ตอนที่ #15
DEAN @DEANada . 2mขอบคุณที่ยอมเดินไปด้วยกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะขลาดเขินเกินกว่าจะนั่งข้างกันเงียบ ๆ ได้ รณณ์คงไม่ได้เห็นข้อความนี้ในทวิตเตอร์ แต่เพราะหลังจากสารภาพความรู้สึกผ่านการกระทำไปแล้ว ความประดักประเดิดที่เกิดขึ้นก็ชวนให้เขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทวิตเตอร์ที่ถูกปล่อยร้างมานานจึงถูกเปิดขึ้นอีกครั้งในตอนที่กลับเข้ามานั่งประจำที่รอหนังรอบบ่ายฉาย
ใบหน้าหล่อใสที่ยังมีริ้วแดงจาง ๆ หันมองคนข้างกายแล้วพบว่าอีกฝ่ายเองก็เอาแต่เลื่อนนิ้วไปมาบนหน้าจอที่แสดงแอพฯเดียวกัน
“รณณ์”
“คะ ครับ” เพราะไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะหันมามองพร้อมเปิดบทสนทนา รณณ์จึงตอบรับตะกุกตะกักออกไปพร้อมหันหน้าหนีมาปรับความรู้สึกใหม่ก่อนจะหันไปสบตาอีกครั้ง
“เย็นนี้กลับด้วยกันไหม”
“เอ่อ... ผมนัดกับเพื่อนไว้แล้วครับ”
“จริงสิ คุณมาเพราะเขานี่” ดีนพึมพำเบา ๆ ไร้วี่แววของความน้อยใจให้รณณ์ลำบากใจ “แล้วงานประจำมหา’ลัยปีนี้ วันเสาร์หน้าใช่ไหม คุณจะไปกี่โมง?”
“คงไปช่วงสาย ๆ หน่อยครับ นัดเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะไปช่วยรุ่นน้องที่บูธคณะในส่วนของการแนะแนวน่ะครับ”
“อืม ผมคงเข้าไปบ่ายเลย ช่วงเช้าตั้งใจจะไปถ่ายรูปที่อ่างเก็บน้ำสักหน่อย ได้ข่าวมาว่าเขาสร้างศาลาใหม่แถวนั้นนี่ ใช่ไหม?”
“คุ้น ๆ อยู่เหมือนกันนะครับ” รณณ์หัวเราะแห้ง
“อะไรกัน นี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่จริงรึเปล่า ทำไมไม่แน่ใจได้ล่ะ” ดีนยิ้มล้อ
“ก็มันไกลจากคณะผมซะขนาดนั้น นานทีปีหนถึงจะผ่านไปสักครั้งนี่ครับ” พอดีนชวนคุยเรื่องสัพเพเหระก็ทำให้รณณ์ลดความประหม่าลงไปได้เยอะจนสามารถพูดคุยและสบตาได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนก่อน เพียงแต่รอยยิ้มสดใสที่แต้มใบหน้าตลอดเวลามากกว่าเก่านั้นตกอยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่ตลอดด้วยเช่นกัน
“ผลงานปีนี้ดีหลายเรื่องเลยนะ ผมชอบมาก” ดีนเอ่ยในตอนที่หลายคนกำลังทะยอยออกจากที่แห่งนี้หลังจากจบโปรแกรมฉายหนังมาราธอนแล้ว หากแต่ความคิดเห็นนั้นกลับไม่ได้รับการตอบรับจากคนข้างกาย พอหันไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองมาด้วยใบหน้ายิ้มทะเล้น
“เชื่อแล้วครับว่าชอบมาก” ก็หน้าคุณดีนดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น ไม่ต้องบอกเขาก็ดูออกว่าเจ้าตัวอิ่มเอมขนาดไหน
“เดี๋ยวเถอะ!” ดีนเคาะนิ้วลงปลายจมูกเด็กดื้อเสียหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยวแล้วจับจูงให้เดินออกไปด้วยกัน
“คุณชอบเรื่องไหนที่สุด? ...อ่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่าห้ามตอบว่าเรื่องที่เพื่อนคุณกำกับนะ”
รณณ์ขำ “ทำไมละครับ”
“เถอะหน่า อยากฟังคุณพูดถึงเรื่องอื่นมากกว่า”
“อืม…ผมชอบพล็อตกับการเดินเรื่องของ inbox แต่ชอบมุมกล้องเรื่อง goodnight interlude อืม...เลือกยากจังเลยนะครับ”
ดีนมองคนกำลังใช้ความคิดเพลิน ๆ ไม่รู้สักนิดว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนหรือมองด้วยสายตาอย่างไร มารู้ตัวเอาตอนที่คนถูกมองชะงักกึกแล้วหน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้งของวัน “มองแบบนี้ผมก็คิดไม่ออกกันพอดีสิครับ”
“มองแบบไหน”
“ฮื่อ ก็แบบนี้ไงครับ”
ดีนอมยิ้ม “อ่ะ ๆ ไม่มองแล้วก็ได้ ตกลงว่าประทับใจเรื่องไหนสุด”
“Felt ครับ”
“หืม? คุณเป็นเด็กติสต์เหรอ? หรือชอบดูหนัง sci-fi” ดีนมีสีหน้าฉงนเพราะคำตอบของเด็กหนุ่มถือว่าเกินคาด นอกจากเรื่องดังกล่าวจะเป็นแนว sci-fi แล้ว เนื้อหายังติสต์แตกแหวกแนวเสียจนถ้ามองผิวเผินคงจะเข้าถึงได้ยาก
“เปล่าครับ ผมแค่ชอบพระเอก”
“...”
รณณ์ถึงกับหลุดขำพรืดก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเต็มเสียงเมื่อเห็นหน้าคุณดีนที่นิ่งเหวอไปหลังจากได้ยินคำตอบของเขา “พูดเล่นครับ นั่นน่ะผู้ชายนะ ใครจะไปชอบกันละครับ” ...มิหนำซ้ำยังเป็นแฟนของรุ่นน้องที่สนิทกันด้วย
“เดี๋ยวรณณ์…” ดีนคว้าแขนที่เล็กกว่าของอีกฝ่ายไว้ให้หยุดเดินแล้วหันกลับมามองหน้ากัน “...ผมก็เป็นผู้ชายนะ”
“ครับ” รณณ์ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าคุณดีนกำลังพูดถึงอะไร
“คุณไม่ชอบผมเหรอ?”
อ่า...เข้าใจแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” จากตอนแรกที่ดีนรั้งแขนคนเด็กกว่าไว้ ตอนนี้กลายเป็นว่าอีกฝ่ายเกาะแขนเขาแน่นเสียเอง
“แล้วมันยังไง”
“กะ ก็...ก็…”
“หืม?”
“ไม่ได้ชอบผู้ชายคนอื่น แต่ชอบแค่คุณดีนคนเดียวครับ”
ถ้าตอนสารภาพออกมาไม่มัวแต่ก้มหน้าหลบสายตา รณณ์คงทันได้เห็นแววตาแพรวพราวและมุมปากบนใบหน้าตี๋อินเตอร์ยกขึ้นแล้วเม้มอมยิ้มอย่างพอใจแล้ว
“ผมก็ชอบแค่คุณคนเดียวเหมือนกัน”
ดีนระบายยิ้มกว้าง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะพูดคำที่แสดงความรู้สึกทำนองนี้กับใครได้ ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ความรู้สึกตกหลุมรักใครสักคนหนึ่ง
เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคำว่า ‘ชอบ’ ไม่ได้พูดยากขนาดนั้น
ฝ่ายรณณ์เองก็เขินจนทำตัวไม่ถูก แค่คุณดีนบอกว่าชอบก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นรัวเร็วยิ่งกว่าตอนได้จูบแฟนคนแรกเสียอีก
ดีนอาสาจะอยู่เป็นเพื่อนรณณ์รอเอกเก็บของ แต่รณณ์ปฏิเสธพร้อมบอกว่าตนจะช่วยเพื่อนอีกแรง คงไม่ได้นั่งเหงาอย่างที่ดีนกังวล ชายหนุ่มลูกเสี้ยวจึงกลับไปก่อนโดยไม่ลืมกำชับทิ้งท้ายว่าให้เขาโทร.หาเมื่อกลับถึงหอพักแล้ว
“รอนานนึดนึง โทษทีว่ะ”
เอกเดินเข้ามาหารณณ์ในตอนที่ห้องสโลปกลับมามีสภาพเหมือนก่อนเปิดใช้งาน ซึ่งกว่าจะกลับไปเป็นสภาพนั้นได้ก็ทำให้คนรอต้องนั่งแกร่วคนเดียวนอกห้องนานถึงเกือบสองชั่วโมง
“ถ้ามึงยอมให้กูช่วยก็คงไม่ต้องรอนานขนาดนี้หรอกว่ะ”
“ให้พวกกูทำกันเองน่ะแหละดีแล้ว อะไรอยู่ตรงไหนมึงก็ไม่รู้ ลำบากเปล่า ๆ”
ใบหน้าบึ้งตึงของคนรอขยับขึ้นลงส่ง ๆ เออออไปตามเรื่องราวเพราะคร้านจะเถียงด้วยจนคนมองหมั่นไส้ต้องยื่นมือมาขยี้หัวให้เจ้าตัวหน้ายุ่งกว่าเดิม “เพื่อเป็นการไถ่โทษ กูจะยกยอดที่มึงต้องเลี้ยงกูไปวันอื่นละกัน”
“อยากไถ่โทษจริงต้องยกเลิกไปเลยเว้ย”
“แหม ไอ้เพื่อนรัก มึงไม่บอกให้กูเลี้ยงมึงด้วยซะเลยล่ะ”
“อันนั้นมึงควรจะคิดได้เองป่ะวะ”
“เดี๋ยวโบกหัวทิ่มไอ้สัด!”
รณณ์ระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจพลางพาตัวออกห่างฝ่ามือของเพื่อนไปด้วย แต่สุดท้ายก็ถูกดึงกลับมาเดินข้างกันจนไปถึงร้านอาหารในห้างใกล้ ๆ อยู่ดี
ผู้ชายสองคนวัยกำลังกินกำลังโตหิวโซจนจะกินช้างได้ทั้งตัวขนาดนี้คงไม่มีที่ไหนที่จะฝากท้องได้ดีไปกว่าร้านบุฟเฟ่ต์อีกแล้ว
สองหนุ่มนั่งตรงหน้าหม้อชาบูแบบเดี่ยวกันคนละหม้อซึ่งเป็นตำแหน่งใกล้จุดเริ่มต้นของสายพาน ใบหน้าหล่อใสสมวัยสดใสขึ้นทันทีเมื่อจานสารพัดเนื้อเลื่อนมาตรงหน้า รณณ์คีบตะเกียบในมือรอ ขยับนิ้วให้ตะเกียบกระทบกันจนเกิดเสียงด้วยความหิวและจดจ่อกับจานที่ต้องการ เอกมองหน้าเพื่อนที่กำลังมีความสุขแล้วก็พบว่าตัวเองกังวลบางอย่างจนไม่อาจระบายยิ้มได้เต็มหน้าแบบนั้นบ้าง
“อ่ะ”
จานอาหารทานเล่นถูกวางลงบนพื้นที่ว่างระหว่างกัน คนที่วุ่นอยู่กับการคีบสารพัดเนื้อใส่หม้อตัวเองหันมองแล้วพบว่าล้วนเป็นของโปรดตัวเองทั้งนั้นก็เอ่ยขอบคุณเพื่อนที่ใจดีลุกไปตักมาให้
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปโดยไร้บทสนทนาต่อกัน ต่างคนต่างจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิว จนกระทั่งสิบห้านาทีต่อจากนั้นที่ความเร็วในการคีบอาหารเข้าปากเริ่มลดลง ถึงอย่างนั้นรณณ์ก็ยังคีบเนื้อลงต้มในหม้ออย่างต่อเนื่อง ขณะที่เอกนิ่งไปสักพักใหญ่แล้ว จุดโฟกัสของเอกกลายเป็นเพื่อนสนิทข้างกายมากกว่าอาหารหลากหลายชนิดตรงหน้าได้ครู่หนึ่งแล้ว ความคิดกังวลเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ไหลวนอยู่ในหัวจนพาลให้ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง
“รณณ์”
“หืม?” ครางรับทั้งที่ปากยังเคี้ยวอาหารเต็มสองแก้ม เอกยิ้มเอ็นดู จะหิวอะไรขนาดนี้ เห็นแล้วอยากจะยื่นมือไปตบแก้มที่โป่งออกให้อาหารพุ่งออกมาเสียจริง
“ถามอะไรหน่อยได้ไหม”
เพราะจับกระแสเสียงได้ว่ามีความจริงจังอยู่มากทีเดียว รณณ์ถึงได้รีบเคี้ยวรีบกลืนแล้วดื่มน้ำตามเสร็จสรรพก่อนหันมาหาเพื่อนตรง ๆ “ได้ดิ”
“มึงกับคุณดีนอะไรนั่น เป็นมากกว่าเจ้านายกับลูกน้องใช่ไหม?”
คิดไว้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นคำถามที่หนีไม่พ้นเรื่องของคุณดีน แต่รณณ์ก็ไม่คิดว่าจะถูกถามแบบนี้ เขามองสบตาเพื่อนสนิทที่จ้องมองมาอย่างรอคำตอบก่อนจำใจพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก “อืม”
“รู้ใช่ไหมว่ากูหมายถึงสถานะไหน?” เอกถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“รู้”
รณณ์ไม่ได้มองสบตาแล้ว นัยน์ตาใสหันหลบกลับมามองหม้อชาบูของตัวเอง หยิบตะเกียบมาเขี่ยเนื้อในหม้อแก้เก้อ รู้สึกมือไม้มันเกะกะจนไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่รังเกียจใช่ไหมที่กูเป็นแบบนี้”
“ไม่เลยรณณ์ มึงเป็นเพื่อนกูนะ แต่กูเป็นห่วงมึงมากกว่า”
มองอย่างไรเพื่อนเขาก็คงหนีไม่พ้นสถานะ ‘เมีย’ แล้วไอ้สถานะนี้ ผู้ชายแมน ๆ ที่ไหนก้าวเข้าไปแล้วจะออกมาคืนสู่ความเป็นธรรมชาติของเพศชายได้อีก ผู้หญิงที่ไหนจะยอมให้คนเคยอยู่ในสถานะแบบเดียวกันมารุกตัวเองกันเล่า
“เขาคือคุณดีน คนเดียวกับที่กูเคยเล่าให้ฟัง”
“คนที่มึงตามทวิตกับไอจีเขาอ่ะนะ”
รณณ์พยักหน้าแทนคำตอบ
อย่างนี้นี่เอง มิน่า...สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมความรู้สึกแบบนั้นถึงได้เกิดขึ้นเร็วนัก
“ชอบกูได้รึเปล่า?”
“เห้ย! พูดอะไรของมึงเนี่ย”
“ชอบผู้ชายคนอื่นได้ไหม?”
“บ้าไปแล้ว!”
“ตอบ”
รณณ์ไม่ได้ตอบในทันที และเอกก็ใจเย็นพอที่จะรอให้อีกฝ่ายได้คิดไตร่ตรอง
“ไม่ได้ดิ จะชอบคนอื่นได้ไง ชอบเขาแค่คนเดียว” ถึงจะเสียงเบาทว่าคำตอบนั้นทั้งชัดเจนทั้งหนักแน่น และเอกก็ไม่ได้รอนานจนเกินกระพริบตาเดียวเลยด้วยซ้ำ
เอกมองหน้าเพื่อนสนิทนิ่ง “มึงไม่ได้ชอบผู้ชาย มึงชอบแค่เขา แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามึงชอบเขาแบบคนรัก มึงอาจจะแค่ปลื้ม แค่ดีใจที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดไอดอลของมึง แล้วก็บังเอิญว่าเขาก็เป็นคนดีอย่างที่มึงคิดไว้ มึงก็เลยยิ่งประทับใจเขาเข้าไปใหญ่...”
รณณ์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อคิดตามเพื่อน
“...อาจจะแค่นั้นเองนะ”
“...”
“แล้วนี่...ถึงขั้นไหนกันแล้ว”
รณณ์หันมองหน้าเอกเลิ่กลั่ก “ยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะเว้ย”
“เท่าที่กูดู ความรู้สึกมึงไปไกลกว่าแค่รู้สึกดีกันแล้วนะ แน่ใจเหรอว่าที่มันยังไม่พัฒนาไปถึงการกำหนดสถานะชัดเจนไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาจะกั๊กมึง”
“...”
“คิดดูดี ๆ ก่อนนะเว้ย ความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ยั่งยืน ใครจะรู้ว่าวันข้างหน้าเป็นยังไง วันนี้อาจจะรู้สึกดี วันข้างหน้าอาจจะไม่ดีแล้วก็ได้”
“...”
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าถ้าคบกันจริง ๆ มึงจะอยู่ในโพสิชั่นไหนของความสัมพันธ์”
อะแค่ก ๆ
“มะ ไม่ถึงขั้นนั้นไหมล่ะ” คนถูกถามหน้าแดงก่ำ แดงทั้งหน้าลามไปหูและลำคอจนดูน่าสงสาร รณณ์ไม่ได้ใสซื่อจนไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนต้องการจะสื่อ เขาก็เป็นวัยรุ่นชายคนหนึ่ง มีหรือจะไม่เข้าใจเรื่องสัมพันธ์ทางกายของคู่รัก และรู้ด้วยว่าหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นระหว่างตนกับคุณดีนจริง ตนจะอยู่สถานะไหน
“อะไรที่ไม่ถึงขั้นนั้น?...” เอกยังถามจี้ “...ชอบเขาไม่มากพอจะไปถึงขั้นคบกัน หรือคิดว่าคนคบกันจะไม่มีเรื่องแบบนั้นมาเกี่ยวข้อง”
“...”
“คิดดี ๆ นะ เป็นเกย์รับแล้วมันยากจะกลับมาคบผู้หญิงได้นะเว้ย” เอกวางมือลงบนบ่าเพื่อน ตบเบา ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “ไหนจะพ่อแม่อีก มึงเป็นลูกคนเดียวนะรณณ์ เขาจะรับได้เหรอวะ”
“...”
“มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าชอบเขามากพอที่จะยอมเสี่ยงอ่ะ”
ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังไม่มีคำตอบจากรณณ์เหมือนเดิม
รณณ์ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณดีนมันมากมายถึงขั้นไหน ทั้งที่เจอหน้ากันทุกวัน กินเที่ยวเดินเล่นหลังเลิกงานกันเกือบทุกวัน เขาสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้น แต่ก็ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่าความสุขที่มีมันมากพอให้ตัวเองยอมสู้กับสิ่งที่ต้องพบเจอเพื่อให้ได้ครอบครอง ‘ความสุข’ ที่ว่านั่นหรือเปล่า
“รณณ์!!”
“คะ ครับพี่”
“เป็นไรวะ นั่งเหม่ออยู่ได้” ทศยืนค้ำโต๊ะมองหนุ่มรุ่นน้องที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก
“พี่ทศมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ” รณณ์พบว่าตอนนี้ที่โต๊ะเขาไม่ได้มีแค่ตนกับทศสองคน แต่มีพี่ ๆ คนอื่นในแผนกอีกสามคนยืนล้อมเขาไว้ด้วย ท่าทางเหมือนกำลังจับกลุ่มกันคุยถึงเรื่องบางอย่างอยู่
“เปล่า พี่แค่จะถามว่าแกได้เล่มเลิฟรึยัง” เล่มเลิฟคือชื่อที่คนในแผนกนี้เรียกกันเล่น ๆ แทนฉบับเดือนแห่งความรักที่ถูกเปลี่ยนคอลัมน์หลักกะทันหัน ฟังดูประชดประชันคุณดีนอย่างไรก็ไม่รู้
“ได้มาแล้วครับ”
เรื่องของความทรงจำขายได้เสมอ
ในตอนนี้พนักงานทุกคนโดยเฉพาะแผนกคอลัมน์ต่างก็ยอมรับว่าคุณดีนฉลาดหลักแหลมในการเปลี่ยนหัวข้อฉบับรายเดือนกุมภาพันธ์ เพราะนิตยสารไลฟ์ฉบับที่เพิ่งวางแผงมีธีมหลักเป็นความรักในรูปแบบที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ขายดิบขายดีจนเกลี้ยงแผงก่อนที่รณณ์จะได้มาไว้ในมือเป็นอนุสรณ์ของความพยายามเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณดีนให้มา รณณ์ก็ไม่รู้ว่าตนจะตามหาเล่มดังกล่าวได้ที่ไหนอีก
“เฮ้ย! ได้มายังไงวะ พี่ตามหาทุกแผงละแวกนี้ยังไม่เจอสักเล่ม” ทศถาม
“นั่นดิพี่ สงสัยคนจะอยากสะสมว่ะ อย่างว่าแหละ เดี๋ยวนี้คนเขาโหยหาอดีตกันทั้งนั้น ยิ่งเก่ายิ่งมีคุณค่า” หนึ่งในสามออกความเห็นก่อนที่รณณ์จะถูกถามซ้ำด้วยคำถามเดิม
“คุณดีนให้มาครับ” รณณ์ตอบตามความจริง ไม่ทันได้สังเกตถึงความเคลือบแคลงใจบนใบหน้าของทศ
“เฮ้ย! ทำไมคุณดีนต้องให้แกด้วยวะ” หนึ่งในนั้นโวยวายขึ้นมา
“เอ่อ…” รณณ์อ้ำอึ้งเพราะหาคำตอบให้อีกฝ่ายไม่ได้ ทำไมต้องให้อย่างนั้นหรือ? ตอนได้รับมาคุณดีนบอกว่าอยากให้...อยากให้เห็นว่าบทความที่เคยถูกเรียกไปพบที่ห้องทำงาน ท้ายที่สุดแล้วมันก็ถูกตีพิมพ์ไว้หน้าแรก ๆ พร้อมภาพประกอบที่เป็นเขาเดินสวนกับผู้คนบนถนนที่อีกฝ่ายเคยอัพลงอินสตาแกรมส่วนตัวมาแล้ว
“ก็เป็นผลงานของนักศึกษาฝึกงานไง บอกอเขาอยากให้เก็บไว้ แปลกตรงไหน” ดาวที่เดินมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอ่ยบอกไขข้อข้องใจให้ทุกคนทำเอาวงสนทนาของเหล่าชายหนุ่มแตกฮือแยกกันกลับโต๊ะตัวเองไปแทบไม่ทัน จะมีก็แต่ทศที่ยังเอ่ยทักทายหัวหน้าสาวได้อย่างเป็นปกติก่อนกลับไปนั่งที่โต๊ะเช่นเดียวกับคนอื่น
เห็นท่าทางของพวกพี่ ๆ รณณ์ก็อยากจะขำอยู่เหมือนกัน ติดตรงที่หัวหน้ายืนอยู่ตรงนี้ มิหนำซ้ำเธอยังเพิ่งเอ่ยแก้ตัวแทนเขาอีกด้วย “พี่ดาวมีอะไรจะให้ผมทำรึเปล่าครับ”
“เย็นนี้เอาดอกไม้ไปขอบคุณคุณภพหน่อยนะ พี่สั่งดอกไม้แล้วก็นัดเขาไว้ให้แล้ว”
รณณ์เบิกตากว้าง “ทำไมถึงให้ผมไปละครับ ผมไปได้เหรอครับพี่ดาว”
“ก็ต้องได้สิ เราเป็นคนไปสัมภาษณ์เขามานะ เราก็ต้องเป็นคนไปขอบคุณเขาสิ”
รณณ์พยักหน้าเข้าใจ “เอ่อ...ไปกับคุณดีนเหรอครับ” ก็ครั้งก่อนคุณดีนเป็นคนพาไปสัมภาษณ์ ครั้งนี้ไปขอบคุณก็ควรต้องไปด้วยกันไม่ใช่หรือ
“เปล่า ไปคนเดียว...ไม่สะดวกเหรอ?”
“ปะ เปล่าครับ แต่แอบกังวลว่าจะทำได้ไม่ดีพอ อีกอย่าง ผมเป็นแค่นักศึกษาฝึกงาน ไม่น่าจะไปเป็นตัวแทนของสำนักพิมพ์ได้นะครับ”
ดาวยิ้มเอ็นดู “ไปเถอะ ไม่ต้องคิดมาก คุณภพเขาก็เป็นกันเองกับรณณ์นี่ ใช่ไหมล่ะ” ก็ถ้าไม่ชอบไม่ถูกใจ อีกฝ่ายคงไม่ระบุตัวบุคคลมาในตอนที่เธอบอกว่าอยากนัดขอบคุณสำหรับบทสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอตั้งใจจะส่งรณณ์ไปอยู่แล้วก็ตาม
ก่อนจากไปดาวแนะนำการปฏิบัติตัวกับการพบเจอครั้งนี้คร่าว ๆ โดยไม่ลืมเน้นย้ำทั้งสถานที่และเวลานัดกับเด็กหนุ่มด้วย
ฉากกอดกันในคืนงานเลี้ยงปิดเล่มของบรรณาธิการหนุ่มกับหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรสาวเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาลูกน้องทุกคนจนไขข้อกังขาเรื่องความสัมพันธ์แสนยุ่งเหยิงของสองหนุ่มสองสาวได้หมดจดจนกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ให้สาว ๆ ซุบซิบกันในช่วงพักกลางวันดังเข้าหูรณณ์มาเกือบทั้งสัปดาห์
“นั่น ๆ เดินมาโน่นแล้วแก เดี๋ยวนี้ตัวติดกันยิ่งกว่าเดิมอีกนะเนี่ย” กลุ่มผู้หญิงต่างแผนกโต๊ะข้างหลังซุบซิบกันดังจนรณณ์ต้องเงยหน้าจากจานอาหารกลางวันขึ้นไปดู คุณดีนเดินมากับพี่ผิงจริง ๆ แล้วก็จริงอย่างที่พวกเธอพูดกัน ภาพสองคนนี้เดินเคียงคู่กันมาในแคนทีนกลางของบริษัทกลายเป็นภาพชินตาในช่วงหลายวันมานี้เสียแล้ว คุณดีนมองสบตาเขาแวบหนึ่งพร้อมส่งยิ้มบางมาให้จนเหมือนยิ้มให้คนทั่วไปไม่ได้ระบุตำแหน่งของคนรับแล้วก็เดินเลี้ยวไปทางอื่นไม่ได้แวะเข้ามาทักทาย รณณ์ไม่รู้ว่าตัวเองมองตามคู่หนุ่มสาวด้วยสายตาแบบไหน มีเพียงแค่หนุ่มรุ่นพี่ร่วมแผนกเท่านั้นที่รู้เพราะหรี่ตามองมาอย่างครุ่นคิดอยู่ตลอด
“มองตามเขาตาละห้อยเชียว อยากมีแฟนบ้างเหรอวะ” ทศถามขึ้นลอย ๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวจนทำให้หลายคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยให้ความสนใจใคร่รู้ว่าทศหมายถึงใคร ขณะที่คนถูกพูดถึงก็ร้อนตัวจนแสดงท่าทีเลิ่กลั่กออกมาให้คนอื่นชี้เป้าได้
“ไอ้รณณ์ แกเหรอวะ?”
“แค่มองเฉย ๆ หน่าพี่ ไม่ได้อยากมีแฟน”
“แต่เขาก็เหมาะสมกันจริง ๆ นั่นแหละ เดินคู่กันแล้วเคมีพุ่งมาก”
“อะไรของมึง เคมงเคมีอะไร”
“ก็เคมีคู่รักไงพี่ สาว ๆ เขาชอบพูดกัน เป็นคอลัมนิสต์ต้องหมั่นอัพเดทศัพท์วัยรุ่นนะพี่ จะเอาท์ไม่ด้ายยยยย” ทศแทบจะตบหัวคนพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะลากเสียงพยางค์สุดท้ายจบประโยค หมั่นไส้เสียจนต้องหันไปให้ความสนใจเด็กฝึกงานแทน
“แล้วเย็นนี้จะให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ เกรงใจพี่อ่ะ”
“หรือมีใครไปด้วยแล้ว”
“เฮ้ย จะไปมีได้ไง ผมไปคนเดียวเนี่ยแหละพี่ พี่ดาวเขาขอมา คงอยากให้ผมเป็นงานมั้ง”
ทศพยักหน้า เพราะอะไรหัวหน้าสาวถึงบอกเด็กหนุ่มแบบนั้นเขาก็ไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่เหตุผลที่อีกฝ่ายเข้าใจไปเอง เพราะเท่าที่เขาทำงานที่นี่มา กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าไอ้ธรรมเนียมการส่งดอกไม้ไปขอบคุณเจ้าของบทสัมภาษณ์นี่ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก และถ้าให้เดาก็คิดว่าคงจะเป็นครั้งเดียวของนิตยสารเราด้วย
“แต่จริง ๆ ก็อยากไปกับคุณดีนนะ” รณณ์เผลอพูดออกมาแผ่วเบาด้วยเพราะไม่คิดอะไรแต่ก็ยังไม่รอดพ้นหูทศไปได้
“หืม? สนิทกันมากเหรอกับเขาน่ะ”
“ก็คุณดีนเป็นคนพาไปสัมภาษณ์นี่ครับ แต่ครั้งนี้ต้องไปคนเดียว ประหม่าจะแย่”
“พี่หมายถึงที่เรียกเขาว่า ‘คุณดีน’ น่ะ สนิทกันมากเหรอ”
รณณ์หน้าเหวอ รู้ตัวแล้วว่าพลาด เผลอใช้ถ้อยคำแสดงความสนิทสนมเกินฐานะนักศึกษาฝึกงานกับเจ้านายในที่ทำงาน “เอ่อ…”
“อยู่ห่าง ๆ เขาไว้หน่อยก็ดีนะ พี่เตือนด้วยความหวังดี”
ไร้ท่าทีล้อเล่น แววตาของรุ่นพี่ร่วมแผนกจริงจังเกินกว่าที่รณณ์จะคาดเดาได้
TBC.
----------------------------------------------------------------
หายไปนาน ครั้งนี้นานเกินหนึ่งเดือน
แต่ตอนต่อไปจะไม่นานแล้วววว
#ไม่ดิ้นรนหา
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์