5th Lies : เปิดใจ
ตลอดบ่ายปราณันต์ทำงานอย่างไม่มีสมาธิ ภาพแบบร่างที่ควรจะเสร็จกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ เพราะภาพใบหน้าคมคายที่ยิ้มโชว์เขี้ยวทั้งสองข้าง มักจะหวนกลับมาป้วนเปี้ยนในความคิดของเขาเสมอ งานที่ควรจะเป็นรูปเป็นร่างจึงไม่สำเร็จเสียที
“..ปราณ.. ปราณันต์!” เสียงเรียกที่ค่อนข้างดัง แทรกเข้ามาในโสตประสาท ปราณันต์ที่กำลังเหม่อลอยถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะได้สติแล้วหันกลับไปมองตามเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว
“โถ่ กวี เรียกซะดัง เราตกใจหมด” ปราณันต์ลูบอกเบาๆ ราวกับจะปลอบตัวเองให้สงบลง
“เราเรียกนานตั้งนานแล้ว แต่ปราณไม่ยอมหันมาสักที จนต้องตะโกนนี่แหละ ปราณถึงได้หัน” กันต์กวีบ่นอุบ เขาเห็นปราณันต์นั่งเหม่อมาสักพักใหญ่แล้ว พูดง่ายๆ ว่าหลังจากที่รับโทรศัพท์นั่นแหละ ปราณันต์ดูไม่มีสมาธิแปลกๆ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวถอนหายใจ จนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ พอเห็นท่าทางแปลกๆ แบบนั้นของเพื่อนร่วมทีม
“อ่าวเหรอ ขอโทษที เราคิดอะไรเพลินไปหน่อย” พอพูดจบปราณันต์ก็หันหลังให้กันต์กวีตามเดิม และพยายามกลับมาจดจ่อกับงานออกแบบของตัวเองอีกครั้ง
“อย่าพยายามเลยปราณ เราเห็นปราณนั่งจับปากกาด้วยท่าทางแบบนี้มาชั่วโมงกว่าแล้ว” มือของกันต์กวีเอื้อมไปหมุนเก้าอี้ของปราณันต์ให้หันกลับมาทางเขาอีกครั้ง
“บอกมาเถอะ ปราณเป็นอะไรหรือป่าว ดูไม่มีสมาธิเลย” กันต์กวีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้ปราณันต์เข้าใจผิดว่าเขาดูถูกหรืออะไร “มีปัญหาอะไรหรือป่าว ถ้าเงินไม่พอใช้หรือมีค่าใช้จ่ายอะไรให้ช่วย บอกเราได้นะ”
จบประโยคของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน ปราณันต์ก็หน้างอง้ำทันที
“ทำไมเหรอ? คนอย่างเราจะมีปัญหาอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยใช่ไหม? เราดูยากจนสิ้นไร้ขนาดนั้นเลยหรอกวี กวีถึงถามคำถามนี้ออกมาน่ะ”
เสียงใสที่เคยเป็นกันเองกลับแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ปราณันต์คิดอย่างไม่พอใจว่ากันต์วีเองก็รู้ ว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจอะไรขนาดนั้น เขายังพอมีแรง มีแขนมีขา มีสติปัญญาที่จะทำมาหาเลี้ยงตัวเองและน้องชายฝาแฝดได้ ถึงเขาจะจนเงินทอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องจนศักดิ์ศรีด้วยเสียหน่อย
เข้าใจแหละว่าหวังดี แต่ที่ผ่านมาเวลาเห็นเขาไม่สบายใจทีไรกันต์กวีก็ถามแบบนี้ตลอด ครั้งสองครั้งยังพอทน แต่นี่มันบ่อยเกินไป ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่ปราณันต์จะออกอาการเม้งแตกขนาดนี้
“ขอโทษนะปราณ เราไม่ได้หมายความแบบนั้นเลย แต่เห็นเหมือนปราณจะมีปัญหาก็เลยลองถามดู” หน้ากันต์กวีหดเหลือสองนิ้ว หลังจากได้ยินปราณันต์พูดจบประโยค เสียงหงอยๆ ของเพื่อนร่วมทีมก็ทำเอาเอาปราณันต์ชะงักไปเหมือนกัน เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองอาจจะแรงไป
แม้จะเข้าใจดีว่าเพื่อนไม่ได้จะดูถูกหรือคิดไม่ดีอะไร แต่ปราณันต์ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นเขาดันเผลอเอาเพื่อนตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างคามินไปอีก
ผู้ชายคนนั้นมีวิธีให้ความช่วยเหลือโดยที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งการแสดงออกที่คามินทำมันก็ไม่ได้พิเศษอะไรแต่กลับได้ใจปราณันต์มากกว่า และนั่นก็ทำให้ตัวเขาเองอดสงสัยไม่ได้ว่าที่จริงแล้วมันผิดที่กันต์กวีเอ่ยปากให้ความช่วยเหลือ หรือมันผิดที่ใจของตัวเขาเองโอนเอียงไปทางคามินมากกว่ากันแน่
ปราณันต์พรูลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะมองหน้ากันต์กวีด้วยแววตารู้สึกผิด
“เราเองก็ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียงแข็งใส่กวีแบบนั้น เรารู้ว่ากวีหวังดี แต่ขอร้องล่ะ อย่าถามคำถามแบบนี้อีก เอาไว้ถ้าเราอยากให้ช่วย เราจะบอก โอเคไหม”
หนุ่มเหนือพยักหน้ารับหงอยๆ ปราณันต์เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่วันนี้เขารู้สึกฟุ้งซ่านเกินกว่าจะรวบรวมความคิดเพื่อทำอะไรต่อได้อีก ตากลมเหลือบมองไปที่นาฬิกาบนจอแลปท็อป ก่อนจะพบว่าตอนนี้เลยเวลาเลิกงานมาสักพักแล้ว
ปราณันต์จึงลุกขึ้นแล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋าเป้ใบเก่ง ก่อนจะสะพายมันขึ้นไหล่ทั้งสองข้างเพื่อเตรียมตัวออกไปทำงานที่คลับต่อ
“จะไปแล้วหรอปราณ” เสียงหงอยๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังถามขึ้น เขาจึงหันไปมองพลางพยักหน้าตอบช้าๆ
“อื้อ ขี้เกียจไปสู้กับคนเยอะๆ น่ะ ออกเร็วหน่อยน่าจะดีกว่า”
เสียงใสๆ กลับมาเป็นปกติแล้ว กันต์กวีได้แต่คิดในใจว่าเสียงแบบนี้น่าฟังกว่าเสียงลูกแมวขู่ตั้งเยอะ เพราะเวลาที่ปราณันต์หงุดหงิดหรือโกรธพาให้ใจเขาไม่ดีเอาไปด้วย กันต์กวีชอบเวลาปราณันต์ยิ้มและอารมณ์ดีมากกว่าตอนหงุดหงิดหรือมีเรื่องไม่สบายใจ
“เดี๋ยวเราขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งนะ” หนุ่มเหนือลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กระวีกระวาดเก็บของตามอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมไปจะส่งปราณันต์เหมือนกับทุกๆ วัน
“ไม่เป็นไร วันนี้เราไปเองดีกว่า” ปราณันต์พูดสวนขึ้นมาเล่นเอาใบหน้าคมเข้มสลดวูบขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
“เฮ้! อย่าเข้าใจผิด เราไม่ได้โกรธอะไรกวีแล้วนะ เพียงแต่ว่าเราอยากมีเวลาคิดทบทวนอะไรบางอย่างนิดหน่อย เลยอยากนั่งรถไปเองเรื่อยๆ น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
การแสดงออกทางสีหน้าของกันต์กวีดีขึ้นพอสมควรหลังจากได้ยินปราณันต์พูดแบบนั้น ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ เพื่อเน้นย้ำว่าตนเองเข้าใจ
“โอเค งั้นไปดีๆ นะ” ปราณันต์พยักหน้ารับ ก่อนที่กันต์กวีจะสำทับอีกที “ถ้าถึงแล้วส่งข้อความมาบอกหน่อย เราจะได้ไม่เป็นห่วง”
ปราณันต์หลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เราโตแล้วนะ กวีชอบพูดเหมือนเราเป็นเด็ก” ตากลมค้อนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนอย่างไม่จริงจัง “โอเคๆ เอาเป็นว่าถึงแล้วจะบอก” ขาเรียวขยับออกจากเก้าอี้ที่นั่ง เตรียมตัวจะก้าวออก แต่ก็ไม่วายหันมาลาเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง “เราไปนะ”
ปราณันต์หันหลังออกเดิน ก่อนจะหันมาโบกมือลาคนด้านหลังอีกครั้ง ขาเรียวยาวก้าวเป็นจังหวะอย่างน่ามอง สรีระของปราณันต์แทบไม่แตกต่างจากผู้หญิง สายตากันต์กวีได้แต่มองตามอย่างนึกชื่นชม ชื่นชมทั้งความแข็งแกร่ง ชื่นชมทั้งความอดทน ชื่นชมทั้งความขยันและรับผิดชอบต่อภาระและหน้าที่ที่ปราณันต์มี ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้แบบนี้
และโดยที่กันต์กวีไม่เคยแพร่งพรายความรู้สึกนี้กับใคร ว่าความชื่นชมทั้งหลายที่เขามีให้ปราณันต์นั้น ทำให้เขาอยากจะดูแล อยากจะช่วยเหลือแม้แต่เล็กน้อยก็ยังดี
จนวันหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ความชื่นชมและความเข้าอกเข้าใจที่เขามีต่ออีกฝ่ายนั้นได้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความรัก เป็นความรักที่เขาได้แต่เก็บไว้ลึกๆ และคิดว่าสักวันคงได้บอกออกไปให้ปราณันต์ได้รู้ โดยที่หวังว่าอีกฝ่ายจะยินดีและเต็มใจจะรับมันไว้
.
.
.
ปราณันต์นั่งรถไฟใต้ดินไปทำงานอย่างเหม่อลอย คำตอบที่ยังหาให้ตัวเองไม่ได้ วนเวียนผุดขึ้นมาอยู่ในความรู้สึกนึกคิดอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าคมคายที่แสนมีเสน่ห์คอยแต่จะโผล่เข้ามาอยู่ในห้วงคำนึงในยามที่เขาเผลอไผลอยู่บ่อยๆ และถึงแม้ความคิดนั้นจะเกิดขึ้นที่สมอง แต่หัวใจเล็กๆ ของเขากลับเต้นรัวเร็วสอดรับ จนอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับตัวเขาเองในตอนนี้
และไวเท่าความคิด ชั่วโมงนี้มีแค่คนๆ เดียวเท่านั้นที่ปราณันต์อยากคุยด้วย คนที่รู้จักและสนิทกับเขามานานหลายปีตั้งแต่อายุยังน้อย คนที่เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ และเหมือนน้องชายในครอบครัวเดียวกัน แม้จะไม่ได้เกิดมาในตระกูลเดียวกันก็ตาม
มือเรียวล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดค้นหาเบอร์เพื่อนสนิท ที่บันทึกไว้เป็นคนแรกๆ ในรายชื่อ และใช้เวลารอสายอยู่ไม่นาน เสียงสดใสที่ปลายสายเมื่อกดรับสัญญาณก็ดังขึ้น
(งายยย ไอ้ลูกแมว)
เจ้าของสรรพนามไอ้ลูกแมวขำออกมาเบาๆ หลังจากที่ได้ยินปลายสายเรียกตนเองแบบนั้น พลางนึกในใจว่าไอ้ตัวคนเรียกก็ใช่ว่าจะใหญ่กว่าเขาเสียเมื่อไหร่ เตี้ยกว่าแล้วยังจะไม่เจียม
“แหม กล้าเรียกคนอื่นว่าไอ้ลูกแมวเนอะไอ้วิน ทำอย่างกับนายตัวใหญ่กว่าฉันงั้นแหละ เตี้ยละยังไม่เจียมอีก” ปราณันต์สวนกลับใส่อนาวินผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างอารมณ์ดี เพิ่งจะมีเวลานี้นี่แหละ ที่เขาได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“ฮ่าๆ ไอ้เพื่อนเวร” อนาวินด่าปราณันต์กลับอย่างไม่จริงจัง “ว่าแต่โทรมามีไรวะ พักนี้โทรหาฉันบ่อยนะเนี่ย คิดถึงอะดิ”
ปราณันต์หลุดขำออกมาเบาๆ หลังจากได้ยินน้ำเสียงล้อเลียนของเพื่อนสนิทร่างเล็ก แต่จะว่าไปพอมานึกจริงจัง ช่วงนี้เขาก็โทรหาอนาวินบ่อยจริงๆ นั่นแหละ เมื่อวานก็โทรวันนี้ก็โทรอีก แต่ทำไงได้ เขาเครียดจริงๆ นี่หว่า
“นายจะกลับเมื่อไหร่วะ” ปราณันต์ตอบคำถามเพื่อนกลับด้วยคำถาม เพราะเมื่อวานตอนที่เขาโทรหาไอ้เพื่อนตัวแสบ มันยังบอกอยู่เลยว่าจะพาคุณน้ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด เขาเลยไม่แน่ใจว่า อนาวินและแม่จะอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดนานแค่ไหน
“น่าจะพรุ่งนี้เย็นๆ ว่ะ กะจะเลยเข้าไปที่คลับเลย” ปราณันต์ถอนใจอย่างโล่งอก ถ้าพรุ่งนี้อนาวินกลับมา เขาจะได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนอย่างจริงจัง ไม่งั้นวันศุกร์นี้เขาคงเข้าหน้าคามินไม่ติดแน่ๆ
ที่จริงแล้วปราณันต์กับอนาวินทำงานพิเศษที่คลับด้วยกัน เพียงแต่ปราณันต์จะทำเป็นประจำทุกวันจันทร์-พฤหัส ส่วนเพื่อนสนิทอย่างอนาวินเลือกทำเป็นกะ โดยบางเดือนก็เลือกทำวันเว้นวันบ้าง อาทิตย์เว้นอาทิตย์บ้าง ไม่ตายตัว ไอ้เพื่อนตัวแสบจะไม่ทำงานที่คลับถี่เท่าปราณันต์ อันที่จริงที่อนาวินมาทำงานคลับนั้นไม่ได้เพราะร้อนเงินหรืออะไร แต่ที่มาทำนี่ก็เพราะมาทำเป็นเพื่อนปราณันต์ เลยไม่ได้จริงจังอะไรเท่าไหร่นัก
“ถ้างั้นไว้คุยพรุ่งนี้ก็ได้ ฉันไม่ค่อยอยากกวนนายเท่าไหร่ นานๆ นายกับคุณน้าจะกลับบ้านสักที”
อนาวินไม่เซ้าซี้อะไรปราณันต์อีก ด้วยเพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็กรู้ใจกันและกันเกือบทุกเรื่อง อนาวินเลยรู้ดีว่าถ้าปราณันต์ยังไม่เล่าหรือไม่พร้อมที่จะเล่า ต่อให้บีบคั้นให้ตายคนปากแข็งคนนี้ก็ไม่มีทางแพร่งพรายหรอก ทางที่ดีรอให้ถึงวันพรุ่งนี้แทนดีกว่า เพราะตัวอนาวินเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนผู้แข็งแกร่งดั่งหินผาของเขาร้อนรนเหมือนถูกไฟจี้ที่หัวใจได้ขนาดนี้
ทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระอะไรกันต่ออีกนิดหน่อย โดยที่ปราณันต์ฝากสวัสดีคุณน้าหรือคุณแม่ของอนาวิน และไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ พร้อมทั้งรับปากว่าจะพาปุณณกันต์กับปัณณธรไปหาถ้าพอจะมีเวลาว่าง จากนั้นก็แยกย้ายวางสายไปเมื่อปราณันต์เห็นว่าใกล้จะถึงปลายทางที่เขาต้องลงแล้ว
“เออ แค่นี้แล้วกันนะ ไว้พรุ่งนี้คุยกัน ฉันต้องลงรถละ” เสียงหวานพูดตัดบทใส่เพื่อนในสาย เมื่อเห็นว่าคุยกันมานานพอสมควรแล้ว
“ได้ๆ พรุ่งนี้ว่ากัน บายว่ะ” คนอีกฝั่งในสายก็เตรียมพร้อมจะวางแล้วเช่นกัน
“บาย”
หลังจากวางสายจากเพื่อนสนิทเรียบร้อยแล้ว ปราณันต์ก็ยิ้มบางๆ ให้กับโทรศัพท์มือถือก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หวังใจไว้ว่าอย่างน้อยเพื่อนสนิทของเขาคงหาทางออกให้กับสิ่งที่เขากลัดกลุ้มอยู่ได้บ้าง
และเมื่อได้ยินเสียงประกาศถึงสถานีที่ปราณันต์ต้องลง เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ ก่อนจะไปหยุดยืนรอที่หน้าประตูอัตโนมัติของรถไฟใต้ดิน พอประตูเปิดออกเขาก็กระชับเป้บนบ่าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก่อนจะก้าวออกเดินเพื่อผจญกับวันที่ยาวนานของตัวเองต่อไป
.
.
.
ท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้กำลังยืนมองวิวทิวทัศน์ริมกระจกที่เป็นเสมือนหน้าต่างบานใหญ่ที่โอบล้อมรอบห้องไว้ ราวกับอยู่ในสถานที่ที่ดูผ่อนคลายมากกว่าจะเอาไว้ทำงาน
ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งเฉย คาดเดาอารมณ์ได้ยากว่าตอนนี้เจ้าของห้องคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดัง เป็นสัญญาณบอกผู้ที่อยู่ในห้องว่าคนที่เขารอพบอยู่เดินทางมาถึงแล้ว
“เข้ามาได้” ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากเสียงทุ้มทรงอำนาจ ประตูห้องก็ถูกผลักออก โดยชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นเหมือนดั่งบอดี้การ์ดและเลขาที่รู้ใจส่วนตัว
ผู้ติดตามหนุ่มค้อมศีรษะให้เจ้านายอย่างนอบน้อม ก่อนเตรียมรายงานเหตุการณ์ประจำวันของปราณันต์ให้ท่านประธานฟัง ตามที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำมา
“วันนี้ปราณันต์จะไปทำงานที่คลับไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนที่จะได้รับการรายงานจากแทนคุณ ถ้าฟังเผินๆ อาจจะดูธรรมดามากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผู้ที่ทำงานรู้ใจกับท่านประธานหนุ่มมานาน แทนคุณจับความสนใจในน้ำเสียงของคนเป็นเจ้านายได้ แม้มันจะบางเบามากก็ตามที
และที่คามินตัดสินใจถามคนสนิทเพราะเมื่อวานหลังจากที่ส่งฝาแฝดเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาปราณันต์อีก เพราะอยากจะลองใจอีกฝ่ายว่าจะอดทนไม่ติดต่อหาเขาได้นานสักแค่ไหน เพราะดูจากท่าทางก่อนวางสายจากเด็กแฝดแล้ว ปราณันต์โอนอ่อนให้เขาขึ้นมาก
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คามินคิด เพราะปราณันต์เงียบหายไป เงียบไปจนผ่านมาอีกวัน ก็ยังไม่มีแม้แต่ข้อความสักข้อความส่งมาหาเขา ซึ่งคามินเองก็ยอมรับว่าสิ่งนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันศุกร์แล้วด้วย เขาจะมัวแต่ชักช้าไม่ได้ คืนนี้คามินเลยตัดสินใจจะไปหาปราณันต์ที่คลับเพื่อไม่ให้คะแนนที่ตนเองควรได้หดหายไป
“ไปครับ ผมเห็นคุณปราณันต์ออกจากออฟฟิศไปแล้ว ท่าทางดูรีบร้อนหน่อยๆ ด้วยครับ”
คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความแปลกใจ ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องฝาแฝดก็ไม่น่าจะมีอะไรเร่งด่วนได้อีกในชีวิตของปราณันต์ เสียงทุ้มจึงถามออกไปด้วยความสงสัยแทน
“รีบร้อนงั้นหรอ? ทำไม? ฝาแฝดเป็นอะไรหรือป่าว?”
น้ำเสียงที่เคยสงบนิ่งในตอนแรกกลับร้อนรนขึ้นมานิดๆ แทนคุณเองก็ไม่มั่นใจว่า เจ้านายของเขาได้รู้ตัวไหมว่าน้ำเสียงทุ้มนั้นแปลกไป ดูเป็นห่วงเป็นใยมากขึ้นกว่าเดิม
“เปล่าครับ เด็กฝาแฝดสบายดี แต่จากที่ผมไปสืบมาเหมือนกับว่าคุณปราณันต์จะนัดเพื่อนสนิทไว้ที่คลับ เลยต้องรีบร้อนออกไปพบ” แทนคุณรายงานไปตามข้อมูลที่ได้มา โดยไม่ได้ทันสังเกตเลยว่าท่านประธานหนุ่มผู้เย็นชาของเขากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กๆ ราวกับไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง
“ผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วสนิทกันมากแค่ไหน”
รังสีความไม่พอใจกระจายออกมารอบๆ ตัวท่านประธานหนุ่ม ไม่ใช่คามินเองจะไม่รู้ว่าตัวเขากำลังหงุดหงิดมากแค่ไหน แต่ในใจคนเย็นชาบอกตัวเองซ้ำๆ ว่า ที่เขาไม่พอใจนั้นเป็นเพราะของเล่นชิ้นนี้เป็นของเขา เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายด้วย
“ผู้ชายครับ คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนที่คอยช่วยเหลือคุณปราณันต์มาโดยตลอดครับ”
คามินขบฟันแน่นจนสันกรามนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แทนคุณยืนก้มหน้าเงียบๆ เพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าตัวเองกำลังหงุดหงิดกับสิ่งที่ได้ยินมากแค่ไหน
“ไปเตรียมรถ ฉันต้องการรถสำหรับคามินที่เป็นพนักงานฝ่ายขาย ไม่ใช่รถสำหรับท่านประธานใหญ่แห่งเคเอ็มพร็อพเพอร์ตี้ คืนนี้ฉันจะไปที่คลับที่ปราณันต์ทำงาน”
“ครับบอส” แทนคุณรับคำสั่งโดยไม่ตั้งข้อสงสัยใดๆ ให้เจ้านายเขาหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม จากนั้นผู้ติดตามร่างใหญ่ก็ค่อยๆ หมุนตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อประตูห้องทำงานงับปิดลงคามินก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมา แววตาคมลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะค้นหาเบอร์โทรของคนที่ตนต้องการติดต่อหลังตัดสินใจได้ แล้วโทรออกทันที
เมื่อปลายสายกดรับ เสียงทุ้มก็กรอกลงไป โดยที่ทางนั้นยังไม่ทันแม้แต่จะได้เอ่ยปากทักทายด้วยซ้ำ
“ไอ้เตคืนนี้ว่างไหม ไปกับฉันหน่อยสิ” น้ำเสียงทรงอำนาจถูกส่งออกไป โดยที่คนฟังก็รู้ได้โดยทันทีว่านี่ไม่ใช่ประโยคขอร้อง ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่มันคือประโยคคำสั่ง
“แล้วไม่ต้องบอกพี่เมธกับไอ้สิบล่ะ ไปมากคนก็มากเรื่อง รำคาญ”
และยังไม่ทันที่เพื่อนรุ่นน้องอย่างเตชินท์จะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คามินก็ชิงตัดสายทิ้งเสียก่อน อย่างที่บอกว่านั่นไม่ใช่ประโยคขอร้องหรือประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคคำสั่งที่มีคำตอบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นว่าต้องไป
.
.
.
ปราณันต์เดินกระหืดกระหอบเข้ามาหลังร้านทันทีที่มาถึง เขารีบเร่งออกจากออฟฟิศทันทีที่เลิกงาน เพราะว่าใจเขาอยากจะคุยกับเพื่อนสนิทมากแล้ว และหลังจากเดินเข้าไปในห้องพัก ก็พบว่าเพื่อนสนิทร่างเล็กกำลังนั่งรออยู่
“อนาวิน!!” ปราณันต์ตะโกนเรียกเพื่อนด้วยความดีใจ เล่นเอาคนที่ไม่ทันได้รู้ตัวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“ไอ้ปราณ ตกใจหมด เรียกซะเสียงดังเลย” ใบหน้าของอนาวินหันมาตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิท มือเล็กๆ ของคนตรงข้ามกำลังลูบอกตัวเองป้อยๆ
“โถ่ ทำมาขวัญอ่อน” ปราณันต์กระโดดเข้ากอดคอเพื่อนรักที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำเอาอนาวินที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเกือบจะหงายหลังลงไปนั่งก้นจำเบ้าที่พื้น ดีที่จับโต๊ะตัวเขื่องที่อยู่ด้านหน้าไว้ได้ทัน
“ไอ้บ้านี่! เดี๋ยวก็หงายหลังหัวแตก เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” เพื่อนผู้มีใบหน้าอ่อนกว่าวัยพูดต่อว่าปราณันต์อย่างไม่จริงจัง ให้คนถูกต่อว่าหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้ยินเพื่อนสนิทบ่นขมุบขมิบใส่ตัวเอง
“ไปนั่งดีๆ เลยไป ไหนว่ามีอะไรจะคุยด้วยไง” อนาวินผลักไหล่เพื่อนซี้เบาๆ ก่อนที่ปราณันต์จะผละออกแล้วยิ้มตาหยีให้เพื่อนด้วยความเคยชิน
อย่างที่เคยบอกไปว่าหลังจากพ่อกับแม่ของปราณันต์เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุครั้งนั้นแล้ว ปราณันต์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่ร่าเริงก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม จากที่เข้าสังคมเก่งก็กลับกลายเป็นคนเก็บตัว จะมีก็แต่กับอนาวินเท่านั้น ที่ปราณันต์ยังคงไม่เปลี่ยนไป รอยยิ้มที่เคยสดใสและขี้เล่นนอกจากฝาแฝดแล้ว ปราณันต์ก็ไม่เคยมอบมันให้ใครยกเว้นเพื่อนสนิทคนนี้เท่านั้น
“เออ มีเรื่องจะปรึกษาว่ะ” ปราณันต์อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี “คือ...”
“คือ?” เพื่อนซี้ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถาม เมื่อเห็นว่าไอ้คนตรงข้ามยังไม่ยอมเล่าให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวเสียที
“คือเมื่อสองสามวันก่อนฉันมีโอกาสได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง พอดีว่าเขามาช่วยชีวิตปุณณ์ไว้” พอเล่าถึงตรงนี้ดวงตาสดใสของอนาวินก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นแทรกขึ้นมา
“ปุณณ์เป็นอะไรนะ???”
ปราณันต์เกิดอาการอึกอักหนักขึ้นกว่าเดิม เขาลืมไปสนิทว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้อนาวินฟังในตอนแรกเพราะไม่อยากให้ตกใจ เพราะยังไงปุณณกันต์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่การที่ปล่อยให้เพื่อนสนิทมารู้เรื่องทีหลังแบบนี้ เขาคิดว่าอนาวินต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
“วันเปิดเทอมวันแรกน่ะ ปุณณ์โดนเบียดจนเกือบตกรถเมล์แต่ดีว่ามีคนมาช่วยไว้ทัน” ปราณันต์อ้อมแอ้มเล่าให้เพื่อนสนิทฟังไม่เต็มเสียง เพราะตอนนี้ใบหน้าขาวใสของคนตรงข้ามกำลังขึ้นสีแดงนิดๆ ราวกับไม่พอใจในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป
“แล้วทำไมนายไม่เล่าให้ฉันฟังวะ?? จะต้องรอให้น้องเป็นอะไรก่อนหรือไงถึงจะเล่า”
อนาวินพูดเสียงแข็ง พลางขยี้ศีรษะตัวเองด้วยความหงุดหงิดและเหนื่อยใจกับความขี้เกรงใจอะไรไม่เข้าเรื่องของเพื่อนรัก เขารู้ดีว่าที่ปราณันต์ไม่เล่านั่นเป็นเพราะไม่อยากให้เขาและแม่เป็นกังวล แต่นี่มันเรื่องใหญ่ยังไงก็ควรต้องเล่าไม่ใช่หรอ
“ฉันเกรงใจนายกับคุณน้า” ปราณันต์พูดด้วยน้ำเสียงสลดตามที่อนาวินเดาไว้ไม่มีผิด “อีกอย่างปุณณ์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย นายอย่าห่วงเลย”
เพื่อนสนิทร่างเล็กจ้องมองปราณันต์ด้วยความเหนื่อยใจ ซึ่งเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างยอมจำนน
“เออๆ เอาเหอะ นี่เห็นว่าปุณณ์ไม่ได้เป็นอะไรมากนะแต่คราวหน้าไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะไอ้ปราณ เป็นเพื่อนกันมีอะไรก็บอกกันดิวะ”
ดวงตากลมโตมองเพื่อนรักอย่างสำนึกผิด ก่อนจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก อนาวินถึงได้ยอมรามือ และปล่อยให้ปราณันต์เล่าเรื่องที่อยากจะปรึกษาต่อ
“ก็นี่ไง จะเล่าอยู่เนี่ย เรื่องนี้ฉันไม่รู้จะปรึกษาใครดีนอกจากนาย” ปราณํนต์รับสารภาพอ่อยๆ อย่างคนจนปัญญา ด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการกับความว้าวุ่นใจนี้ยังไงดี
“อะ เล่ามา เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ” อนาวินหันมานั่งเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง เหมือนกับเป็นสัญญาณบอกว่าเขาพร้อมแล้วที่จะตั้งใจฟังทุกสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะเล่า
“ก็อย่างที่บอกไปว่าวันนั้นฉันได้มีโอกาสรู้จักคนที่ช่วยชีวิตปุณณ์ไว้ และหลังจากนั้นฉันก็ได้รู้มาว่าเราทำงานที่เดียวกัน และที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขายังคอยช่วยเหลือเราเรื่องฝาแฝดเรื่อยๆ อีก”
อนาวินขมวดคิ้ว พลางถามคำถามที่อดสงสัยไม่ได้ “ทำไม ช่วยเหลือเรื่องอะไร?”
“พอดีว่าไม่มีคนไปเซ็นรับรองเรื่องฉีดวัคซีคให้ปุณณ์กับปัณณ์ คุณคนนั้นเขาก็เลยอาสาไปให้” ปราณันต์เงียบไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พร้อมกับพูดบางประโยคออกมาในที่สุด “ฉันว่าฉันหวั่นไหวว่ะวิน เหมือนฉันกำลังเปิดใจให้เขาเข้ามายังไงไม่รู้”
อนาวินไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่มองท่าทางกระอักกระอ่วนของเพื่อนด้วยความประหลาดใจ เพราะโดยปกติแล้วปราณันต์ไม่ใช่คนที่จะเปิดใจให้ใครง่ายๆ ยิ่งปล่อยให้เข้ามาพัวพันสนิทสนมกับครอบครัวขนาดนี้ ยิ่งไม่มีทาง
“หวั่นไหว กับผู้ชายคนนั้นอะหรอ” อนาวินถามย้ำ เพราะอยากแน่ใจ
“อื้อ คนนั้นแหละ” ปราณันต์มองเพื่อนสนิทอย่างคาดหวัง “ทำไงดี นายว่าฉันชอบคุณคนนั้นไปแล้วเปล่าวะ”
อนาวินส่ายหัวน้อยๆ ใส่เพื่อนสนิทอย่างเอ็นดู
“ชอบเขา แล้วมันผิดตรงไหนวะไอ้ลูกแมว” อนาวินถามปราณันต์กลับ
“นายก็รู้...”
อนาวินอมยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทขึ้นต้นประโยคแบบนั้น เพราะเขารู้ได้ในทันทีว่าปราณันต์จะพูดว่ายังไงต่อ จึงได้เอ่ยขึ้นพร้อมๆ กับที่ปากอิ่มขยับพูด
“ว่าฉันต้องดูแลน้อง ไม่พร้อมจะมีใครตอนนี้หรอก/ว่าฉันต้องดูแลน้อง ไม่พร้อมจะมีใครตอนนี้หรอก”
ตากลมตวัดมองเพื่อนรักอย่างแสนงอนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกล้อเลียน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเองก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
“ฮ่าๆ ไอ้ปราณเอ๊ย” อนาวินพยายามตั้งสติโดยการหยุดขำ และพยายามพูดกับเพื่อนรักอย่างจริงจัง “นายจะเป็นอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะ ทำไมไม่ให้โอกาสตัวเองบ้าง” มือเล็กๆ ของอนาวินยื่นไปตบบ่าของปราณันต์เบาๆ
“ไอ้การที่นายจะดูแลน้องน่ะเป็นเรื่องดี แต่มันจะดีกว่าไหมถ้ามีคนมาดูแลนายและช่วยนายดูแลน้อง” เพื่อนสนิทร่างเล็กยิ้มให้ปราณันต์บางๆ “เปิดโอกาสให้ตัวเองบ้างเถอะวะ ลองดู ถ้าใช่มันก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไปมันไม่ได้เสียหายอะไรไม่ใช่หรอ”
ตากลมมองของปราณันต์มองอนาวินอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกำลังยิ้มและพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ ปราณันต์จึงยิ้มออกมาในที่สุด
“ฉันจะลองเอาไปคิดดูละกันนะ ขอบใจนายมาก ฉันไม่ผิดหวังจริงๆ ว่ะ ที่เลือกมาปรึกษานาย”
“ที่จริงนายไม่ต้องมาปรึกษาฉันก็ได้ ฉันว่านายก็รู้คำตอบของหัวใจตัวเองดี เพียงแต่นายไม่กล้าจะยอมรับมันมากกว่า”
ทั้งสองยิ้มให้กันและกันอย่างรู้ใจ ก่อนจะชวนกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมพร้อมทำงานในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)