ต่อนะคะ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณหมออย่างใจลอย เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เขารู้สึกเกือบจะใกล้เคียงกับคำว่า ช็อค
ติณธรกับหมอรดิศเคยเป็นแฟนกันมาก่อน รู้จักกันมานานกว่าอายุของลูกชายอีกฝ่ายเสียอีก ถึงคุณหมอจะไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเลิกกัน และเขาก็ปากหนักไม่ยอมถาม คิดว่าตัวเองพอจะเดาได้ไม่ยาก...เตแต่งงานทันทีหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย นั่นคือเรื่องที่เขารู้มา ประกอบกับอายุของเด็กชายเต้แล้ว เรื่องก็ดูจะสมบูรณ์ด้วยของมันเอง
เตมีลูก นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาเลิกกัน ส่วนใครจะเป็นฝ่ายบอกเลิกอะไรนั้น เขาไม่สนใจหรอก เอาเป็นว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน และนั่นแปลว่าคุณหมอหนุ่มคนนั้นได้เปรียบเขามากขึ้นไปอีก
ความจริงเขาก็เคยนึกว่าข้าวตังคือคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของเขา ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแย่งชิงเตออกมาจนครอบครัวเล็กๆนั่นให้บ้านแตกสาแหรกขาดหรอกนะ เขาก็แค่...อยากมีความสุขบ้าง เล็กๆน้อยๆ ความสุขที่ได้จากการใกล้ชิดผู้ชายผมหยิกหยองนัยน์ตาเศร้าคนนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าติดใจอะไรนักหนาถึงได้ถอนตัวไม่สำเร็จเสียที
ถอนตัวงั้นหรือ....เหอะ ไม่มีทางเสียล่ะ
ต้องขอบคุณความลับที่ได้รู้มาวันนี้ เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้อะไรเลย มันกลับยิ่งทวีความท้าทายมากยิ่งขึ้น ถึงคุณหมอจะเคยเป็นแฟนเก่า แต่แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า เหมือนของเก่าที่ตกยุคแล้ว ไม่มีวันกลับมาเหมือนใหม่ได้ ต่อให้เตตกหลุมรักคนๆเดิมซ้ำอีกครั้ง มันก็จะไม่มีทางลงเอยกันได้แบบแฮปปี้เอนดิ้งแน่
เขาจะต้องไปสืบให้ได้ว่าทำไมพวกเค้าถึงเลิกกัน แล้วเขาก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเองให้มากที่สุด
ทางด้านคุณหมอหนุ่ม หลังจากที่อีกฝ่ายพ้นประตูห้องออกไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจยาว ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง ทอดสายตามองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนั้นนิ่งๆ ยิ้มนิดๆมุมปากให้คนในภาพทั้งคู่
คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ จะทำอย่างไรให้ย้อนกลับไปได้กันนะ....
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปรับ...ธนพล แพทย์รุ่นน้องที่ฝากเคสคนไข้เอาไว้ที่เขา
“ฮัลโหล เป็นไงบ้าง....อืม ก็สบายดี เคสแกอ่ะหรอ ผ่าไปแล้วคนนึง เหลืออีกคน เรียบร้อยดี ยังไม่ต้องรีบผ่าหรอก รอได้อยู่.....เมื่อไหร่จะกลับล่ะ อีกสองอาทิตย์เลยเหรอ...อืม ได้ๆ เดี๋ยวฉันดูแลให้ ไม่ต้องห่วง แกห่วงเรื่องประชุมดูงานอะไรของแกเถอะ กลับมาแล้วไปพบผอ.ด้วย พูดถึงแกเช้าเย็นจนฉันเบื่อ...” พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอีกครู่ ปลายสายที่โทรทางไกลมาก็วางไป
....หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมช่วงนี้คุณหมอรดิศถึงไม่ยอมจับมีดผ่าตัดเลย เคสที่ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนถึงชีวิตถูกเลื่อนการผ่าตัดออกไปหลายเคส ไม่มีคำอธิบายนอกจากคำว่าแพทย์ไม่พร้อมผ่าตัด ไม่มีใครรู้ว่าทำไมแพทย์จึงไม่พร้อม
มีเพียงตัวเขาเองที่รู้เหตุผล...เพราะเขากำลังป่วยเป็นโรคหัวใจเช่นกัน ถึงจะคนละอย่างกับคนไข้ของเขา แต่ก็อาการหนักไม่แพ้กัน เข้าขั้นวิกฤติด้วยซ้ำ เขาหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร
รันหายหน้าหายตาไปหลังจากที่พูดเปิดใจกันวันนั้น และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายค่อนข้างสับสนปนเปกันระหว่างความโกรธและความละอาย เขารู้ว่าที่รันทำลงไปทั้งหมด เกิดจากความรักที่มีให้ ทว่าเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี และเขาก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเช่นกัน เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่บอกว่ารักรัน อยากแต่งงานกับรัน ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าความจริงในใจเป็นอย่างไรกันแน่
เขาโกหกทุกคน รวมถึงใจของตัวเองด้วย..
รดิศเปิดแฟ้มคนไข้ของเขาออกอ่าน อาการของดาวประดับค่อนข้างคงที่ ไม่ทรุดลง แต่ก็ไม่มีทางดีขึ้นถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด ความจริงเขาควรจะผ่าตัดให้เธอเร็วกว่านี้ ทว่าอะไรบางอย่างในจิตใจของเขา....อาจเป็นความดำมืดที่ซ่อนอยู่ในซอกลึกที่สุดของจิตใจซึ่งมนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถบังคับกักเก็บสิ่งนี้เอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น....เจ้าสิ่งนั้นมันบังคับให้เขาเลื่อนการผ่าตัดของหญิงสาวออกไปอย่างไม่มีกำหนด
มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากเสียจนตัวเขาเองยังตกใจกับความคิดของตัวเอง เขา...คนที่ดำรงวิชาชีพแพทย์ มีหน้าที่รักษาพยาบาลคนป่วยให้หายไข้ เหมือนได้ทำบุญด้วยการช่วยเหลือคนอื่นทุกวัน ทว่าขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นดาบสองคม เขาสามารถกลายเป็นฆาตกรได้ในชั่วพริบตาเพียงแค่...ไม่ทำอะไรเลย และที่แย่ที่สุดก็คือ เขากำลังทำสิ่งนั้นกับหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่ง เพียงเพราะว่า เขารักสามีของเธอ
ความรู้สึกผิดบาปถาโถมโรมรันเข้าใส่ความต้องการส่วนลึกในใจ ความเห็นแก่ตัวและความสงสาร ความรักและความโหยหาอาลัยอาวรณ์...เขารู้สึกทรมานเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น
ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับโต๊ะทำงานเนิ่นนาน
.....................................................................................
วันนี้เป็นวันพิเศษของเขา....ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนทั้งคืนด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าผิดไปจากทุกวัน หันไปมองที่เตียงภรรยาตามความเคยชิน ก็เห็นฝ่ายนั้นนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้ ใบหน้ารูปหัวใจมีสีเลือดจางๆ...อาการของข้าวตังดีขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าจะยังไม่ได้ผ่าตัดก็ตาม
ตั้งเตเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปซื้ออาหารเข้าที่ด้านหน้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดเหมือนทุกวัน ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกอยู่ในสายตาของใครบางคนเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา
ภาคย์โทรมาหาเขาอีกครั้ง ย้ำเรื่องนัดทานข้าวเย็นนี้แล้วก็วางสายไปเพราะกำลังติดประชุมที่บริษัท เขามองโทรศัพท์ของตัวเองนิ่งๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ยอมไปดินเนอร์กับผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ความจริงคำปฏิเสธมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว ถ้าไม่เผอิญเหลือบไปเห็นร่างสูงสมส่วนในชุดสีขาวของใครบางคนยืนมองอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล เดาได้ว่าคงจะได้ยินเสียงสนทนากันทั้งหมด
สบตาพี่ดิมแวบเดียว คำปฏิเสธก็กลืนหายไปกลายเป็นพยักหน้ารับ โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
บางทีอาจเกิดจากอารมณ์ลึกลับบางอย่างที่อยู่ในใจ แววตาคมเข้มคู่นั้นมีแววผิดหวังปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาตอบรับอีกฝ่าย ทำให้หัวใจของเขากระตุกเบาๆคล้ายสมใจแม้จะบอกตัวเองว่า ไม่สนใจอีกแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากเคี้ยวช้าๆ ลิ้นไม่รับรสว่ามันอร่อยหรือไม่ กลั้นใจกินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม ลุกขึ้นเก็บจานไปล้างเหมือนทุกวัน ก่อนจะเดินไปเขย่าตัวปลุกลูกชายที่นอนหลับอุตุอยู่ที่เตียงเสริม ...อยากพาเจ้าเต้กลับบ้าน แต่ติดตรงที่ไม่มีใครดูแลข้าวตัง
เด็กชายเต้ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็ออกมาทานอาหารเข้าที่เขาเตรียมเอาไว้ให้บนโต๊ะ ทานเสร็จเขาก็พานั่งรถไปส่งที่โรงเรียน ก้มลงหอมแก้มใสนิ่มเป็นพวงสองข้าง สูดลมหายใจเข้าปอดลึก
“ตั้งใจเรียนนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับ”
“ครับ สวัสดีครับคุณพ่อ” พูดยังไม่ทันจบก็ผละไปเล่นกับเพื่อนที่มายืนรออยู่แล้ว ตั้งเตมองตามหลังหลานชายคนเดียวที่เขารักเหมือนลูก เพราะเลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เกิด เขาคงทำใจลำบากถ้าวันหนึ่งเขาต้องแยกจากเจ้าเต้ไป คงไม่มีวันนั้นหรอก แต่ใครจะรู้อนาคต?
นั่งรถกลับมาที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม รู้สึกปวดท้องหน่อยๆ อาการปวดแบบนี้เขาเป็นมานานแล้ว เพียงแค่พักหลังมานี้มันถี่ขี้น ปวดมากขึ้น ทว่าเขาก็ไม่คิดจะไปหาหมอให้ตรวจอะไร ก็คงเป็นอาการของโรคกระเพาะธรรมดาที่เขาเป็นมาตั้งแต่สมัยเรียน
ข้าวตังตื่นแล้วตอนที่เขากลับไปถึง เธอกวักมือเรียกเขาเข้าไปใกล้ ยกมือขึ้นประคองที่ซีกแก้มของเขา พูดยิ้มๆ
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ พี่เต ขอโทษด้วยนะคะ เพราะตังป่วย พี่เตเลยต้องมาติดแหงกอยู่ที่โรงพยาบาล แทนที่จะได้ไปเที่ยว ฉลองวันเกิดเหมือนทุกปี”
“เราพูดอย่างกะว่า วันเกิดพี่จะได้ฉลองอะไรงั้นแหละ ทุกทีก็เป่าเค้กอยู่ที่บ้านกับเธอไง” เขาลูบศีรษะของน้องสาวแผ่วเบา
น้ำใสๆไหลออกมาทางหางตาของหญิงสาว
“เพราะตังใช่ไหมคะ พี่เตเลยไม่ได้ออกไปไหนเลย ....พี่เสียสละเพื่อตังมามากเหลือเกิน จน...จนตังรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากที่เอาแต่เรียกร้องจากพี่ฝ่ายเดียว” เสียงของเธอขาดหายไปในลำคอ หลายคืนแล้วที่เธอตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วมองไปเห็นร่างของพี่ชายนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หันหลังให้กับเธอและลูก ทีแรกเธอเข้าใจว่าเขาคงนั่งทำงาน แต่เมื่อสังเกตให้ดี ถึงได้รู้ว่าหลังไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นสะท้าน คล้ายกับคนที่กำลังหนาวจัด ฝ่ามือถูกยกขึ้นปิดปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ถึงหูเธอ
พี่เตนั่งร้องไห้...ร้องไห้คนเดียวแบบนี้ทุกคืน กว่าเค้าจะเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน และตื่นมาตอนเช้าเพื่อยิ้มและปลอบใจเธอ พี่เตทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เธอรู้ว่าเขากำลังทุกข์ใจ
ครั้งนี้มันต่างจากเมื่อหลายปีก่อนตรงที่...ความทุกข์ของพี่ชายมันส่งผ่านมาถึงหัวใจของเธอด้วย เห็นเขาเจ็บ...เธอก็เจ็บไม่แพ้กัน
มันควรถึงเวลาแล้วหรือเปล่า? ความเห็นแก่ตัวของเธอควรถึงกาลสิ้นสุดเสียที
“ตัง....เย็นนี้พี่มีธุระข้างนอกนะจ้ะ กลับไม่ดึกหรอก ถ้ามีอะไรก็โทรบอกพี่นะ” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ คนฟังพยักหน้ารับราวกับรู้อยู่แล้ว
“ค่ะ รีบกลับนะคะ ตังเองก็มีของขวัญวันเกิดให้พี่เหมือนกัน” เธอพูด ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออก
แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ วันนี้นายแพทย์รดิศขอลาหยุด 1 วัน ตั้งเตรู้เพราะหญิงสาวเอ่ยถามคุณพยาบาลถึงคุณหมอที่ดูแลเธอ เขากับข้าวตังไม่ได้พูดอะไรกันเกินความจำเป็น พอถึงเวลาเขาก็กลับออกมาเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียน
“อ้าว เห็นมีคุณลุงมารับเด็กชายเต้ไปแล้วนี่คะ เห็นเขาบอกว่าคุณพ่อไม่ว่าง” คุณครูประจำชั้นบอกกับเขา มองหน้างงๆ
“อะไรนะครับ คุณลุงที่ไหน”
“คุณลุง...ที่เคยมาเล่นกับน้องเต้น่ะค่ะ เห็นน้องเต้ก็รู้จักกับเขานะคะ นี่คุณพ่อไม่ให้เขามารับแทนหรอกหรือคะ” เสียงคุณครูเริ่มสั่น ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ใครมารับลูกชายแทน
เตใจร้อนราวกับไฟเผา รู้ทันที่ว่า ‘คุณลุง’ ที่ว่านั้นคือใคร มีอยู่คนเดียวที่เคยมาเล่นกับเต้ ‘ตีซี้’ ทำเนียนราวกับเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เหมือนจะรักเด็กมากทั้งที่ตัวจริงเกลียดเด็กเข้าไส้
มือสั่นรีบล้วงหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหา ถึงจะลบเบอร์ของผู้ชายคนนั้นทิ้งไปแล้ว ทว่าสมองก็ยังจดจำได้แม่นยำ ติณธรกดเลขหมายสิบตัวอย่างรวดเร็ว
รอสายอยู่นานจนขึ้นเสียงให้ฝากข้อความ ไม่มีคนรับ เขากรอกเสียงลงไป
“คุณรดิศ อย่าเล่นแบบนี้ ผมขอลูกคืน คุณอยู่ที่ไหน” เขาโทรกลับไปอีกหลายรอบ แต่ก็เหมือนเดิม ปลายสายไม่มีคนรับ มีแต่สัญญาณให้ฝากข้อความ
“ทางโรงเรียนขอโทษด้วยนะคะ เป็นความประมาทเลินเล่อของคุณครูเอง ทางเราจะรีบประสานงานกับตำรวจเพื่อค้นหาน้องเต้ให้นะคะ” อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนรีบมาขอโทษขอโพยเขา ยืนยันว่าจะช่วยตามหาน้องเต้ให้ถึงที่สุด คุณครูประจำชั้นของลูกชายยกมือไหว้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า หน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด
“ผมจะไปตามหาลุงคนที่ว่านั่น ถ้ามีอะไรคืบหน้าช่วยโทรบอกผมด้วยครับ” เตฝากหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้ แล้วรีบกลับออกมาจากโรงเรียน ยกมือขึ้นโบกรถแทกซี่ได้ก็บอกที่อยู่ของคอนโดฝ่ายนั้น
มือเย็นเฉียบ ความรู้สึกของเขาปะปนกันทั้งความตกใจและโกรธ อีกอย่างคือความกลัว ถ้าคนที่พาเต้ไปไม่ใช่เค้าล่ะ เกิดเป็นคนอื่นขึ้นมา ข่าวลักเด็กเรียกค่าไถ่ก็มีให้เห็นอยู่แทบทุกวัน กว่าพ่อแม่จะเจอ ลูกก็กลายเป็นศพไปแล้ว คิดไปถึงตรงนี้ เขาก็ตัวสั่น กระหน่ำโทรเข้าเครื่องของอีกฝ่ายหลายครั้ง....ขอร้องล่ะ รับสายสิ
ข้าวตังโทรมาหาเขา เตกดรับ เธอสงสัยว่าทำไมทั้งเขาและเต้ถึงยังไม่กลับมาอีก ชายหนุ่มไม่กล้าบอกว่าลูกหาย กลัวว่าเธอจะอาการกำเริบหนัก ได้แต่โกหกไปว่าพาเต้มากินขนม กำลังจะกลับ
โรงเรียนโทรมาบอกเขาว่า แจ้งตำรวจไปแล้ว ทางตำรวจจะช่วยหาอีกแรง
รถติดอย่างหนักเพราะเป็นเย็นวันศุกร์ แถมยังมีฝนโปรยปรายลงมาอีก เตทนนั่งอยู่บนรถที่ไม่ขยับเขยื้อนมาเกือบชั่วโมงไม่ไหว เขาขอลงจากรถ ไม่สนใจว่าสายฝนจะทำให้ตัวเองเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงใด
ความหนาวจากภายนอกยังไม่เท่าความร้อนรนในใจ เขาเดินจ้ำลุยน้ำที่เริ่มขังอยู่ริมถนน ไปเกือบห้าป้ายรถเมล์ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าคอนโดของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง
เข้าไปในลอบบี้ พนักงานต้อนรับขอตรวจบัตรประชาชนเพื่อความปลอดภัย กว่าจะขึ้นมาได้ก็ยุ่งยากอยู่นาน ระหว่างที่รอลิฟต์ เตเพิ่งเข้าใจหัวอกความเป็นพ่อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
ได้แต่ภาวนาขอให้เต้อยู่ที่นี่ ถ้าเต้ไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้จะไปตามหาลูกชายที่ไหนแล้ว
ณ จุดนั้น ถ้าเต้เป็นอะไรไป เขานี่แหละที่จะทนไม่ได้
ลิฟต์จอดที่ชั้นที่ต้องการ นักเขียนหนุ่มก้าวออกมาจากลิฟต์ เดินตรงไปตามทางที่คุ้นเคย ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง....ถ้าไม่ใช่เพราะลูก เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว
หยุดที่หน้าห้องพักของชายหนุ่ม กลั้นใจยกมือขึ้นกดกริ่งเรียก....รออยู่นาน สุดท้ายประตูก็ถูกเปิดออก
ใบหน้าของเจ้าของห้องมีความแปลกใจในแวบแรก ก่อนจะกลายเป็นดีใจ อย่างคนที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“เต? มาได้ยังไง”
“พี่ดิม เต้อยู่ที่นี่หรือเปล่า?” เตรีบถาม
สีหน้าของคนฟังทำให้เตใจหายวูบ ตัวสั่นจนควบคุมไม่อยู่ พี่ดิมมองตอบเขากลับมางงๆ ยกมือขึ้นจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขา ก้มลงถามอะไรสักอย่าง แต่เขาหูอื้อเสียแล้ว
เต้ไม่ได้อยู่ที่นี่...
...................................................................................
มาต่อค่ะ 50%ที่เหลือ 5555 ขออภัยที่หายไป ติดธุระครัช
ขอบคุณที่คอมเม้นท์ละกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันน้าาา
เจอกันตอนหน้าครัชช