---- ก๊วนคุณลุง ----
'กำลังใจสำหรับการทำงานในวันนี้'
เจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นแค็ปชั่นของภาพล่าสุดที่ฆาเบียร์โพสต์ลงใน Instagram ในภาพนั้นเป็นแจกันแก้วทรงกลมใสขนาดเล็กซึ่งปักดอกพีโอนีสีชมพูเข้มและกุหลาบขาวอมชมพูก้านสั้นอย่างละดอก แซมด้วยดอกไม้ขนาดเล็กสีขาวและใบไม้ทรงแปลกตา
'ชอบไหมครับ?'
เจพิมพ์ลงในช่องคอมเมนท์ใต้ภาพแล้วกดส่ง ไม่นานเสียง Line video call ของเขาก็ดังขึ้น เจกดรับและยิ้มให้คนที่ส่งยิ้มกว้างกลับมา
"ไงครับ? ชอบไหม?"
เจนยุทธถามย้ำอีกครั้ง
"ชอบสิจ๊ะ ขอบใจนะ"
ฆาเบียร์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานของเขา เขาขยับหมุนแจกันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานให้เจนยุทธดูรอบด้าน
"มันดูเล็กเหมือนกันเนาะ ตอนแรกผมอยากจะสั่งขนาดใหญ่กว่านี้ให้ แต่ก็สู้ราคาไม่ไหว"
เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ ตอนที่เขากดสั่งเขาคิดว่าแจกันใบน้อยสูงไม่ถึงคืบที่ใส่ดอกเดี่ยวขนาดประมาณดอกกุหลาบได้เพียง 2 ดอกนี้จะใบใหญ่กว่านี้
"ใบขนาดนี้กำลังดีจ้ะ ฉันวางไว้บนโต๊ะทำงานได้ ไม่เกะกะ ขอบใจนะ"
ฆาเบียร์ก้มลงดมกลิ่นหอมจรุงจากดอกกุหลาบ เขาชอบดอกไม้ หากไม่เคยชินกับการเป็นผู้รับจนกระทั่งมาเจอเจนยุทธ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าคู่ขาโดยเฉพาะคนที่มีใจให้เขาอย่างเฟลิเป้จึงได้ปลื้มปริ่มนักหนาเมื่อได้กุหลาบช่อโตจากเขา สำหรับตัวเขาในตอนนี้ ต่อให้เป็นดอกหญ้าข้างทาง หากเมื่อมันมาจากมือเจ มันก็ทำให้เขายิ้มได้ทั้งวันแล้ว
"เอ้า ๆ ๆ ดมจนช้ำแล้วครับคุณ"
เจนยุทธหัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทีพออกพอใจนักหนาของคนรัก
"เดี๋ยวก่อนไปมาเก๊าคุณก็เอาดอกขึ้นไปไว้ในห้องนอนด้วยล่ะ ทิ้งมันไว้ที่นี่เสียดาย แล้ววันจันทร์เอาแจกันลงมาไว้ที่ออฟฟิศด้วยนะครับ"
"อ้าว ทำไมล่ะ? ฉันเอาไปไว้ในห้องเลยไม่ได้เหรอ?"
ฆาเบียร์เลิกคิ้ว
"ไม่ได้ครับ..."
เจนยุทธส่ายหัว
"เดี๋ยววันจันทร์ร้านเขาจะเอาแจกันใหม่มาเปลี่ยนให้.."
"อ้อ..."
คนตัวโตอุทานออกมาเบา ๆ พร้อมกับมีสีหน้าเคร่งขรึมลง
"เจ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาสิ้นเปลืองเงินทองกับฉันมาก ไอ้เจ้า flower subscription แบบที่ให้ส่งดอกรายสัปดาห์แบบนี้มันไม่ได้ถูกเลยนะ นายยกเลิกมันเถอะ"
ฆาเบียร์ทำเสียงแข็งเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวเล็กที่ชอบให้ดอกไม้เขานั้นได้สั่งแจกันดอกไม้เพื่อให้จัดส่งมาให้เขาทุกสัปดาห์
"ไม่ครับ!..."
เจรีบปฏิเสธกลับมาทันควัน
"ที่ผมสั่งมานี่ไม่ได้แพงมากหรอกครับฆาบี้ เดือนละไม่ถึงห้าร้อยดอลฮ่องกง ผมถึงบอกไงว่ามีปัญญาให้คุณได้แค่นี้"
เจนยุทธลดเสียงลงในตอนท้ายจนเหลือแค่เสียงพึมพำ เมื่อบ่ายวานนี้ เขาไล่ดูสารพัดเว็บไซต์ของร้านดอกไม้ในฮ่องกงที่มีบริการจัดส่งดอกไม้รายสัปดาห์แล้วก็ต้องเหงื่อแตกเมื่อเห็นราคา โดยมากนั้นจะเริ่มต้นที่หลักพันเหรียญต่อเดือน แต่ในที่สุด ด้วยคำแนะนำของทิฟฟานีผู้เป็นเลขาฯ ของฆาเบียร์ เขาก็เจอร้านราคาเยาว์ที่เริ่มต้นด้วยราคาหลักร้อย แต่ก็ได้แจกันขนาดเล็กและปริมาณดอกไม้ที่น้อยกว่าร้านอื่น เขาลองสั่งให้มาส่งวันนี้ก่อนเพื่อเป็นตัวอย่างและจะเริ่มให้ส่งเป็นรายสัปดาห์ในวันจันทร์หน้า
"แต่เจจ๊ะ..."
"ไม่ต้องมีแต่แล้วครับ ฆาบี้ เงินค่าดอกนี่ผมก็ใช้เงินเดือนที่คุณให้ผมนั่นแหละจ่าย ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย"
เจยกโทรศัพท์เข้ามาจ่อใกล้หน้าให้เห็นตากลมโตของเขา
"...ว่าไงครับ ฆาบี้ คุณจะใจร้ายแล้วไม่ยอมรับดอกไม้จากผมจริง ๆ เหรอ?"
คนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นคนรักงัดลูกอ้อนโดยทำหน้าซื่อตาใสแบ๊วอันเป็นไม้ตายออกมาใช้
"โอเค ๆ ถ้านายยืนยันว่าไม่เดือดร้อนก็ตามใจ แต่ถ้านายต้องใช้เงินไปทำอย่างอื่นเมื่อไหร่ก็ยกเลิกซะนะ โอเคไหม?"
"Ay, ay! Sir!"
ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเจทำท่าตะเบ๊ะเพื่อตอบรับคำและยิ้มกว้างกลับมาให้ เขาทนยิ้มสวย ๆ และแววตาเว้าวอนของเจไม่เคยได้เลยสักครั้ง
"...แล้วอย่าลืมนะครับ ถ้าได้ดอกมาก็ถ่ายรูปอัพลงไอจีให้ผมด้วย จะได้มีอะไรลงบ้าง"
เจนยุทธกำชับ หลังจากที่เมียตัวโตของเขาใช้เพียงเฟซบุ๊คและเว็บไซต์เป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกับผู้ติดตามของเขา ในที่สุดบล็อกเกอร์ 'Valentin de la Rosa' ก็มีไอจีเป็นของตัวเองหลังจากโดนเจนยุทธคะยั้นคะยออยู่นาน หากเนื่องด้วยภาระงาน ทำให้ฆาเบียร์ไม่ค่อยได้โพสต์รูปอะไรลงในไอจีของเขานัก นาน ๆ ทีเมื่อได้ไปทำงานต่างเมือง เขาจึงจะโพสต์รูปจากเมืองที่ไปเยี่ยมเยือนบ้าง มีโพสต์รูปอาหารเพื่อให้เจดูและเพื่อแนะนำร้านบ้างเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์บล็อกเกอร์สายกินเที่ยวของเขา แม้ช่วงหลังคนที่โพสต์ในเฟซบุ๊คจะเป็นเจและทีมงานเสียส่วนใหญ่ เช่นเดียวกันกับในยูทูบและเว็บเพจของเขา หากฆาเบียร์ก็พยายามอัพภาพลงไอจีของเขาด้วยตนเอง
"จ้ะ ๆ ฉันไม่ลืมแน่"
คนตัวโตพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขายกแจกันดอกไม้ขึ้นมาดูอีกด้วยความพึงใจ
"แล้วนี่เสร็จงานช่วงเช้าแล้วเหรอครับ? แล้วไหนว่ามีไปกินข้าวเที่ยงกับลูกค้าไม่ใช่เหรอ?"
เจนยุทธยกนาฬิกาขึ้นดู
"จะเที่ยงแล้วนะครับ ยังไม่ไปอีก"
"อ๋อ พอดีว่าทางนั้นติดธุระอื่นน่ะ พอคุยงานช่วงเช้าเสร็จก็ขอตัวกลับก่อนเลย ช่วงเที่ยงเลยยังว่าง แต่เดี๋ยวก็มีบรีฟงานกับฝ่าย Product ช่วงบ่ายอีก"
"ฝ่าย Product ก็คือฝ่ายที่ดูแลเรื่องเว็บโดยตรงใช่ไหมครับ?"
เจนยุทธถามอย่างไม่แน่ใจ แม้เขาจะเข้ามาคลุกคลีกับบริษัทของฆาเบียร์พักใหญ่แล้ว เขาก็ยังงง ๆ กับบทบาทต่าง ๆ และขอบข่ายงานของแต่ละฝ่ายอยู่ดี
"ใช่จ้ะ ถ้าเทียบก็คือเป็นฝ่ายผลิตสินค้าของเรานั่นแหละ สินค้าของเราในที่นี้ก็คือตัวเว็บและระบบจองโรงแรมกับพวกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่น ๆ แผนกนี้จะเป็นคนดูแลเกี่ยวกับด้านการวิเคราะห์และพัฒนาไอ้เจ้าของขายของเรานี่แหละ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายบริหารทำงานร่วมกับฝ่ายซอฟท์แวร์ในการดูแลไม่ว่าจะเป็นหน้าเว็บหรือแอพ เพื่อให้คนใช้ใช้งานได้อย่างลื่นไหลไม่มีปัญหา..."
ฆาเบียร์อธิบายสายการทำงานของบริษัทของเขาให้เจฟัง
"ฝ่าย Product ก็ต้องทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นอย่างเช่นฝ่าย Content ที่เจเคยร่วมงานด้วยซึ่งเน้นการผลิต content และแปลสิ่งต่าง ๆ ที่จะเอาลงในเว็บ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจซึ่งเป็นฝ่ายดูแลและประสานงานกับพวกโรงแรม ที่พักและคู่ค้าด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ของเราในการออกโปรโมชั่นต่าง ๆ สอนเรื่องการใช้งานเว็บของเรานั่นนี่นู่น แล้วก็วิเคราะห์พวกข้อมูลที่ได้รับจากทั้งลูกค้าและทางที่พักเพื่อออกนโยบายและโปรเจ็คท์ต่าง ๆ ในส่วนนี้เราทำในออฟฟิศสาขาย่อย บางส่วนเราก็ร่วมมือกับเอเจนซี่ท้องถิ่นจ้ะ"
คนตัวโตหยุดยิ้มให้คนที่นั่งทำตาแป๋วฟัง เขาอธิบายต่อคร่าว ๆ ถึงบทบาทของแผนกอื่น ๆ อย่างแผนกมาร์เก็ตติ้งและแผนกดูแลลูกค้าและต่อไปยังเรื่องการทำงานโดยรวมของบริษัท
"นอกจากสำนักงานใหญ่ที่พาโล อัลโตกับที่ฮ่องกงแล้ว เรายังมีออฟฟิศเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ก็จะมีคนจากแผนกที่ต้องเกี่ยวข้องกับการทำงานของเว็บกับประสานงานกับคู่ค้าอย่างพวกโรงแรมหรือทัวร์เอเจนซี่ มีพวกฝ่ายเทคโนโลยีบ้าง แต่จะเน้นไปที่แผนกพัฒนาธุรกิจกับแผนกรับเละอย่างแผนกดูแลลูกค้าจ้ะ"
เจอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคนรักเรียกแผนกดูแลลูกค้าว่าเป็นแผนกรับเละ
"เรามีเจ้าหน้าที่รับเรื่องจากหลายชาติหลายภาษาประจำอยู่ตามเมืองหลัก ๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั่วโลก พวกนี้จะคอยดูแลเวลาที่ลูกค้ามีปัญหา ณ ตอนเข้าพักและคอยติดตามดูพวกคอมเมนท์หรือรีวิวเพื่อเก็บข้อมูลและแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหานั้นอีกในอนาคต อีกทางก็คือคอยประสานงานกับทางที่พักด้วย..."
ฆาเบียร์อธิบายให้คนรักของเขาฟังต่ออีกยืดยาวและเจเองก็นั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
"เอ ผมเข้าใจว่าสำนักงานที่ฮ่องกงนี้เป็นสาขารองซะอีกครับ แต่เท่าที่ฟังคุณเล่ามา มันสำคัญแทบจะเท่ากับที่สหรัฐฯ เลยนี่นา?"
เจนยุทธถาม คนตัวโตพยักหน้า
"ใช่จ้ะ จากการดูแนวโน้มหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาแล้ว ฉันกับอาปาและพวกผู้บริหารคนอื่นของบริษัทก็เห็นพ้องต้องกันว่าเราจะเริ่มย้ายศูนย์กลางด้านการจัดการและการให้บริการของเว็บมาที่เอเชีย ส่วนหนึ่งก็เพราะตลาดจีนที่กำลังเติบโตด้วย ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งสาขาที่สหรัฐฯ นะ ที่นั่นก็ยังจะเป็นศูนย์กลางของงานระบบกับออฟฟิศส่วนที่เป็นด้านนโยบายแล้วเน้นทำงานร่วมกันออนไลน์"
เจพยักหน้ารับคำ เขาเห็นจากการทำงานที่ผ่าน ๆ มาของฆาเบียร์แล้วว่าเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ทำให้บริษัทที่มีหลายสาขาสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล
"ว่าแต่ฮ่องกงนี่มันไม่แพงไปสำหรับการเป็นสำนักงานใหญ่อีกที่เหรอครับ?"
เจนยุทธถามอย่างสงสัย ค่าครองชีพที่สูงมากของฮ่องกงน่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทของฆาเบียร์สูงขึ้นเกินความจำเป็น
"เอาจริง ๆ นะ ส่วนหนึ่งที่เราเลือกฮ่องกงเป็นสำนักงานใหญ่ฝั่งเอเชียก็เพราะอาปาด้วยแหละ"
ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ ถึงจะจากฮ่องกงไปนานและอาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ จนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง หากอาปาของเขาก็เคยเปรย ๆ ไว้ว่าอยากจะกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ความตั้งใจของคริสก็คือเมื่อเขาพร้อมที่จะส่งไม้ต่อให้ฆาเบียร์แล้ว ตนเองก็จะกลับมาช่วยดูแลสาขาทางเอเชียให้กับลูกชายของเขาแทนพร้อม ๆ กับเข้ามาควบคุมงานที่เครือบริษัทของพ่อของเขา
"อ้าว งั้นแบบนี้อาปาก็ไม่ได้เกษียณสิครับ สรุปว่าก็แค่แลกตำแหน่งกันกับคุณแค่นั้นเอง สงสารอ่ะ ไม่ได้พักซักที"
เจบ่นอุบอิบจนคนตัวโตอดหัวเราะไม่ได้
"โธ่ เจ อย่างอาปาน่ะพักเป็นซะที่ไหน ฉันเคยบังคับให้อาปาพักร้อน ไปพักผ่อน ไปทะเล ไปไหนก็ได้ให้ไกลจากออฟฟิศเดือนนึง ห้ามเอาคอมไปทำงานด้วย ที่ไหนได้ ไปได้ซักห้าวัน ทีนี้ล่ะเริ่มโทรกลับมารัว ๆ บอกว่าห่วงงานนั่นนี่ พอฉันบอกว่าให้เลิกโทร ให้พัก ทีนี้ล่ะก็ใช้เลขาฯ โทรมาแทน ไม่โทรหาฉันนะ นู่น โทรหาเมลิน่า จนสุดท้ายฉันก็ต้องยอมให้คนบินเอาคอมไปให้นั่งทำงานถึงที่รีสอร์ทในคาริบเบียน"
ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงอาปาผู้ดื้อเงียบของเขา
"...แต่นอกจากที่ฮ่องกงแล้ว เรายังมีแพลนจะขยายออฟฟิศย่อยที่เมืองอื่นในเอเชียให้ใหญ่ขึ้นด้วย คือแทนที่จะมีสำนักงานใหญ่ที่เดียว เราก็จะแบ่งเป็นภูมิภาค อย่างที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉันก็เล็งที่กรุงเทพฯ ไว้ เพราะค่าครองชีพยังไม่ได้สูงนักแต่ก็มีสาธารณูปโภคทุกอย่างที่ทางสำนักงานต้องการ..."
คนตัวโตพูด เขาเตรียมแผนงานในส่วนนี้ไว้หมดแล้ว รวมถึงการหาทาง recruit คนที่เคยทำงานให้กับบริษัทท่องเที่ยวและจองที่พักบริษัทดังระดับโลกอย่าง Agoda ซึ่งแม้จะมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ หากสำนักงานที่มีคนทำงานอยู่มากที่สุดกลับเป็นสาขากรุงเทพฯ
"...ในอนาคต ฉันอาจจะต้องบินไปบินมาบ่อยขึ้นกว่านี้อีกนะ อย่างตอนนี้ ฝ่าย Corporate หรือส่วนบริหารองค์กรนั้นขึ้นกับอาปาโดยตรง ส่วนด้านเทคโนโลยีนั้นฉันเป็นคนดูแล ซึ่งก็ยัง monitor จากที่ฮ่องกงได้ แต่ถ้าต่อไปฉันขึ้นไปทำหน้าที่แทนอาปา ฉันก็ต้องเอาตัวไปให้ทางสำนักงานใหญ่เจอบ่อยขึ้น จะมานั่งประชุมทางไกลอย่างเดียวก็คงไม่ได้"
ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าที่สลดลงวูบหนึ่งของคนรัก หากเจก็รีบยิ้มกว้างกลับคืนมาให้คนรักของเขาแทบจะทันควัน
"น่า ๆ อีกตั้งสามสี่ปีไม่ใช่เหรอครับ ตอนนี้คุณก็ใช้เวลาหลั่นล้า ชิล ๆ ไปก่อนเนาะ"
"จ้ะ ก็คงจะเป็นแบบนั้น"
หนุ่มละตินตอบรับคำคนรัก ในใจเขากำลังคิดคำนวณถึงเวลาที่ยังเหลือและหวังว่าเขาจะสามารถโน้มน้าวใจคนรักให้ตกล่องปล่องชิ้นกับเขาได้ภายในระยะเวลานั้น
"ผมสงสัยอีกอย่าง..."
เจนยุทธถามถึงสิ่งที่ยังสะกิดใจเขา
"คุณบอกว่าออฟฟิศคุณแบ่งออกเป็นหลาย ๆ แผนก แต่ผมเห็นบางอย่างมันก็ทับซ้อนกันอยู่นะครับ อย่างเมลิน่ากับทิฟฟานี เขาเป็นเลขาคุณ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เห็นพวกสาว ๆ เขาก็ทำบล็อกของคุณซึ่งน่าจะให้ฝ่าย Content ทำ ทำไมเป็นงั้นอ่ะครับ?"
"อ๋อ ฮ่า ๆ สำหรับแบรนด์ 'Valentin de la Rosa' นี่เป็นข้อยกเว้นจ้ะ..."
ฆาเบียร์ยิ้ม เจนยุทธช่างสังเกตจริง ๆ
"ถ้าเป็นส่วนคอนเทนท์ด้านบล็อกการท่องเที่ยวของคนอื่นๆ นั้นทางฝ่าย Content จะเป็นคนดูแล แต่ในส่วนบล็อกของฉันนั้น มันเป็นต้นแบบที่เริ่มทำมาตั้งแต่ฉันกับอาปาเริ่มขยายเว็บจองโรงแรมของพ่อและทำให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลในด้านการท่องเที่ยวด้วย ในตอนแรกเริ่ม ฉันเริ่มทำมันในฐานะส่วนหนึ่งของงานประชาสัมพันธ์ซึ่งสังกัดแผนกมาร์เก็ตติ้ง แต่พอโลกมันเปลี่ยนไป เรามีบล็อกเกอร์สายกิน เที่ยว ไลฟ์สไตล์ในมือมากขึ้น มีคนหมุนเวียนมาช่วยเขียนมากขึ้น แถมในส่วนของเว็บจองโรงแรม เราก็ต้องทำให้มันสวยงามและน่าสนใจมากขึ้น เราก็เลยต้องเพิ่มส่วนของ content ขึ้นมาเพื่อดูแลเรื่องเนื้อหาต่างๆ ให้ดูสวยงาม ทันสมัย และโอนงานด้านจัดการบล็อกพวกนี้ไปให้ฝ่าย content ซะ..."
คนตัวโตหยุดครู่หนึ่งและพูดต่อ
"...แต่ตัวฉันน่ะยังทำงานในฐานะประชาสัมพันธ์มาจนถึงกลางปีที่แล้ว ก็เลยยังไม่ได้โอนย้ายส่วนนี้ไปให้ทางนั้นเขาทำถึงแม้ว่าช่วงหลัง ๆ ฉันจะไม่ค่อยได้ออกไปที่นั่นที่นี่เท่ากับสมัยแรกเริ่มแล้วก็เถอะ..."
ฆาเบียร์อมยิ้มเมื่อนึกถึงตอนช่วงแรก ๆ ที่เขาลงมือลุยงานด้านนี้เอง ในตอนนั้นเขาจะตระเวนไปตามสถานที่เที่ยวหรือโรงแรมที่เขาเห็นว่าน่าสนใจเพื่อเก็บข้อมูลมาเขียนรีวิวด้วยตนเองโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเมลิน่าบ้าง หากเมื่อเว็บของเขาพัฒนาและเติบโตขึ้น ภาระงานด้านบริหารของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เขาจึงจ้างทีมมาเพื่อดูแลบล็อกและเพจของเขาแทน เขารีวิวน้อยชิ้นลงโดยมีทีมงานช่วยคัดเลือกสถานที่ๆ ต้องการจะรีวิวให้ จากนั้นเขาจะส่งทีมไปก่อนเพื่อเข้าพักและเก็บข้อมูล ถ่ายคลิปวีดีโอและรูปภาพ ส่วนตัวเขานั้นตามไปทีหลังโดยใช้เวลาอยู่ที่นั่นอาจจะแค่เพียงวันหรือสองวันเพื่อถ่ายรูปและคลิปแบบมีหน้าตัวเองอยู่ในนั้น จากนั้นทางทีมงานก็จะจัดการเขียนบทความขึ้นมาโดยให้เขาปรับแก้เป็นสำนวนของตนภายหลัง
"ช่วงหลัง ๆ มานี่ฉันก็รู้สึกเหมือนกันว่าเพจของฉันมันไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่แล้ว ถึงข้อมูลจะละเอียดขึ้น ภาพสวยขึ้น แต่มันขาดรสชาติ ขาดชีวิตชีวาแบบที่เคยมีตอนที่ฉันยังเขียนเอง ตอนแรกก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพอเปิดตัวและเปลี่ยนไปทำงานบริหารเต็มตัวแล้ว ฉันอาจจะปิดเพจเลยก็ได้ แต่พอมีเจเข้ามาช่วย ฉันก็รู้สึกได้ว่าพลังที่เคยมีในช่วงแรก ๆ มันเริ่มกลับมาแล้ว"
เจนยุทธหน้าแดงน้อย ๆ ด้วยความเขินอายเมื่อคนรักพูดชมเชย เขาได้แต่พูดถ่อมตัวไปตามประสา ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ และชวนคนรักพูดคุยต่อ
"...ส่วนทิฟฟานีน่ะ เดิมทีสังกัดฝ่าย Content เต็มตัว..."
ฆาเบียร์พูดถึงผู้ช่วยของเมลิน่าซึ่งเรียนมาทั้งด้านบริหารธุรกิจและการจัดการสื่อสังคมออนไลน์
"ตอนอยู่สหรัฐฯ ทิฟเขาเป็นกำลังสำคัญในด้านเขียนคอนเทนท์คนหนึ่งของเราเลยและเป็นคนแรก ๆ ที่ฉันดึงมาช่วยงานเพจบาเลนติน"
"อ้าว แล้วทำไมพอมาอยู่ฮ่องกง เขาถึงมาเป็นเลขาฯ คุณ มาเป็นผู้ช่วยของเมลิน่าซะล่ะครับ เสียดายฝีมือออก"
เจนยุทธถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ
"นั่นก็เพราะอังเคิลลีนั่นแหละ..."
ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทของอาปาผู้เป็นพ่อสามีของทิฟฟานี
"ลุงวิคเตอร์เขาเคยขออาปาว่าถ้าจะตั้งสาขาที่ฮ่องกง เขาก็อยากให้ทิฟฟานีซึ่งตอนนั้นหมั้นกับลูกของลุงแล้วย้ายมาอยู่นี่ด้วย แล้วถ้าทิฟแต่งงานแล้วก็ขอตำแหน่งงานที่มีเวลาว่างบ้าง รู้ไหมว่าเพราะอะไร?"
เจนยุทธส่ายหัว
"ลุงลีแกบอกว่าแกอยากอุ้มหลานแล้ว แกบอกว่าขืนให้ยัยเด็กบ้างานนี่ทำงานตำแหน่งเดิม สงสัยชาตินี้แกก็คงไม่ได้เห็นหน้าหลาน"
ฆาเบียร์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงท่าทีจนปัญญาของซีอีโอคนเก่งของบริษัทของอาปา
"แหม เรื่องนี้นี่เอง มิน่าช่วงนี้ทิฟฟานีเขาดูมีน้ำมีนวลขึ้น คุณลุงลีคงบำรุงเต็มที่เลยใช่ไหมครับ?"
เจหัวเราะคิกคัก เขาสังเกตได้ว่าเลขาฯ สาวของฆาเบียร์คนนี้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและดูอิ่มเอิบขึ้นกว่าตอนที่เจอกันช่วงงานแต่งงาน
"เอ้า ๆ ทำหน้าแบบนี้ คิดอะไรลามก ๆ อยู่ใช่ไหม?"
คนตัวโตอดแซวไม่ได้เมื่อเห็นแววตากรุ้มกริ่มของคนรัก
"เปล๊า ผมไม่ได้คิดอะไรเลย"
เจรีบปฏิเสธลั่นอย่างร้อนตัวเพราะในหัวของเขานั้นคิดเตลิดไปถึงเรื่องการทำลูกของคนทั้งสองแล้ว
"นายนี่มันทะลึ่งจริง ๆ นะ หืมม์?"
ฆาเบียร์โคลงหัว แต่ก็ต้องหัวเราะเบา ๆ ออกมาด้วยความเอ็นดูเมื่อคนรักย่นจมูกและแลบลิ้นน้อย ๆ ให้
"อ๊ะ คุณครับ ผมคงต้องไปแล้วล่ะ..."
เจนยุทธหันไปมองที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะเรียก
"...อาปาให้คนมาตามแล้วครับ งั้น ผมไปก่อนนะ ถ้าก่อนออกจากฮ่องกงผมจะโทรมาหาคุณอีกที"
ฆาเบียร์เม้มปากน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกกังวลใจเมื่อนึกถึงว่าคนที่เขารักทั้งสองกำลังจะออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ หากเขาก็ฝืนพยักหน้ารับคำ
"เดี๋ยวคุณก็อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ กินข้าวเช้าหนัก ๆ ไปแล้วก็ใช่ว่าจะข้ามมื้อเที่ยงไปได้นะครับ"
"เอ่อ แต่ฉันก็ยังไม่หิวนะ..."
"ไม่ได้ครับ ไม่ได้ คุณก็เป็นซะแบบนี้ กินข้าวให้เป็นเวลาสิครับ"
เจอดบ่นคนรักเบาๆ ไม่ได้ ถ้าเขาไม่กำชับ วันนี้ฆาเบียร์ก็คงข้ามมื้อเที่ยงไปเป็นแน่แท้ คนตัวโตทำท่าอิดออดเล็กน้อย แต่ก็ยอมตกลงในที่สุด เจยิ้มกว้าง
"ดีมากครับ อย่าทำให้ผมต้องห่วงมากนักล่ะ งั้น ไปก่อนนะครับ mi cariño"
เจนยุทธพูดแล้วจรดจูบลงบนนิ้วและประทับลงที่หน้าเลนส์กล้องโทรศัพท์ของเขา ฆาเบียร์ทำตามและจบการสนทนาลง
"ขออนุญาตค่ะ เฆเฟ่"
เมลิน่าเคาะประตูเข้ามาพร้อมกับถาดในมือ
"คุณเจฝากให้ฉันสั่งมาให้ค่ะ..."
ฆาเบียร์มองอาหารในถาดอย่างจนใจ เจสั่งทั้งปอเปี๊ยะสดไส้เป็ดย่างและก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้ปลากะพงกับสมุนไพรต่าง ๆ มาให้เขา ทั้งสองอย่างมาจากร้านอาหารเวียดนามในห้างฯ เอเลเมนท์ที่อยู่ใต้อาคาร ICC แม้ปริมาณของมันจะไม่ได้มากนักหนา แต่ก็คงพอให้เขาซึ่งยังรู้สึกตื้อจากอาหารมื้อเช้าอิ่มท้องได้
"คุณเจกำชับมาด้วยว่า 'ไม่ใช่ของทอด มีแค่ผัก ปลา แป้งนิดหน่อย ฉะนั้นกินให้หมดนะครับ' ตามนี้ค่ะ"
เมลิน่าจัดวางอาหารไว้ที่โต๊ะกาแฟจากนั้นจึงยกมือถือของเธอขึ้นอ่านข้อความที่เจนยุทธส่งมาให้
"ให้ตายสิ พวกเธอนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ"
ฆาเบียร์บ่นออกมาเบา ๆ ทีมเลขาฯ ของเขาทั้งทีมดูจะถือหางเจอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งคุณเหลียง เลขาฯ วัยกลางคนซึ่งเคยทำงานกับอาปาคริสมาก่อนก็ยังดูถูกอกถูกใจเจนยุทธเป็นอย่างมาก
"โอเค ๆ ฉันจะกินไม่ให้เหลือผักซักใบเลย"
ฆาเบียร์พึมพำเบา ๆ เขาเดินมานั่งที่ชุดรับแขกแล้วจัดการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะและกดส่งไปให้คนรัก จากนั้นหันไปถามเมลิน่า
"เรามีนัดอีกที่กี่โมงนะ?”
“บ่ายสองค่ะ ไปสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำฮ่องกงและมาเก๊าเพื่อพบท่านกงสุลใหญ่คนใหม่ค่ะ...”
“ไม่ได้เป็นการพูดคุยแบบเป็นทางการอะไรใช่ไหม?”
คนตัวโตถามพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบปอเปี๊ยะสดเข้าปาก เมลิน่ายกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูตารางนัดหมายและตอบนายของเธอ
“ไม่ค่ะ ไปแค่พบปะแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งแค่นั้น น่าจะใช้เวลาไม่นาน”
ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำพร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดู
“งั้นเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงให้รถมารอเลยก็ได้ แล้วนอกจากงานนี้แล้ว บ่ายนี้ฉันมีอะไรต้องทำอีกไหม? ตอนแรกว่าต้องบรีฟงานกับฝ่าย Product ด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ บ่ายนี้งานที่ต้องอยู่ที่สำนักงานหรือต้องเจอคนก็มีแค่นี้ค่ะ เรื่องบรีฟกับทาง Product ฉันโยกเอาไปรวมกับประชุมทางไกลเพื่อฟังสรุปงานช่วงค่ำ ทำที่ไหนก็ได้ค่ะ จะให้ฉันจองตั๋วเรือเลยไหมคะ?”
เมลิน่าพูดยิ้ม ๆ ด้วยรู้ใจนายของเธอ
“เธอนี่มันรู้มากจริงนะ...”
ฆาเบียร์หัวเราะน้อย ๆ
“...ไว้รอให้งานเสร็จค่อยจองก็ได้ แต่เดี๋ยวถ้ารถมาก็ให้คนรถขึ้นมาเอากระเป๋าของฉันที่ห้องนี้ไปได้เลย แล้วเธอเตรียมกระเป๋าหรือยัง? จะกลับไปเอาของก่อนไหม?”
คนตัวโตถามเลขาฯ ซึ่งต้องติดตามเขาไปที่มาเก๊าด้วย
“เรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เมลิน่าค้อมหัวให้นายของเธอแล้วจึงออกจากห้องไป
“สวัสดีครับอาปา ถึงมาเก๊าแล้วเหรอครับ?”
ฆาเบียร์ซึ่งนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถโรลสรอยซ์โกสต์คันงามถามพ่อบุญธรรมของเขา
“ยังจ้ะ อาปาโทรมาบอกว่าพวกเราถึงตึก Shun Tak แล้วและกำลังจะออกเดินทางข้ามฟากกัน”
คนตัวโตขมวดคิ้ว
"อ้าว ผมนึกว่าเพื่อนอาปาจะส่งฮ. มารับที่ตึกของอาปาซะอีกครับ นี่มาขึ้นเครื่องที่ Shun Tak Heliport แทนเหรอครับ?"
ฆาเบียร์ถามอย่างงงๆ อาคาร Shun Tak นั้นนอกจากจะเป็นที่ตั้งของท่าเรือเฟอรี่ข้ามไปมาเก๊าแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ Heliport หรือท่าจอดเฮลิคอปเตอร์ ท่าจอดแห่งนี้นอกจากจะเป็นศูนย์ของบริษัท Sky Shuttle ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเฮลิคอปเตอร์ข้ามฝั่งไปยังมาเก๊าทุก ๆ 30 นาทีโดยมีสนนราคาคนละ 4,300 เหรียญฮ่องกงต่อขาแล้ว ท่าจอดแห่งนี้ยังรองรับเฮลิคอปเตอร์จากผู้ให้บริการรายอื่นซึ่งผ่านเกณฑ์และทำการขออนุญาตล่วงหน้าแล้วโดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม
"อ๋อ ผมลืมไป ข้ามไปฝั่งมาเก๊ามันต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองด้วย ขึ้นที่นี่ก็สะดวกกว่าจริง ๆ ครับ"
หนุ่มละตินทำท่านึกขึ้นได้ แม้ว่าที่ยอดตึกสำนักงานของคริสนั้นจะมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่ แต่มันก็เอาไว้รองรับการใช้งานของเครื่องที่บินไปมาในฮ่องกงเท่านั้น หากเมื่อต้องมีการเดินทางผ่านพรมแดน อาปาของเขาก็ต้องมาขึ้นเครื่องที่ท่าจอดเฮลิคอปเตอร์ของอาคาร Shun Tak ที่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองตั้งอยู่ จริงอยู่ว่าสำหรับนักธุรกิจพันหมื่นล้านทั้งหลายนั้นอาจจะประหยัดเวลาก่อนเดินทางด้วยการให้บริษัทผู้ให้บริการจัดการเดินเรื่องเข้าออกเมืองไว้ล่วงหน้าและขึ้นเครื่องจากยอดตึกของตนได้เลย หากอาปาของเขาซึ่งต้องการแค่ข้ามไปใช้เวลาสุดสัปดาห์ที่มาเก๊านั้นคงไม่ลงทุนทำถึงขนาดนั้น หากเมื่อได้ยินคำพูดของฆาเบียร์ คริสที่ปลายสายก็หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับมา
"เปล่าจ้ะ พวกเราไม่ได้มาขึ้นเฮลิคอปเตอร์หรอก อาปาเปลี่ยนใจแล้ว นั่งเรือไปก็สบายดีเหมือนกัน ใช่ไหมลูก?"
ฆาเบียร์ได้ยินทางปลายสายหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากเสียงหัวเราะคิกคักของเจที่ดังลอดเข้ามาทางลำโพง ฆาเบียร์รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีของเขาคงเป็นคนเปลี่ยนใจคริสให้เลือกเดินทางทางเรือแทนที่จะไปทางเฮลิคอปเตอร์อย่างที่ตั้งใจไว้
"เจบอกอะไรอาปาเหรอครับ?"
ฆาเบียร์ถามพ่อบุญธรรมของเขาซึ่งตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
"โอ้โห เสียงเข้มมาเชียว คุยกันเองแล้วกันนะ"
คริสตอบกลับพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้คนรักของลูกชายที่โบกไม้โบกมือปฏิเสธไม่ยอมรับสาย
"โธ่ อาปาครับ เอ่อ...แหะ ๆ หวัดดีครับคุณ"
ฆาเบียร์อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินน้ำเสียงหวาด ๆ ของคนรัก เขาดัดเสียงเข้มและตอบกลับไป
"เจนยุทธ ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้บอกอาปา"
"ก็...ก็พอคุณออกบ้านไป อาปาก็ถามผมว่าคุณเป็นอะไร ผมก็เลยต้องเล่าให้ฟัง คุณจะให้ผมโกหกเหรอ?"
เจตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฆาเบียร์ใจอ่อนยวบ เขานึกภาพใบหน้าเจื่อนจ๋อยของเจ้าตัวดีของเขาออก
"เฮ้ ๆ ไม่ต้องไปว่าเจเขาหรอกน่า อาปาบังคับให้เจเขาบอกเองแหละ เราเองก็เหลือเกินนะ มีอะไรทำไมไม่พูดไม่บอกกับอาปาตรง ๆ"
ฆาเบียร์พยายามกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินอาปาของเขาออกโรงปกป้องเจนยุทธเต็มที่ เจ้าตัวแสบของเขาคงเปิดสปีคเกอร์โฟนไว้เพื่อให้พ่อบุญธรรมของเขาได้ยินการสนทนาของพวกเขาทั้งคู่
"ผมไม่อยากให้อาปาเป็นกังวลครับ ผมก็วิตกจริตไปเองด้วย อีกอย่างผมเห็นรายนั้นเขายังไม่เคยนั่งนั่งฮ. ก็เลยอยากให้เขาได้ลองนั่งดู"
หนุ่มละตินตอบพ่อบุญธรรมของเขาเป็นภาษากวางตุ้งโดยพยายามเลี่ยงพูดชื่อของเจออกมา แต่คริสก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเขาเท่าไหร่ ฆาเบียร์เกาหัวแกรก ๆ เมื่อได้ยินพ่อบุญธรรมหันไปแปลประโยคที่เขาเพิ่งพูดไปให้เจฟัง เจนยุทธอุทานเบา ๆ และตอบกลับมา
"โอ๊ย คุณ ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมไม่ได้อยากนั่งเท่าไหร่หรอก ฮ.น่ะ ฟังคุณพูดผมก็ชักกลัว วันนี้ยิ่งดูลมแรง ๆ อยู่"
เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ พอฟังฆาเบียร์พูดกรอกหูมาก ๆ เข้า เขาเองก็ชักหวาด ๆ อากาศยานขนาดเล็กพวกนี้ขึ้นมาเหมือนกัน แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ทั้งเขาและคริสตัดสินใจไม่เลือกเดินทางโดยทางเฮลิคอปเตอร์ก็เพราะไม่อยากให้คนที่พวกเขารักสุดใจคนนี้ต้องมาเป็นกังวล
(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)