บทที่ 1 ไอ้คนป่าเถื่อน
นัยน์ตาสีอำพันแฝงไฟแค้นของความเกลียดชังจับจ้องไปยังผืนป่าท่ามกลางความมืดมิดราวกับจะมองให้ทะลุเห็นสิ่งที่ถูกคุมขังไว้ในกระท่อมโกโรโกโส ท่อนแขนแกร่งยกขึ้นขัดกันใต้อกยืนนิ่งใกล้ระเบียงความคิดจมอยู่กับไฟแค้นในใจ
เป็นเพราะมันไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม น้องสาวของเขาถึงได้ถูกคนดูถูกประณามหาว่าเป็นหญิงสำส่อนจนตั้งท้องไม่มีพ่อ ชีวิตของน้องสาว
ผู้เป็นที่รักซึ่งเขาเฝ้าทะนุถนอมประหนึ่งไข่ในหินถูกทำลายย่อยยับเพียงเพราะสิ่งที่มันทำไว้ และอีกหน่อยเด็กน้อยที่กำลังเติบโตในครรภ์ก็คงจะถูก
ตราหน้าว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อ เกิดเป็นปมด้อยขึ้นทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความมักง่ายของมัน
ยิ่งจมลึกลงไปในอดีตความชิงชังต่ออีกคนยิ่งเพิ่มมากขึ้น...มากขึ้น ราวกับลาวาที่ใกล้ปะทุพร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง
“นายหัวครับ” เสียงวิ่งตึงตังขึ้นบันไดดังมาก่อนลูกน้องคนสนิทจะเข้ามาร้องเรียกให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ความแค้นได้สติ “ดูเหมือนว่าเจ้าสายลมกำลังเจ็บท้องคลอดครับ” เมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มหันมาพร้อมรอฟังเขาก็รีบรายงานทันที
“ให้คนไปตามหมอมาหรือยัง” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามกลับพร้อมกับท่อนแขนที่ลดลงเตรียมสืบเท้ามุ่งหน้าไปยังคอกม้าที่เลี้ยงเอาไว้มากกว่าสิบตัว เพื่อจะได้ใช้งานในการเดินทางภายในเกาะแทนที่จะใช้แต่รถกินน้ำมันพวกนั้นให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
“หมอเพลิงกำลังมาครับนายหัว” โอภาสเจ้าของทรงผมหยักศกสีดำสนิทมันเงา ไว้หนวดเครารุงรังผิวสีน้ำตาลเข้มขับให้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นหล่อคมบาดตาแม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะอยู่ในชุดคนงานตัวเก่าสีซีดก็ตาม
“มันเจ็บท้องมานานหรือยัง” ขณะมุ่งหน้าก็ส่งคำถามให้ลูกน้องตอบกลับมาเป็นระยะตลอดทางไปคอกม้าที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เมื่อมาถึงก็เห็นชายหนุ่มท่าทีสุภาพหากแต่กระฉับกระเฉงทุกการเคลื่อนไหวกำลังจับตามองเจ้าสายลมที่กำลังนอนตะกุยพื้นด้วยสีหน้ากังวล
เจ้าสายลมเป็นม้าพันธุ์ดีที่แทบจะบอกได้ว่าดีที่สุดในคอกเลยก็ว่าได้ ตัวมันมีสีดำปรอทเงาวับตลอดทั้งตัว เป็นม้าแม่พันธุ์ที่ชายหนุ่มชื่นชอบเป็นพิเศษกับฝีเท้าเร็วราวกับสายลมเช่นเดียวกับชื่อที่ตั้งให้ หากแต่เสียอยู่อย่างเดียวเจ้าสายลมมันคลอดลูกยาก เมื่อปีที่แล้วมันคลอดลูกตัวแรกเขาเองก็ปล่อยให้มันคลอดตามธรรมชาติ โดยเฝ้าดูอยู่กับคนงานไม่ห่าง แต่แล้วก็ต้องรีบตามหมอเพลิง เมื่อเห็นว่าลูกม้าที่กำลังโผล่ออกมาแทนที่จะเอาหัวออกมาก่อนเช่นลูกม้าตัวอื่นๆ มันกลับเอาขาหลังออกมาก่อนอย่างผิดธรรมชาติ กว่าหมอเพลิงจะมาถึงลูกม้าก็ตายเพราะขาดอากาศหายใจเสียแล้ว ในครั้งนี้เขาจึงสั่งให้คนงานรีบตามหมอเพลิงทันทีหากเห็นว่าเจ้าสายลมทำท่าจะคลอด เพราะหากซ้ำรอยเดิมคงไม่เป็นผลดีแน่
“เป็นยังไงบ้างครับหมอเพลิง” เขารีบเอ่ยถาม
“ดูเหมือนใกล้จะออกมาแล้วครับคุณนเรศ” หมอเพลิงหันกลับมาตอบเจ้าของเกาะเจ้าของชื่อนเรศ หรือชื่อเต็มๆ คือ สาคเรศ ทวีภัทรบวร ผู้มีร่างแข็งแกร่งกำยำผิวกายสีแทน
“ออกมาแล้ว” เสียงร้องของคนงานหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นหลังจากจับจ้องรอดูมาได้สักระยะ เวลานั้นทุกคนต่างรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าลูกของเจ้าสายลมตัวนี้จะเอาส่วนไหนออกมาก่อน
“รีบออกมาเร็วเข้าเจ้าตัวน้อย” หมอเพลิงกล่าวลุ้นจนตัวโก่ง
พลันรอยยิ้มแรกของวันก็เผยออกมาลดความกระด้างบนใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของนเรศให้ดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งขึ้น เมื่อลูกของเจ้าสายลมที่พวกเขารอคอยกำลังโผล่ออกมาด้วยส่วนหัวอย่างเช่นลูกม้าที่คลอดโดยทั่วไป เสียงร้องด้วยความดีใจผสมปนเปกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังจากคนงานและสัตวแพทย์หนุ่ม
การคลอดครั้งที่สองของเจ้าสายลมผ่านไปด้วยดี พร้อมกับเจ้าลูกม้าสีดำปรอทเช่นเดียวกับตัวแม่ม้ากำลังค่อยๆ หยันกายด้วยขาสั่นระริกลุกขึ้นยืนภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง ลูกม้าแรกเกิดลุกขึ้นเดินได้และจะวิ่งได้ในที่สุดภายในหนึ่งวัน ไม่เหมือนกับทารกแรกเกิดที่ต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการตั้งลำตัว และอีกกว่าหนึ่งปีในการหัดย่างก้าวกว่าจะสามารถก้าวเดินได้เองในที่สุด
“แม่มันชื่อสายลมแล้วงั้นให้ให้มันชื่อพายุดำก็แล้วกัน” นเรศเอ่ยชื่อทีคิดได้สายตาพลางจับจ้องมองเจ้าลูกม้าสีดำปรอทกำลังย่างเดินไปกินนมแม่ม้าหลังจากวิ่งจนเหนื่อยหอบด้วยความตื่นเต้นที่ได้ลืมตามาดูโลก
“นายหัวครับ ป้าสุดาให้มาถามว่าจะให้คนที่นายหัวมาด้วยเมื่อช่วงเย็นกินข้าวตอนไหนครับ ป้าสุดาจะได้รีบทำ” ลูกน้องค่อนข้างผอมกะหร่องวัยกลางคนเดินเข้ามาถามชายหนุ่ม
“ไอ้ภาส” เมื่อได้ยินเสียงเข้มๆ ของเจ้านายเรียกชื่อโอภาสก็รีบละสายตาจากเจ้าพายุดำหันมาสบมองเจ้านายเพื่อรอฟังคำสั่งทันที “มึงไปบอกป้าสุดาว่าไม่ต้องทำ คืนนี้กูจะไม่ให้มันแดกข้าว” จบประโยคแม้คนที่ได้ฟังจะอดแปลกใจไม่ได้แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามได้แต่ส่งเสียงรับคำสั่งทันที
หลังจากนั้นนเรศก็ชวนหมอเพลิงไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านพักของชายหนุ่ม ก่อนหมอเพลิงจะขอกลับหลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อยในเวลาต่อมา เมื่อทั้งบ้านกลับมาเงียบสงบหลงเหลือเพียงเจ้าของบ้านอย่างนเรศเพียงคนเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มจึงสืบเท้ามุ่งหน้าพร้อมกับกระบอกไฟฉายเข้าไปในป่าอีกด้าน
ร่างกายกำยำหยุดชะงักอยู่หน้าประตูกระท่อมหลังเล็กที่พร้อมจะพังทุกเมื่อ เขายืนนิ่งรอฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านในก่อนจะใช้ลูกกุญแจที่
ล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาเปิดผ่างออก ร่างเล็กกระจ้อยของเด็กหนุ่มผิวกายที่เคยขาวเนียนสะอาดบัดนี้เต็มไปด้วยคราบดินสกปรกนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาซุกอยู่กับเข่าเงยขึ้นมา ก่อนดวงตาโศกจะค่อยๆ เบิกกว้างแสดงออกถึงความหวาดกลัวและความสับสนตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
“ไม่ต้องทำท่าดีใจที่เห็นกูขนาดนั้น” คล้ายความหวังที่คิดว่าเขาจะมาปลดปล่อยเพื่อพูดคุยกันอย่างผู้คนที่มีอารยธรรมดับวูบลงกับประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไร้ความเห็นใจใดๆ “กูแค่จะมาดูว่ามึงตายหรือยัง ถ้ามึงตายง่ายๆ แบบนั้นมันคงไม่สนุก” ชายหนุ่มส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะพ่นคำเหน็บแหนมออกมา
“คุณปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเราไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ คุณเข้าใจผิด” ประโยคเดิมที่เคยกล่าวไปแล้วถูกกล่าวอีกครั้งพร้อมกับฝ่ามือเล็กที่ยกขึ้นบังแสงแสบตาจากกระบอกไฟฉายที่สาดใส่ใบหน้าตนอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มเฝ้าบอกตัวเองเขาต้องอดทน เขาต้องใจเย็น ค่อยๆ เจรจากับคนเลือดร้อนตรงหน้า อย่าทำให้เขาโกรธเพราะการเจรจาใดๆ กับชายหนุ่มอาจจะไม่เกิดขึ้นทันที
“หึๆ ใช่...กูไม่เคยรู้จักมึง แต่มึงรู้จักน้องสาวกูแน่ เพราะความเลวระยำตำบอนของมึงที่ไข่แล้วทิ้งไว้ในท้องน้องสาวกูยังไงวะ” เขาส่งเสียงรอดไรฟันพร้อมกับบดกรามแน่นจนได้ยินเสียงให้อีกคนได้หวาดหวั่น ฝ่ามือหนาข้างที่ว่างยื่นเข้ากำลำคอเรียวออกแรงกดเต็มแรงดวงตาคุโชนเต็มไปด้วยเพลิงแค้น
อยากจะฆ่า...อยากจะฆ่ามันให้ตายด้วยสองมือของเขา ลำคอเล็กที่เขาอยากจะบีบให้แหลกละเอียดคามือเสียตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
“อั๊ก ปะ..ปล่อย” เด็กหนุ่มเค้นเสียงออกมาด้วยความยากลำบากผ่านลำคอที่กำลังถูกฝ่ามือมัจจุราชบีบแน่น ลมหายใจที่กำลังถูกจำกัดใกล้หมดลงเต็มที ใบหน้าของผู้คนอันเป็นที่รักค่อยๆ ลอยเข้ามา แม่ พ่อ เขาคงจะตายอยู่กลางเกาะของไอ้คนป่าเถื่อนคนนี้แล้ว ไม่อาจจะได้เจอะเจอพวกท่านอีก...
“มึงยังตายตอนนี้ไม่ได้” จบประโยคใบหน้าบิดเบี้ยวแดงก่ำเพราะเริ่มขาดอากาศก็ถูกผลักออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มจนหงายหลังล้มลงด้วยแรงอันมหาศาล นัยน์ตาสีอำพันจ้องมองอีกคนที่กำลังโก่งคอไอโคลกๆ ทั้งน้ำตาด้วยสายตาเย้ยยัน “ต่อไปมึงต้องอยู่ที่นี่ อย่าได้คิดหนีเพราะถ้ากูจับกลับมาได้มึงเละแน่” ขมขู่จบก็เดินออกไปปิดประตูดังปังล็อกกุญแจอย่างแน่นหนาเช่นเคย
ดวงโตโศกได้แต่จ้องมองตามร่างสูงที่หายลับไปพร้อมกับความมืดมิดเข้ามาครอบงำ ร่างกายที่สะสมความเมื่อยล้ามานานไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ได้แต่ตกลงสู่หลุมหุบเหวที่มืดมิดไร้หนทางเข้าออก เปลือกตาประดับแพนขนตาหนาค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นไหลเป็นทางไปตามพวงแก้ม ก่อนจะหยดลงจากปลายคางลงสู่พื้นดินที่นั่งทับอยู่
อยากกลับบ้าน...อยากจะหนีหายไป หากทำได้ตนจะไม่ขอพบเจอคนผู้นี้อีก ทั้งที่เด็กหนุ่มคนที่ชื่อว่าปักษาธร ศศิพัฒนาเมธี หรือ เจ้าจันทร์ คนนี้ไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดต่อเขา ชายผู้นั้นกลับใส่ร้ายปาดป้ายความผิดให้เจ้าจันทร์ ทำน้องสาวเขาท้องเหรอ เฮอะ เป็นไปไม่ได้ในเมื่อตนไม่เคยได้สัมผัสสิ่งคาวโลกีย์พวกนั้นด้วยซ้ำ แม้จะอธิบายไปแล้วแต่ชายผู้นั้นกลับไม่เชื่อซ้ำยิ่งทำให้เจ้าจันทร์เจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
เขาป่าเถื่อนสิ้นดี!
“ฮึก...ฮือๆ” เข่าทั้งสองข้างถูกตะกองกอดเอาไว้จนแน่นพร้อมกับใบหน้าเล็กก้มลงซุกเข่าปลดล่อยเสียงร้องไห้โฮๆ ในความเงียบสงบยามค่ำคืนในผืนป่าท่ามกลางความมืดมิดที่น่าหวาดกลัว ร่างกายเข็ดขัดยอกเจ็บระบมไปทั่ว ความเมื่อยล้าทั้งกายใจถาโถมเข้าใส่
ซ่าส์!!!
ความเย็นเปียกชื้นถูกสาดโครมเข้าใส่กายเล็กที่นอนคุดคู้อยู่ในที่เดิมกับเมื่อคืน พร้อมกับถังน้ำทำจากแสตนเลสมีหูหิ้วถูกโยนใส่แทบจะคลุมศีรษะเล็ก เจ้าจันทร์ที่ถูกปลุกด้วยความป่าเถื่อนลืมตาโพลงหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เหลือบสายตาขึ้นมองเจ้าคนไร้มารยาทพร้อมหยันกายที่แทบไร้เรี่ยวแรงขึ้นประจันหน้ากับอีกฝ่าย ส่งสายตาว่าตอนนี้ตนกำลังกรุนโกรธกับการกระทำของเขา
พรึบ!
มือหนายื่นออกมากระชากคอเสื้อดึงเข้าประชิดใบหน้าห่างกันเพียงแค่ลมหายใจกั้น ดวงตาของนเรศวาวโรจน์กับดวงตาโศกที่คล้ายจะท้าทายเขา
“ถึงปากมึงไม่พูดกูก็รู้ว่ามึงกำลังด่ากูในใจ” เสียงทุ้มรอดไรฟันพลางส่งสายตาสำรวจ เด็กหนุ่มในชุดทำงานเมื่อวานเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงสแล็คสีดำสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีเดียวกับกางเกง วันนี้ดูมอมแมมสกปรกกว่าเมื่อวาน ทั้งยังเปียกชุ่มจนเสื้อสีขาวนั้นมองทะลุเห็นร่างกายบางขาวเนียนมีเสื้อกล้ามซ้อนทับข้างในเปิดเผยออกมา
“คุณอ่านใจคนได้หรอครับ” แม้จะพูดอย่างสุภาพหากแต่กลับเป็นคำถามที่ยียวนจนอีกฝ่ายง้างหมัดขึ้นซัดเปรี้ยงบนแก้มซีกซ้ายของเจ้าจันทร์เต็มแรง “....” ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดใดๆ ดังเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากสีซีด มีเพียงแค่การกระทำยกนิ้วโป้งขึ้นปาดเลือดออกจากมุมปากเท่านั้น
“ยั่วอารมณ์โมโหกูดีนัก งั้นก็ไม่ต้องแดกข้าวอีกสักมื้อจะเป็นไรไป ตามกูมานี่...” จบประโยคก็คว้าต้นแขนของเจ้าจันทร์มาบีบแน่น แล้วลากตามมาติดๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตามาด้วยความทุลักทุเลแค่ไหน
“จะพาผมไปไหน” เจ้าจันทร์ร้องลั่นพร้อมกับพยายามสะบัดกายให้หลุดจากการควบคุม
“มึงคิดว่ากูจะพามึงมาขังไว้เล่นๆ แค่นั้นหรือยังไง” พูดจบก็จับเด็กหนุ่มเหวี่ยงลงไปกองบนพื้น
เจ้าจันทร์ใช้สายตาสำรวจรอบกายอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ถูกลาก
ถูลู่ถูกังออกมาจากป่าอีกฝั่ง ก็มาโผล่ที่ทุ่งหญ้าความกว้างพอประมาณที่จะทำให้มองเห็นม้าหลายสิบตัว มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เดินเล็มหญ้าอยู่ ก่อนนเรศจะจับเจ้าจันทร์เหวี่ยงลงไปอยู่หน้าคอกม้าจนแทบเอาใบหน้าถลาเข้าไปทักทายกองขี้ม้าสดใหม่ด้วยซ้ำ
“ไอ้ภาสเอาพลั่วมาให้มัน” นเรศตะโกนสั่งเสียงดังลั่น ยกฝ่าเท้าเตะท้องของคนที่กำลังหยันกายขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ไปทีหนึ่ง ส่งผลให้เจ้าจันทร์ลอยกระเด็ดหงายขึ้นด้วยอาการจุกเสียดไปทั่วหน้าท้อง ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวพร้อมกับเสียงครวญครางอย่างทรมาน ดวงตาโศกมีน้ำใสเอ่อคลอก่อนหยดลงอย่างไม่อาจอดทนได้
ไอ้คนป่าเถื่อน! เจ้าจันทร์ได้แต่สบถด่าอีกฝ่ายในใจขณะคดคู้กายใช้ฝ่ามือกุมท้องด้วยความจุก
“เอานี่ไป” พลั่วเหล็กถูกจับยัดใส่มือเจ้าจันทร์อย่างรวดเร็ว โอภาสเตรียมที่จะช่วยพยุงเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องรีบถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็วกับสายตาจ้องเขม็งคุกรุ่นจากเจ้านาย
“นี่คืองานของมึง จัดการตักขี้ม้าทุกคอกออกไปเทรวมกันทางโน้นให้หมด ถ้าหากมึงยังอยากจะแดกข้าวอยู่ก็รีบทำให้เสร็จไวๆ ซะ ไอ้ภาสมึงไม่ต้องไปที่ไหนคุมงานมันอยู่นี่อย่าให้มันอู้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว” ส่งพลั่วให้เจ้าจันทร์เสร็จนเรศก็หันไปสั่งลูกน้องของตนต่อ เมื่อได้ยินเสียงรับคำจากลูกน้องแล้วก็ก้าวฉับๆ จากไป
เมื่อเจ้านายไปแล้วแต่คนที่มีพลั่วในมือก็ยังไม่ยอมขยับ โอภาสเริ่มหนักใจไม่รู้จะทำเช่นไรดีจึงได้เอ่ยเตือนอีกฝ่ายเบาๆ “ผมว่าคุณรีบทำงานเร็วๆ เข้าเถอะครับ”
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ทำล่ะ จะทำไม?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมกับท่าทางยักไหล่ไม่สนใจสิ่งที่โอภาสเพิ่งกล่าวเตือน
“คุณคงเห็นอารมณ์นายหัว...คุณนเรศมาแล้ว ดังนั้นผมแนะนำให้คุณทำตามนายหัวบอกดีๆ เถอะครับ” แม้อีกฝ่ายจะอายุอานามน้อยกว่าแต่โอภาสก็ยังกล่าวด้วยถ้อยทีสุภาพให้เกียรติอีกฝ่าย
อ้อ...ที่แท้ชื่อนเรศ เจ้าจันทร์ย่นหน้าฉับพลันสองขาย่างก้าวเข้าไปในคอกม้าดังตึงๆ ถ้าหากในตอนนี้ไม่มีใครกำลังยืนมองอยู่เจ้าตัวคงอยากจะบดปลายเท้าขยี้พื้นให้แตกละเอียดคาฝ่าเท้าเสียเดี๋ยวนั้น พอเตรียมตัวจะลงมือตักขี้ม้ารถเข็นขนาดเล็กก็ถูกลากมาจอดข้างๆ คอกม้าพร้อมกับคำพูดของคนงานหนวดเฟิ้ม
“ตักใส่ในนี้แล้วเข็นไปทิ้งที่ฝั่งนู้นนะครับ”
ฟันขาวเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบในปากขบกันแน่น ดวงตาโศกถมึงทึงก่อนที่จะลงมือตักขี้ม้าใส่รถเข็น พอตักใส่จนเต็มก็ลากออกไปทิ้งทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าวนเวียนไปมา จากเวลาเช้าตรู่ที่ถูกปลุกอย่าง
ป่าเถื่อนก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามสาย คอกแรกยังไม่เสร็จแต่เจ้าจันทร์กลับยืนกายสั่นระริกรู้สึกอ่อนแรง ตนยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ดตั้งแต่เมื่อวานพลั่วที่อยู่ในมือจึงสั่นระริกตาม จะดีหน่อยก็ตรงที่คนงานหนวดเฟิ้มผิวคล้ำที่คอยเฝ้าดูอยู่ยังมีน้ำใจส่งน้ำให้เจ้าจันทร์ดื่มบ้าง
“พี่ชาย” ตัดสินใจเรียกอีกฝ่ายที่ดูอายุมากกว่า เมื่อใบหน้าประดับหนวดเฟิ้มนั้นหันกลับมาสนใจก็ไม่รั้งรีรอที่จะเอ่ยถาม “ผมถามจริงนะ เจ้านายคุณ...ผมไปทำอะไรให้เขาถึงได้จับผมมาแบบนี้” ดวงตาโศกจ้องเขม็งจริงจังรอคำตอบจนคนฟังได้แต่อึกอักว่าจะตอบดีหรือไม่ ในเมื่อทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านายที่เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว “อย่างน้อยก็ขอให้ผมรู้ความผิดตัวเอง” น้ำเสียงนั้นเบาลงเมื่อเห็นท่าทีของคนงานหนุ่ม
“คุณทำน้องสาวนายหัวท้องครับ” น้ำเสียงเข้มๆ ตอบกลับมา
“หะ ผมเนี้ยนะ” นิ้วเรียวชี้ตวัดกลับเข้าหาตัวเองด้วยดวงตาเบิกโพลง “ผมขอบอกเลยว่าเจ้านายคุณเข้าใจผิดแบบผิดมากๆ ด้วย ผมไม่เคยทำผู้หญิงท้อง” เจ้าจันทร์แทบตะโกนปฏิเสธ
“ไม่ต้องแก้ตัวหรอกครับ ผมว่าคุณน่าจะขอพูดคุยกับนายหัวดีๆ แล้วรับผิดชอบน้องสาวนายหัวน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ”
“บ้าไปแล้ว ผมไม่ได้ทำเธอท้อง และอีกอย่างน้องสาวเจ้านายคุณเป็นใครผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ” ยิ่งปฏิเสธก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ เมื่อคนงานหนุ่มยึดติดการตัดสินใจของตัวเองไปแล้วไม่ผิดกับคนเป็นเจ้านายสักนิด
“คุณเลิกเสแสร้งสักทีเถอะครับ ผมเชื่อว่าคุณรู้จักคุณชลแน่นอน” โอภาสตอบอย่างมั่นใจในเมื่อเขาเคยเห็นหลักฐานบางอย่างที่นายหัวมี
“คุณชล? คุณชลที่ไหนไม่รู้จัก” อดที่จะสบถอย่างหัวเสียไม่ได้จนคนงานหนุ่มหรี่นัยน์ตามองกลับมาด้วยความแปลกใจ