สวัสดีค่ะ ^^ ทักทายนักอ่านกันหน่อยนะคะ มาถึงตอนที่ 17 แล้ว เหมือนจะเยอะแต่ไม่เยอะอะไรเท่าไหร่ เพราะแต่ละตอนก็มาสั้น ๆ อย่างที่เห็นนั่นแล ^^”
สำหรับนักอ่านท่านใดที่อยากเห็นการจับคู่แบบจริง ๆ จัง ๆ ขอรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่จ้า เพียงแต่หลังจากที่แสดงถึงพลังฮาเร็มแล้ว ก็จะมีการคัดตัวจริงตามมา เพราะฉะนั้นถ้าน้องโยเลือกใครมาคนใดคนหนึ่ง ที่เหลือก็จะผันแปรไปมีคู่ใหม่ หรือไม่ก็กินกันเองในร้านนั่นล่ะค่ะ หุ ๆ (แต่ขอบอกว่าตั้งใจจะเขียนหนุ่ม ๆ ให้เพิ่มมาอีกเยอะ ทั้งพนักงานพาร์ทไทม์ ทั้งลูกค้าในร้านด้วยน่ะค่ะ)
สำหรับตัววาโยตอนนี้ หัวใจยังว่างค่ะ ถึงจะดูอ้อนเขาไปทั่ว(อย่างน่าหมั่นไส้นิด ๆ) แต่ก็นิสัยเหมือนน้องที่ชอบอ้อนพี่ ๆ ตามสไตล์ลูกคนเล็กนั่นล่ะค่ะ
ป.ล. ใครรอธีมวันเสาร์อดใจรอหน่อยเน้อ รับรองเด็ด ^^
...........................................................
Miracle Café / 17
วาโยปรือตาตื่นมาแล้วก็ต้องพบกับภาพเพดานที่ดูคุ้นตา เขานิ่งคิดทบทวนด้วยสมองที่ค่อนข้างมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตากว้างและรีบยันกายลุกพรวด แต่แล้วก็แทบจะล้มไปนอนอีกครั้งเพราะรู้สึกมึนจนเหมือนห้องหมุนไปหมด
“อ้าว ๆ ลุกแบบนั้นก็เวียนหัวตายพอดี”
ปวีร์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ห่าง ๆ หันมาเห็นเข้าแล้วบ่นเบา ๆ เขาวางหนังสือลงแล้วเดินมาประคองให้วาโยนั่งพิงกำแพง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้
“ลุกมาทำไม หิวน้ำ หรือจะเข้าห้องน้ำ”
วาโยหันไปทางปวีร์ หน้าเขายังคงซีดอยู่แต่ดูดีกว่าเมื่อตอนก่อนได้นอนพักมากแล้ว
“คือ...นี่กี่โมงแล้วครับ...”
“หือ...อืม ก็จะสี่โมงเย็นแล้วล่ะนะ”
ปวีร์ตอบคำถามอีกฝ่าย แล้วก็ลอบยิ้มน้อย ๆ ที่เห็นสีหน้าตกใจของวาโย แต่พอชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้น ปวีร์ก็กดบ่าร่างนั้นให้นอนไปต่อ
“จะไปไหนเล่า ยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ไปล้มเป็นลมให้ลูกค้าตกใจหรอก”
“แต่งาน...”
วาโยเตรียมแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อปวีร์ตีสีหน้าดุใส่เขา
“เธอไม่สบายนะ ฉันไม่ใช่นายจ้างที่ใจยักษ์ใจมารถึงขนาดใช้คนป่วยทำงานหรอก ถ้ากลัวเสียงาน ก็ต้องรีบพักผ่อนให้มาก ๆ แล้วตั้งใจทำงานชดเชยในส่วนที่พักไปแทนไม่ดีกว่าหรือ”
วาโยนิ่งอึ้ง ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้ารับคำอย่างจำยอม เห็นเช่นนั้นปวีร์จึงยิ้มแย้มส่งให้ตามปกติ
“เด็กดี ...พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วเย็น ๆ ฉันจะดูอาการเธอใหม่ ถ้าเห็นว่ายังไม่ดีขึ้น จะพาไปคลินิกให้หมอฉีดยาให้สักเข็ม”
วาโยฟังแล้วก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะสั่นศีรษะไปมาเบา ๆ
“มะ...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้สึกค่อยยังชั่วมากแล้ว นอนอีกสักหน่อยต้องหายดีแน่...”
วาโยบอกแล้วหน้าซีดเผือดกว่าเดิมจนปวีร์แปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมา
“หรือว่าเธอกลัวเข็มฉีดยา?”
วาโยสะดุ้งอีกครั้ง เขารีบสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่ใบหน้าซีด ๆ นั้นก็แสดงออกถึงคำตอบได้เป็นอย่างดี
“หึ ๆ เด็กน้อยเอ๊ย! เอาเถอะ ถ้าไข้เธอลดในตอนเย็นจริง ๆ ฉันก็จะไม่พาไปฉีดยา แต่คงต้องให้หมอจัดยาให้แทนโอเคไหม”
วาโยพยักหน้าหงึกหงัก เพราะสำหรับเขาให้กินยาเป็นกำ ก็ยังดีกว่าต้องไปฉีดยาล่ะนะ
“งั้นก็นอนซะ ไม่ต้องห่วงเพื่อน ๆ ของเธอหรอก พวกเขาพอรู้ว่าเธอไม่สบาย ก็ขยันขันแข็งทำงานกันยกใหญ่ เพราะรู้ว่าเธอจะต้องเป็นห่วงแน่ยังไงล่ะ ...ถ้าหายแล้วก็อย่าลืมไปขอบคุณพวกเขาด้วยนะ”
วาโยยิ้มรับพลางพึมพำตอบ ก่อนจะเอนกายลงนอนต่ออีกครั้ง และหลับไปโดยใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีเมื่อปวีร์มาปลุกเขา
“ไงเรา โอเคไหม...หายปวดหัวหรือยัง”
วาโยปรือตามองคนพูด เขานิ่วหน้านิ่งคิดนิด ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะปฏิเสธ ทำให้คนมองอมยิ้มอย่างนึกขำ
“โกหก! ขมวดคิ้วยุ่งแบบนั้นยังจะมาบอกไม่ปวดหัวอีก... ไข้เธอลดช้ากว่าที่คิดไว้ ดังนั้นฉันจะพาไปฉีดยานะ”
“มะ...ไม่ต้องก็ได้ครับ ...ผมหายแล้วครับ จริง ๆ นะครับ ลุกให้ดูยังได้...โอ๊ะ”
คนฝืนทำเก่ง ดันกายขึ้นนั่งพรวดพราด แล้วหัวหมุนหน้ามืดวูบไปในอ้อมกอดของปวีร์ที่รับไว้ทัน เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ แล้วช้อนร่างของคนไม่สบายขึ้นอุ้มอย่างไม่ลำบากอะไรนัก
“คุณปวีร์ครับ...ไม่ฉีดยาไม่ได้หรือครับ...”
ปวีร์มองคนป่วยที่อ้อนเขาอย่างน่าสงสาร นี่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยเขาคงใจอ่อนไปแล้ว
“ไม่ได้ ...หรือเธออยากป่วยนาน ๆ แล้วเป็นภาระให้คนอื่นที่เหลือแทนล่ะ”
ปวีร์แกล้งปั้นสีหน้าดุ ทำให้วาโยชะงักแล้วหน้าสลดลง ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ
“ก็ได้ครับ...ฉีดก็ฉีด”
“หึ ๆ เด็กดี...เอ้าจะลงบันไดแล้ว อยู่นิ่ง ๆ นะ ไม่งั้นจะกลิ้งกันไปทั้งคู่”
ปวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ทำให้คนฟังยิ้มออกบ้าง และเมื่อลงมาถึงชั้นล่างวาโยจึงขอลงเดินเองเพราะเกรงใจอีกฝ่าย
“เฮ้อ! ก็ได้”
ปวีร์แสร้งทำเป็นถอนหายใจ แต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างในอ้อมกอด แถมสั่งให้คนโดนอุ้มเอื้อมมือไปเปิดประตูให้อีก
“เอ่อ...คุณปวีร์ครับ”
“ที่ว่าก็ได้น่ะ หมายความว่าพอถึงรถแล้วจะปล่อยให้เดินไปขึ้นรถเองยังไงล่ะ”
ปวีร์ตอบพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาวาโยต้องลอบถอนหายใจ และพอถึงรถอีกฝ่ายก็ทำอย่างที่พูดไว้ แต่ก็คอยประคองอยู่ไม่ห่าง เพราะเกรงว่าลูกน้องคนโปรดจะล้มลงไปเสียก่อน
“ขอบคุณนะครับ...”
วาโยบอกอีกฝ่ายด้วยความตื้นตัน เพราะนอกจากครอบครัวและเพื่อนสนิทแล้ว ก็ยังไม่เคยมีใครมาดูแลเขาเป็นอย่างดีขนาดนี้มาก่อน
“ไม่เป็นไร บอกแล้วไงว่าพวกเราอยู่กันอย่างครอบครัวน่ะ”
ปวีร์หันมายิ้มแล้วขับรถออกไป ส่วนวาโยนั้นหลับตาพักผ่อน เพราะเริ่มรู้สึกเวียนหัวนิด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้านั้นของปวีร์ และหวนคิดว่าการที่ต้องมาทำงานใช้หนี้แถมถูกจับแต่งหญิงในบางที มันก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องแย่ ๆ เสมอไปนัก
“ไง ราเมศ ปิดร้านแล้วใช่ไหม... อยู่ไหนน่ะหรือ ก็คลินิกไง ...โอ๊ะ! อย่าเพิ่งโวยสิ ฉันไม่ได้โทรมาบอกให้นายบ่นสักหน่อย... หึ ๆ น่า ๆ ขอโทษแล้วกัน อ๊ะ! จริงสิ เกือบลืมแน่ะ นายช่วยแพคข้าวเผื่อฉันชุดนึงด้วยนะ เดี๋ยวจะกลับไปกินที่บ้าน ส่วนของเด็กนี่ก็ฝากคุณนนทำซุปร้อน ๆ หรืออาหารที่ย่อยง่าย ๆ ให้หน่อยก็ได้... อือ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้านพักเลยน่ะ ...อ๊ะ ออกมาแล้ว งั้นแค่นี้นะ บาย”
ปวีร์ตัดสายของเพื่อนสนิท แล้วหันมายิ้มให้กับคนที่เดินยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา
“ไง เจ็บมากไหม”
วาโยเบ้ปากนิด ๆ ทำให้คนถามหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินไปตบบ่าให้กำลังใจอีกฝ่าย
“เอาน่า ฉีดยาน่ะหายไวออก จากนั้นก็กินยาเสริม ...แล้วก็อย่าไปตากแดดตามลมอีก ส่วนงานพรุ่งนี้ก็พักอีกวัน ให้หายดี แล้วค่อยทำต่อ”
ปวีร์บอกกับอีกฝ่ายแล้วจึงเดินไปรอจ่ายเงินค่ายาและค่ารักษา โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของวาโยเลยสักนิด
“แต่ถ้าผมไม่ไป พรุ่งนี้ทุกคนก็งานหนักแย่สิครับ”
“มันก็คงแบบนั้น...พนักงานพาร์ทไทม์ก็ยังไม่ว่างเสียด้วยสิ”
ปวีร์พึมพำ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคนที่รอฟังอยู่
“งั้นเดี๋ยวฉันอาสาเป็นแคชเชียร์จำเป็นให้เอง ส่วนรุจก็ให้ไปเป็นเด็กเสิร์ฟแทนนายสักวัน ...หึ เผลอ ๆ อาจจะมีส่วนช่วยให้แขกสาว ๆ เข้าร้านเพิ่มมากขึ้นก็ได้นะ”
ปวีร์เปรยอย่างนึกขำ เพราะขนาดรุจทำหน้าที่แค่เป็นแคชเชียร์ ก็ยังมีแฟนคลับมาขอใช้สิทธิ์ตามโปรโมชันของร้านถ่ายรูปกับเจ้าตัวไปแล้วด้วยซ้ำ
“คุณวาโย รับยาได้แล้วค่ะ...”
เสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่จ่ายยาประจำคลินิก ทำให้ปวีร์เดินไปรอที่ช่องรับยาและจ่ายเงิน เขาเรียกวาโยไปฟังเจ้าหน้าที่อธิบายถึงจำนวนและเวลาในการทานยา จากนั้นปวีร์จึงหยิบเงินส่วนตัวของตนจ่ายให้แล้วพาวาโยกลับขึ้นรถ ก่อนจะขับไปส่งชายหนุ่มที่บ้านพักซึ่งมีพนักงานคนอื่นของเขารอคอยอยู่แล้ว
“เอ้า! พาเจ้าหญิงมาส่งแล้ว มารับไปทีสิ”
ปวีร์บอกอย่างนึกขำ เมื่อเห็นแต่ละคนที่นั่งรออยู่ หันมามองเขาเป็นตาเดียว นับตั้งแต่เห็นเขากับวาโยเดินเข้ามาในบ้านพัก
“ทีหลังจะออกไปไหนก็บอกกันบ้าง ไม่ใช่ปุบปับก็ออกไปเองแบบนี้”
ราเมศบ่นใส่ทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน ทำให้วาโยเบิกตากว้าง เพราะทีแรกเขาคิดว่าคนอื่น ๆ จะรู้อยู่แล้วเสียอีก
“ก็เห็นทำงานกันยุ่ง ๆ เลยไม่อยากรบกวนนี่ และที่สำคัญก็โทรไปบอกแล้วไม่ใช่หรือ”
ปวีร์ตอบเพื่อนพลางยกยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำให้ราเมศถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระอา เพราะกว่าที่ปวีร์จะโทรมาบอกก็เป็นเวลาเลิกงาน และเขาก็ต้องตกใจกับเสียงโวยวายของกวินที่ว่าวาโยหายไป แต่ยังไม่ทันจะเริ่มออกตาม หรือติดต่อใคร ปวีร์ก็โทรมาเสียก่อน ทำให้สถานการณ์วุ่นวายคลายลงได้บ้าง
“ชอบทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
ปวีร์หันมามองคนบ่นพึมพำหลังจากที่ส่งตัววาโยคืนให้กวินดึงกลับไปถามไถ่เรียบร้อย
“ก็เพราะรู้ว่ามีคนคอยเป็นห่วง ก็เลยอยากขออ้อนบ้าง...ไม่ได้หรือไง”
ปวีร์ยิ้มหวานพลางลูบแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา ราเมศชะงัก ก่อนจะสบถเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะน้อย ๆ แล้วเดินไปสมทบกับพวกวาโยต่อ และชี้แจงเรื่องการทำงานในวันพรุ่งนี้ให้ทุกคนฟัง
“พรุ่งนี้ฉันว่าจะให้โยเขาพักต่ออีก 1 วัน แล้วฉันจะลงไปทำแคชเชียร์ให้ ส่วนรุจก็ทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟแทนโยไปก่อนได้ไหม”
คนอื่นพากันอึ้งแล้วเหลือบไปมองรุจ ทำให้ปวีร์เลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ
“บังเอิญจังครับ ผมก็มีความคิดคล้าย ๆ คุณนั่นล่ะ”
รุจบอกยิ้ม ๆ ทำให้ปวีร์ยิ้มตอบอย่างถูกใจ เขารู้จักอีกฝ่ายเพราะเป็นรุ่นน้องของเพื่อน พอลองคุยดูก็รู้สึกถูกชะตา ในนิสัยที่คล้ายคลึงกันหลายอย่าง ชายหนุ่มจำได้ว่าเคยชวนอีกฝ่ายให้มาทำงานด้านการเงินที่ร้านแบบเล่น ๆ เพราะตอนนั้นรุจทำงานอยู่ที่บริษัทใหญ่โตอยู่แล้ว ทว่าไม่นานหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โทรมาหาเขาแถมยังบอกว่าลาออกจากงานเก่าเรียบร้อยแล้วอีกด้วย และด้วยหน้าตาที่ผ่านเกณฑ์ ความรู้ความสามารถ อีกทั้งนิสัยใจคอ ปวีร์จึงไม่ลังเลที่จะดึงตัวอีกฝ่ายไว้ ไม่ว่าชายหนุ่มจะมาทำงานด้วยเหตุผลใดก็ตาม
“ไม่เคยต้องทำมาก่อน คงลำบากหน่อยนะ แต่ถ้าไม่ไหวยังไงก็เปลี่ยนตัวกับแก้ว แล้วเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ช่วยบาริสต้าเอง”
บอกแล้วปวีร์ก็หันไปยิ้มหวานให้กับราเมศ แต่คนฟังนี่สิทำหน้ายุ่งใส่เขา จนปวีร์ต้องหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“เอ่อ...ขอโทษทุก ๆ คนจริง ๆ ด้วยนะครับ ที่ต้องลำบากกัน...เพราะผมแท้ ๆ”
คนอื่นต่างหันมามองวาโยเป็นตาเดียว และก่อนที่จะมีคนพูดปลอบ น้ำเสียงราบเรียบเฉยชาของใครบางคนก็ขัดขึ้น
“ถ้าคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง ก็ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ กินยาให้ตรงเวลา จะได้หายไว ๆ มาทำงานชดเชยแทนไงล่ะ”
วาโยนิ่งอึ้ง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ พร้อมพยักหน้ารับรู้ ทางด้านปวีร์เหลือบมองภูริอย่างพึงพอใจ เพราะคนอย่างวาโยนั้นถ้าปลอบโยนว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้าตัว ชายหนุ่มก็จะยังคงคิดมากอยู่ดี ต้องอ้างเหตุผลและคนอื่นเข้ามาเกี่ยวนี่ล่ะ อีกฝ่ายถึงจะยอมฟังและยอมเชื่อ
“ยังไม่ได้กินข้าวเลยไม่ใช่หรือ ... มียาที่ต้องกินก่อนอาหารไหม”
การินเปรยขึ้นถามไถ่บ้าง หลังจากดูเวลาที่ล่วงเลยมาดึกพอสมควร
“อ๊ะ...จริงสิ แต่รู้สึกว่ามีแค่ยาหลังอาหารเท่านั้นเอง ขอบใจที่เตือนนะริน”
วาโยยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งการินก็ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ทำให้ปวีร์ที่ลอบสังเกตเริ่มพึงพอใจที่เห็นหลานชายเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคบหาเพื่อนฝูง ความอดทน เอางานเอาการ อย่างที่อาเช่นเขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงวางใจปล่อยให้ไปเรียนต่อเมืองนอก อย่างที่พ่อแม่ของเจ้าตัวต้องการได้สักที
‘แต่ก็คงไม่ใช่ในเวลานี้หรอกนะ ...ยังไงพวกพี่ชายกับพี่สะใภ้ ก็ให้เวลาเขาฝึกฝนเจ้าตัวไปก่อนตั้งหนึ่งปีนั่นล่ะ ไม่แน่ว่ากว่าจะถึงตอนนั้น การินอาจจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นที่น่าตกตะลึงสำหรับเขายิ่งกว่านี้ก็เป็นได้’
ปวีร์คิดในใจก่อนจะขอตัวกลับบ้านพัก เขาเหลือบมองกวินที่แทบจะแย่งช้อนไปป้อนข้าววาโยอย่างนึกขำ รู้สึกพอใจที่เห็นพนักงานแต่ละคนเข้ากันได้ดีกว่าวันแรกที่ต่างพบหน้า และเขาคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจรับวาโยเข้ามาทำงานด้วยกัน
“ยิ้มแบบนี้ คิดอะไรอยู่น่ะ”
ราเมศที่สังเกตเห็นถามเบา ๆ ระหว่างที่พวกเขาเดินกลับไปขึ้นรถของปวีร์ด้วยกัน
“หึ ๆ ลองเดาดูสิ”
“เหอะ ไม่อยากจะเดาเลย นายคิดโน่นคิดนี่ทีไร มีแต่เรื่องวุ่นวายชวนปวดหัวประจำ”
ราเมศบ่นพลางยักไหล่ ทำให้คนฟังหัวเราะในลำคอ ก่อนจะซบศีรษะพิงแผ่นหลังของคนที่เดินช้า ๆ อยู่ด้านหน้า จนอีกฝ่ายชะงักและหยุดเดินก่อนจะหันมามองอย่างแปลกใจ
“ฉันมีความสุขนะราเมศ ...ไม่รู้สิ มันบอกไม่ถูก...รู้แต่เพียงว่า อยากทำร้านต่อไปเรื่อย ๆ อยากเห็นรอยยิ้มของทุกคนในร้านให้มากกว่านี้ ทั้งเด็กพวกนั้น ทั้งลูกค้า คุณนน แก้ว ตา...แล้วก็นายด้วย ราเมศ”
ราเมศนิ่งฟัง ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนตอบอีกฝ่าย เขาลูบศีรษะคนตรงหน้าแผ่วเบา แล้วตอบกลับไป
“ฉันก็เหมือนกัน ...”
ปวีร์มองอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มหวานให้
“ฉันชอบนายนะ ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาจนถึงป่านนี้”
ราเมศหัวเราะเบา ๆ แล้วโอบร่างนั้นให้เดินไปเคียงข้างไปด้วยกัน เขาชินเสียแล้วกับคำบอกชอบของอีกฝ่าย แต่ถ้าขวัญแก้วกับขวัญตามาได้ยิน สองสาวนั่นคงจะมีปฏิกิริยาสุดโต่งแตกต่างออกไปแน่
“...ความรู้สึกช้าไม่เปลี่ยนเลยนะ ...หรือไม่คิดว่าฉันเอาจริง”
เสียงพึมพำแผ่วเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ทำให้คนที่เดินมาด้วยกันชะงัก แต่ปวีร์กลับเงยหน้ายิ้มตอบ แล้วบอกเสียงสูง
“เปล๊า! ไม่มีอะไร ก็แค่บ่นพึมพำหิวข้าวก็แค่นั้นเอง”
ราเมศขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดแค่นั้นจริง ๆ แต่เมื่อเห็นปวีร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาจึงขี้เกียจซัก เพราะรู้ดีว่าต่อให้ซักไป คนหัวดื้อปากแข็งคนนี้ก็ไม่มีวันยอมบอกให้เขารู้อย่างแน่นอน
… TBC …