“ฝน?”
หลังจากที่เดินออกมาจากตัวร้านได้สักพัก หยดน้ำเม็ดใหญ่ก็เริ่มตกลงมากระทบไหล่ของแดนดิน ร่างสูงขมวดคิ้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มอย่างไม่สบายใจ
“พี่ว่าเรารีบไปกันดีกว่า ก่อนที่....”
คำพูดของนาวินทร์ขาดหายไปเมื่อเม็ดฝนที่เพิ่งลงเม็ดเปาะแปะกลายเป็นฝนห่าใหญ่ภายในเวลาไม่ถึงนาที ทั้งสองรีบวิ่งกลับไปยังประตูรั้วด้านหลังของหอพัก แดนดินเปิดประตูหลังที่ผู้อาศัยใช้ออกมาทิ้งขยะแล้วกวักมือเรียกให้คนที่ตามมารีบเข้าไปในตัวอาคาร
“เปียกโชกเลย” นาวินทร์ถอนหายใจ เสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ลู่ลงมาปิดดวงตาของตัวเองให้พ้นทาง “ไหนๆก็เปียกแล้ว
งั้นพี่ฝ่าฝนไปเอารถเลยแล้วกัน”
“ผมว่าอย่าเพิ่งกลับกลับเลยดีกว่านะครับ ฝนตกหนักแบบนี้มั้นอันตราย”แดนดินเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “ยังไงก็มาพักที่ห้องผมก่อนเถอะครับ”
“อะไรกัน ชวนพี่เข้าห้องอีกแล้วเหรอ”
คนอายุมากกว่าล้อ แดนดินเพียงแต่ยิ้ม เดินนำอีกฝ่ายไปที่ลิฟต์เพื่อกลับขึ้นไปบนห้องของตัวเองก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะป่วยเสียก่อน
“ขอบใจนะที่ให้ยืมชุด”
นาวินทร์ที่ก้มหน้าเช็ดศีรษะของตัวเองด้วยผ้าขนหนูเอ่ยขึ้น แดนดินที่แห้งสนิทอย่างง่ายดายจากการมีผมสั้นเกรียนส่งเสียงตอบรับทั้งที่ยังก้มๆเงยๆหาเสื้อให้อีกฝ่ายใส่ ถึงแม้ว่านาวินทร์จะบอกว่าขอแค่กางเกงพอก็ตาม
“พี่วิน ฝนไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆเลยครับ”
เจ้าของห้องเอ่ยอย่างเป็นกังวล ดวงตาคมเหลือบมองไปนอกหน้าต่างที่ฝนตกเป็นพายุเสียจนมองไม่เห็นอะไร
“นั่นสิ แบบนี้ทั้งคืนจะหยุดรึเปล่าก็ไม่รู้”นาวินทร์พึมพำเซ็งๆ
“ถ้าไม่รังเกียจ...จะนอนที่นี่ก็ได้นะครับ”
แดนดินเสนอขึ้นเสียงเบา คนฟังเลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของคนขี้อายขึ้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายเปิดปาก
แต่ก็นะ...นี่ไม่ใช่เหรอที่เขาต้องการ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่เกรงใจนะครับ”
ไม่รู้ทำไม ขณะที่พูด นาวินทร์ถึงได้รู้สึกหวิวๆที่หัวใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“จะบอกได้รู้ยังว่าพาผมมาที่นี่ทำไม”
มธุวันถามอย่างเหลืออด แต่คนที่เดินนำเขาไปตามทางเดินของโรงพยาบาลยังคงไม่ยอมหันมาตอบคำถาม ร่างสูงที่ถือกระเช้าเยี่ยมไข้ขนาดใหญ่ก้าวมาหยุดอย่างกระทันหันที่หน้าห้องพักคนไข้ห้องหนึ่ง ทำเอาคนที่ก้าวฉับๆตามมาเบรกเอี๊ยดจนแทบจะล้มหัวทิ่มหัวตำ
เมฆายกมือขึ้นเคาะประตูห้องสองสามครั้ง มธุวันขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าคนที่อยู่อีกฝ่ายของประตูจะช่วยให้เขาง้อธีรเชษฐ์ได้อย่างไร
“ครับ?”
มีนาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเปิดประตูออกมา ร่างเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นคนทั้งสอง เมฆาใช้จังหวะที่เด็กหนุ่มยังคงอึ้งค้างดันประตูให้เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นห้องพักคนไข้วีไอพีขนาดใหญ่พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ
ครัน
“มีน ใครมาเหรอลูก?”
มธุวันหันไปตามเสียง ร่างของหญิงสาวบนเตียงคนไข้ซูบผอมราวกับคนขาดสารอาหารมานาน มีสายระโยงระยางติดกับร่างกาย ศีรษะที่ไร้ซึ่งเส้นผมมีหมวกไหมพรมสีแดงเข้มสวมอยู่
“ผมทำงานอยู่บริษัทที่น้องมีน’ทำงานพิเศษ’อยู่น่ะครับ” เมฆาเป็นฝ่ายอธิบายแทนเด็กหนุ่ม “พวกผมจะมาคุยเรื่องงานกับ
น้องมีน เลยถือโอกาสมาเยี่ยมคุณแม่ด้วย”
“ตายจริง ไม่ต้องลำบากก็ได้นะจ๊ะ ตามสบายเลย” หญิงสาวยิ้ม
มธุวันสังเกตว่าที่โซฟามุมห้อง มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาร้อยมาลัยอย่างเชื่องช้า ไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หากดูจากระยะห่างระหว่างใบหน้าอันเหี่ยวย่นและเข็มร้อยมาลัย มธุวันคิดว่าหูตาของหญิงชราคงฝ้าฟางเสียจนมองไม่เห็นแล้วเสียมากกว่า
“น้องมีน ออกมาคุยกันหน่อยสิครับ”
น้ำเสียงและแววตาของเมฆาไม่ได้โน้มน้าวจิตใจคนฟังเลยแม้แต่น้อย แต่ที่มีนายอมตามออกมาจากห้องพักคนไข้น่าจะเป็นเพราะหวาดกลัวดวงตาเย็นเยียบสีควันบุหรี่มากกว่า
“เอ่อ...ระ...เรื่องเงินผมตั้งใจจะคืนให้นะครับ แต่ตอนนี้คุณเชษฐ์ยึดกระเป๋าเงินผมไป...”
มีนาก้มหน้างุดอย่างสำนึกผิด ร่างเล็กสั่นเทาเป็นลูกนกทั้งที่พวกเขาทั้งสองคนยังไม่ได้ทวงถาม เมฆากับมธุวันมองหน้ากัน ก่อนที่ร่างโปร่งซึ่งเคยลองเล่นบทพี่ชายใจดีแล้วไม่ประสบความสำเร็จจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“พวกผมไม่ได้มาเรื่องนั้น”
“เอ๊ะ?”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง มธุวันชำเลืองมองคนข้างๆด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยพูดกับร่างเล็กตรงหน้าให้เขา แต่เห็นได้ชัดว่าเมฆากำลังสนุกกับการรอฟังคำพูดต่อไปของเขาเกินกว่าจะยื่นมือเข้ามาช่วย
“ผม…อยากให้คุณช่วยพูดกับท่านประธาน”
“ผม?ไม่ไหวหรอกครับ”
มีนาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายให้เขาพูดอะไรกับธีรเชษฐ์ แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการโน้มน้าวใจชายหนุ่มเท่าไหร่นัก
“หมอนี่แค่อยากให้เธอช่วยง้อพ่อฉันให้เขา” เมฆาเอ่ยขึ้นในที่สุด มธุวันชำเลืองมองคนข้างๆอย่างไม่สบอารมณ์
“‘ให้พวกเรา’ ท่านประธานก็โกรธคุณเหมือนกันนั่นแหละ”
“ใช่ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องสนใจว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดยังไงกับฉันอยู่แล้ว” เมฆาไหวไหล่
คำพูดนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับคนฟังเป็นอย่างมาก มธุวันรู้ดีว่าคนที่เป็นกลางในเรื่องของธีรเชษฐ์มากที่สุดคือลูกชายคนโต ทินกรนั้นดูจะรักบิดามากที่สุด ส่วนธารธาราลูกชายคนรองนั้นไม่อยากแม้แต่จะใช้อากาศหายใจร่วมกับบิดา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยได้ยินเมฆาพูดตรงๆว่าไม่สนใจความรู้สึกของพ่อตัวเองแบบนี้
“เอ่อ...ผม...ผมจะลองพูดดูนะครับ ตะ...แต่คุณเชษฐ์เขาไม่ฟังอะไรผมหรอกครับ...”
มีนาตะกุกตะกักตอบเสียงเบา ท่าทีของเด็กหนุ่มที่มักจะก้มหน้างุดและดูแตกตื่นอยู่เสมออีกทั้งภาพของมารดาและคุณยายที่แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในห้องพักคนไข้นั้นทำให้มธุวันอดนึกสงสารอีกฝ่ายไม่ได้
“ผมขอคุยกับคุณมีนาเป็นการส่วนตัวหน่อยได้มั้ยครับ?”
เลขาหนุ่มหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เมฆาเลิกคิ้ว ส่งสายตาเป็นเชิงอนุญาต แต่กลับไม่ขยับไปไหน จนดวงตาสีเทาฟ้าต้องหรี่ลงอย่างเริ่มหมดความอดทน อีกฝ่ายถึงยอมเดินไปรอที่ลิฟต์พร้อมรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
“มะ…มีอะไรเหรอครับ?”
มีนาดูหวาดกลัวขึ้นมาทันที่เมื่อเมฆาพ้นระยะการได้ยิน มธุวันคิดว่าร่างเล็กคงจะกลัวว่าเขาจะผูกใจเจ็บเรื่องที่ถูกอีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ในการพบกันครั้งก่อน
“ผมอยากขอโทษเรื่องครั้งที่แล้ว” มธุวันถอนหายใจ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเบิกกว่างอย่างประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน“ผมไม่่ควรตัดสินคุณจากสิ่งที่ผมคิด”
“...ไม่เป็นไรหรอกครับ” เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่คิดมากเรื่องนั้น “ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ขึ้นเสียงใส่คุณ”
คำขอโทษนั้นทำให้มธุวันยิ่งรู้สึกเอ็นดูร่างเล็ก เมื่อไม่มีเรื่องอายุของอีกฝ่ายเข้ามากวนใจ เขาก็รู้สึกดีใจที่ธีรเชษฐ์ดูจะให้
ความสำคัญกับเด็กคนนี้พอสมควร
เขาได้แต่หวังว่าคนเบื่อง่ายอย่างเจ้านายของเขาจะไม่ทำให้มีนาต้องเจ็บปวดอย่างที่เขาเคยเห็นคนมากมายต้องประสบพบเจอ
“ทำตัวน่ารักก็เป็นนี่”
เสียงทุ้มเของเจ้านายของเขาอ่ยขึ้นหนึ่งวันหลังจากบทสนทนาของเขากับมีนา มธุวันเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่ตัวเองกำลังตรวจสอบอยู่ ร่างโปร่งส่งเสียงเบาๆราวกับลูกแมวถูกอุ้มโดยไม่เต็มใจเมื่อถูกมือให้วางปุลงมาบนศีรษะแล้วขยี้เบาๆ
“ชงกาแฟมาให้ฉันด้วย”
ธีรเชษฐ์ขยับยิ้มบางให้กับเลขาที่ตนเอ็นดู มธุวันตวัดสายตาไม่พอใจมองอีกฝ่ายพร้อมกับลูบเส้นผมที่ชี้โด่ชี้เด่ให้เข้าที่เข้าทาง แต่ท่านประธานบริษัทรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้มีชนักติดหลังอยู่เขาคงโดนจับพลิกแขนดันกระแทกประตูไปแล้ว
“ครับ”
และแล้ว วันคืนที่สงบสุขก็กลับมาสู่บริษัททรัพย์ดำรงอีกครั้ง
----------
พี่หมอกเราไม่ต้องเปลืองแรงง้อเองแล้ว มีนุ้งมีนช่วยล้าว หุหุ