บทส่งท้าย
เมื่อพี่เอื้อ...รักน้องปูน ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่...เช้ากว่าทุกวัน และเช้ากว่าคนที่ตื่นเช้าเป็นประจำอย่างปูนด้วย สารภาพตามตรงว่าจริงๆ ผมนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรอก แต่มันดีใจจนหลับไม่ลงต่างหาก
คำว่ารักจากปูน มันทำให้ผมเหมือล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ไม่ปาน
แต่ก่อนอื่น ผมมีเรื่องสารภาพผิดกันทุกคนก่อนครับ ผมได้ทำเรื่องแย่ลงไปอย่างไม่น่าให้อภัย นั่นคือทำให้น้องปูนของทุกคนร้องไห้และเสียใจมาหลายวัน ผมขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ยินคำว่ารักจากคนปากแข็งเสียที
ครับ...เรื่องทั้งหมดคือเรื่องที่ผมคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
มันเริ่มจากวันที่เรามีปาร์ตี้บ้านไอ้เดียวนั่นแหละ ตอนที่ผมไปส่งฟิ้งที่หอ
“ตกลงมึงกับปูนนี่เป็นยังไงกันแน่วะ”
“...ก็กำลังจีบ”
“ยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอ” นั่นสิ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเมื่อไหร่คนดีของผมจะใจอ่อนเสียที ใจดีกับทุกคนแต่ใจร้ายกับผมอยู่แค่คนเดียว “หรือว่าจริงๆ แล้วน้องอาจจะไม่ได้คิดกับมึงเหมือนที่มึงคิดกับน้องวะ”
ผมเหลือบตามองฟิ้ง เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แน่นอน ถ้าผมกับปูนไม่ได้คิดตรงกัน ไม่มีทางที่ปูนจะยอมผมมากมายขนาดนี้ อย่างน้อยๆ ตอนนี้ปูนก็น่าจะเริ่มชอบผมบ้างล่ะ
“กูไม่อยากให้มึงเสียเวลานะเอื้อ มึงควรจะเผื่อใจไว้บ้าง ถ้ามันไม่ใช่ขึ้นมา…”
“ขอบใจนะฟิ้ง แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูว่ากูจัดการได้” ปากเก่งไปงั้นแหละ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วควรจะจัดการอย่างไรกับเด็กดื้อจอมปากแข็งนั่นเสียที
พอไปส่งฟิ้งถึงหอผมก็รีบกลับมาหาปูนที่บ้านไอ้เดียว ปรากฏว่าเด็กดื้อหายไปแล้ว ไปสอบถามเจ้าของบ้านก็ได้ความว่ากลับไปกับเพื่อนรักอย่างโจมเรียบร้อย และถ้าให้ผมเดา...คืนนี้ปูนคงไปนอนค้างกับโจมแน่นอน
“มึงมีปัญหากันเหรอวะ”
“กูไม่มีปัญหาอะไรกับปูนหรอก แต่ดูเหมือนปูนจะมีปัญหากับกู” ผมตอบไอ้เดียวไป ที่จริงแล้วผมอยากจะไปหาปูนเดี๋ยวนี้เลยแต่เดียวมันรั้งให้อยู่ก่อน ตอนนี้เราสองคนแยกออกมาคุยกันต่างหาก ส่วนคนที่เหลือกำลังร้องรำทำเพลงกันไปด้วยความสุขสันต์ (ไม่เกรงใจคนเครียดบ้างเลย)
“ปัญหา?”
“เออ เหมือนปูนมีอะไรในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ปกติก็ปากแข็งจะแย่อยู่แล้ว มึงเห็นเหมือนว่าปูนไม่ได้คิดอะไร แต่จริงๆ แล้วเก็บทุกเรื่องมาคิด” ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าปูนเป็นยังไง คนที่ใส่ใจคนอื่นแบบปูนน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นคนไม่สนใจอะไร เพียงแต่จะพูดหรือเปล่าแค่นั้นเอง
“อย่าว่ากูอคติเลยนะเว้ย แต่อาจจะเป็นเพราะฟิ้งก็ได้” ไอ้เดียวส่งแก้วเครื่องดื่มให้ผมเป็นแก้วที่สองแล้ว นี่มึงกะมอมกูถูกมั้ย
“...” ผมไม่ตอบ ในใจก็คิดว่ามันคงเป็นเพราะฟิ้งนั่นแหละ แต่ลึกๆ แล้วไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยจงใจข้ามประเด็นนี้ไป “วันนี้ฟิ้งถามกูว่ากูกับปูนเป็นอะไรกัน แม่งตลกฉิบหายที่กูเกือบตอบฟิ้งไม่ได้ เพราะตอนนี้กูไม่รู้ว่ากูกับปูนเป็นอะไรกันแน่”
“มึงเป็นคนรักกัน อย่าบอกว่ามึงโง่มองไม่ออกว่าปูนก็รักมึง”
“กูดูออก แต่มันจะมีความหมายอะไรถ้าปูนไม่ยอมพูดออกมาสักที ไม่ใช่แค่ปูนหรอกทราอยากได้ความชัดเจนจากกู...กูเองก็อยากได้จากปูนเหมือนกัน”
และเพราะแบบนั้น มันเลยเป็นที่มาของเรื่องที่ผมอยากสารภพาผิดกับทุกคนวันนี้ ทั้งที่ผมได้เห็นน้ำตาของปูนในคืนนั้นแล้วแท้ๆ แต่คำที่ผมอยากได้ยินกลับไม่หลุดรอดออกมาเลย
เรื่องมันเริ่มบานปลายเมื่อผมอยากลองใจปูนมากไปกว่าเดิม ฟิ้งรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญและฟิ้งก็ยินดีจะช่วย… ผมรู้ว่าฟิ้งมีอะไรแอบแฝงอยู่ในใจ ถึงฟิ้งจะยิ้มให้ปูนและผม แต่ในรอยยิ้มนั้นไม่มีความยินดีอยู่เลยสักนิด
ในเย็นวันหนึ่งที่ผมนัดกับปูนว่าเราจะไปหาอะไรทานด้วยกัน ฟิ้งก็ขอตามไปด้วย ปูนเลยขอพาโจมไปด้วยเช่นกัน แทนที่เราจะได้ไปกันสองคนหลังจากที่ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันนาน กลับกลายเป็นว่าผมต้องอยู่แต่กับฟิ้ง และปูนก็อยู่แต่กับโจม ผมรู้ว่าปูนพาโจมมาด้วยทำไม ปูนรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของผมและฟิ้ง แต่บอกไว้ตรงนี้เลยว่ามันไม่ใช่ สำหรับผม...ในสายตาผมนั้นผมมีแต่ปูนเสมอ มันยากนะที่ต้องทำเหมือนไม่สนใจทั้งๆ ที่ผมไม่เคยมองไปที่อื่นได้สักครั้ง
ไม่มีวันไหนที่ผมจะละสายตาจากปูน
อย่างเรื่องที่ปูนไม่ชอบกินบุฟเฟ่ต์นั่นก็เหมือนกัน อยู่กับปูนมาขนาดนี้แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าปูนเป็นคนยังไง ชอบแบบไหน หรือไม่ชอบอะไร เพียงแต่ผมอยากให้ปูนพูดออกมา...เพียงบอกมาว่าไม่ชอบ ไม่อยากกินแล้ว ผมก็พร้อมจะพาปูนกลับไปเสียเดี๋ยวนั้น อยากบอกให้ปูนรู้ว่าปูนไม่ได้สำคัญน้อยกว่าใคร เพียงแค่พูดออกมาผมก็พร้อมจะทำให้ปูนได้ทุกอย่างจริงๆ
ทว่าปูนคงเป็นคนดีเกินไป ทุกอย่างที่ทำเลยเป็นการรักษาน้ำใจของทุกคน...ยกเว้นผม ถึงพูดออกอะไรแบบนั้นออกมา...
ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าผมรู้สึกแย่มากที่ปูนบอกให้ผมไปดูแลคนอื่น
ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าผมเสียใจขนาดไหนที่วันนั้นปูนพูดว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าหัวใจของผมเหมือนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้ฟังคำพูดที่แสนใจร้ายจากริมฝีปากที่ผมคุ้นเคย
“ชัดเจนแล้วนะมึง” ฟิ้งบอกผมแบบนั้นก่อนที่มันจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้า เหลือเชื่อที่มันยังมีอารมณ์กินอีก ทั้งๆ ที่เพื่อนตัวเองเจ็บหนักขนาดนี้ “กูเตือนมึงแล้ว”
แม้ว่าฟิ้งจะบอกแบบนั้น แต่ในใจของผมไม่เชื่อหรอกว่าปูนจะรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ที่บอกออกมาแบบนั้นก็เพราะปูนอารมณ์ไม่ดี ปูแค่รู้สึกอยากปกป้องตัวเองจากสถานการณ์นี้ ไม่ก็อยากจะประชดผมเท่านั้น
ในระหว่างนั้นผมก็รอปูนเสมอมา รอว่าเมื่อไหร่ปูนจะรู้นะว่าตัวเองทำผมเสียใจมากมายเท่าไหร่ ผมต้องห้ามตัวเองไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อไม่ให้เป็นฝ่ายไปง้อปูนก่อน ผมรู้ว่าผมก็มีส่วนผิดที่ทำให้ปูนพูดแบบนั้นออกมา แต่ในใจลึกๆ ผมก็หวังว่าจะได้ฟังคำขอโทษจากปูน
ผมกลับไปอยู่บ้าน สร้างความแปลกใจให้แม่ไม่น้อย หน้าเศร้าๆ ของผมทำให้แม่ไม่สบายใจ ผมเลยเปิดปากเล่าทุกอย่างออกมา ในตอนแรกผมกลัวว่าแม้จะรับไม่ได้ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่แม่เพียงพูดว่า
“จะชายหรือหญิงไม่สำคัญหรอก เพียงแค่สอนให้ลูกแม่รู้จักคำว่ารักได้เสียทีก็พอแล้วล่ะ”
และพอเล่าว่าว่าที่ลูกสะใภ้แม่ทำเอาผมเสียใจขนาดไหน แม่กลับหัวเราะท้องแข็ง
“สมน้ำหน้า ทำคนอื่นเขาไว้เยอะนี่เราตอนนี้เจอกับตัวเองเสียบ้างก็ดี...เขาเรียกว่าอะไรนะ เวรกรรมตามสนองเหรอ”
โอเค ถึงว่าเคราะห์กรรมของผมยังไม่จบสิ้นแล้วกัน
เรื่องราวดำเนินมาถึงเมื่อวานตอนเย็นตอนที่ผมกำลังจะกลับบ้านเพื่อนเตรียมตัวไปงานวันเกิดใครสักคนเป็นเพื่อนฟิ้งคืนนี้ แต่ความจริงลึกๆ แล้วผมก็อยากดื่มเพื่อผ่อนคลายบ้างเหมือนกัน เผื่อจะได้คิดออกว่าจะทำยังไงกับเด็กดื้อที่ยังเงียบหายไปดี
“เอื้อ...มึงดีกับน้องแล้วเหรอวะ” ไอ้เดียวทักตอนกำลังจะขึ้นรถของมันที่จอดอยู่ข้างๆ กัน ผมได้แต่หันไปเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมมันถึงถามมาแบบนั้น “เมื่อกี้กูเห็นน้อง...นึกว่ามาหามึงซะอีก สรุปยังไม่ดีกันสินะ” มันดูรู้นสึกผิดโคตรๆ ที่ทักผมด้วยเรื่องของปูน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตัวผมสนใจ
“มึงเห็นปูนที่ไหน”
“ที่คณะนี่ล่ะ...ตอนแรกกูนึกว่ามาหามึง แต่...กูอาจจะตาฝาดก็ได้” ไม่มีทางที่ไอ้เดียวจะตาฝาด ดูท่าทางของมันก็รู้ว่ามันเจอปูนจริงๆ แต่ทำไมเด็กดื้อไม่เข้ามาทักผมล่ะ
ในคืนนั้น...ผมก็ได้เจอปูนอีกครั้ง ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อยที่เห็นปูนที่นี่ และผมก็พร้อมที่จะคิดเข้าข้างตัวเองด้วยว่าปูนมาที่นี่เพราะผม และเมื่อสายตาของเราประสานกันนั่นแหละ ความอดทนของผมจึงสิ้นสุด
ผมลุกขึ้นยืน เดินไปหาปูนช้าๆ แต่ตอนที่กำลังจะถึงตัวปูน ฟิ้งก็เข้ามาขวางไว้ กลิ่นลมหายใจของมันและท่าทางโอนเอนบ่งบอกให้ผมรู้ว่ามันเมามากแค่ไหน ในใจผมคิดว่าขอจัดการเพื่อนตัวเองก่อนแล้วกัน เพราะยังไงก็เป็นคนพามันมานี่นะ แล้วเรื่องของปูนค่อยไปตามเค้นกับคนปากแข็งทีหลังว่าตามผมมาทำไม
ผมไปส่งฟิ้งที่ห้องของมัน เหวี่ยงมันลงเตียงแล้วกำลังจะผละออก ทว่าแขนเล็กๆ ของมันกลับตวัดเกี่ยวรอบคอผมเอาไว้เสียก่อน แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมันออกแรงดึงผมลงไปหาก่อนจะประกบปากเข้าหากัน ฟิ้งจูบผม พยายามที่จะสอดลิ้นเข้ามาด้านในโพรงปาก และสุดท้ายมันก็ทำสำเร็จอย่างทุลักทุเล ไม่ใช่ว่าผมไม่ขัดขืน แต่ฟิ้งก็เกาะหนึบยิ่งกว่าปลาหมึกในทะเลลึก
ร่างบางกว่าผลักผมให้นอนหงายบนเตียงก่อนจะขึ้นคร่อม มือเล็กปลดกระดุมเสื้อผมอย่างรีบร้อน แต่เพราะมันลนลานเกินไปจึงเปลี่ยนเป็นดึงทึ้งเสื้อผ้าผมแทน ในตอนนั้นผมได้แต่นอนนิ่งๆ มองการกระทำของมันด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะถามออกไปว่า
“มึงกำลังจะทำอะไรฟิ้ง”
“...”
“กูรู้ว่ามึงไม่ได้เมา”
“...”
“และถ้ามึงยังทำต่อไป คำว่าเพื่อนกูก็จะไม่ให้มึง” นั่นแหละ ฟิ้งถึงได้หยุดทุกอย่าง มันลืมตามองผม ใบหน้าแดงกล่ำไม่ต่างจากดวงตาคู่สวยที่คลอไปด้วยหยาดน้ำ ถ้าไมใช่ตอนนี้ผมคงสงสารมันจับใจ
ผมผลักฟิ้งออกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งคนละฟากเตียงกันมัน เราสองคนเงียบไปสักครู่หนึ่ง แล้วฟิ้งมันก็ขยับมากอดผมไว้จากทางด้านหลัง น้ำตาของอีกฝ่ายทำให้แผ่นหลังของผมเปียกชื้น
“กูชอบมึงนะเอื้อ…” เสียงแหบห้าวสะอื้น “กูชอบมึง...อึก...จริงๆ นะเอื้อ”
“แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อน”
“กูรู้...กูถึงพยายามเป็นเพื่อนที่ดีกับมึงมาตลอด แต่ตอนนี้กูทำไม่ได้… เพราะกูรู้สึกเหมือนว่ากูกำลังจะเสียมึงไปให้ปูน...อึก...เอื้อ...ขอร้องเถอะ เลิกกับเด็กนั่นเถอะนะ กูไม่อยากเสียมึงไป…”
“กูคงทำให้มึงไม่ได้” ผมวางมือทาบกับมือเล็กกว่า “กูรักปูน”
ฟิ้งร้องไห้ออกมาเสียดังลั่นราวกับจะขาดใจ “ทำไมวะ...ทำไมไม่เป็นกู...อึก…”
“เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนกูไงฟิ้ง”
“แต่กูไม่อยากเป็นแค่เพื่อนมึง!”
“...”
“ถ้ากูเลือกได้...วันนั้นกูคงไม่เข้าไปทักมึง…” ฟิ้งเหมือนปูนอยู่อย่างหนึ่งคือเจ้าตัวไม่รู้เลยว่าคำพูดที่เปล่งออกมานั้นทำให้คนฟังเสียใจมากแค่ไหน “ถ้าเลือกได้กูไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับมึงเลย…”
เป็นคุณจะรู้สึกยังไงถ้าหากว่าเพื่อนที่คุณรักมากบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณอีกต่อไป
ผมปลดมือของฟิ้งออกด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
“กูไม่โกรธที่มึงพูดแบบนี้หรอกฟิ้ง...แต่รู้ไว้นะว่าถ้ากูเลือกได้...กูก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิม”
“...อึก…”
“ขอบคุณนะที่ทนเป็นเพื่อนกับคนอย่างกู...ขอบคุณจริงๆ ว่ะฟิ้ง”
ผมเดินจากมาพร้อมกับเสียงร้องไห้ของฟิ้ง และในตอนที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงผมก็เห็นว่าฟิ้งวิ่งมาหาผม แต่ก็ไม่ทันเมื่อประตูลิตฟ์ปิดลงเสียก่อน พอลงมาถึงชั้นล่างผมก็พบกับคนที่ผมอยากเจอมากที่สุด
ปูนอยู่ข้างหน้าผมแล้ว…
ฟิ้งตามมาทันจนได้ แต่ความเสียใจทำให้ผมยังไม่อยากคุยกับมันตอนนี้ ผมเลือกที่จะปล่อยมันเอาไว้แล้วไปกับปูน ผมพาปูนมาที่บ้าน เราปรับความเข้าใจกัน...แล้วผมก็ทำปูนร้องไห้อีกแล้ว ปกติเด็กดื้อของผมไม่ใช่คนขี้แย แต่เรื่องราวที่ผ่านมาคงทำให้เด็กดื้อของผมอ่อนแอลง
“ปูนขอโทษนะ ถ้าเอื้อจะเลือกพี่ฟิ้งก็ได้ ปูนยอมแล้ว ดีกว่าต้องมาเห็นเอื้อเสียใจแบบนี้ ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ” ระหว่างที่พูดปูนก็พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไปด้วย มันยิ่งทำให้ผมสงสารอีกฝ่ายจับใจ
“ร้องไห้ทำไม ชู่...ไม่ร้องสิปูน ไม่ต้องขอโทษ เรื่องนี้ปูนไม่ผิด เรื่องของพี่กับฟิ้งมันถึงเวลาแล้ว ขืนปล่อยไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
“ถึงยังไงก็ต้องขอโทษ…” เด็กดื้อวางมือลงบนหน้าของผม ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าแววตาของปูนตอนนี้มันทำให้ผมหัวใจเต้นแรงขนาดไหน ดวงตาหวานราวกับตากวางที่มีหยาดน้ำใสๆ คลออยู่ ยิ่งชวนให้หลงไหล “ปูนมันเป็นคนเห็นแก่ตัว...อยากเป็นคนสำคัญที่สุดของเอื้อ ไม่อยากให้เอื้อมองใคร...อยากเป็นคนเดียวที่เอื้อรัก”
เด็กดื้อ...ในที่สุดก็ยอมพูดออกมาจนได้
“หึ...เขินทั้งที่กำลังร้องไห้...น่ารักจริงๆ เลย อ้าว...หัวเราะอีก ยังสติดีอยู่หรือเปล่าครับน้องปูน”
“เป็นบ้าไปแล้ว”
“เป็นบ้า? บ้าอะไร...บ้ารักพี่เหรอ”เ ห็นแก้มแดงๆ แล้วมันอดแกล้งไม่ได้จริงๆ ครับ ผมคงเป็นโรคจิตแล้วล่ะ
“อือ คงอย่างนั้นแหละ” เล่นโจมตีกันโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ร้ายกาจจริงๆ ที่ทำให้ผมหลงไหลได้ขนาดนี้ แต่ผมถามกลับอย่างจริงจังกลับทำเป้นโมเมเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
อย่างนี้ต้องบอกรักคืนกันหน่อยแล้ว
“พี่รักปูนนะ”
“เดี๋ยวดิ ยังไม่ทันตั้งตัวเลย”
“พี่เอื้อรักปูนนะครับ” ผมจูบแก้มแดงงที่ล่อสายตา อ่า...ชื่นใจจริงๆ “จะไม่ตอบอะไรหน่อยเหรอ...ปูน…”
“มะ เหมือนกัน”
“เหมือนกันอะไร”
“ก็รักเหมือนกันไงเล่า!”
หึๆ ในที่สุดคืนนี้ผมก็ได้ฟังคำที่ผมอยากได้ยินมาตลอดเสียที เท่านี้ผมก็สุดใจไปทั้งคืนแล้วครับ
…
..
.
ผมนอนมองหน้าปูนอยู่อย่างนี้มาเป็นสิบนาทีเห็นจะได้ เมื่อคืนจำได้ว่ากอดกันอยู่ดีๆ แต่เด็กดื้อกลับรอรดิ้นเสียจนกอดต่อไม่ไหวเลยได้แต่นอนจับมือเอาไว้แบบนี้ และแล้วดวงตากลมก็ค่อยๆ ลืมขึ้น คนตรงหน้าสะดุ้งเบาๆ ที่เจอผมส่งยิ้มให้แต่เช้า
“สยองอ่ะ มานอนมองแล้วยิ้ม บ้าหรือเปล่า” ปากดีจริงๆ ครับ ทั้งที่หน้าแดงแจ๋ขนาดนี้ยังไม่วายกวนประสาทกันอีกนะ
“อรุณสวัสดิ์”
ปูนกระพริบตาก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย “กี่โมงแล้วอ่ะ” ว่าพลางก้มลงมองมือที่จับกันไว้ “โห นี่จับไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเลยเหรอ”
“ที่จริงกอดต่างหาก แต่ปูนดิ้นเลยกอดไม่ไหว” นี่เรื่องจริงนะ ไม่ได้ใส่ร้ายเลย วันหลังคงต้องกอดไว้แน่นๆ จะได้ไม่ดิ้นแล้วทำร้ายผมแบบนี้อีก
“ไม่จริงอ่ะ โตแล้วไม่ดิ้นแล้ว” ทำหน้าไม่อยากเชื่อ “ว่าแต่ตื่นเช้านะเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า”
“นิดหน่อย เหมือนว่าจะเป็นไข้”
“จริงดิ” ร่างบางตาโตแล้วพุ่งตัวมาหาผมพร้อมกับแนบหลังมือลงกับหน้าผาก “ไม่เห็นร้อนเลยอ่ะ ปวดหัวมั้ย หรือเจ็บคอ รู้สึกหนาวๆ หรือเปล่า หรือว่า…”
“พอแล้วๆ” เห็นแล้วอดขำไม่ไหวครับ แบบนี้น่าจะให้มาเรียนเภสัชฯ ด้วยกันกันนะ ซักประวัติคนไข้เสียละเอียดเลย “พี่เป็นไข้ที่ชน…”
“ไข้ที่ชน?”
“ก็คนที่ใช่สำหรับปูนไง” ว่าแล้วก็ยิ้มแป้น โอ๊ยยย เขินมุกเสี่ยวตัวเองฉิบหาย ปกติผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ สงสัยอยู่กับไอ้เดียวมากเกินไป
“สรุปไม่ได้ป่วยใช่ป่ะ จะได้ไม่ต้องสนใจ”
ผมรีบกอดปูนเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายเตรียมจะลุกจากเตียง “พี่ล้อเล่น...พี่แค่ดีใจที่มีปูนมานอนข้างๆ เท่านั้นเอง”
“ปากหวาน”
“ก็หวานไม่เท่าปูนหรอกครับ…” เข้าทางผมสิ พูดจบก็ขอชิมปากบางที่เผยอเหมือนเป็นการเชิญชวนโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ริมฝีปากนุ่มนิ่นหวานฉ่ำ ลิ้นเล็กที่กระหวัดเกี่ยวกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงครางหวานๆ ที่เจ้าตัวเปล่งออกมาโดยไม่ร้ตัว ทุกอย่างกระตุ้นให้ผมเคลิ้บเคลิ้มและหลงไหลจนยากจะถอนใจ
“อือ…หยุด...หยุดก่อนๆ” เด็กดื้อยกมือขึ้นมากลั้นกลางระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่ ทำให้ผมได้แต่จูบซับที่ผ่านมือบางแทน “เฉยๆ ก่อนสิ”
“มีอะไรครับ”
“เพิ่งนึกขึ้นได้…” ปูนเว้ยวรรค แต่สายตาจ้องผมไม่วางตาจนรู้สึกเกรงๆ ที่ว่านึกขึ้นได้นี่นึกอะไรได้วะ ไม่ใช่ว่านึกถึงคดีเก่าๆ ผมได้แล้วพาลโกรธกันหรอกนะ “เมื่อคืนกันพี่ฟิ้ง...ได้ทำอะไรกันหรือเปล่า”
“อ่อ…” ผมส่งยิ้มให้ปูน อยู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจพองโต นานๆ ทีเด็กปากแข็งจะแสดงออกว่าหึงผมนะครับ “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น”
“แล้วทำไมเสื้อผ้าถึงหยุดทั้งคู่เลย” โอ้โห สังเกตขนาดนี้เลยเหรอ บอกแล้วว่าปูนน่ะเป็นคนคิดมาก แถมไม่ค่อยพูดออกมาเสียด้วย
“ที่จริงก็มีนิดหน่อย…”
“อะไร!” ดุชะมัด นี่ผมเตรียมยื่นใบสมัครสมาคมพ่อบ้านใจกล้าไว้เลยดีมั้ย
“แค่จูบ...จูบเดียวเลย จูบเดียวจริงๆ ไม่มีอย่างอื่น”
“แลกลิ้นหรือเปล่า” ถามทั้งๆ ที่หน้าแดง อยากจะแซวนะครับแต่เห็นหน้าคนถามแล้วไม่กล้าแซวเท่าไหร่ มองผมไม่วางตาทีเดียว
“ก็...นิดหน่อย”
ผัวะ!!
หมอนใบใหญ่พสดเข้าที่หน้าผมเต็มๆ จนหงายหลังลงไปนอน (ตัวเล็กๆ แค่นี้ทำไมแรงเยอะจังวะ) “โอ๊ยยย ฟาดมาทำไมเนี่ย”
“แลกลิ้นเลยเหรอ! อยากตายมากใช้มั้ย!”
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นดิ...เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ อีกอย่างพี่ไม่ได้เต็มใจสักหน่อย” ผมคว้าตัวปูนเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะฟาดหมอนลงมาอีก
“พี่ฟิ้งตัวเล็กนิดเดียว ทำไมไม่ขัดขืน”
“ก็เหมือนเราแหละ ตัวเล็กนิดเดียว...แต่หึงทีก็แรงเยอะจนพี่จับไม่อยู่แล้วเนี่ย” ผมรัดตัวปูนให้แน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มเนียน
ฟอด!
“ไม่หึงนะครับ เมื่อคืนไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
“...จริงนะ” เริ่มนิ่งแล้วครับ
“จริงสิ จะมีอะไรได้ไง ก็พี่คิดถึงแต่ปูนคนเดียวนี่นา” ผมย้ำ ก่อนจะกดจูบอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมา ช่วงชิงทุกลมหายใจของปูนไว้และมอบลมหายใจของตัวเองให้แทน “ปูนครับ...พี่รักปูนนะ”
ผมสัญญา...ไม่สิ ต่อไปนี้ไม่จะไม่มีวันคิดนอกลู่นอกทางเด็กดื้ออีกเลย
…
..
.
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงสายๆ ผมถึงได้พาปูนลงมาข้างล่างเสียที อาหารมื้อแรกของวันดูเป็นที่ชอบใจของเด็กดื้อมากเพราะเจ้าตัวเล่นทานข้าวไปตั้งสองจานทั้งที่ปกติจานเดียวก็ยังทานไม่ค่อยจะหมด พอถามว่าทำไมวันนี้ทานอาหารได้เยอะกว่าปกติก็ได้คำตอบว่าเพราะช่วงที่ผ่านมาทานอะไรไม่ค่อยลง
อือ...เล่นเอาผมรู้สึกผิดเลยครับ
“จอใหญ่อย่างกับโรงหนัง” ปูนตาโต รีบวิ่งเ้าหาโซฟาตัวใหญ่แล้วกระโดดลงไปจนเกือบจะตกลงมา
“อย่าซนสิ เดี๋ยวเจ็บตัวขึ้นมาจะว่าไง”
“อย่างนี้ดูการ์ตูนอย่างมัน” ยังไม่สลดครับ ปูนน่ะไม่กลัวผมหรอก แต่ที่ยอมมเสียส่วนใหญ่คงเป็นเพราะขี้เกียจทะเลาะด้วยมากกว่า “รีบเปิดเลยๆ เอาโคนันเดอะมูฟวี่นะ”
“อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย จะดูการ์ตูน”
“ก็น้อยกว่าคุณแล้วกัน” เด็กดื้อยักคิ้วใส่ผมครับ มันน่าแกล้งนักเชียว ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะคว้าคอปูนเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกเสียงแผ่ว
“เดี๋ยวคืนนี้ได้รู้เลยว่าคนแก่กว่าน่ะลีลาเด็ดขนาดไหน”
“ทะลึ่ง” แค่นี้ก็หน้าแดงแล้วครับ เฮ้อ ถ้าถึงเวลาจริงๆ ไม่อายจนตัวแตกเลยหรือไง “แล้วก็ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
ใครจะมาเห็นล่ะ ในบ้านน่ะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นแหละ พ่อกับแม่และพี่ชายไปทำงาน ส่วนหลานๆ ก็ไปเรียบพิเศษกันหมด พี่สะใภ้ของผมก็คงตามไปเฝ้่ลูกด้วยนั่นแหละ
“ปูน”
“อะไร จะแกล้งอะไรอีก” ถามพลางเหล่มองด้วยความไม่ไว้ใจ ผมก็ได้แต่มองหน้าน้องแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ปูนเป็นคนปากเก่งที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเจอมา
“เป็นแฟนกันนะ”
ปูนไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้าผมอึ้งๆ แล้วกระพริบตาถี่ๆ ท่าทางน่ารักแบบนี้ทำให้ผมอดใจไม่ไหวต้องโน้มหน้าลงไปจูบปากอีกฝ่ายเบาๆ
จุ๊บ
“เมื่อกี้ได้ยินที่พี่พูดหรือเปล่าครับ”
หน้าแดงอีกแล้ว “ดะ ได้ยิน และ แล้วก็รู้ด้วยว่าถูกขโมยจูบไป”
“โอ๋ๆ ให้จูบคืนเลยอ่ะ” ผมยื่นหน้าไปให้ แต่ปูนก็ผลักหน้าผมให้ออกห่าง “ถ้าได้ยินบอกมาสิว่าเมื่อกี้พี่พูดอะไร”
“ก็...เป็นแฟนกันนะ”
“ตกลงครับ”
“เฮ้ย!”
“ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
“เดี๋ยวดิ อย่ามาตีเนียนนะ”
“ไม่เดี๋ยวแล้ว” ผมยักคิ้วให้ คิดว่าตัวเองในตอนนี้คงกวนบาทาไม่น้อย ดูจากหน้าปูนที่มองมาทางผมก็เดาได้ แต่ก็นั่นแหละ การได้แกล้งปูนเป็นความสุขของผมครับ “พี่ไม่อยากเป็นแค่คนที่กำลังคุยๆ กับปูนอีกแล้ว”
“...”
“ให้พี่ได้เป็นคนที่ยืนข้างปูนนะครับ”
“...ก็...เป็นมาตลอดนั่นแหละ ไม่เห็นต้องขอเลย” คำตอบของปูนทำให้ผมยิ้มกว้าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ เด็กดื้อคนนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขได้เสมอ “เลิกยิ้มได้แล้วน่า เดี๋ยวก็จิ้มให้ตา...อื้ออออ”
และสุดท้ายเด็กปากเก่งก็โดนผมจูบปิดปากในที่สุด จูบได้ไม่ถึงนาทีผมก็ผละออกมา หอมแก้มแฟนคนแรกของผมอีกครั้ง มองสบดวงตาคู่สวยที่ผมหลงไหลด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ ก่อนจะก้มลงกระซิบคำว่ารักที่ข้างหูพร้อมกับโอบกอดปูนเอาไว้
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เอื้อมหัวใจลงมาให้พี่รักนะ” “...อือ...เหวอ!! จะ จะทำอะไรอ่ะ!!”
ผมหัวเราะพร้อมกับแบกปูนขึ้นหลัง ตัวเล็กขนาดนี้ก็ดีไปอย่าง พกไปไหนมาไหนง่ายดี (เดี๋ยวๆ คนนะไม่ใช่หมา!)
“เป็นแฟนกันแล้ว ก็ต้องไปทำกิจกรรมที่แฟนเขาทำกันสิ”
“เฮ้ย! จะดูการ์ตูนนน!”
“เอาไว้ลงมาดูทีหลังก็ได้”
“ไม่เอาโว้ยยยยยย!”
“ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธครับ”
“เอื้ออออ ปล่อยยยยยยย”
“ร้องไปเถอะ ยังไงวันนี้ก็ไม่รรอดอยู่ดีครับ...ที่รัก”
…
..
.
“ใครก็ได้ช่วยพี่ปูนด้วยยยยยยยยยยยย!!”
END
=======================================================
=============================================
ซาหวัดดีค่าาาาาาาาาาาาา มาอีกทีก็ตอนจบเลยเนาะ
เราตั้งใจแต่งเรื่องนี้มากๆ เลยนะ
อาจจะสนุกบ้างไม่สนุกบ้างยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่ตัดสินใจลง นั่นเพราะเพื่อนยุค่ะ ขอบคุณนางด้วยนะที่ยุยงให้มาลง 5555
ก็ขอฝากพี่เอื้อและน้องปูนเอาไว้ในใจด้วยนะคะ
เราจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ นะคะ
ก็อยากขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมาตั้งแต่ต้น ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
รักทุกคนเลยน้าาาา