังจากปากเขามา ผู้ชายคนนี้ ถ้าอยากรู้อะไรก็น่าจะรู้ได้ง่ายๆ จริงๆแล้วผมจำได้เพียงแค่แวบเดียวที่เห็น แม้มันอาจจะมีผู้หญิงหลายสิบคนที่แค้นไอ้นาที แต่สาบานจากคนที่เคยอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตได้เลย ไม่มีใครที่กล้าทำแบบนี้นอกจากผู้หญิงคนนั้น…
“นั่นคือรถของนารา”
“แต่มันอาจจะไม่ใช่…” อาจจะไม่ใช่หญิงจริงๆก็ได้ ผมอาจจะจำผิดไป ยังไงผมก็ยังลังเล…
“นารากลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วป่าน!!!! แล้วทีนี้ ยังจะปกป้องผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกหรือไง!!!” พี่วินตะคอกลั่นรถ มือหนากระชากร่างผมเข้าไปแล้วเขย่าตัวผมอย่างแรง
ผมช็อคไปกับสิ่งที่ได้ยิน…
“ได้ยินมั้ยป่าน!!! นารากลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว!!!” ร่างสูงตะคอกออกมาทั้งน้ำตา ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะร่วงลงสู่ไหล่ของผม พี่วินร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน แต่กลับไม่มีเสียงร้องเล็ดลอดออกมา หัวใจผมถูกบีบรัดจนแตกสลาย ไหนบอกว่าพี่นาราปลอดภัยแล้วยังไง... แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง ... เจ้าชายนิทราเนี่ยนะ!!!
นี่มันจะมากเกินไปแล้ว มากเกินไปแล้วจริงๆ หมดสิ้นกันทีหญิง …
เธอเป็นเพียงแค่ฆาตกรสำหรับผมไปแล้ว…
“ผมขอโทษ ขอโทษ” ด้วยอาการช็อคที่เกิดขึ้น ปากผมพร่ำบอกคำขอโทษกับร่างตรงหน้า ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ไม่สามารถลบความผิดของผู้หญิงคนนั้นได้
เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะผม
ถ้าผมไม่เข้าหาไอ้นาทีเพราะต้องการให้หญิงเลิกยุ่ง หญิงก็อาจจะไม่ได้เข้าหานาที เธออาจจะทำได้แค่ปลื้มนาทีแต่ไม่มีสิทธิ์สัมผัสนาที ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องครอบครัวของนาที ไม่มีสิทธิ์ … ที่จะทำลายครอบครัวของคนอื่น
“ผมขอโทษ”
TBCสิ่งที่เรียกว่าดราม่า.. ยังไม่จบลงง่ายๆสินะ