。◕‿◕。❤ เอื้อมใจให้รัก ❤ 。◕‿◕。 >>>UP side story:เรื่องราวของโจม (จบแล้ว) 10/06/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 。◕‿◕。❤ เอื้อมใจให้รัก ❤ 。◕‿◕。 >>>UP side story:เรื่องราวของโจม (จบแล้ว) 10/06/10  (อ่าน 79008 ครั้ง)

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทที่ 32
เมื่อน้องปูน...ก็เหมือนกัน


แม้ผมกับเอื้อจะปรับความเข้าใจกันได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมเหมือนเก่าเลย กลับกัน...ระยะห่างระหว่างเราสองคนกลับยิ่งเพิ่มขึ้น

ผมกำลังยืนมองเอื้อเดินเคียงคู่ไปกับพี่ฟิ้ง ในขณะที่ตัวเองยืนอยู่กับโจม

วันนี้เอื้อกับผมตกลงกันว่าจะมาทานข้าวกันหลังจากที่เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันมานาน ชีวิตปีสามของเอื้อมันยุ่งมาก เรียกหนัก งานเยอะ อีกฝ่ายมีเวลาให้ผมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนไหนที่พอมีเวลาว่างตรงกัน เอื้อจะชวนผมไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เหมือนครั้งนี้ที่อีกฝ่ายชวนและผมก็ผมดีใจมากจนตอนตกลงทันที โดยลืมคิดไปว่าอาจจะไม่ได้มีเราแค่สองคน

เดี๋ยวนี้เวลาเอื้อไปไหน พี่ฟิ้งก็ต้องไปด้วย และผมก็ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแถม เลยชวนโจมให้มาเป็นเพื่อน ผมว่าผมไม่ควรจะมีความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน คนที่เขาคบกันมันไม่ควรจะให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาต้องเดินคนเดียวอย่างที่เอื้อทำ

“ปูนอยากกินอะไร” เอื้อหันมาถาม ยังดีที่ไม่ลืมว่าผมกับโจมมาด้วย

ผมกำลังจะตอบ ทว่าพี่ฟิ้งกับพูดแทรกขึ้นมา

“บุฟเฟ่ต์ร้านนี่น่ากินว่ะ กำลังมีโปรฯ พอดีเลย” มือเล็กกว่าจับแขนเสื้อของคนตัวใหญ่เขย่าไปมา “ไปกินกันป่ะ กูว่าคุ้มนะเอื้อ”

“กูถามปูนอยู่ฟิ้ง” เอื้อต่อว่าแต่ไม่ได้โกรธ พลางหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “ปูนอยากกินอะไร”

“กินบุฟเฟ่ต์ที่พี่ฟิ้งบอกก็ได้ คิดไม่ออกเหมือนกัน”

เราทั้งสี่คนมานั่งในร้านบุตเฟ่ต์ตามที่ที่พี่ฟิ้งเรียกร้อง ตำแหน่งการนั่งเป็นไปตามคาด พี่ฟิ้งเลือกนั่งข้างเอื้อ ในขณะที่ข้างผมเป็นโจม บอกตรงๆ ว่าผมสงสารโจมเหมือนกันที่ต้องมานั่งปล่อยเวลาทิ้งไปหลายชั่วโมงกับความเห็นแก่ตัวของผม แต่ให้ผมมากับสองคนนี้ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน

“กินอะไร เดี๋ยวพี่ไปตักให้”

“ไปด้วยกันดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอก พี่กับเอื้อไปเอง ปูนนั่งอยู่นี่แหละ” ผมหยุดตัวเองที่กำลังจะลุกขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ฟิ้งบอก ก่อนจะกลับลงมานั่งที่เดิม “ไปเถอะเอื้อ”

“...อือ เดี๋ยวพี่ตักมาให้นะ”

ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปด้วยกัน เสี้ยวนาทีหนึ่งพี่ฟิ้งหันมาสบตา ก่อนจะยิ้มมุมปากให้ มันเหมือนเป็นการประกาศว่าเขากำลังตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง

ผมไม่เคยรู้สึกเป็นส่วนเกินเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าทำได้ผมอยากจะหายไปจากตรงนี้เลย เพิ่งเข้าใจประโยคที่ว่า ‘คนเดียวไม่เหงา เท่าสามคน’  ทุกครั้งที่เอื้อมองมาที่ผม สายตาคู่นั้นจะต้องหันกลับไปหาพี่ฟิ้งเสมอ มันทำให้ผมสงสัยขึ้นมาว่าผมเป็นอะไรกันแน่ นี่คือคนที่บอกว่าชอบผมอย่างนั้นหรือ คนที่บอกว่าต้องเป็นผมเท่านั้นที่เขาต้องการ แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ใส่ใจกันเลย

“กลับมั้ย” ผมส่ายหน้าสำหรับคำถามของโจม ตอนนี้ยังก่อน ผมยังคงทนได้ อย่างน้อยเอื้อก็ยังคงหันมาส่งยิ้มให้ผมเป็นระยะ

มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของผม หลายครั้งที่ต้องทนดูทั้งสองคนสิ่งยิ้มให้กัน ผมนั่งฟังประโยคที่เขาทั้งคู่คุยกัน มีแต่เรื่องที่ผมไม่รู้และไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้

“ไม่อร่อยเหรอ กินนิดเดียวเอง ไม่คุ้มเลยนะปูน” เสียงแหบห้าวของพี่ฟิ้งเรียกความสนใจของผม พอเห็นรอยยิ้มใสซื่อของอีกฝ่าย มันทำให้ผมอยากจะเอามือตะกุยใบหน้าน่ารักนั่นเสียตอนนี้

“อยากกินอะไรอีกหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ไปตักให้ได้นะ”

“ปูนกินน้อยจัง ปกติกินน้อยแบบนี้หรือเปล่าเอื้อ” พี่ฟิ้งหันไปส่งยิ้มถามเอื้อ

“อือ ปกติก็กินน้อยนะ ดูตัวดิเล็กนิดเดียวเอง กอดทีไรมีแต่กระดูก” เอื้อส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเขินเหมือนปกติ

เอื้อขมวดคิ้ว แล้ววางตะเกียบลง “เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”

“...เปล่า”

“พี่ไม่รู้เหรอว่าปูนมันไม่ชอบกินอะไรแบบนี้” โจมที่เงียบมานานเปิดปากพูด มันเงยหน้าขึ้นจากชามที่มีอาหารอยู่เต็มไปหมด (เออ สงสัยมึงคงจะหิวจริงๆ)

“จริงเหรอปูน” พี่ฟิ้งถามกลับมา

“ปูนมันไม่ชอบอาหารแบบบุฟเฟ่ต์เท่าไหร่ มันเป็นคนกินน้อย” จริงอย่างที่โจมพูด ผมไม่ชอบกินอาหารที่เป็นบุฟเฟ่ต์เพราะคิดทุกครั้งว่าตัวเองกินไม่คุ้มกันราคาที่เสียไป แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากอาหารในวันนี้

“...”
 
“แปลกเนาะ คนที่สมควรจะใส่ใจปูนมากที่สุดควรเป็นพี่แท้ๆ พี่เอื้อ แต่พี่ก็ยังปลอยผ่านอย่างกับไม่ได้สนใจ”

โจมพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะก้มลงกินอาหารในชามต่อราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าคำพูดของมันทำให้อีกสองชีวิตบนโต๊ะอย่างผมและเอื้อกินอะไรไม่ลงอีกต่อไป

เอื้อที่นั่งตรงข้ามกับผมหันมาสบตากัน แววตาบ่งบอกว่าขอโทษและรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งผมก็สงสาร แต่สิ่งที่โจมพูดเมื่อกี้มันทำให้ผมต้องห้ามตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ใจอ่อนกับเขาอีกแล้ว

“เอื้อ ถอยหน่อยดิกูจะไปตักอาหารเพิ่ม” พี่ฟิ้งดูไม่สนใจเรื่องอะไรเลยสักนิด

“ไม่เป็นอะไร กูไปตักให้ มึงจะเอาอะไร” คนตัวเล็กกว่าร่ายยาวถึงสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ผมคิดว่าคงไม่มีใครจำได้แน่ แต่แปลกที่เอื้อหยิบมาให้พี่ฟิ้งได้ทุกอย่าง “ปูนอยากกินอะไรหรือเปล่า”

หึ...นึกว่าจะไม่ถามกันเสียแล้ว ผมต้องเป็นที่สองสำหรับเขาทั้งคู่เสมอเลยหรืออย่างไรนะ

“อย่าเลย ดูแลพี่ฟิ้งไปเถอะ”

เอื้อชะงัก “พูดอะไรอย่างนั้น ฟิ้งมันดูแลตัวเองได้”

แต่ก็เห็นดูแลกันตลอด ไม่เคยปล่อยให้คาดสายตาสักนิด… “เหรอ”

“ปูนเป็นอะไร ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”

ผมเงยหน้ามองเอื้อ ในใจถามว่าไม่รู้จริงๆ เหรอว่าผมไม่พอใจอะไร ทั้งที่เรื่องทุกอย่างมันออกจะชัดเจนขนาดนี้

“บอกพี่มาสิว่าปูนเป็นอะไรไป เราสองคนเป็น…” เอื้อหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เหมือนกำลังจะหาสถานะที่ชัดเจนของเราสองคน “เราเป็น…”

“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมโคตรอยากตบปากตัวเองเลยที่เป็นคนทำให้บรรยากาศมันแย่ขึ้นกว่าเดิม ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของพี่ฟิ้ง ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปแล้ว

“ปูน!” เอื้อขึ้นเสียง มันดูโกรธมาก

“เอาน่า อย่าโกรธน้องสิวะ น้องอาจจะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็ได้ ช่วงนี้ปูนก็ดูแปลกๆ ไปนะ” ผมกำตะเกียบในมือแน่น อยากจะตะโกนใส่หน้าพี่ฟิ้งว่ามันเป็นเพราะพี่นั่นแหละ! “กินต่อเถอะ”

เอื้อเชื่อพี่ฟิ้ง มันพยักหน้ารับแล้วเลิกสนใจผมไปเลย นี่เหรอวะคนที่บอกว่าแคร์ผมหนักหนา นี่เหรอคนที่ขอโอกาสจากผม แล้วตอนนี้มันเห็นผมเป็นตัวอะไรวะ!

ผมเปิดประเป๋า หยิบเงินออกมาแล้ววางมันไว้บนโต๊ะ พอหันไปมองโจมก็เห็นว่ามันหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแล้ววางเงินไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ผมกับมันพยักหน้าให้กันแล้วลุกขึ้นยืน

“ไปมึง กูอิ่มแล้ว” เออ ก็มึงแดกไปเยอะขนาดนั้น แดกอยู่คนเดียวด้วย มึงคุ้มสุดแล้วโจม

เราสองคนเดินออกมาจากร้านทันที ผมได้ยินเสียงเอื้อตะโกนเรียกอยู่ทางด้านหลังแต่ไม่คิดจะสนใจหันไปมอง แล้วสาวเท้าเดินให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะพ้นไปจากตรงนี้เสียที ตอนที่เดินออกมาได้ระยะหนึ่ง ใจของผมมันเรียกร้องให้ผมหันกลับไปมองทางด้านหลัง

และก็พบกับความว่างเปล่า… ตรงนั้นไม่มีใครเดินตามผมมาเลย

“ถ้าเลือกที่จะเดินออกมาแล้วก็อย่าหันกลับไปดิ”

ในคืนนั้นผมกลับมานอนที่ห้องตัวเอง ไม่ได้ไปค้างกับโจมตามคำชวนของอีกฝ่าย ผมจำได้ว่าตัวเองเข้านอนตอนเกือบจะเช้า หนึ่งคือผมนอนไม่หลับ พอหลับตาลงแล้วในหัวมันก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทุกครั้ง และสอง...ผมตั้งใจรอให้เอื้อมาหา แต่นานแค่ไหน ก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเคาะประตู

ตลอดช่วงที่รอเอื้อนั้น ผมได้แต่ถามกับตัวเองว่าตัวผมนั้นยังสำคัญกับเอื้ออยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า

..
.
หลายวันถัดมา

คนที่ผมรออยู่เงียบหายไปเลย ผมไม่รู้ว่าเอื้อกำลังทำอะไรอยู่ด้วยซ้ำ ไม่มีสายเรียกเข้า ไม่มีข้อความ ไม่มีแม้กระทั่งการติดต่ออะไรผ่านทางโซเชียลมีเดีย

พออารมณ์โกรธมันทุเลาลงและได้กลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งแล้วมันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ประโยคที่ผมบอกไปว่าเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันคงทำให้เอื้อเสียความรู้สึกไม่น้อย แม้จะบอกกับตัวเองแล้วว่าอย่าใจอ่อนให้เขา แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้สักที วันนี้ผมจึงมาหาเอื้อถึงคณะด้วยความสำนึกในสิ่งที่ทำไป อย่างน้อยได้พูดขอโทษอีกฝ่ายก็เพียงพอ

พอจะเห็นเอื้อแล้วครับ ร่างสูงยังคงโดดเด่นเหมือนอย่างเคย แม้ว่าช่วงก่อนหน้านี้เอื้อจะบ่นบ่อยๆ ว่าตัวเองเรียนหนัก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เอื้อดูโทรมหรือหล่อน้อยลงเลย

ผมรีบเดินเข้าไปใกล้ เตรียมจะทักเหมือนอย่างที่ซ้อมกับตัวเองมาทั้งคืน แต่ก็ต้องเงียบเอาไว้ก่อนจะซ่อนตัวไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ไม่รู้ว่าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ทั้งที่ก็ตั้งใจจะมาหา แต่พอเอาเข้าจริงแล้วมันเกิดอาการปอดแหกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เอาวะไอ้ปูน มึงต้องทำได้ดิ เรื่องแค่นี้เองนะเว้ย!!

“เอื้อๆ รอกูด้วย”

แต่ก่อนที่ผมจะทันได้โผล่หน้าไปหา เสียงหนึ่งก็ร้องเรียกเอื้อเอาไว้จากทางด้านหลัง แค่ได้ยินผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร

พี่ฟิ้งอีกแล้ว ทำไมต้องเป็นพี่ฟิ้งทุกที!!

ขาผมมันก้าวไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น พอๆ กับความหนักอึ้งในใจ เหมือนมีหินก้อนใหญ่มาถ่วงเอาไว้

“เย็นนี้มึงว่างป่ะวะเอื้อ”

เอื้อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “มึงมีอะไร”

“กูต้องไปงานวันเกิดเพื่อนคณะอื่นอ่ะ มึงไปกับกูหน่อยได้สิ”

“ช่วงนี้กูไม่ค่อยอยากออกไปไหน” อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเย็นชา

“ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยเถอะ ถือว่าเป็นการผ่อนคลาย”

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ” เอื้อเสียงดังขึ้น และดูหงุดหิงดขั้นกว่าเก่า แม้จะซ่อนตัวอยู่แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้เอื้อคงต้องชักสีหน้าใส่พี่ฟิ้งแน่นอน “ปล่อยให้กูอยู่คนเดียวได้มั้ย”

“มึงเป็นเพื่อนกูนะ กูจะปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวได้ไงตอนมึงเจอปัญหาแบบนี้ หรือว่ามึงไม่เห็นกูเป็นเพื่อน”

“ฟิ้ง แค่เรื่องปูนกูก็ปวดหัวเกินพอแล้วนะ อย่ามาทำให้กูต้องปวดหัวเพิ่มได้ป่ะวะ”

“กูแค่อยากให้มึงไม่เครียดเท่านั้นเอง” เสียงพี่ฟิ้งสลดลง “ขอโทษที่วุ่นวายแล้วกัน”

“ไม่ใช่อย่างนั้น กูแค่…” เอื้อหยดประโยคไว้แค่นั้นก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ “กูคงเครียดอย่างที่มึงบอกจริงๆ นั่นแหละ เอาเป็นว่ากูไปเป็นเพื่อนมึงแล้วกัน แต่ไม่นานนะ”

“ขอบใจว่ะ”

ผมหลับตาลง เลิกล้มความคิดที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายในทันที

♣♣♣♣♣

บ้า...ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตามเอื้อมาถึงที่นี่

ผมกับโจม (มันคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง) เดินเข้ามาในร้านเปล้าต่างถิ่น เป็นสถานที่ที่เอื้อกับพี่ฟิ้งจะต้องมาร่วมงานวันเกิดของใครสักคน (ผมบังเอิญได้ยินสองคนนั้นคุยกัน) พอเข้ามาข้างใน โจมก็บอกให้ผมไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ มันไม่เป็นเป้าสายตาและยังเห็นกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะมาร่วมงานวันเกิดที่ถูกจัดขึ้นได้ถนัด

เครื่องดื่มง่ายๆ ถูกสั่งเป็นอย่างแรก ผมกวาดสายตามองสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนจะหยุดลงที่ร่างคุ้นเคยในชุดลำลองสบายตาแค่ดูดี

“ไหนมึงบอกเขาอาการปกติไง แต่ที่กูเห็นมันไม่ใช่นะ” โจมตั้งข้อสังเกตหลังจากเรานั่งมองเอื้อมาได้สักพัก ผมเล่าให้โจมฟังทุกอย่างที่ได้ยินมาเมื่อตอนเย็น

“ไม่ปกติตรงไหน เอื้อก็ยังเป็นเอื้อ”

“มึงไปนั่งในใจเขาเหรอถึงได้รู้ว่าเขาคิดอะไรน่ะ” จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ไปนั่งในใจเอื้อ แต่มันก็เห็นๆ กันอยู่นี่ครับว่าเอื้อดูไม่เป็นอะไรเลย “พี่เขาไม่ปกติ มึงอยู่กับพี่เขามาตั้งนานแล้วยังไม่รู้อีกเหรอ”

“ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกไปตรงไหน”

“ปูน มึงหันไปมองพี่เขาดีๆ สิว่าแปลกไปตรงไหน”

ผมยอมหันไปมองเอื้อ ‘ดีๆ’ ตามที่โจมบอก จ้องมองอยู่นาน พยายามสิ่งที่แปลกไปที่ควรจะพบเจอ “ก็ไม่เห็น…”

“มึงว่าพี่เอื้อเขาเป็นคนที่นั่งเงียบๆ คนเดียวแบบนี้เหรอวะ”

“ก็ไม่เห็นจะแปลก” ผมเถียง แม้ในใจผมจะเริ่มคิดตามที่โจมพูดบ้างแล้ว เป็นความจริงที่เอื้อไม่ควรจะเป็นฝ่ายนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมของตัวเองแบบนี้ เอื้อที่ผมรู้จะเป็นมิตรกับทุกคน สิ่งที่เป็นอาวุธประจำตัวของอีกฝ่ายคือรอยยิ้มพิมพ์ใจ แต่วันนี้ผมไม่เห็นมันเลย

“เริ่มรู้สึกแล้วสิ”

“อะไร กูไม่…”

“สิ่งที่มึงควรลด ละ เลิกอย่างแรกคือเรื่องปากแข็งของมึงเนี่ยแหละปูน” ก็ไม่ได้อยากเป็นคนปากแข็งสักหน่อย แต่มันเป็นของมันไปเอง

“อะไรวะโจม เดี๋ยวมึงก็เข้าข้างกู เดี๋ยวมึงก็เข้าข้างเอื้อ ตกลงมึงจะอยู่ตรงไหน” ชักไม่แน่ใจแล้ว ย้อนไปเมื่อวันนั้นมันเป็นคนบอกให้ผมเดินออกมาเอง แต่ตอนนี้กลับพูดเหมือนอยากให้ผมใจอ่อนกับเอื้อ

“กูก็ต้องอยู่ข้างมึงดิวะ” มันตอบ ผมเตรียมจะเถียง ทว่าไม่ทันที่อีกฝ่ายพูด “อยู่ข้างที่คิดว่าทำให้เพื่อนกูมีความสุขที่สุด”

“...”

“อย่างที่กูเข้าข้างมึงตอนนั้น เพราะถ้าปล่อยไว้มึงก็จะรู้สึกแย่ แต่ตอนนี้กูเข้าข้างพี่เอื้อ เพราะอยากเห็นมึงลงเอยกับพี่เขาสักที” มันแกว่งแก้วเหล้าในมือไปมา “กูว่าพี่เขาก็ไม่ใช่คนเหี้ยหรือเลวร้ายอะไรนะ ตั้งแต่พี่เขาเริ่มจีบมึง กูว่าเขาเปลี่ยนไปมาก ถ้าไม่ติดเรื่องพี่ฟิ้ง...มึงกับพี่เขาคงคบกันไปแล้วล่ะ”

“ก็มันติดเรื่องพี่ฟิ้งอยู่นี่ไงล่ะ”

“มึงไม่ลองถามเขาไปตรงๆ เลยล่ะว่าจะเอายังไง”

“จะบ้าเหรอ จะให้กูถามว่าอะไร ‘ระหว่างเพื่อนกับแฟนจะเลือกใคร’ แบบนี้เหรอ งี่เง่าฉิบหาย”

โจมไหวไหล่ “ก็แล้วแต่มึงแล้วกันปูน เพราะคนที่ต้องเสียใจคือมึงไม่ใช่กู”

“ไหนบอกอยากเห็นกูมีความสุขไง” ผมประท้วง และก็ได้รอยยิ้มกวนบาทาสุดๆ กลับมา

“นั่นก็ใช่ แต่เวลาเห็นมึงเสียใจกูว่าสนุกก็สนุกดี”

ไอ้เชี่ยยยยยย ไอ้โจมไอ้เพื่อนแล้วว ไอ้เวร!!

ผมเลิกสนใจมันแล้วหันไปเฝ้ามองเอื้อ ยอมรับว่ารู้สึกดีนิดๆ ที่เห็นว่าเห็นได้ชัดว่าผมก็มีผลกับความรู้สึกของเอื้อไม่น้อย เอื้อแปลกไปจริงอย่างที่โจมว่า ไม่สุงสิงกับใคร ใครมาชนแก้มก็ปฏิเสธหมด เอาแต่นั่งดื่มเงียบๆ คนเดียว หลายหนที่ผู้หญิงหลายคนพยายามแทรกกายเข้ามานั่งข้างคนของผม ทว่าก็ต้องเดินออกมาด้วยท่าทางผิดหวังทุกครั้ง ในตอนที่ลอบมองอีกฝ่ายอยู่เพลินๆ สายตาของคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ตวัดขึ้นมาสบกัน เอื้อชะงักไปชั่วครู่ที่เห็นผม

“มึงๆ เอื้อเห็นกูแล้ว” ไม่รู้ว่าจะรีบแอบทำไมเหมือนกันครับ “จะทำยังไงดีวะ กลับเลยดีมั้ย”

“มึงอยากคืนดีกับพี่เขาหรือเปล่า ถ้าไม่อยากจะกลับเลยก็ได้นะ” โจมให้คำตอบแบบเซ็งๆ มันคงจะรำคาญผมมากเอาการ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องพึ่งมันไปเสียทุกเรื่อง

“อยากคืนดีดิวะ แต่กูยังไม่พร้อม”

“ไม่พร้อม?”

“อือ สถานการณ์ไม่ได้ สถานที่ไม่ได้”

“ทำไม มึงต้องรอคุยกันบนเตียงเหรอ”

“ไอ้โจม!” ถึงจะทำเป็นตะคอกมัน แต่ทุกครั้งที่ทำความเข้าใจกันเอื้อก็คือบนเตียงจริงอย่างที่มันว่า เพราะงั้นบนเตียงน่าจะเป็นสถานที่ดีที่สุด!

เย้ย ไม่ใช่แล้วครับ

“พี่เขาเดินมาทางนี้แล้วนะ กำลังจะถึงแล้ว”

ผมรีบหันไปมองตามที่โจมบอก จริงๆ ด้วย เอื้อเดินมากำลังจะถึงผมแล้วครับ ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเรื่อยๆ พยายามฝ่าฝูงชนที่ยืนเบียดกันราวกับจะรวมร่าง

“ถ้ามึงหนีอีก กูจะไม่ช่วยมึงแล้วนะ” คำขู่ของเพื่อนได้ผม ถ้าขาดโจมไปผมจะทำยังไงล่ะ ใครจะให้ลอกการบ้านล่ะครับ (มันเกี่ยวเหรอวะ)

เอื้อก็ใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงตัวผมแล้วครับ นับถอยหลังได้เลย

ห้า…สี่...สาม...สอง…หนึ่ง…

“เชี่ย!”

อีกแค่นิดเดียวเอื้อก็จะเดินมาถึงแล้ว แต่กลับมีร่างเล็กๆ ของคนที่คุณก็รู้ว่าใครมาขวางไว้ก่อน พี่ฟิ้งที่ดูเมาได้ที่เขาเดินเข้ามาเกี่ยวคอเอื้อเอาไว้ จากตรงนี้ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทั้งคู่คุยอะไรกันบ้าง แต่ท่าทางที่ใกล้ชิดกันมากเหลือเกินเล่นเอาภายในของผมร้อนรุ่มอยู่ไม่น้อย เอื้อเหลือบตามองผมสลับกับพี่ฟิ้งหลายครั้ง ทว่ามือคู่นั้นก็ยังไม่ปล่อยจากการประคองเพื่อนตัวเองสักที ผมนั่งนับหนึ่งถึงร้อยในใจ รอที่จะให้เอื้อเดินมาหาผม

แต่ทว่าตัวเลขที่นับเลยไปถึงสองร้อยแล้วเอื้อก็ยังไม่ยอมเดินมา

“กลับเถอะโจม” เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเลือกจะยอมแพ้ ผมคงสำคัญไม่พอกับเอื้อจริงๆ

“เดี๋ยวปูน” ตอนที่เราสองคนเดินมาถึงหน้าร้าน โจมก็เอ่ยเรียกผมเอาไว้ ก่อนที่มันจะเดินอ้อมมาดักด้านหน้า “มึงจะหนีอีกแล้วเหรอวะ ครั้งที่แล้วมึงก็หนี ก่อนหน้านั้นมึงก็หนีมาตลอด มึงคิดว่าคนๆ หนึ่งจะอดทนตามมึงได้นานขนาดไหนกัน”

“...” ผมไม่รู้หรอก ตอบไม่ได้ว่าเอื้อจะทนตามผมไปได้อีกนานแค่ไหน

ผมไม่อยากจะเสียเอื้อไป พอแล้วกับความสูญเสีย ผมอยากจะมีเอื้ออยู่ในทุกๆ วัน แต่ถ้าเอื้อยังมีใครคนนั้น เอื้อก็ไม่มีทางเป็นของผม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เอื้อจะจากไปเช่นกัน

“กลับไปหาพี่เอื้อซะปูน กลับไปทวงคนของมึงกลับมาซะ”

“...” ผมยังคงลังเล

“เร็วๆ สิ หรือมึงอยากจะเสียเขาไปจริงๆ”

ไม่เอาหรอก! ผมไม่อยากจะเสียเอื้อไปให้ใครทั้งนั้น

ผมหมุนตัวแล้ววิ่งกลับเข้าไปข้างในร้าน กวาดสายตามองหาร่างสูงที่โดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก เดินหาในทุกทีที่สามารถแทรกตัวผ่านเข้าไปได้ แม้แต่ในโซนที่เขาจัดงานวันเกิดกัน ผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

อยู่ไหนวะ ไม่ใช่ว่าออกไปกับพี่ฟิ้งแล้วหรอกนะ

เดินออกมาหาโจมที่ยืนรออยู่แล้วส่ายหน้า “กูหาเอื้อไม่เจอว่ะ”

“มึงช้าไปว่ะปูน พี่เอื้อเพิ่งขึ้นรถไปกับพี่ฟิ้งเมื่อกี้เอง” คำตอบของโจมเหมือนจะดึงเรี่ยวแรงของผมไปจนหมด พี่ฟิ้งอีกแล้ว...ทำไมอะไรๆ ก็ต้องเป็นพี่ฟิ้งด้วย

“งั้นกูว่าเรา…”

“ไปหอพี่ฟิ้งกัน มึงรู้จักทางไปหรือเปล่า” ผมขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้า โจมเลยลากผมไปที่รถมันทันที และก่อนที่เราจะออกรถ มันก็หันมาพูดกับผมว่า “ถ้าคืนนี้มึงกับพี่เอื้อยังไม่ลงเอยกัน อย่ามาเรียกกูว่าโจม”

..
.


ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รถของเอื้อจอดอยู่ใกล้กับหอพี่ฟิ้ง แสดงว่าเอื้อมาที่นี่จริงๆ

“มึงรู้จักห้องพี่เขาหรือเปล่า” ผมส่ายหน้า ถึงจะเคยมาสิ่งพี่ฟิ้งพร้อมกับเอื้อที่นี่แต่ก็ไม่เคยขึ้นไปข้างบนนั้นสักที และคงไม่สามารถตามหาห้องพี่ฟิ้งทีละห้องได้ จะเข้าหอพี่ฟิ้งได้ต้องมีคีย์การ์ด “งั้นเราคงต้องพอจนกว่าพี่เอื้อจะลงมา”

มันต้องมีวิธีสิวะ ผมไม่อยากปล่อยเอื้อให้ขึ้นไปอยู่กับพี่ฟิ้งสองต่อสองแบบนั้นหรอกนะเว้ย! คนหนึ่งกำลังเมา อีกคนก็เสี่ยงที่จะรู้สึกหวั่นไหว ถ้าผมปล่อยไป...เหตุการณ์ไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นก็ได้

จะทำยังไง โทรหาพี่เดียวดีมั้ย แต่มันก็ดึกขนาดนี้แล้ว พี่เดียวอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ โทร.ไปคงรบกวนพี่เขาเปล่าๆ แต่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่แน่พี่เดียวอาจจะนอนดึก...แต่ถ้าพี่เขาทำงานอยู่ล่ะ มันจะขัดจังหวะเขาหรือเปล่า

โทร...หรือไม่โทรดีวะ

“ปูน” ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดีเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้น คนที่ไม่นึกว่าจะได้เจอปรากฏตรงหน้า “แล้วก็...น้องโจม”

เห? น้องโจม?

ผมมองหน้าพี่ว่านกับโจมสลับกันไปมา แต่คงจะมีเพียงพี่ว่านคนเดียวที่สนใจอยากจะทักทาย เพราะโจมมันเอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อย่างเดียว

“มาส่งฟิ้งเหรอ เมื่อกี้เห็นเอื้อเดินสวนขึ้นไป”

“พี่อยู่หอนี้เหรอครับ”

“เปล่าหรอก แต่เพื่อนพี่อยู่หอนี้น่ะ จะเข้าไปข้างในเหรอ”

“ครับ” ผมถามอย่างมีหวัง “พี่มีคีย์การ์ดใช่มั้ย แล้วรู้หรือเปล่าว่าพี่ฟิ้งอยู่ห้องไหน”

“ห้องไหนไม่รู้หรอก รู้แค่ชั้นไหน”

“แค่นั้นก็พอแล้วครับ” ผมยิ้มกว้าง รู้สึกขอบคุณพี่ว่านที่มาทันเวลาพอดี “พี่ช่วยผมอีกแล้ว ขอบคุณจริงๆ น”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ร่างสูงยกมือขึ้นเก้าหัวแก้เก้อ “แต่ถ้าอยากตอบแทนพี่จริงๆ ช่วยยิ้มแบบเมื่อกี้อีกนะ ปูนน่ะเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าอะไรทั้งนั้น”

“เอ่อ…”

“จะไปกันได้หรือยัง” เสียงเข้มๆ ของโจมดึงความสนใจของผม แอบเห็นพี่ว่านอมยิ้มชอบใจก็ได้แต่สงสัยว่ามีอะไรน่าดีใจที่โดนโจมดุ โขมชวนเราทั้งหมดเข้าไปข้างในด้วยกัน ทว่ายังไม่ทันที่พี่ว่าจะเปิดประตู คนที่ผมต้องการพบก็เดินลงมาเสียก่อน

เอื้อหยุดเท้าลง มองตรงมาที่ผม ระหว่างเรามีเพียงประตูกระจกหนึ่งบานคั่นเท่านั้น ผมสำรวจอีกฝ่าย เสื้อผ้ายับยู่ยี่ พอๆ กับผมที่ยุ่งไม่เป็นทรง กระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกบ่งบอกได้ว่าบนห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น

นั่นน่ะพี่ฟิ้งนะ เอื้อไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก ในใจของผมประท้วง ทว่าร่างบางที่วิ่งตามลงมาข้างหลังกลับทำให้ความเชื่อใจทั้งหมดของผมพังทลาย

“เอื้อ! รอก่อนสิ” พี่ฟิ้งมีสภาพไม่ต่าง ผิดกันตรงที่ดวงตาคู่สวยนั้นช้ำและคลอไปด้วยน้ำใสๆ พี่ฟิ้งคงยังไม่สังเกตว่าพวกผมยืนอยู่ “เอื้อ กู…”

“ปล่อย”

“กูขอโทษ เมื่อกี้กูไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธกูนะเอื้อ” พี่ฟิ้งขอร้องก่อนที่มือเล็กๆ นั่นจะโอบกอดเอื้อเอาไว้ “กูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว กู…”

“ปล่อยกูได้แล้วฟิ้ง ปูนรอกูอยู่”

พี่ฟิ้งชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาคู่สวยฉายแววเจ็บปวดมากกว่าเดิม ร่างสูงค่อยๆ ปลดมือพี่ฟิ้งออกอย่างยากลำบากแต่สุดท้ายแล้วก็เป็นอิสระจนได้ เอื้อก้าวออกมาหาผม โดยไม่หันกลับไปมองข้างหลังแม้สักนิด มือใหญ่คว้าต้นแขนผมไปจับไว้ แล้วออกแรงดึงให้ไปด้วยกันโดยที่ผมไม่ทันได้แย้งใดๆ

“เอื้อ เดี๋ยวก่อนสิ”

“เงียบ!”

ผมสะดุ้ง เอื้อดุผมอีกแล้ว ผมจึงต้องหุบปาก ไม่เปล่งเสียงอะไรออกมาในตอนที่กำลังเดินไปขึ้นรถ

“เรากำลังจะไปไหน” ถามเมื่อเอื้อขับรถมาได้สักพัก ทางที่เอื้อพามาไม่ใช่ทางกลับหออย่างแน่นอน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบอะไร มันเงียบมาก ในรถก็พาลเงียบไปด้วย ขนาดจะหายใจดังๆ ผมยังกลัวรบกวนสมาธิมันเลยคิดดู และแล้วไม่นานรถคันสวยก็จอดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ เอื้อขับรถเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย พอรถจอดสนิทก็บอกให้ผมลงไปด้วยกัน

“ที่นี่ที่ไหน”

“บ้านพี่”

“หะ?!!” ก็พอจะเดาออก แต่อดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี พามาบ้านนี่กะจะเปิดตัวกับพ่อแม่เลยใช่มะ

“จะเสียดังทำไม คนอื่นเขานอนกันหมดแล้ว” ผมตะครุบปากตัวเองเอาไว้ทันที พลางเอ่ยขอโทษคนที่นอนอยู่ในใจ “คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่” ก็แน่อยู่แล้วป่ะวะ จะให้กลับหอคนเดียวตอนนี้ผมไม่เอาด้วยคนหรอก อยู่ตรงไหนของประเทศไทยก็ไม่รู้ (เวอร์จริงๆ)

ภายในบ้านของเอื้ออย่างกับบ้านในละครเลยครับ มันทั้งใหญ่ ทั้งสวย หรูหราและอลังการมาก ที่เคยได้ยินมาว่าบ้านเอื้อเป็นผู้ดีเก่านี่ท่าจะจริง ร่างสูงพาผมเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูบานสวยที่คาดว่าจะเป็นห้องของเจ้าตัวแหละ ห้องเอื้อที่บ้านไม่ต่างจากที่หอเท่าไหร่ เรียบง่าย เป็นระเบียบ และสะอาดสะอ้านสมกับเป็นคุณชายเอื้ออารีย์

เจ้าของห้องเดินไปค้นตู้ก่อนจะส่งเสื้อผ้าให้ผมมาหนึ่งชุดแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลที่ว่าเหม็นกลิ่นเหล้า โธ่พ่อคุณ ตัวเองนั่นแหละที่ดื่มเยอะกว่า แถมที่ตัวยังมีกลิ่นบุหรี่ติดมาอีกด้วย ระหว่างนั่งรถมาผมภาวนาตลอดทางว่าขออย่าให้เจอด่านเลย ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงต้องนอนกับตำรวจแล้วล่ะ

เข้าไปอาบน้ำประมาณยี่สิบนาทีก็กลับออกมา ใจจริงอย่างจะอยู่นานๆ ด้วยซ้ำครับห้องน้ำทั้งกว้างและสบายแทบจะนอนหลับได้เลย ถ้าไม่ติดว่าเอื้อมาเคาะประตูเสียก่อนผมว่าวันนี้ผมได้นอนในนั้นแน่ๆ

“มานั่งนี่” เสียงทุ้มสั่งจากบนเตียง เอื้อก็อาบน้ำเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ผมอยากดื้อไม่ทำตาม แต่สุดท้ายก็เดินไปนั่งตามคำสั่ง ดูเอื้ออารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่อยากขัดมันมากครับ พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วคนข้างหลังก็เริ่มเช็ดผมให้อย่างนุ่มนวล “อย่าเพิ่งหลับนะ”

“ง่วงจะตายอยู่แล้ว”

“อย่าเพิ่งหลับ คืนนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”

“เอาไว้คุยพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ คืนนี้ตาจะปิดแล้วจริงๆ” ยิ่งเอื้อเช็ดผมให้เพลินๆ ผมยิ่งอยากจะนอนมันเดี๋ยวนี้เลย

“พี่ไม่อยากรอแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่รอมามากพอแล้ว ไม่สงสารพี่บ้างเหรอ” เอื้อเลิกเช็ด และเปลี่ยนมาโอบกอดผมเอาไว้แทน ริมฝีปากร้อนแตะจูบเบาๆ ที่ข้างหู “พี่คิดถึงปูนนะ”

“โกหก” แม้ว่าสัมผัสจากอีกฝ่ายจะกวนใจ แต่ผมต้องประคงสติตัวเองเอาไว้ “คิดถึงแล้วหายไปไหนมาตั้งนาน”

“พี่สิต้องถามปูน หายไปไหนมา ทำไมไม่มาหาพี่”

“เพราะ…”

“เพราะอะไรครับ อย่างเงียบสิ”  ผมอยากจะตะโกนว่าเลิกจูบก่อนได้หรือเปล่ามันจั๊กกจี้นะ

“ข้างตัวเอื้อก็มีพี่ฟิ้งอยู่แล้ว จะมีปูนอีกทำไมล่ะ” พูดจบอีกฝ่ายก็กอดผมแน่นกว่าเดิม

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ...พี่อยากมีปูนนะ เคยบอกไปแล้วว่าอยากอยู่ข้างๆ ปูนแค่ไหน…” ริมฝีปากร้อนจูบผมเบาๆ “ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ชอบปูน”

หน้าผมร้อนผ่าว ไม่ชอนกับคำชอบรักของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งการแสดงออกความรักที่พาให้ใจเต้นแรง...เดี๋ยวกอด เดี๋ยวจูบ จะลวนลามกับไปถึงไหนก็ไม่รู้

“อื้อ...พอแล้ว ไหนจะคุยไงล่ะ”

เอื้อหัวเราะในลำคอ แต่ก็ยอมหยุด “เลิกกังวลเรื่องฟิ้งเถอะ ฟิ้งคือเพื่อน”

“แต่พี่ฟิ้งไม่ได้คิดกับเอื้อแค่เพื่อน เอื้อไม่รู้หรือไง”

“...รู้สิ พี่รู้มาตลอดแหละ” อีกฝ่ายตอบรับเสียงเบา ยิ่งทำให้ผมหวั่นใจ เอื้อรู้มาตลอดแต่ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มันหมายถึงยังไงกันแน่ “ไม่ว่าฟิ้งจะคิดกับพี่ยังไง สำหรับพี่ฟิ้งก็เป็นได้แค่เพื่อน ไม่ว่าจะเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือในอีกหลายปีข้างหน้า ฟิ้งก็ยังคงเป็นเพื่อนของพี่เท่านั้น”

“...”

“พี่รู้ว่าปูนคงรู้สึกแย่กับเรื่องของฟิ้ง พี่สัญญาว่าต่อจากนี้มันจะไม่มีอีก”

“หมายความว่า เอื้อกับพี่ฟิ้ง…”

ร่างสูงซบหน้าลงกับบ่าของผม ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ “เปล่าหรอก สำหรับพี่แล้วฟิ้งก็ยังเป็นเพื่อน แต่สำหรับฟิ้ง...คงต้องใช้เวลา”

“ปูนขอโทษนะ ถ้าเอื้อจะเลือกพี่ฟิ้งก็ได้ ปูนยอมแล้ว ดีกว่าต้องมาเห็นเอื้อเสียใจแบบนี้” ผมพูดจริงๆ นะ ผมยอมทุกยอ่าง ขอแค่เอื้อไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจที่ต้องเสียพี่ฟิ้งไปก็พอ ที่ผ่านมาผมมันเห็นแก่ตัว ผมมันแย่ รู้ทั้งรู้ว่าเอื้อลำบากใจแต่ก็ยังบีบอีกฝ่ายให้ต้องเลือก “ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ”

ผมยกหลังผมขึ้นปาดน้ำตา พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แต่มันก็ทำไม่ได้ง่ายๆ “ฮึก…”

“ร้องไห้ทำไม ชู่...ไม่ร้องสิปูน ไม่ต้องขอโทษ เรื่องนี้ปูนไม่ผิด เรื่องของพี่กับฟิ้งมันถึงเวลาแล้ว ขืนปล่อยไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

ผมขยับตัวเบาๆ เพื่อหันไปมองหน้าเอื้อ “ถึงยังไงก็ต้องขอโทษ…” ว่าแล้วก็วางฝ่ามือแนบไปกับใบหน้าหล่อของคนที่ขโมยใจผมไปทั้งใจ แล้วโน้มหน้าไปกดจูบอีกฝ่ายชั่วครู่แล้วผละออก “ปูนมันเป็นคนเห็นแก่ตัว...อยากเป็นคนสำคัญที่สุดของเอื้อ ไม่อยากให้เอื้อมองใคร...อยากเป็นคนเดียวที่เอื้อรัก”

ผมหน้าร้อนวาบ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อได้สารภาพความรู้สึกข้างในออกไปแล้ว ร่างสูงส่งยิ้มละมุนที่คุ้นเคย ก่อนจะเอื้อมือมาเช็ดน้ำตาให้ผม

“หึ...เขินทั้งที่กำลังร้องไห้...น่ารักจริงๆ เลย อ้าว...หัวเราะอีก ยังสติดีอยู่หรือเปล่าครับน้องปูน” เรื่องกวนตีนต้องยกให้เอื้อจริงๆ กวนได้ทุกสถานการณ์

“เป็นบ้าไปแล้ว”

“เป็นบ้า? บ้าอะไร...บ้ารักพี่เหรอ”

ผมหัวเราะหนักเลย เอื้อหลงตัวเองชะมัด แต่ว่าไม่ได้ครับ...ก็มันเรื่องจริงนี่

“อือ คงอย่างนั้นแหละ”

เอื้อดูจะตกใจไม่น้อยที่ผมยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย นัยน์ตาสีเข้มฉายแววดีใจชัดเจน ก่อนที่อีกฝ่ายจะหอมแก้มผมแรงๆ

“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ”

“พูดอะไร จำไม่เห็นได้เลย” เสไปมองทางอื่น แอ๊บเป็นนางเอกหนังไทยที่ปากไม่ตรงกับใจตัวเอง “วู้ววว ดึกแล้วนอนเถอะ ง่วงอ่ะ”

“ไม่เอาดิอย่าเปลี่ยนเรื่อง พูดมาก่อน”

“อะไรเล่า ทีตัวเองยังไม่เห็นจะเคยบอกเลย” ผมโวยวายพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนประหนึ่งครีมเหล็ก ต้องเล่นตัวหน่อยครับแม้จะดีใจที่อีกฝ่ายกลับมากอดผม “ปล่อย…”

“พี่รักปูนนะ”

“เดี๋ยวดิ ยังไม่ทันตั้งตัวเลย” เอื้อกับเราะทันทีที่ผมพูดจบ บ้าจริง เป็นคนปากดีก่อนแท้ๆ แต่พอเขาพูดแล้วร่างกายเหมือนจะไม่มีแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แถมหัวใจยังเต้นกระหน่ำยิ่งกว่าเดิมอีกเท่าตัว

“พี่เอื้อรักปูนนะครับ” พูดแล้วก็จูบแก้มผมไปอีกรอบ “จะไม่ตอบอะไรหน่อยเหรอ” จะให้ตอบอะไรเล่า หัวสมองมันขาวโพลนไปหมดแล้วเนี่ย “ปูน…”

“มะ เหมือนกัน”

“เหมือนกันอะไร”

“ก็รักเหมือนกันไงเล่า!”

คนมันอายนะครับ ไม่เข้าใจหรือไง!!

=============================================================
=======================================================
มาลงให้อ่านกันสองตอนเลย ชดเชยที่หลังๆ หายไปนานเหลือเกิน ขอโทษนะคะ
ตอนหน้ามาดูมุมพี่เอื้อกับเนาะว่าที่ผ่านมาเขาคิดอะไรอยู่
ไม่รู้ว่าเหตุผลของพี่เอื้อจะยังน่าตบเหมือนเดิมหรือเปล่า
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ (เยยยยย้)
รักทุกคน (ย้ำอีกครั้ง)
ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามค่ะ (ย้ำอีกที)
คืนนี้ฝันดีน้าาาา :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดีนะที่ยังคิดได้ทั้งคู่

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เข้าใจกันซะที พี่เอื้อทำอะไรให้ปูนมั่นใจหน่อย ตอนหน้าจบแล้วหรา เร็วจัง :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ดีที่เข้าใจกันได้

ส่วนฟิ้ง ก็อย่างที่บอก คนไม่ใช่ทำไงมันก็ไม่ใช่

หาคนใหม่ค่ะ สู้ ๆ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หวังว่าพี่ฟิ้งจะยอมจบง่ายๆ นะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทส่งท้าย
เมื่อพี่เอื้อ...รักน้องปูน

 
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่...เช้ากว่าทุกวัน และเช้ากว่าคนที่ตื่นเช้าเป็นประจำอย่างปูนด้วย สารภาพตามตรงว่าจริงๆ ผมนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรอก แต่มันดีใจจนหลับไม่ลงต่างหาก
 
คำว่ารักจากปูน มันทำให้ผมเหมือล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ไม่ปาน
 
แต่ก่อนอื่น ผมมีเรื่องสารภาพผิดกันทุกคนก่อนครับ ผมได้ทำเรื่องแย่ลงไปอย่างไม่น่าให้อภัย นั่นคือทำให้น้องปูนของทุกคนร้องไห้และเสียใจมาหลายวัน ผมขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ยินคำว่ารักจากคนปากแข็งเสียที
 
ครับ...เรื่องทั้งหมดคือเรื่องที่ผมคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
 
มันเริ่มจากวันที่เรามีปาร์ตี้บ้านไอ้เดียวนั่นแหละ ตอนที่ผมไปส่งฟิ้งที่หอ
 
“ตกลงมึงกับปูนนี่เป็นยังไงกันแน่วะ”
 
“...ก็กำลังจีบ”
 
“ยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอ” นั่นสิ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าเมื่อไหร่คนดีของผมจะใจอ่อนเสียที ใจดีกับทุกคนแต่ใจร้ายกับผมอยู่แค่คนเดียว “หรือว่าจริงๆ แล้วน้องอาจจะไม่ได้คิดกับมึงเหมือนที่มึงคิดกับน้องวะ”
 
ผมเหลือบตามองฟิ้ง เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แน่นอน ถ้าผมกับปูนไม่ได้คิดตรงกัน ไม่มีทางที่ปูนจะยอมผมมากมายขนาดนี้ อย่างน้อยๆ ตอนนี้ปูนก็น่าจะเริ่มชอบผมบ้างล่ะ
 
“กูไม่อยากให้มึงเสียเวลานะเอื้อ มึงควรจะเผื่อใจไว้บ้าง ถ้ามันไม่ใช่ขึ้นมา…”
 
“ขอบใจนะฟิ้ง แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูว่ากูจัดการได้” ปากเก่งไปงั้นแหละ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วควรจะจัดการอย่างไรกับเด็กดื้อจอมปากแข็งนั่นเสียที
 
พอไปส่งฟิ้งถึงหอผมก็รีบกลับมาหาปูนที่บ้านไอ้เดียว ปรากฏว่าเด็กดื้อหายไปแล้ว ไปสอบถามเจ้าของบ้านก็ได้ความว่ากลับไปกับเพื่อนรักอย่างโจมเรียบร้อย และถ้าให้ผมเดา...คืนนี้ปูนคงไปนอนค้างกับโจมแน่นอน
 
“มึงมีปัญหากันเหรอวะ”
 
“กูไม่มีปัญหาอะไรกับปูนหรอก แต่ดูเหมือนปูนจะมีปัญหากับกู” ผมตอบไอ้เดียวไป ที่จริงแล้วผมอยากจะไปหาปูนเดี๋ยวนี้เลยแต่เดียวมันรั้งให้อยู่ก่อน ตอนนี้เราสองคนแยกออกมาคุยกันต่างหาก ส่วนคนที่เหลือกำลังร้องรำทำเพลงกันไปด้วยความสุขสันต์ (ไม่เกรงใจคนเครียดบ้างเลย)
 
“ปัญหา?”
 
“เออ เหมือนปูนมีอะไรในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ปกติก็ปากแข็งจะแย่อยู่แล้ว มึงเห็นเหมือนว่าปูนไม่ได้คิดอะไร แต่จริงๆ แล้วเก็บทุกเรื่องมาคิด” ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าปูนเป็นยังไง คนที่ใส่ใจคนอื่นแบบปูนน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นคนไม่สนใจอะไร เพียงแต่จะพูดหรือเปล่าแค่นั้นเอง
 
“อย่าว่ากูอคติเลยนะเว้ย แต่อาจจะเป็นเพราะฟิ้งก็ได้” ไอ้เดียวส่งแก้วเครื่องดื่มให้ผมเป็นแก้วที่สองแล้ว นี่มึงกะมอมกูถูกมั้ย
 
“...” ผมไม่ตอบ ในใจก็คิดว่ามันคงเป็นเพราะฟิ้งนั่นแหละ แต่ลึกๆ แล้วไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยจงใจข้ามประเด็นนี้ไป “วันนี้ฟิ้งถามกูว่ากูกับปูนเป็นอะไรกัน แม่งตลกฉิบหายที่กูเกือบตอบฟิ้งไม่ได้ เพราะตอนนี้กูไม่รู้ว่ากูกับปูนเป็นอะไรกันแน่”
 
“มึงเป็นคนรักกัน อย่าบอกว่ามึงโง่มองไม่ออกว่าปูนก็รักมึง”
 
“กูดูออก แต่มันจะมีความหมายอะไรถ้าปูนไม่ยอมพูดออกมาสักที ไม่ใช่แค่ปูนหรอกทราอยากได้ความชัดเจนจากกู...กูเองก็อยากได้จากปูนเหมือนกัน”
 
และเพราะแบบนั้น มันเลยเป็นที่มาของเรื่องที่ผมอยากสารภพาผิดกับทุกคนวันนี้ ทั้งที่ผมได้เห็นน้ำตาของปูนในคืนนั้นแล้วแท้ๆ แต่คำที่ผมอยากได้ยินกลับไม่หลุดรอดออกมาเลย
 
เรื่องมันเริ่มบานปลายเมื่อผมอยากลองใจปูนมากไปกว่าเดิม ฟิ้งรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญและฟิ้งก็ยินดีจะช่วย… ผมรู้ว่าฟิ้งมีอะไรแอบแฝงอยู่ในใจ ถึงฟิ้งจะยิ้มให้ปูนและผม แต่ในรอยยิ้มนั้นไม่มีความยินดีอยู่เลยสักนิด
 
ในเย็นวันหนึ่งที่ผมนัดกับปูนว่าเราจะไปหาอะไรทานด้วยกัน ฟิ้งก็ขอตามไปด้วย ปูนเลยขอพาโจมไปด้วยเช่นกัน แทนที่เราจะได้ไปกันสองคนหลังจากที่ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันนาน กลับกลายเป็นว่าผมต้องอยู่แต่กับฟิ้ง และปูนก็อยู่แต่กับโจม ผมรู้ว่าปูนพาโจมมาด้วยทำไม ปูนรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของผมและฟิ้ง แต่บอกไว้ตรงนี้เลยว่ามันไม่ใช่ สำหรับผม...ในสายตาผมนั้นผมมีแต่ปูนเสมอ มันยากนะที่ต้องทำเหมือนไม่สนใจทั้งๆ ที่ผมไม่เคยมองไปที่อื่นได้สักครั้ง
 
ไม่มีวันไหนที่ผมจะละสายตาจากปูน
 
อย่างเรื่องที่ปูนไม่ชอบกินบุฟเฟ่ต์นั่นก็เหมือนกัน อยู่กับปูนมาขนาดนี้แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าปูนเป็นคนยังไง ชอบแบบไหน หรือไม่ชอบอะไร เพียงแต่ผมอยากให้ปูนพูดออกมา...เพียงบอกมาว่าไม่ชอบ ไม่อยากกินแล้ว ผมก็พร้อมจะพาปูนกลับไปเสียเดี๋ยวนั้น อยากบอกให้ปูนรู้ว่าปูนไม่ได้สำคัญน้อยกว่าใคร เพียงแค่พูดออกมาผมก็พร้อมจะทำให้ปูนได้ทุกอย่างจริงๆ
 
ทว่าปูนคงเป็นคนดีเกินไป ทุกอย่างที่ทำเลยเป็นการรักษาน้ำใจของทุกคน...ยกเว้นผม ถึงพูดออกอะไรแบบนั้นออกมา...
 
ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าผมรู้สึกแย่มากที่ปูนบอกให้ผมไปดูแลคนอื่น
 
ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าผมเสียใจขนาดไหนที่วันนั้นปูนพูดว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
 
ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าหัวใจของผมเหมือนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้ฟังคำพูดที่แสนใจร้ายจากริมฝีปากที่ผมคุ้นเคย
 
“ชัดเจนแล้วนะมึง” ฟิ้งบอกผมแบบนั้นก่อนที่มันจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้า เหลือเชื่อที่มันยังมีอารมณ์กินอีก ทั้งๆ ที่เพื่อนตัวเองเจ็บหนักขนาดนี้ “กูเตือนมึงแล้ว”
 
แม้ว่าฟิ้งจะบอกแบบนั้น แต่ในใจของผมไม่เชื่อหรอกว่าปูนจะรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ที่บอกออกมาแบบนั้นก็เพราะปูนอารมณ์ไม่ดี ปูแค่รู้สึกอยากปกป้องตัวเองจากสถานการณ์นี้ ไม่ก็อยากจะประชดผมเท่านั้น
 
ในระหว่างนั้นผมก็รอปูนเสมอมา รอว่าเมื่อไหร่ปูนจะรู้นะว่าตัวเองทำผมเสียใจมากมายเท่าไหร่ ผมต้องห้ามตัวเองไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อไม่ให้เป็นฝ่ายไปง้อปูนก่อน ผมรู้ว่าผมก็มีส่วนผิดที่ทำให้ปูนพูดแบบนั้นออกมา แต่ในใจลึกๆ ผมก็หวังว่าจะได้ฟังคำขอโทษจากปูน
 
ผมกลับไปอยู่บ้าน สร้างความแปลกใจให้แม่ไม่น้อย หน้าเศร้าๆ ของผมทำให้แม่ไม่สบายใจ ผมเลยเปิดปากเล่าทุกอย่างออกมา ในตอนแรกผมกลัวว่าแม้จะรับไม่ได้ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่แม่เพียงพูดว่า
 
“จะชายหรือหญิงไม่สำคัญหรอก เพียงแค่สอนให้ลูกแม่รู้จักคำว่ารักได้เสียทีก็พอแล้วล่ะ”
 
และพอเล่าว่าว่าที่ลูกสะใภ้แม่ทำเอาผมเสียใจขนาดไหน แม่กลับหัวเราะท้องแข็ง
 
“สมน้ำหน้า ทำคนอื่นเขาไว้เยอะนี่เราตอนนี้เจอกับตัวเองเสียบ้างก็ดี...เขาเรียกว่าอะไรนะ เวรกรรมตามสนองเหรอ”
 
โอเค ถึงว่าเคราะห์กรรมของผมยังไม่จบสิ้นแล้วกัน
 
เรื่องราวดำเนินมาถึงเมื่อวานตอนเย็นตอนที่ผมกำลังจะกลับบ้านเพื่อนเตรียมตัวไปงานวันเกิดใครสักคนเป็นเพื่อนฟิ้งคืนนี้ แต่ความจริงลึกๆ แล้วผมก็อยากดื่มเพื่อผ่อนคลายบ้างเหมือนกัน เผื่อจะได้คิดออกว่าจะทำยังไงกับเด็กดื้อที่ยังเงียบหายไปดี
 
“เอื้อ...มึงดีกับน้องแล้วเหรอวะ” ไอ้เดียวทักตอนกำลังจะขึ้นรถของมันที่จอดอยู่ข้างๆ กัน ผมได้แต่หันไปเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมมันถึงถามมาแบบนั้น “เมื่อกี้กูเห็นน้อง...นึกว่ามาหามึงซะอีก สรุปยังไม่ดีกันสินะ” มันดูรู้นสึกผิดโคตรๆ ที่ทักผมด้วยเรื่องของปูน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ตัวผมสนใจ
 
“มึงเห็นปูนที่ไหน”
 
“ที่คณะนี่ล่ะ...ตอนแรกกูนึกว่ามาหามึง แต่...กูอาจจะตาฝาดก็ได้” ไม่มีทางที่ไอ้เดียวจะตาฝาด ดูท่าทางของมันก็รู้ว่ามันเจอปูนจริงๆ แต่ทำไมเด็กดื้อไม่เข้ามาทักผมล่ะ
 
ในคืนนั้น...ผมก็ได้เจอปูนอีกครั้ง ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อยที่เห็นปูนที่นี่ และผมก็พร้อมที่จะคิดเข้าข้างตัวเองด้วยว่าปูนมาที่นี่เพราะผม และเมื่อสายตาของเราประสานกันนั่นแหละ ความอดทนของผมจึงสิ้นสุด
 
ผมลุกขึ้นยืน เดินไปหาปูนช้าๆ แต่ตอนที่กำลังจะถึงตัวปูน ฟิ้งก็เข้ามาขวางไว้ กลิ่นลมหายใจของมันและท่าทางโอนเอนบ่งบอกให้ผมรู้ว่ามันเมามากแค่ไหน ในใจผมคิดว่าขอจัดการเพื่อนตัวเองก่อนแล้วกัน เพราะยังไงก็เป็นคนพามันมานี่นะ แล้วเรื่องของปูนค่อยไปตามเค้นกับคนปากแข็งทีหลังว่าตามผมมาทำไม
 
ผมไปส่งฟิ้งที่ห้องของมัน เหวี่ยงมันลงเตียงแล้วกำลังจะผละออก ทว่าแขนเล็กๆ ของมันกลับตวัดเกี่ยวรอบคอผมเอาไว้เสียก่อน แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมันออกแรงดึงผมลงไปหาก่อนจะประกบปากเข้าหากัน ฟิ้งจูบผม พยายามที่จะสอดลิ้นเข้ามาด้านในโพรงปาก และสุดท้ายมันก็ทำสำเร็จอย่างทุลักทุเล ไม่ใช่ว่าผมไม่ขัดขืน แต่ฟิ้งก็เกาะหนึบยิ่งกว่าปลาหมึกในทะเลลึก
 
ร่างบางกว่าผลักผมให้นอนหงายบนเตียงก่อนจะขึ้นคร่อม มือเล็กปลดกระดุมเสื้อผมอย่างรีบร้อน แต่เพราะมันลนลานเกินไปจึงเปลี่ยนเป็นดึงทึ้งเสื้อผ้าผมแทน ในตอนนั้นผมได้แต่นอนนิ่งๆ มองการกระทำของมันด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะถามออกไปว่า
 
“มึงกำลังจะทำอะไรฟิ้ง”
 
“...”
 
“กูรู้ว่ามึงไม่ได้เมา”
 
“...”
 
“และถ้ามึงยังทำต่อไป คำว่าเพื่อนกูก็จะไม่ให้มึง” นั่นแหละ ฟิ้งถึงได้หยุดทุกอย่าง มันลืมตามองผม ใบหน้าแดงกล่ำไม่ต่างจากดวงตาคู่สวยที่คลอไปด้วยหยาดน้ำ ถ้าไมใช่ตอนนี้ผมคงสงสารมันจับใจ
 
ผมผลักฟิ้งออกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งคนละฟากเตียงกันมัน เราสองคนเงียบไปสักครู่หนึ่ง แล้วฟิ้งมันก็ขยับมากอดผมไว้จากทางด้านหลัง น้ำตาของอีกฝ่ายทำให้แผ่นหลังของผมเปียกชื้น
 
“กูชอบมึงนะเอื้อ…” เสียงแหบห้าวสะอื้น “กูชอบมึง...อึก...จริงๆ นะเอื้อ”
 
“แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อน”
 
“กูรู้...กูถึงพยายามเป็นเพื่อนที่ดีกับมึงมาตลอด แต่ตอนนี้กูทำไม่ได้… เพราะกูรู้สึกเหมือนว่ากูกำลังจะเสียมึงไปให้ปูน...อึก...เอื้อ...ขอร้องเถอะ เลิกกับเด็กนั่นเถอะนะ กูไม่อยากเสียมึงไป…”
 
“กูคงทำให้มึงไม่ได้” ผมวางมือทาบกับมือเล็กกว่า “กูรักปูน”
 
ฟิ้งร้องไห้ออกมาเสียดังลั่นราวกับจะขาดใจ “ทำไมวะ...ทำไมไม่เป็นกู...อึก…”
 
“เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนกูไงฟิ้ง”
 
“แต่กูไม่อยากเป็นแค่เพื่อนมึง!”
 
“...”
 
“ถ้ากูเลือกได้...วันนั้นกูคงไม่เข้าไปทักมึง…” ฟิ้งเหมือนปูนอยู่อย่างหนึ่งคือเจ้าตัวไม่รู้เลยว่าคำพูดที่เปล่งออกมานั้นทำให้คนฟังเสียใจมากแค่ไหน “ถ้าเลือกได้กูไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับมึงเลย…”
 
เป็นคุณจะรู้สึกยังไงถ้าหากว่าเพื่อนที่คุณรักมากบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณอีกต่อไป
 
ผมปลดมือของฟิ้งออกด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
 
“กูไม่โกรธที่มึงพูดแบบนี้หรอกฟิ้ง...แต่รู้ไว้นะว่าถ้ากูเลือกได้...กูก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิม”
 
“...อึก…”
 
“ขอบคุณนะที่ทนเป็นเพื่อนกับคนอย่างกู...ขอบคุณจริงๆ ว่ะฟิ้ง”
 
ผมเดินจากมาพร้อมกับเสียงร้องไห้ของฟิ้ง และในตอนที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงผมก็เห็นว่าฟิ้งวิ่งมาหาผม แต่ก็ไม่ทันเมื่อประตูลิตฟ์ปิดลงเสียก่อน พอลงมาถึงชั้นล่างผมก็พบกับคนที่ผมอยากเจอมากที่สุด
 
ปูนอยู่ข้างหน้าผมแล้ว…
 
ฟิ้งตามมาทันจนได้ แต่ความเสียใจทำให้ผมยังไม่อยากคุยกับมันตอนนี้ ผมเลือกที่จะปล่อยมันเอาไว้แล้วไปกับปูน ผมพาปูนมาที่บ้าน เราปรับความเข้าใจกัน...แล้วผมก็ทำปูนร้องไห้อีกแล้ว ปกติเด็กดื้อของผมไม่ใช่คนขี้แย แต่เรื่องราวที่ผ่านมาคงทำให้เด็กดื้อของผมอ่อนแอลง
 
“ปูนขอโทษนะ ถ้าเอื้อจะเลือกพี่ฟิ้งก็ได้ ปูนยอมแล้ว ดีกว่าต้องมาเห็นเอื้อเสียใจแบบนี้ ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ” ระหว่างที่พูดปูนก็พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไปด้วย มันยิ่งทำให้ผมสงสารอีกฝ่ายจับใจ
 
“ร้องไห้ทำไม ชู่...ไม่ร้องสิปูน ไม่ต้องขอโทษ เรื่องนี้ปูนไม่ผิด เรื่องของพี่กับฟิ้งมันถึงเวลาแล้ว ขืนปล่อยไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
 
“ถึงยังไงก็ต้องขอโทษ…” เด็กดื้อวางมือลงบนหน้าของผม ปูนจะรู้หรือเปล่าว่าแววตาของปูนตอนนี้มันทำให้ผมหัวใจเต้นแรงขนาดไหน ดวงตาหวานราวกับตากวางที่มีหยาดน้ำใสๆ คลออยู่ ยิ่งชวนให้หลงไหล “ปูนมันเป็นคนเห็นแก่ตัว...อยากเป็นคนสำคัญที่สุดของเอื้อ ไม่อยากให้เอื้อมองใคร...อยากเป็นคนเดียวที่เอื้อรัก”
 
เด็กดื้อ...ในที่สุดก็ยอมพูดออกมาจนได้
 
“หึ...เขินทั้งที่กำลังร้องไห้...น่ารักจริงๆ เลย อ้าว...หัวเราะอีก ยังสติดีอยู่หรือเปล่าครับน้องปูน”
 
“เป็นบ้าไปแล้ว”
 
“เป็นบ้า? บ้าอะไร...บ้ารักพี่เหรอ”เ ห็นแก้มแดงๆ แล้วมันอดแกล้งไม่ได้จริงๆ ครับ ผมคงเป็นโรคจิตแล้วล่ะ
 
“อือ คงอย่างนั้นแหละ” เล่นโจมตีกันโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ร้ายกาจจริงๆ ที่ทำให้ผมหลงไหลได้ขนาดนี้ แต่ผมถามกลับอย่างจริงจังกลับทำเป้นโมเมเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
 
อย่างนี้ต้องบอกรักคืนกันหน่อยแล้ว
 
“พี่รักปูนนะ”
 
“เดี๋ยวดิ ยังไม่ทันตั้งตัวเลย”
 
“พี่เอื้อรักปูนนะครับ” ผมจูบแก้มแดงงที่ล่อสายตา อ่า...ชื่นใจจริงๆ “จะไม่ตอบอะไรหน่อยเหรอ...ปูน…”
 
“มะ เหมือนกัน”
 
“เหมือนกันอะไร”
 
“ก็รักเหมือนกันไงเล่า!”
 
หึๆ ในที่สุดคืนนี้ผมก็ได้ฟังคำที่ผมอยากได้ยินมาตลอดเสียที เท่านี้ผมก็สุดใจไปทั้งคืนแล้วครับ

..
.
ผมนอนมองหน้าปูนอยู่อย่างนี้มาเป็นสิบนาทีเห็นจะได้ เมื่อคืนจำได้ว่ากอดกันอยู่ดีๆ แต่เด็กดื้อกลับรอรดิ้นเสียจนกอดต่อไม่ไหวเลยได้แต่นอนจับมือเอาไว้แบบนี้ และแล้วดวงตากลมก็ค่อยๆ ลืมขึ้น คนตรงหน้าสะดุ้งเบาๆ ที่เจอผมส่งยิ้มให้แต่เช้า
 
“สยองอ่ะ มานอนมองแล้วยิ้ม บ้าหรือเปล่า” ปากดีจริงๆ ครับ ทั้งที่หน้าแดงแจ๋ขนาดนี้ยังไม่วายกวนประสาทกันอีกนะ
 
“อรุณสวัสดิ์”
 
ปูนกระพริบตาก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย “กี่โมงแล้วอ่ะ” ว่าพลางก้มลงมองมือที่จับกันไว้ “โห นี่จับไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเลยเหรอ”
 
“ที่จริงกอดต่างหาก แต่ปูนดิ้นเลยกอดไม่ไหว” นี่เรื่องจริงนะ ไม่ได้ใส่ร้ายเลย วันหลังคงต้องกอดไว้แน่นๆ จะได้ไม่ดิ้นแล้วทำร้ายผมแบบนี้อีก
 
“ไม่จริงอ่ะ โตแล้วไม่ดิ้นแล้ว” ทำหน้าไม่อยากเชื่อ “ว่าแต่ตื่นเช้านะเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า”
 
“นิดหน่อย เหมือนว่าจะเป็นไข้”
 
“จริงดิ” ร่างบางตาโตแล้วพุ่งตัวมาหาผมพร้อมกับแนบหลังมือลงกับหน้าผาก “ไม่เห็นร้อนเลยอ่ะ ปวดหัวมั้ย หรือเจ็บคอ รู้สึกหนาวๆ หรือเปล่า หรือว่า…”
 
“พอแล้วๆ”  เห็นแล้วอดขำไม่ไหวครับ แบบนี้น่าจะให้มาเรียนเภสัชฯ ด้วยกันกันนะ ซักประวัติคนไข้เสียละเอียดเลย “พี่เป็นไข้ที่ชน…”
 
“ไข้ที่ชน?”
 
“ก็คนที่ใช่สำหรับปูนไง” ว่าแล้วก็ยิ้มแป้น โอ๊ยยย เขินมุกเสี่ยวตัวเองฉิบหาย ปกติผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ สงสัยอยู่กับไอ้เดียวมากเกินไป
 
“สรุปไม่ได้ป่วยใช่ป่ะ จะได้ไม่ต้องสนใจ”
 
ผมรีบกอดปูนเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายเตรียมจะลุกจากเตียง “พี่ล้อเล่น...พี่แค่ดีใจที่มีปูนมานอนข้างๆ เท่านั้นเอง”
 
“ปากหวาน”
 
“ก็หวานไม่เท่าปูนหรอกครับ…” เข้าทางผมสิ พูดจบก็ขอชิมปากบางที่เผยอเหมือนเป็นการเชิญชวนโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ริมฝีปากนุ่มนิ่นหวานฉ่ำ ลิ้นเล็กที่กระหวัดเกี่ยวกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงครางหวานๆ ที่เจ้าตัวเปล่งออกมาโดยไม่ร้ตัว ทุกอย่างกระตุ้นให้ผมเคลิ้บเคลิ้มและหลงไหลจนยากจะถอนใจ
 
“อือ…หยุด...หยุดก่อนๆ” เด็กดื้อยกมือขึ้นมากลั้นกลางระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่ ทำให้ผมได้แต่จูบซับที่ผ่านมือบางแทน “เฉยๆ ก่อนสิ”
 
“มีอะไรครับ”
 
“เพิ่งนึกขึ้นได้…” ปูนเว้ยวรรค แต่สายตาจ้องผมไม่วางตาจนรู้สึกเกรงๆ ที่ว่านึกขึ้นได้นี่นึกอะไรได้วะ ไม่ใช่ว่านึกถึงคดีเก่าๆ ผมได้แล้วพาลโกรธกันหรอกนะ “เมื่อคืนกันพี่ฟิ้ง...ได้ทำอะไรกันหรือเปล่า”
 
“อ่อ…” ผมส่งยิ้มให้ปูน อยู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจพองโต นานๆ ทีเด็กปากแข็งจะแสดงออกว่าหึงผมนะครับ “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น”
 
“แล้วทำไมเสื้อผ้าถึงหยุดทั้งคู่เลย” โอ้โห สังเกตขนาดนี้เลยเหรอ บอกแล้วว่าปูนน่ะเป็นคนคิดมาก แถมไม่ค่อยพูดออกมาเสียด้วย
 
“ที่จริงก็มีนิดหน่อย…”
 
“อะไร!” ดุชะมัด นี่ผมเตรียมยื่นใบสมัครสมาคมพ่อบ้านใจกล้าไว้เลยดีมั้ย
 
“แค่จูบ...จูบเดียวเลย จูบเดียวจริงๆ ไม่มีอย่างอื่น”
 
“แลกลิ้นหรือเปล่า” ถามทั้งๆ ที่หน้าแดง อยากจะแซวนะครับแต่เห็นหน้าคนถามแล้วไม่กล้าแซวเท่าไหร่ มองผมไม่วางตาทีเดียว
 
“ก็...นิดหน่อย”
 
ผัวะ!!
 
หมอนใบใหญ่พสดเข้าที่หน้าผมเต็มๆ จนหงายหลังลงไปนอน (ตัวเล็กๆ แค่นี้ทำไมแรงเยอะจังวะ) “โอ๊ยยย ฟาดมาทำไมเนี่ย”
 
“แลกลิ้นเลยเหรอ! อยากตายมากใช้มั้ย!”
 
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นดิ...เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ อีกอย่างพี่ไม่ได้เต็มใจสักหน่อย” ผมคว้าตัวปูนเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะฟาดหมอนลงมาอีก
 
“พี่ฟิ้งตัวเล็กนิดเดียว ทำไมไม่ขัดขืน”
 
“ก็เหมือนเราแหละ ตัวเล็กนิดเดียว...แต่หึงทีก็แรงเยอะจนพี่จับไม่อยู่แล้วเนี่ย” ผมรัดตัวปูนให้แน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มเนียน
 
ฟอด!
 
“ไม่หึงนะครับ เมื่อคืนไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
 
“...จริงนะ” เริ่มนิ่งแล้วครับ
 
“จริงสิ จะมีอะไรได้ไง ก็พี่คิดถึงแต่ปูนคนเดียวนี่นา” ผมย้ำ ก่อนจะกดจูบอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมา ช่วงชิงทุกลมหายใจของปูนไว้และมอบลมหายใจของตัวเองให้แทน “ปูนครับ...พี่รักปูนนะ”
 
ผมสัญญา...ไม่สิ ต่อไปนี้ไม่จะไม่มีวันคิดนอกลู่นอกทางเด็กดื้ออีกเลย

..
.
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงสายๆ ผมถึงได้พาปูนลงมาข้างล่างเสียที อาหารมื้อแรกของวันดูเป็นที่ชอบใจของเด็กดื้อมากเพราะเจ้าตัวเล่นทานข้าวไปตั้งสองจานทั้งที่ปกติจานเดียวก็ยังทานไม่ค่อยจะหมด พอถามว่าทำไมวันนี้ทานอาหารได้เยอะกว่าปกติก็ได้คำตอบว่าเพราะช่วงที่ผ่านมาทานอะไรไม่ค่อยลง
 
อือ...เล่นเอาผมรู้สึกผิดเลยครับ
 
“จอใหญ่อย่างกับโรงหนัง” ปูนตาโต รีบวิ่งเ้าหาโซฟาตัวใหญ่แล้วกระโดดลงไปจนเกือบจะตกลงมา
 
“อย่าซนสิ เดี๋ยวเจ็บตัวขึ้นมาจะว่าไง”
 
“อย่างนี้ดูการ์ตูนอย่างมัน” ยังไม่สลดครับ ปูนน่ะไม่กลัวผมหรอก แต่ที่ยอมมเสียส่วนใหญ่คงเป็นเพราะขี้เกียจทะเลาะด้วยมากกว่า “รีบเปิดเลยๆ เอาโคนันเดอะมูฟวี่นะ”
 
“อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย จะดูการ์ตูน”
 
“ก็น้อยกว่าคุณแล้วกัน” เด็กดื้อยักคิ้วใส่ผมครับ มันน่าแกล้งนักเชียว ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะคว้าคอปูนเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกเสียงแผ่ว
 
“เดี๋ยวคืนนี้ได้รู้เลยว่าคนแก่กว่าน่ะลีลาเด็ดขนาดไหน”
 
“ทะลึ่ง” แค่นี้ก็หน้าแดงแล้วครับ เฮ้อ ถ้าถึงเวลาจริงๆ ไม่อายจนตัวแตกเลยหรือไง “แล้วก็ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
 
ใครจะมาเห็นล่ะ ในบ้านน่ะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นแหละ พ่อกับแม่และพี่ชายไปทำงาน ส่วนหลานๆ ก็ไปเรียบพิเศษกันหมด พี่สะใภ้ของผมก็คงตามไปเฝ้่ลูกด้วยนั่นแหละ
 
“ปูน”
 
“อะไร จะแกล้งอะไรอีก” ถามพลางเหล่มองด้วยความไม่ไว้ใจ ผมก็ได้แต่มองหน้าน้องแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ปูนเป็นคนปากเก่งที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเจอมา
 
“เป็นแฟนกันนะ”
 
ปูนไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้าผมอึ้งๆ แล้วกระพริบตาถี่ๆ ท่าทางน่ารักแบบนี้ทำให้ผมอดใจไม่ไหวต้องโน้มหน้าลงไปจูบปากอีกฝ่ายเบาๆ
 
จุ๊บ
 
“เมื่อกี้ได้ยินที่พี่พูดหรือเปล่าครับ”
 
หน้าแดงอีกแล้ว “ดะ ได้ยิน และ แล้วก็รู้ด้วยว่าถูกขโมยจูบไป”
 
“โอ๋ๆ ให้จูบคืนเลยอ่ะ” ผมยื่นหน้าไปให้ แต่ปูนก็ผลักหน้าผมให้ออกห่าง “ถ้าได้ยินบอกมาสิว่าเมื่อกี้พี่พูดอะไร”
 
“ก็...เป็นแฟนกันนะ”
 
“ตกลงครับ”
 
“เฮ้ย!”
 
“ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
 
“เดี๋ยวดิ อย่ามาตีเนียนนะ”
 
“ไม่เดี๋ยวแล้ว” ผมยักคิ้วให้ คิดว่าตัวเองในตอนนี้คงกวนบาทาไม่น้อย ดูจากหน้าปูนที่มองมาทางผมก็เดาได้ แต่ก็นั่นแหละ การได้แกล้งปูนเป็นความสุขของผมครับ “พี่ไม่อยากเป็นแค่คนที่กำลังคุยๆ กับปูนอีกแล้ว”
 
“...”
 
“ให้พี่ได้เป็นคนที่ยืนข้างปูนนะครับ”
 
“...ก็...เป็นมาตลอดนั่นแหละ ไม่เห็นต้องขอเลย” คำตอบของปูนทำให้ผมยิ้มกว้าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ เด็กดื้อคนนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขได้เสมอ “เลิกยิ้มได้แล้วน่า เดี๋ยวก็จิ้มให้ตา...อื้ออออ”
 
และสุดท้ายเด็กปากเก่งก็โดนผมจูบปิดปากในที่สุด จูบได้ไม่ถึงนาทีผมก็ผละออกมา หอมแก้มแฟนคนแรกของผมอีกครั้ง มองสบดวงตาคู่สวยที่ผมหลงไหลด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ ก่อนจะก้มลงกระซิบคำว่ารักที่ข้างหูพร้อมกับโอบกอดปูนเอาไว้
 
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่เอื้อมหัวใจลงมาให้พี่รักนะ”
 
“...อือ...เหวอ!! จะ จะทำอะไรอ่ะ!!”
 
ผมหัวเราะพร้อมกับแบกปูนขึ้นหลัง ตัวเล็กขนาดนี้ก็ดีไปอย่าง พกไปไหนมาไหนง่ายดี (เดี๋ยวๆ คนนะไม่ใช่หมา!)
 
“เป็นแฟนกันแล้ว ก็ต้องไปทำกิจกรรมที่แฟนเขาทำกันสิ”
 
“เฮ้ย! จะดูการ์ตูนนน!”
 
“เอาไว้ลงมาดูทีหลังก็ได้”
 
“ไม่เอาโว้ยยยยยย!”
 
“ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธครับ”
 
“เอื้ออออ ปล่อยยยยยยย”
 
“ร้องไปเถอะ ยังไงวันนี้ก็ไม่รรอดอยู่ดีครับ...ที่รัก”

..
.
“ใครก็ได้ช่วยพี่ปูนด้วยยยยยยยยยยยย!!”

END

=======================================================
=============================================
ซาหวัดดีค่าาาาาาาาาาาาา มาอีกทีก็ตอนจบเลยเนาะ
  เราตั้งใจแต่งเรื่องนี้มากๆ เลยนะ
อาจจะสนุกบ้างไม่สนุกบ้างยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่ตัดสินใจลง นั่นเพราะเพื่อนยุค่ะ ขอบคุณนางด้วยนะที่ยุยงให้มาลง 5555
ก็ขอฝากพี่เอื้อและน้องปูนเอาไว้ในใจด้วยนะคะ  :mew1:
เราจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ นะคะ
ก็อยากขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมาตั้งแต่ต้น ขอบคุณจริงๆ ค่ะ :o8: :-[
รักทุกคนเลยน้าาาา
 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ขอบคุณคนเขียนค่า ยังไงส่งตอนพิเศษมาแก้ความคิดถึงน้องปูนบ้างนะค๊า

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ลุ้นฉากที่ทำให้ฟิ้งยอมเปิดเผยตัวตน
และเอื้อได้เลิกเสมือนให้ความหวังฟิ้งสักที

พี่เอื้อกับน้องปูนไปทำอะไรกันบนห้องคะ อิอิ
รอตอนพิเศษนะคะ

ขอบคุณคนแต่งด้วยค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ไม่มีใครช่วยพี่ปูนหรอกจ้า เค้าอยากให้ลงเอยกันจะตาย :laugh: ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ o4u0n7

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :o8:  โห้ยยย เรื่องนี้น่ารักอ่า

ขอบคุณน้าา

 :L1:

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เรื่องราวของฟ้า
ตอน ในที่สุด

 
เขาว่ากันว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูนจ์ใจคน ยอมรับว่าตอนแรกผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ต้องเชื่อในที่สุดเมื่อเห็นความรักของพี่เอื้อที่มีต่อปูน ทั้งที่พี่เอื้อเป็นผู้ชายแบบนั้น...นั่นแหละ มันเป็นอดีตผมไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้วพี่เขาก็ทำให้พวกเราทุกคนเห็นว่าเขาจริงใจและจริงจังกับปูนขนาดไหน ผมดีใจกับเพื่อน เพราะในที่สุดปูนมันก็มีความสุขสักที เห็นมันยิ้มบ่อยๆ แบบนี้ก็พาเอาคนพวกผมพลอยยินดีไปด้วย มันไม่รู้หรอกว่าพวกผมห่วงมันขนาดไหน มันชอบคิดว่าตัวเองโตแล้ว และออกอาการเป็นห่วงผมเหมือนเป็นน้องเล็กของกลุ่ม แต่บอกไว้ตรงนี้เลยว่า...ผม กล้า และโจมนั้นลงความเห็นกันว่าคนที่น่าเป็นห่วงและเด็กที่สุดก็คืปูน
 
ตอนนี้เห็นว่ามีคนดูแลมันแทนพวกผมก็เบาใจครับ ถึงปูนมันจะดื้อผมก็มั่นใจว่าพี่เอื้อจัดการได้ แม้ว่าพี่เอื้ออาจจะทำให้มันเสียนิสัยเพิ่มก็ตาม เพราะตั้งแต่เป็นแฟนกันมา พี่เอื้อเหมือนจะดุ แต่เอาจริงๆ แล้วยอมปูนทุกอย่างเลย
 
“อีกแล้วเหรอ เมื่อสองวันก่อนก็ซื้อไปแล้วนะปูน” นั่นไงครับ กำลังเริ่มเลย มาดูกันเลยว่าจริงๆ แล้วพี่เอื้อยอมปูนขนาดไหน “พอแล้ว ค่าขนมเดือนนี้หมดไปกับเรื่องไร้สาระเท่าไหร่แล้ว ทั้งฟิกเกอร์ ทั้งโมเดล ไหนจะเกมอีก จะล้นห้องอยู่แล้ว”
 
“บ่นเป็นตาลุงเลย เอื้อไม่เข้าใจความสุขของปูนหรอก” เหมือนมันจะงอนพี่เอื้อนะครับ แต่พอหลังจากประโยคนั้นก็เกาะแขนพี่เอื้อเป็นลูกลิงเลย “นะๆๆ ขออีกเล่มเดียวจะพอเลย เดือนนี้ไม่มีอีกแล้ว”มันส่งยิ้มกว้างๆ ให้พี่เอื้อ ซึ่งผมพนันเลยว่ายังไงพี่เขาก็ต้องแพ้รอยยิ้มแบบนี้ บอกตามตรงผมมองเองผมยังใจอ่อนเลย “นะเอื้อนะ นะๆๆ เล่มเดียวเอง แล้วจะพอเลย”
 
“แต่เงินเดือนนี้จะหมดแล้วนี่” อะไรวะปูน นี่เพิ่งจะกลางเดือนเองนะเว้ย มึงจะช็อตแล้วเหรอวะ
 
“ก็...ยืมเอื้อใช้ก่อนไง เดี๋ยวเดือนหน้าคืน”
 
ผมเหมือนเห็นหูกับหางปีศาจของพี่เอื้อมันงอกออกมายังไงก็ไม่รู้ เพราะรอยยิ้มพี่แกมันโคตรไม่น่าไว้ใจเอามากๆ “ให้ยืมก็ได้…”
 
“เย้! เอามาเลยขอยืมก่อนสองร้อยบาท เดี๋ยวคืนให้เดือนหน้านะ”
 
พี่เอื้อเปิดประเป๋าเงินก่อนจะหยิบธนบัตรใยสีม่วงสวยงามส่งให้กับแฟนตัวเอง ผมบอกแล้วว่าพี่เขาตามใจมัน ถึงแม้จะไม่ค่อยบริสุทธ์ใจก็ตาม “เอาไปเลย พี่ไม่มีแบงค์ย่อย” ปูนตาวาวเลยครับ คว้าหมับ! แล้วรีบยัดใส่กระเป๋าตัวเองทันที “แต่พี่คิดดอกแพงนะ”
 
“ง่ะ งั้นเอาคืนไปเลย”
 
“ให้ยืมแล้วไม่รับคืน...เอาน่า ดอกพี่น่ะปูนจ่ายได้สบายมาก” คราวนี้ปูนมันรู้สึกถึงสายตาของพี่เอื้อแล้วครับ มันขยับตัวออกห่างอีกฝ่ายช้าๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพี่เอื้อวางมือลงบนบ่าแล้วรั้งมันเข้ามาใกล้ๆ “อย่าเลย...ยังไงปูนก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก”
 
“...” ได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย
 
“เดี๋ยวเย็นนี้พี่พาไปซื้อการ์ตูน แล้วก็ไปกินของอร่อยๆ กันนะ”
 
“จริงอ่ะ! พูดแล้วนะ ห้ามคืนคำด้วย!” อะไรวะ แค่เอาของกินมาล่อมึงก็ติดกับเขาแล้วเหรอ บอกแล้วมันน่ะน่าเป็นห่วงที่สุด และคนอย่างมันไม่มีทางทันเล่ห์เหลี่ยงของพี่เอื้อหรอกจะบอกให้!!
 
นั่นแหละครับ มองคู่มันแล้วก็ต้องอิจฉาปนระอากับความใสซื่อของน้องปูน ถ้าผมเป็นมันนะ ไม่ยอมเสียเปรียบพี่เอื้อแบบนี้หรอก แต่จะว่ามันมากไม่ได้ครับ เพราะคนที่เซ่อและโง่กว่ามันคือผมนี่แหละ ก็ดันไปเสียท่าไอ้กล้าเอาซะได้
 
มันเป็นความผิดพลาดก็จริง คืนนั้นผมกับมันก็เมากับทั้งคู่ เลยเกิดอะไรเลยเถิดขึ้น...แต่สารภาพตามตรงว่าจริงๆ แล้วนั้นผมยังพอมีสติอยู่เล็กน้อย...มีสติขนาดที่รู้ว่าคนตรงหน้าของผมคือใคร และเรากำลังทำอะไรกัน ทว่าตอนนั้นผมควบคุมอะไรไม่ได้
 
ต้องยอมรับตรงนี้เลยว่าเอาเข้าจริงแล้วผมแพ้ทางไอ้กล้ามัน แพ้รอยยิ้มซื่อๆ แพ้ความขี้เสือกของมันที่เข้ามาวุ่นวายกับผมได้ทุกเรื่อง แพ้ปากหมาๆ ที่เอาแต่ป้อนคำหวานจนผมเอียนแต่ก็แอบมายิ้มอยู่คนเดียว แพ้ความใส่ใจที่มันมีให้เสมอมา
 
แต่ถึงจะแพ้มันยังไง...ผมก็ยังไม่อยากยอมรับอยู่ดีว่าผมชอบมัน
 
บอกแล้วว่าเรื่องของเรามันเกิดจากความผิดพลาด ถ้าวันนั้นเราไม่ได้เผลอมีอะไรกัน กล้ากับผมคงจะไม่ได้มีสถานะแบบนี้ เราก็คงเป็นเพื่อนกับธรรมดาไม่มีอะไรเกินเลย
 
ผมไม่แน่ใจว่าที่กล้าทำอยู่ตอนนี้เพราะมันรู้สึกผิดต่อผม หรือว่ามันอยากเป็นแฟนผมจริงๆ
 
“เย็นนี้กินอะไรดีวะฟ้า” นึกในหัวอยู่ดีๆ ไอ้ตัวเป็นๆ ที่นั่งข้างกันก็ถามขึ้น ทำเอาผมที่คิดอะไรเพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง “เป็นอะไรเนี่ย เหม่ออะไร”
 
ก็กำลังเหม่อถึงมันนั่นแหละ แต่ให้ตายยังไงผมก็ไม่บอกมันหรอก ว่าแต่เมื่อกี้มันถามอะไรนะ
 
“เปล่า มึงว่าไงนะ”
 
“กูถามว่าเย็นนี้กินอะไรกันดี แต่กูอยากกินชาบูว่ะ” คิดไว้อยู่แล้วจะมาถามทำไมวะกล้าเป็นแบบนี้เสมอ แสดงออกมาอย่างง่ายดายว่าตัวเองต้องการอะไร “มึงว่าไงฟ้า”
 
“มึงอยากกินก็ไปกินดิ เกี่ยวอะไรกับกูอ่ะ ท้องไม่ได้ติดกันสักหน่อย”
 
“ทำไมพูดแบบนั้นว้า ตอนนี้เราเป็นผะ…” ผมรีบตีปากมันก่อนที่จะหลุดคำหน้าอายออกมา เราไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะเว้ย แม้ว่าจะได้กันมาหลายครั้งแล้วแต่ผมก็ยังไม่ชอบอยู่ดีนั่นแหละ “เจ็บนะฟ้า อะไรวะ ดีมาเฉยเลย”
 
“ก็มึงจะเพ้อเจ้ออะไรเล่า” บอกตามตรงเลยเห็นแบบนี้ผมก็หน้าบางเหมือนกันนะครับ “ตกลงกินชาบูแล้วกัน”
 
ทำไมต้องยอมมันตลอดเลยวะกูเนี่ย

..
.
สุดท้ายเราก็ยกพวกกันมากินชาบู ที่ต้องบอกว่ายกพวกเพราะเรามากันหมดทั้งกลุ่มจริงๆ มีตัวแถมอย่างพี่เอื้อและพี่เดียวด้วย ครั้งล่าสุดที่เราได้รวมกลุ่มเฮฮากันแบบนี้ก็คงเป็นต้นเทมอตอนไปบ้านพี่เดียว ครั้งนั้นมันสนุกมาก เสียดายที่ปูน พี่เอื้อ และโจมกลับไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นฉากเด็ดระหว่างหนูนาและบอยที่เอาแต่ร้องเพลงส่งสายตาหวานซึ้งให้กัน ถ้าไม่ตาบอดหรือโง่จริงๆ ก็ต้องรู้ว่าสองคนนี้มีอะไรในกอไผ่อย่างแน่นอน
 
“เมื่อไหร่มึงจะเป็นแฟนกันวะ อุตส่าห์นำหน้าไอ้คู่นั้นไปตั้งไกล ทำไมสถานะยังไม่แน่นอน” พี่เดียวว่าพลางพยักหน้าไปทางพี่เอื้อกับปูน พี่เอื้อดูแลเพื่อนผมดีจริงๆ ครับ คอยตักของในหม้อให้ตลอดเลย แล้วเห็นว่าพอทานเสร็จจะพาปูนไปซื้อหลังสือการ์ตูนด้วย อะไรจะตามใจขนาดนั้น
 
“พูดแบบนี้ผมเจ็บเลย” กล้ามันยกมือขึ้นกุมตรงอกข้างซ้าย เรื่องเล่นใหญ่ขอให้บอกครับ “รอฟ้ามันตกลงอยู่นี่ล่ะครับ เมื่อไหร่จะยอมก็ไม่รู้ เอากันทุกวันแท้ๆ”
 
กูจะไม่ยอมก็เพราะมึงมันนิสัยอย่างนี้ไงเล่า! ไม่ได้อยากจะเขินนะ แต่ก็อดหน้าแดงไม่ได้เมื่อมันพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ แม่งเคยอายบ้างป่ะถามจริงๆ เลย
 
“แล้วทำไมมึงไม่ยอมสักทีวะฟ้า” นั่น เรื่องกูกลายเป็นจุดสนใจเสียอย่างนั้น
 
ผมหันไปมองไอ้บอย ก่อนจะตอบไปว่า “เรื่องของกู” เพื่อเป็นการปิดบทสนทนา
 
และระหว่างที่เรากำลังทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
 
“นั่นพี่กล้านี่!!” เสียงแหลมสูงของใครบางคนดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างบาง เห็นแค่โบว์สีขาวก็จำได้แล้วว่าใคร ผมวางตะเกียบลง ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม หมดแล้วความอยากอาหาร “พี่กล้าสวัสดีค่ะ”
 
เธอคนนี้คือเด็กปีหนึ่ง ชื่อพลอยใส พลอยใสน่ารักครับ ใครเห็นต้องต้องเอ็นดูเธอทั้งนั้น เธอสูงเท่าผมเองครับ ตัวเล็กๆ บางๆ แต่หน้าอกหน้าใจเหลือล้น แถมมีรอยยิ้มสดใสเสมอ มองๆ ไปก็ให้อารมณ์เหมือนกับมิ้ม ผู้หญิงที่ทำให้ปูนกับพี่เอื้อได้รู้จักกัน และที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเธอยิ่งนักเพราะว่าเธอคือน้องรหัสไอ้กล้า
 
น้องรหัสที่มองก็รู้ว่าไม่ได้อยากเป็นแค่น้อง…
 
“น้องพลอยขา...พวกพี่นั่งอยู่กันทั้งโต๊ะแต่สวัสดีไอ้กล้าคนเดียวเหรอคะ” ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กพลอยใส หนูนาก็ด้วย มันบอกว่าพลอยใสเป็นผู้หญิงจำพวกที่ผู้หญิงด้วยกันเห็นหน้าก็ไม่ชอบแล้ว
 
“อุ๊ยขอโทษค่ะ สวัสดีค่ะพี่ๆ ทุกคน...สวัสดีค่ะพี่ฟ้า” ไม่ได้คิดไปเองหรอกใช่มั้ยว่าเด็กนี่ต้องมีเรื่องอะไรในใจกับผม “พี่เอื้อก็อยู่ด้วยเหรอคะ เพื่อนหนูชอบพี่มากๆ เลยนะ...แกๆ!! นี่ไงพี่เอื้อของแกอ่ะ!”
 
น้องพลอยใสกวักมือเรียกเพื่อนของตัวเอง ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเพื่อนของเธอในคณะมาก่อน และก็ถึงบ้างอ้อเมื่อเธอแนะนำว่าเพื่อนเธอคนนี้มาจากคณะสังคมศาสตร์ และการปรากฏตัวของเพื่อนพลอยใสก็ทำเอาปูนหมดความอยากอาหารพอๆ กับผม เห็นปูนมันเหมือนจะไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่ความจริงแล้วคิดเยอะและขี้หึงอย่าบอกใครครับ
 
“ไม่รู้เลยนะ ว่าเอื้อเป็นของน้องเขาด้วย” ปูนส่งยิ้มให้พี่เอื้อที่นั่งถอนหายใจ เกิดมาหล่อมันก็ลำบากแบบนี้ล่ะครับพี่ สู้ๆ นะผมเป็นกำลังใจให้
 
“บังเอิญมากเลยนะคะ หนูกับเพื่อนว่าจะมากินร้านนี้พอดี เรามากันสองคนเอง นั่งด้วยได้หรือเปล่าคะ” ถามด้วยรอยยิ้มใสซื่อ ผมมองหน้าไอ้โง่กล้า… ครับ ต้องเรียกแบบนี้จริงๆ เพราะมันทั้งโง่ ทั้งเซ่อ เชื่อหรือเปล่าว่ามันไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กพลอยใสนี่คิดอย่างไรกับมัน มันเอาแต่คิดว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี คงไม่มีใครสนใจ
 
แต่ขอโทษเถอะ...เด็กนี่มันสนโว้ย!!
 
“เอาสิ มาเลย กินกันเยอะๆ สนุกดี”
 
ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยยย
 
ผม หนูนา และไอ้ปูนร่วมด่าไอ้กล้าทางสายตา มันก็เหมือนจะรู้ตัวครับ มองพวกผมสลับกันไปมาก่อนจะเกาหัวงงๆ
 
“มึงตายแน่ไอ้กล้า” โจมพูดไว้แบบนั้น และผมคิดว่าถ้าเด็กพลอยนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเรา ไอ้กล้าตายจริงอย่างที่โจมพูดแน่นอน...ด้วยน้ำมือของผมนี่ล่ะ!
 
“อย่างนั้นพลอยไม่เกรงใจล่ะนะคะ” เกรงใจกูบ้างเถอะ ทั้งโต๊ะนี่พี่คุณนะปีหนึ่ง คุณไม่กลัวโดดพวกผมทำโทษหรือไง “แกๆ นั่งเลย”
 
“รบกวนด้วยนะคะ” และพอน้องสองคนนั่งลง พี่เอื้อผู้ฉลาดและเจ้าเล่ห์ก็ขอตัวลากปูนกลับไปก่อนโดยอ้างว่ามีธุระด้วย ทั้งยังแสดงสีหน้าเสียดายออกมาอย่างชัดเจน (และเสแสร้งสุดๆ) ที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะกับน้องทั้งสองคน แต่ผมรู้ว่าในใจพี่น่ะร้องลั่นขนาดไหนที่พี่รอดตัวแล้ว!
 
สักพักโจม พี่เดียว และจี๊ดก็ขอตัวกลับ ผมรีบส่งสายตาให้หนูนาทันที ขอให้มันอย่าทิ้งผมไว้กลางทาง ช่วยผมอยู่ต่อกรกับเด็กพลอยใสนี่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหน
 
“นี่พลอยทำให้พวกพี่ๆ หมดสนุกหรือเปล่าคะ” เออออ น้องทำเลยยยย น้องกับเพื่อนน้องสองคนอ่ะแหละ
 
“ไม่หรอก...พวกเพื่อนพี่มีธุระน่ะ” มึงแม่งก็ไม่ทันมารยาหญิงใดๆ ทั้งสิ้นไอ้กล้า ไอ้ควาย ไอ้โง่ ไอ้งั่น ไอ้...โอ๊ยยย หมดคำจะพูดแล้ว
 
“เขาไม่ได้ไม่ชอบพลอยใช่หรือเปล่าคะ” เออ พี่ไม่ชอบ น้องคิดถูกแล้วครับ “พลอยไม่อยากให้เพื่อนพี่กล้าไม่ชอบพลอยเลย พลอยอยากสนิทกับเพื่อนพี่ๆ เอาไว้”
 
“อยากมาสนิทกับพวกพี่ทำไมอ่ะคะ น้องไม่มีเพื่อนคบเหรอ” เอาไปเลยสิบแต้มสำหรับคำถามมึงหนูนา ใช่  อยากมาสนิทกับพวกพี่ทำไมครับน้อง เพื่อนในชั้นปีไม่มีเหรอ
 
“พี่หนูนานี่หยอกแรงจังเลยนะคะ” พลอยใสยิ้มเจื่อนๆ แต่สายตาที่มองหนูนาท้าทายพอดู “พลอยมีเพื่อนค่ะ แต่พี่พลอยอยากสนิทกับพวกพี่ๆ ก็เพราะพี่กล้า”
 
“หือ? เพราะพี่เหรอ...ทำไมอ่ะ”
 
“ก็เพราะ…”
 
พลอยใสวางตะเกียบลง เธอยกมือขึ้นจับผมที่ทิ้งตัวลงมาข้างหน้าทัดหูด้วยท่าทางเขินอาย มองหน้าควายๆ ของไอ้กล้าแล้วยิ้มหบลตา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ผมเดาได้อยู่ก่อนแล้ว
 
“เพราะพลอยชอบ…”
 
“พี่ครับ! มารับออร์เดอร์โต๊ะนี้หน่อย” ก่อนที่พลอยใสจะได้พูดอะไรผมก็ตะโกนเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ห่างๆ “พลอยกับเพื่อนสั่งเลย”
 
ทั้งที่รู้มาก่อน ทั้งที่พอจะเดาได้ ทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ทำไมในหัวใจมันยังรู้สึก...โหว่งๆ อย่างไรไม่รู้

..
.
พอกลับมาถึงหอผมก็รีบแยกตัวเข้าห้องตัวเอง แต่ช้ากว่ากล้า มันตามเข้ามาในห้องกับผมติดๆ พอผมเอ่ยปากจะด่ามันก็เข้ามาประกบจูบอย่างรวดเร็ว โคตรไม่โรแมนติกเลย กลิ่นชาบูและรสชาติของน้ำจิ้มลอยอบอวลเต็มห้อง แต่เราสองคนก็ไม่เคยมีความโรแมนติกอยู่แล้ว
 
“ถ้าจะทำขออาบน้ำก่อนได้หรือเปล่า ตัวเหม็นไปหมดแล้ว” ผมถามคนที่ซุกหน้าอยู่ตรงลำคอ ทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นแล้วยื่นมาจุมพิตเบาๆ
 
“งั้นอาบด้วยกันเลยดีกว่า”
 
ครับ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยอม
 
สายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายไม่สามมารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนแรงของเราทั้งคู่ลดน้อยลงได้เลย เสียงครวญครางของผมดังก้องไปทั่วทั้งห้องน้ำพอๆ กับเสียงครางในลำคอที่เต็มไปด้วยความสุขสมของกล้า เราเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อถึงแม้ผมไม่เต็มใจ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดช่วงหนึ่ง
 
ทุกครั้งที่เราทำมัน...กล้าจะโอบกอดผมไว้ คอยกระซิบเรียกชื่อผมข้างหูเสมอ และมองหน้าผมเป็นระยะ ส่งยิ้มมาให้ จูบที่ริมฝีปาก และกอดผมไว้เหมือนเดิม ราวกับตั้งใจจะบอกผมทุกครั้งที่กล้าทำ...มันตั้งใจไม่ใช่ว่าพลาดพลั้งไปอย่างเช่นครั้งแรกของเรา
 
“กล้า…”
 
“อยู่นี่…” ผมชอบเสมอที่มันตอบรับผม “กล้าอยู่กับฟ้านะครับ กล้าระ...”
 
ผมได้ยินเพียงเท่านั้น ก่อนที่สมองจะขาวโพลนไปหมด รู้ตัวอีกตัวเองก็มานอนอยู่บนเตียงในอ้อมแขนของมันเรียบร้อยแล้ว
 
“กล้า”
 
“ว่าไง อยากอีกรอบเหรอ”
 
“บ้านมึงดิ แค่เมื่อกี้ก็โคตรจุกแล้ว คนยิ่งอิ่มๆ อยู่ด้วย”
 
“กินน้อยแบบนั้นจะอิ่มแน่เหรอ” บอกแล้วว่ามันเป็นคนขี้เสือก เรื่องแต่นี้มันต้องสังเกตเห็นอยู่แล้ว “ถ้าหิวอีกบอกนะ เดี๋ยวลงไปซื้ออะไรให้กิน”
 
“ไม่ต้องหรอก ไม่หิว”
 
“เป็นอะไร วันนี้เงียบๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า” ฝ่ามือใหญ่ทาบทับลงมาที่หน้าผาก “ตัวก็ไม่ร้อนนี่”
 
“กูสบายดี” ปัดมือมันออก ก่อนจะเรียกมันอีกครั้ง “กล้า”
 
“วันนี้เรียกบ่อยว่ะ” มันอมยิ้ม ถึงบ่นแต่ดูก็รู้ว่าชอบให้เรียก “ไหนมีอะไรบอกพี่กล้าสิครับน้องฟ้า พี่กล้าคนนี้ยินดีรับฟังทุกอย่าง”
 
“...”
 
“เร็วสิ อยากขออะไรว่ามาเลย พี่จัดให้ทุกอย่าง”
 
“มึงรู้ตัวหรือเปล่าวว่ามีคนชอบมึงอยู่”
 
“อะไร จะแอบสารภาพรักกูเหรอ” มันยักคิ้วหลิ่วตา ซึ่งหน้าเอานิ้วจิ้มให้ตาบอดมากครับ
 
“ไม่ใช่กูหรอก...พลอยใสต่างหาก”
 
“บ้า! พลอยเขาไม่ได้ชอบกูสักหน่อย มึงคิดมากไปแล้ว คนอย่างกูเนี่ยนะ...ไม่มีทางหรอก” บอกแล้วว่ามันโง่ เขาอ่อยขนาดนั้นมันยังไม่รู้เลยครับ
 
“แล้วถ้าน้องเขาชอบมึงจริงๆ ล่ะ”
 
“กูมีมึงแล้ว”
 
ผมมองหน้าอีกฝ่าย ยอมรับว่าหัวใจเต้นแรงกับคำที่มันบอก จริงๆ ก็ดีใจนิดๆ ด้วยล่ะ
 
“นั่นแหละที่กูอยากจะพูดกับมึง...กล้า ถ้าเกิดว่ามึงชอบพลอยใสก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกูนะ มึงไปได้เลยไม่ต้องกังวล ไม่ต้องรู้สึกผิด กูอยากให้มึงทำตามสิ่งที่มึงต้องการ”
 
ที่ผมเรียกเชื่อกล้าบ่อยๆ วันนี้เพราะผมอยากได้ความกล้าหาญบ้างที่จะพูดประโยคเมื่อครู่ออกไป มันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยทุกอย่างที่คิดออกมาได้จบประโยคเมื่อเสียงของคุณสั่นเครื่ออยู่ตลอดเวลา และน้ำตาของผมก็ไหลมาอย่างช้าๆ เมื่อพูดจบ กล้าไม่พูดอะไร เพียงแค่ดึงตัวผมซบกับอ้อมอกของมัน
 
กล้าเงียบไปสักพักจนผมนึกว่ามันจะเปลี่ยนเรื่องแล้ว ทว่าสุดท้ายเสียงทุ้มที่คุ้นหูก็ดังขึ้น
 
“ไม่ใช่กูหรอกที่ต้องตัดสินใจ...เป็นมึงต่างหากฟ้า”
 
ผมไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะตอนนี้ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ นอนฟังเสียงเครื่องปรับอากาศ ถึงแม้อุรภูมิในห้องจำต่ำเกินกว่าที่ผมชอบ แต่เพราะตัวอุ่นๆ ของคนที่กอดผมไว้ก็ทำให้ผมรู้สึกสายจนเผลอหลับไปในที่สุด
 

..
.
“เมื่อคืนมึงอดนอนเหรอวะ”
 
“เออ กูนอนไม่หลับ เป็นมาหลายคืนล่ะ มึงถามพี่เอื้อให้หน่อยดิว่าเป็นเพราะอะไร” ผมตอบไอ้ปูนที่นั่งกินไอติมกะทิถั่วดำอยู่ข้างๆ กัน เดี๋ยวนี้ไอ้ปูนกินเก่งขึ้นเยอะ แถมดูมีน้ำมีนวล...เอ ใช้คำนี้มันแปลกๆ หรือเปล่าวะ แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ได้ดูผอมแห้งแรงน้อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว “พี่เอื้อเขาขุนมึงจนได้นะ”
 
“เออนั่นดิ ชอบพากูไปกินโน่นกินนี่ตลอด น้ำหนักกูขึ้นมาตั้งเยอะ... ก็เหมือนมึงกับไอ้กล้านั้นแหละ มันก็ขุนมึงทุกวัน”
 
“ไม่เหมือน”
 
“ไม่เหมือนอะไร ดูแลกันอย่างกันดีขนาดนั้น”
 
“กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน”
 
“แต่มึงได้กันแล้วนะ” ปูนกัดไอติมเข้าปากไปหนึ่งคำ ส่วนผมได้แต่ปล่อยให้มันละลาย
 
“ที่กูได้กันเพราะพวกกูเมาต่างหาก”
 
“มึงเมาทุกครั้งเลยเหรอวะ จะเอากันนี่ต้องแดกเหล้าก่อนงี้เหรอ” ผมหันไปมองหน้ามัน ไอ้ปูนใสๆ ของกูหายไปไหนวะ พี่เอื้อทำอะไรกับมึงบอกกูมานะ “ครั้งแรกอาจจะเมาจริงๆ แต่ครั้งต่อๆ มามึงก็ไม่ได้เมานี่ มันก็ต้องรู้สึกอะไรๆ บ้างแหละ”
 
“รู้สึกอะไรล่ะ”
 
“ไม่รู้ดิ...รู้สึกชอบไอ้กล้ามั้ง”
 
“...”
 
“พูดเรื่องจริงเข้าหน่อยล่ะเงียบ ไอ้ฟ้าของกูหายไปไหนแล้ววะ คนที่พูดเก่งๆ รู้ไปเสียทุกเรื่อง…” ผมเอาแต่มองไอติมที่หยดลงบนพื้นทีละหยด “แต่ไม่รู้อย่างเดียว...เรื่องหัวใจตัวเอง”
 
ทำไมกูจะไม่รู้ล่ะปูน กูรู้ทุกอย่างแหละ แค่ไม่อยากจะยอมรับเท่านั้น
 
“มึงกินอิ่มยังวะ กลับไปที่โต๊ะเหอะ” ผมชวนหลังจากเห็นว่าไอติมของปูนเหลือแต่ไม้เปล่าๆ มันทำหน้าเซ็งๆ ครับ แต่ก็ยอมลุกขึ้นเดินกลับไปหาเพื่อนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ใต้คณะ
 
ที่ปูนไม่อยากกลับก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับผม โต๊ะที่กลุ่มเพื่อนๆ นั่งอยู่มีสมาชิกเพิ่มมาอีกสองคน คือน้องพลอยใส หลังจากวันที่กินชาบูกัน ผมก็เห็นหน้าเธอบ่อยขึ้น ในหนึ่งอาทิตย์เธอโพล่มาบ่อยกว่าพี่เอื้อเสียอีก ถึงไม่ชอบหน้าแต่จะทำอะไรในเมื่อหนึ่งใน ‘เพื่อน’ ของผมเป็นพี่รหัสของเธอ
 
“ไปนานว่ะฟ้า” กล้าถามพร้อมกับขยับตัวเพื่อให้ผมนั่งลงข้างๆ มัน ผมได้แต่มองที่ว่างเล็กๆ แล้วนึกขำอยู่ในใจ...หึ เห็นกูเป็นแมวหรือไงถึงคิดว่าจะยัดตัวเองเข้าไปในช่องนั้นได้
 
“รอปูนกินไอติม” ผมเดินไปนั่งข้างโจม อีกฝั่งหนึ่งของไอ้กล้า มันมองมาด้วยความไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
 
“ไม่ซื้อมาเผื่อบ้างวะ อยากกินเหมือนกันนะ”
 
“เดี๋ยวพลอยไปซื้อให้มั้ยคะพี่กล้า” สมาชิกใหม่เสนอตัวทันที ผมกับหนูนาได้แต่มองหน้ากันแล้วลอบเบ้ปากมองบน อะไรจะทุ่มเทขนาดนั้นวะ แค่นี้พี่กล้าของน้องก็ไปไหนไม่ได้แล้ว
 
เกาะเป็นปลิงเสียขนาดนี้นี่
 
“ไม่เป็นอะไรครับ”
 
“น้องพลอยใสไม่มีเรียนเหรอคะ ปีหนึ่งนี่ตารางว่างเยอะเหลือเกินเลยนะ จำได้ว่าตอนพี่เรียนนี่วิ่งกันหัวหมุนเลย” ไม่ใช่หนูนาครับ คราวนี้เป็นจี๊ด เธอเงยหน้าขึ้นถามยิ้มๆ พร้อมขยับแว่นไปด้วย “ระวังนะ...ปีหนึ่งเหมือนจะง่ายๆ แต่ดรอปไปหลายคนเลยล่ะ”
 
“พี่จี๊ดแช่งพลอยเหรอคะ”
 
“พี่แค่เป็นห่วงพลอยนะคะ” สาวแว่นส่งยิ้มด้วยแววตาใสซื่อ
 
“ขอบคุณค่ะพี่จี๊ด...พี่กล้าคะ พลอยอยากทานขนม ไปเป็นเพื่อนพลอยหน่อยนะคะ”
 
“ไปซื้อเองก็ได้มั้ง” โจมเหลือบตาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
 
“พลอยอยากไปกับพี่กล้าค่ะ พี่กล้าไปกับพลอยหน่อยนะ”
 
“อ่า...เอาสิ พวกมึงเอาอะไรป่ะวะ” ไอ้กล้า ไอ้โง่ ไอ้ควายยยยย กูไม่รู้จะด่ามึงยังไงแล้วโว้ย ไอ้…!!!! แค่ผู้หญิงเขาทำตาออดอ้อนแค่นี้มึงก็ไปกับเขาแล้วเหรอวะ ไอ้เซ่อ!!
 
พวกผมทั้งหมดพร้อมใจกันเงียบ ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นและทำเหมือนไอ้กล้าไม่มีตัวตน แต่พอมนุษย์ทั้งสองลุกออกไปจากโต๊ะ เพื่อนผู้แสนดีก็เริ่มออกความเห็นกันทันที
 
“กูไม่ชอบอิเด็กนี่” เริ่มด้วยหนูนา มันตบโต๊ะเสียงดังปัง!! “โอ๊ยยยย เจ็บ…”
 
“เจ็บมากหรือเปล่า ระวังหน่อยสิ” ผัว...เอ่อ หมายถึงไอ้บอยก็รีบเข้ามาดูอาการ
 
“ตั้งแต่เปิดตัวนี่แสดงออกใหญ่เลยนะ” จี๊ดอดแซวเพื่อนสาวตัวเองไม่ได้ “แต่เราเห็นด้วยกับหนูนา เราไม่ชอบพลอยใสเลย”
 
“กูด้วยๆ” ไอ้ปูนยกมือเสริม “กูไม่ชอบทั้งน้องพลอย ทั้งเพื่อนของน้องเขาเลย”
 
“นั่นเพราะเขาชอบพี่เอื้อของมึงหรือเปล่า” บอยย้อนถาม ซึ่งผมเห็นด้วยกับมัน
 
“ก็...เออนั่นแหละ กูไม่ใช่ไอ้ฟ้านะเว้ยยังไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งๆ ที่กำลังมีคนจะงาบแฟนตัวเองไปแล้วน่ะ” อ้าวๆ แล้วเกี่ยวอะไรกับกูวะครับ
 
“นั่นดิไอ้ฟ้า มึงยอมได้ยังไงวะ เด็กนั่นแสดงออกชัดเลยนะว่าชอบผัวมึงอ่ะ” หนูนาถาม
 
“กูทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นเพราะกูกับไอ้กล้าไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมย้ำกับพวกมันอีกครั้งถึงสถานะของผมและกล้า
 
“นี่ถ้าไอ้กล้าเกิดชอบพลอยใสขึ้นมามึงจะทำไง”
 
“กูจะทำอะไรได้ล่ะ มันเลือกของมันเองนี่”
 
“แล้วถ้าเรื่องนี้ไอ้กล้าไม่ได้เป็นคนเลือกแต่เป็นมึงล่ะฟ้า” คำถามของโจมทำให้ผมชะงัก มันพูดเหมือนไอ้กล้าเลย และผมไม่เข้าใจที่มันพูดสักนิด ทำไมถึงบอกว่าเป็นผมที่เป็นคนเลือก ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นไอ้กล้า “ตลอดมากล้ามันก็แสดงออกชัดเจนว่าคิดยังไงกับมึง มีแต่มึงเท่านั้นแหละที่ไม่ยอมพูดความรู้สึกตัวเองออกมา”
 
“มึงคิดว่าไอ้กล้าชอบกูเหรอโจม…”
 
“เปล่า…”
 
“...” หึ เห็นหรือเปล่าว่าขนาดเพื่อนกันยังคิดแบบนี้เลย
 
“แต่กูคิดว่ามันรักมึง”
 
สายตาที่โจมมองมาทำเอาใจของผมสั่น ผมไม่เคยเชื่อเลยว่ากล้ามันคิดกับผมเกินเพื่อน คิดเพียงแค่ว่าที่มันทำทั้งหมดเพราะว่ามันรู้สึกผิดต่อผมเท่านั้น
 
“แล้วทำไมมันไม่เคยบอกกู”
 
“แล้วตอนมันบอกมึงเคยตั้งใจฟังมันหรือเปล่าวะ”
 
“...” ผมเงียบ ไม่มีอะไรจะเถียง หลายครั้งที่กล้าพยายามบอกความรู้สึกของตัวเองกับผม แต่ผมก็ไม่เคยตั้งใจฟังเลยสักครั้ง หาเรื่องบ่ายเบี่ยงทุกครั้งไป
 
“กล้ามาแล้ว” เสียงของจี๊ดดึงสติผมกลับคืนมา พวกเรากลับไปนั่งตามปกติ เหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
“พวกมึงไม่ได้แอบนินทาอะไรกูลับหลังใช่ป่ะ” ไอ้ควายกล้า (ผมยังไม่หายโกรธมันหรอกนะ) ถาม
 
“พวกกูจะนินทาอะไรมึงล่ะ แล้วนี่น้องพลอยใสไปไหนอ่ะ” หนูนาเป็นคนตอบ
 
“เห็นว่าเพื่อนตามไปเรียนเลยกลับไปแล้ว” มันนั่งลงก่อนจะยื่นขนมเยลลี่แช่เย็นมาให้ “ไปเจอมา กินซะ เผื่อมึงจะอารมณ์ดีขึ้น”
 
ผมรับมางงๆ แต่ก็แกะแล้วตักเข้าปาก ก็แหม...ของโปรดนี่ครับ “กูไม่ได้อารมณ์ไม่ดี” อือ...อร่อยเหมือนเดิมเลย รู้งี้เอาเงินที่ซื้อไอติมกินกับไอ้ปูนเมื่อกี้ไปซื้อเยลลี่นี่เสียก็ดี
 
“มึงอยู่ในสายตากูตลอดแหละฟ้า ไม่มีเรื่องไหนของมึงที่กูไม่รู้”
 
“...” เชี่ย...ทำไมต้องใจเต้นด้วยวะ แถมรู้สึกว่าหน้าร้อนๆ อีกต่างหาก ไม่ได้นะไอ้ฟ้า มึงจะเขินต่อหน้าไอ้พวกเวรนี่ไม่ได้เด็ดขาดนะเว้ย!
 
ผมมองรอยยิ้มของกล้าแล้วก็ต้องรีบก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มของตัวเองไว้ แต่ไม่ทันคนขี้เสือกอย่างมันหรอกครับ
 
“แน่ะ...มียิ้มๆ ชอบใจอ่ะดิ”
 
ผมเงยหน้ามองมัน พยายามสบตานิ่งๆ ก่อนจะตอบไปว่า “เออ! ชอบ”
 
“หวายยยยยยยย”
 
“วู้วววววววววว”
 
“อ๊ายยยยยยยยยย”
 
“ไอ้เชี่ยกล้าหน้าแดง!!”
 
ผมหัวเราะชอบใจ เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่สามารถหัวเราะได้เสียงดังขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบให้หน้าเอ๋อๆ ของไอ้กล้าตอนนี้เลยครับ
 
“กูหมายถึงชอบเยลลี่ต่างหากเล่า”

..
.
ต่อด้านล่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เหมือวันนี้จะผ่านไปด้วยดีแล้วแท้ๆ แต่เสือกมาตกม้าตายตอนจบเสียได้
 
“กูอยากจะตบปากตัวเองสักสิบครั้ง ไม่น่าพูดเสียงดังให้เด็กนั่นได้ยินเลย” ผมเหลือบตามองหนูนา “อะไร มองกูแบบนั้นจะช่วยกูตบปากตัวเองเหรอ”
 
“ทำได้หรือเปล่าล่ะ”
 
“แหมไอ้ฟ้า ตั้งแต่มีผัวนี่ริอ่านจะทำร้านผู้หญิงเหรอมึง”
 
“แล้วทำได้หรือเปล่าล่ะ”
 
“อย่าเลย กูกลัวเจ็บ”
 
หนูนาบอกด้วยน้ำเสียงน่าสงสารก่อนจะยกอาหารไปตั้งกลางวงเหล้าเฉพาะกิจที่มีสมาชิกใหม่แต่หน้าเดิม เพิ่งเติมด้วยเพื่อนสาวจากคณะสังคมศาสตร์ที่พร้อมจะงาบพี่เอื้อของไอ้ปูน
 
เหตุการณ์คุ้นๆ นะครับ
 
“นึกยังไงถึงตั้งวงกันล่ะ”
 
“ก็เห็นว่าพรุ่งนี้วันหยุดหนูเลยอยากฉลองก่อนจะสอบมิดเทมออ่ะพี่ เดี๋ยวคงต้องอ่านหนังสือกันจะไม่มีเวลา” หนูนาตอบคำถามพี่เดียวพร้อมกับนั่งลงข้างบอย ส่วนผมก็ต้องนั้นข้างกล้าเพราะมันเหลือที่ว่างเพียงที่เดียว ในขณะที่อีกข้างของมันเป็นเด็กพลอยใส
 
ไม่รู้ว่าเด็กนี่เลี้ยงกุมารทองหรือไงถึงได้มาถูกจังหวะตลอด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เด็กพลอยใสโผล่มาตอนหนูนากำลังเอ่ยปากชวนตั้งวงกันที่ห้องโจมพอดี จึงขอตามมาด้วย พวกผมก็ไม่รู้จะไล่ยังไงเลยปล่อยเลยตามเลย เธอกับเพื่อนของเธอถึงมานั่งร่วงวงกับเราได้
 
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไม่อยากจะดื่มเหล้า แต่อยากทำอย่างอื่นมากกว่า อย่าเช่น...เอาเหล้าสาดใส่เด็กพลอยใสนี่ เผื่อว่าจะเลิกอ่อยกล้าได้แล้ว เพราะตั้งแต่มาถึงสองคนนี้ใกล้กันไม่ห่างเลย  ทำเอาผมที่นั่งอีกข้างหนึ่งของมันกลายเป็นตัวแถมเสียอย่างนั้น
 
ฮัลโหล ไหนใครเขินกูเมื่อตอนกลางวันยกมือหน่อยสิ
 
แม่ง!! หงุดหงิดเว้ย!
 
“ดื่มน้อยๆ หน่อยก็ได้ฟ้า จะรีบมอมตัวเองไปไหน” หลังจากแก้วที่...ที่เท่าไหร่แล้ววะ...อ่าไม่รู้ตัวเลย รู้แค่มันร้อนๆ ในอกก็เลยอยากหาอะไรเย็นๆ ไปดับร้อนเท่านั้น
 
“อย่ามายุ่งน่า”
 
“ไม่ให้ยุ่งได้ไงมึงกินอย่ากับอาบ” กล้าดึงแก้วในมือผมไปถือไว้ อ้อ เลิกสนใจเด็กพลอยใสได้แล้วเหรอ “เดี๋ยวก็เมาหรอก”
 
“เมาสิดี” คนเมาทำอะไรก็ไม่ผิด เมาแล้วผมจะทำอะไรก็ได้ จะอาละวาดแล้วสาดเหล้าใส่เด็กตาแบ้วนั้นก็ไม่มีใครว่าผม ติดอยู่ที่ว่าเหล้าแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้เท่านั้นเอง
 
หรือจะแกล้งเมาดีวะ
 
“ดียังไง กูต้องหามมึงกลับน่ะสิ อีกอย่างเวลามึงเมาแล้วมัน…” อยู่ๆ กล้ามันก็หยุดพูดแล้วหันไปทางอื่น
 
“ทำไม เวลากูเมาแล้วทำไม น่ารำคาญใช่มั้ย” ใครๆ ก็ไม่ชอบดูแลคนเมาทั้งนั้นแหละ
 
“เปล่า แค่ไม่อยากให้เมาที่นี่”
 
ไม่อยากให้เมาที่นี่? ผมเหลือบไปมองพลอยใสก็เข้าใจว่าทำไมกล้ามันพูดแบบนั้น
 
“ถ้าเกิดว่ากูเมาจริงๆ ไม่ต้องมาห่วงกูหรอก ดูแลน้องพลอยใสของมึงไปเถอะกูไม่ได้ว่าอะไร” พอพูดจบกล้ามันก็ผลักหัวผมเบาๆ พร้อมกับอมยิ้ม ยิ้มอะไรของมันวะ ประสาทหรือเปล่า นี่กูจริงจังนะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
 
“หึงกูอ่ะดิ”
 
“ใครบอก” ผมหันหน้าหนีเมื่อกล้าขยับเข้ามาใกล้ มันลืมไปแล้วเหรอวะว่าเราไม่ได้อยู่กันแค่สองคน
 
“พี่กล้าคะ!”
 
เชี่ย...เล่นเอากูสะดุ้งเลยนะน้องพลอยใส และไม่ใช่แค่ผม ไอ้กล้าก็ตกใจกับเสียงเรียกของน้องไม่แพ้กัน มันถอนหายใจแล้วหันไปขานรับ
 
“ครับพลอย”
 
“เมื่อกี้เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ พี่กล้าอย่าลืมพลอยสิ” ไม่พูดเปล่า เด็กพลอยใสใช้แขนทั้งสองข้างกอดแขนกล้าเอาไว้อีกด้วย เฮ้ยๆ จะมากเกินไปแล้วนะ เมีย (โดยพฤตินัย) ของมันนั่งอยู่นี่นะเว้ย
 
ผมชอบกล้าครับ
 
ไม่คิดจะปากแข็งหรืออะไรอีกแล้วล่ะ มาคิดๆ ดูที่ไอ้โจมพูดมันก็จริงทุกประการ และถ้าผมยังคงลังเลกับความรู้สึกตัวเองอยู่ล่ะก็วันนี้ไอ้กล้าตกเป็นของเด็กพลอยใสนี่แน่ จะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
 
“มึงจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอวะ” หนูนาคลานจากอีกฝั่งของวงเหล้าเพื่อมากระซิบข้างหูผม บางครั้งมึงก็พยายามมากเกินไปนะเพื่อน “ถ้ามึงปล่อยไว้วันนี้ไอ้กล้าจะไม่ได้เป็นไอ้กล้าของมึงอีกต่อไปแล้วนะ”
 
“กูก็คิดอยู่เนี่ย...เอาเหล้ามาอีกสิ”
 
“แดกจนเมาผัวโดนงาบไม่รู้นะเว้ย”
 
“เออน่า กูมีแผน แต่ต้องเอาเหล้ามาให้กูก่อน เข้มๆ เลยนะมึง…”
 
แผนของผมไม่มีอะไรมากหรอก แค่ทำตัวเองให้เมา...ที่เหลือก็ให้ความรู้สึกมันจัดการไปเอง
 
เวลาผ่านไปสักพัก...ผมก็เริ่มกรึ่มๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว เสียงที่พูดออกมาเริ่มยานคางเต็มที สมองประมวลผลอย่างเชื่องช้า และขาดสติยั้งคิดในหลายๆ เรื่อง
 
เอาล่ะ มาเริ่มแผนกันเถอะ
 
“ฟ้าเมาหรือยังเนี่ย บอกแล้วว่าอย่ารีบมอมตัวเอง ทำไมไม่ฟังกันเลยวะ” ได้ยินเสียงกล้าแต่เหมือนมันอยู่ห่างไกล ทั้งที่ความจริงแล้วก็นั่งอยู่ข้างๆ กัน “ฟ้า ได้ยินที่พูดหรือเปล่า”
 
“อือ...ได้ยิน” ผมวาดแขนขึ้นโอบรอบตัวกล้าเอาไว้เพื่อจะได้มองหน้ามันชัดๆ “ไอ้กล้า...ไอ้ควาย”
 
“เอ้า มาด่ากูทำไม”
 
“ก็มึงมันควายจริงๆ นี่...เขางอกแล้วด้วย” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นวางลงบนกลุ่มผมนุ่มของอีกคนลูบไปมาหาเขาน้อยๆ ที่กำลังงอก “มึงมันโง่ โง่ฉิบหายเลย”
 
“ด่าอีกครั้งจูบแล้วนะ”
 
“แน่จริงก็จูบมาเลยดิ”
 
จุ๊บ!
 
มันจูบผมจริงๆ ด้วยครับ ถึงจะเขินยังไงก็ต้องกดเอาไว้เพราะตอนนี้ตัวเองกำลังเมา (กรี๊ดดดดดดด สำเร็จ!!)
 
“ยังจะด่าอีกมั้ย” หึ...คิดว่ากูจะหยุดแค่นี้เหรอวะ
 
“ไอ้กล้า ไอ้ควาย ไอ้โง่ ไม่รู้หรือไงว่ากูหึงมึงจะตายแล้วเนี่ย ยังจะให้เด็กนั่นเข้ามาใกล้อีก...อยากให้กูอกแตกตายเลยใช่มั้ย” ทุกคำที่พูดไปไม่ได้มาจากสมองแต่อย่างใด มันมาจากหัวใจของผมล้วนๆ ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดอั้นในหัวใจตลอดกำลังจะพรั่งพรูออกมาให้อีกคนได้รับรู้
 
“กูไม่ได้คิดอะไรกับพลอย”
 
“มึงไม่คิดแต่เด็กพลอยใสนั่นคิด เด็กนั่นจ้องจะกินมึงทั้งตัวแล้วไม่รู้หรือไง...เหอะ หล่อก็ไม่หล่อเสือกเสน่ห์แรงอีกนะ” ว่าแล้วก็ตบแก้มมันสองสามครั้ง “หน้าโง่ๆ แบบนี้มีไว้ให้กูหลงคนเดียวก็พอแล้ว”
 
“...ว่าไงนะ พูดอีกทีสิ”
 
“กูหลงมึง...โคตรหลงเลย หลงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว” ผมไม่ได้โกหก นายกล้าหาญนั้นน่าหลงไหลเสมอสำหรับผม โดยเฉพาะริมฝีปากของมันที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ “จูบมึงได้ป่ะวะ”
 
“ถ้าไม่อายก็จูบเลย”
 
พอได้ฟังคำอนุญาติจากกล้าผมก็ประกบปากลงไปและทันทีที่ริมฝีปากเราสัมผัสกันก็เหมือนมีกระแสไฟแล่นผ่านไปทั่วร่างกาย ผมประโคมจูบกล้าอย่างหนักหน่วงราวกับว่าเราไม่เคยจูบกันมาก่อน
 
“กูชอบมึงนะ” กล้าส่งยิ้มให้ หน้ามันดีใจอย่างกับจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น ผมหัวเราะ “อย่าร้องนะ บอกชอบไม่ได้บอกเลิก”
 
“ยังไม่ทันคบเลย ปากเสียใส่กูแล้ว”
 
“งั้นคบเลยมั้ย...แต่ไม่เลิกนะ...ไม่มีวัน”
 
“ครับ คบครับ เป็นแฟนกันนะ”
 
“เฮ!!!!!!”
 
“ฮิ้วววววววววว”
 
“ผัวเมียจะได้กันแล้วเว้ยยย!!”
 
ผมหัวเราะอีกครั้งกับเสียงเชียร์ที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ ก่อนจะรับจูบที่เร่าร้อนจากคนตรงหน้า มันดึงผมให้ลุกขึ้นยืน แต่พอเท้าแตะพื้นก็เหมือนว่าโลกกำลังหมุนและตัวผมกำลังจะล้มลง ทว่ากล้าเร็วพอที่จะช้อนตัวรับผมเอาไว้ได้ทันเวลา
 
“โจมกูขอยืมห้องมึงหน่อยแล้วกัน”
 
“ตามสบายเลย เช้ามาเก็บกวาดให้ด้วย”
 
“ไอ้กล้า มึงจะไม่เกรงใจพวกกูหน่อยเหรอวะ”
 
“ถ้าไม่อยากรับรู้ก็พากันกลับไปได้แล้ว ผัวเมียเขาจะจู๋จี๋กัน” พูดจบมันก็พาผมเดินเข้าห้อง แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลงผมไม่ลืมที่จะส่งสายตาและรอยยิ้มให้กับน้องพลอยใสที่นั่งนิ่งประหนึ่งช็อกตายไปแล้ว
 
หึ...ให้มันรู้ซะบ้างว่าผู้ชายคนนี้น่ะของใคร!!

..
.
“ดะ เดี๋ยวนะคะ นี่พี่กล้ากับพี่ฟ้า…” พลอยใสถามเสียงสั่น เสียงครางประเส่าของคนทั้งคู่รอดออกมาให้ได้ยินทันทีที่ประตูปิดลง อะไรจะรีบปานนั้น!
 
“อ้าว...น้องเพิ่งรู้เหรอจ๊ะ” หนูนาถามพร้อมกันส่งยิ้มหวานเจี๊ยบ...ที่ใครเห็นก็ต้องสยอง
 
“นะ นี่…”
 
“โธ่ น่าสงสารจังนะชะนีน้อย อย่าหาว่าพี่สอนเลยนะคะ แต่วันหลังจะอ่อยใครก็ดูด้วยนะลูกว่าเขามีเมียหรือเปล่า”
 
“มะ ไม่จริงอ่ะ”
 
“ไม่จริงอะไรคะคุณน้อง หรือน้องตาบอดไม่เห็นฉากเลิฟซีนเมื่อครู่”
 
“กรี๊ดดดดดดด!!” พลอยใสลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพาเพื่อนตัวเองกลับไปอย่างรวดเร็ว
 
“บาย...อย่าได้เจอกันอีกเลยนะคะชาตินี้” หนูนาโบกมือลาด้วยรอยยิ้มและความยินดี “ส่วนพวกที่เหลือก็กลับกันได้แล้วค่ะ ก่อนที่อารมณ์จะเตลิดไปหมด”
 
พอหนูนาพูดจบ ทุกคนก็รีบเก็บข้าวของตัวเองและพากันกลับทันที...จะเหลือก็แต่เจ้าของห้องที่ได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนดี แต่ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และพอก้มลงมองหน้าจอก็ถึงกับต้องยิ้มออกมา
 
หึ...มาได้จังหวะพอดี...และเป็นแบบนี้เสมอ

..
.
“อ๊ะ...กล้าเบาๆ”
 
“เวลามึงเมาแล้วยั่วฉิบหาย...ไม่สงสัยเลยว่าทำไมวันนั้นกูถึงเอามึงได้” พูดทั้งๆ ที่กำลังซุกไซ้ไปทั่วร่างกายของผม
 
“อ๊าส์!”
 
“มารำลึกความหลังครั้งแรกของเรากันหน่อยดีกว่า...แต่บอกเลยนะว่าคราวนี้กูไม่จบแค่รอบเดียวแน่”
 
“...ตะ ตรงนั้น!”
 
แล้วสมองผมก็ว่างเปล่า ไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากความสุขที่กล้ามอบให้ตอนนั้นรับรู้เพียงอย่างเดียว
 
“กูรักมึงนะกล้า”
 
คือถ้อยคำที่อีกฝ่ายพร่ำบอกผมว่ารัก
 
 
END

=======================================================
==============================================
เอากล้ากับฟ้ามาฝากค่าาาา ในที่สุดก็ลงเอยกันแล้วนะ (ปาดน้ำตา)
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
รักทุกคนเลย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4: :-[

ปากแข็ง แต่ก็หื่นนะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ชะนีน้อยอ่อยผัวคนอื่นไม่ดูตาม้าตาเรือ เจ็บดีมะ :laugh: แฮปปี้ไปคู่นึงแร่ะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
มันต้องอย่างงี้ ชะนี อ่อยผู้ ดูสถานการณ์ก่อนนะคะ

ออฟไลน์ anga

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
เนื้อเรื่องดี ชอบๆๆตลกบ้างอะไรบ้าง ขำๆกันไป แต่ขอตินิดนึงตรงคำผิดเยอะนะ เหมือนรีบๆลง ทวนก่อนลงนิดนึงนะคะแล้วก็ "เทอม" สะกดแบบนี้นะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เรื่องราวของว่าน
side story : ตอน ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ
 

 
“ไม่ดีเลย”
 
“อือ…”
 
“แย่ชะมัด”
 
“นั่นสินะ…”
 
“แบบนั้นมันไม่โอเคโคตรๆ”
 
“พูดคำหยาบเดี๋ยวคุณแม่ก็ดุเอาหรอก”
 
“พี่ว่านก็อย่าไปบอกแม่สิ ความลับของเราสองคนไง” แจมส่งยิ้มข่มขู่ให้กับผมก่อนจะหันไปมองผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเพิ่งหักอกเขาไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
 
ครับ...คุณคิดถูกแล้วล่ะ นั่นโจมกับคุณอรไง
 
อย่าถามว่าทำไมสองคนนั้นถึงมานั่งคุยกันอย่างใกล้ชิด อ่า...ก็ไม่เชิงหรอก ทั้งคู่ถูกกลั้นด้วยโต๊ะตัวหนึ่ง แต่ระยะมันก็ใกล้อยู่ดี เด็กนั่นลืมไปแล้วหรือไงว่าคนที่กำลังคุยด้วยน่ะเป็นเจ้าสาวป้ายแดง เดี๋ยวเจ้าบ่าวของเธอก็ตามมาหัดคอเอาหรอก
 
ผมเพิ่งมาถึงบ้านโจมเมื่อครู่นี่เอง ทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างในบ้าน น้องแจม...น้องสาวที่ไม่เหมือนพี่ชายเลยก็เข้ามาลากผมให้ไปที่สวนหลังบ้านด้วยกันเพื่อสังเกตการณ์คนทั้งคู่
 
“ถ้าแจมเป็นพี่ว่านแจมจะไม่ยอมหรอกนะ”
 
“หือ?” เดี๋ยวๆ ทำไมพี่ต้องไม่ยอมล่ะครับน้องแจม พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับสองคนนั้นสักหน่อย
 
“เอ้า! ก็สวนนั่นพี่ว่านไปคนลงแรงจัดเลยนะ นี่ก็เท่ากับว่าพี่จัดสวนเพื่อนให้สองคนนั้นมานั่งจู๋จี๋กันสิ” ผมได้แต่เกาหัวกับความคิดล้ำโลกของคุณน้องสาว เชื่อแล้วว่าคนบ้านนี่มีความคิดที่ไม่เหมือนใครจริงด้วย
 
“พี่โอเค”
 
“แต่หนูไม่โอเค! ทำไมอ่ะ...เป็นฝ่ายทิ้งเขาไปแท้ๆ แต่เส…” แจมรีบหยุดคำว่า ‘เสือก’ ไว้เท่านั้นแล้วตบปากตัวเองสองครั้ง “เอาใหม่ๆ เป็นฝ่ายทิ้งเขาไปแท้ๆ แต่กลับมานั่งคุยกับเขาได้หน้าตาเฉย คนอะไรไร้หัวใจจริงๆ”
 
บ้านโจมมีกฏเหล็กอยู่หลายข้อครับ หนึ่งในนั้นคือห้ามพูดคำหยาบคายในบ้านเด็ดขาด คุณแม่ของพี่น้องจอจานท่านดุมาก ก็เป็นคุณครูนั่นล่ะ ต้องเข้มงวดเรื่องมารยาทของลูกๆ เป็นธรรมดา
 
“นั่นสินะ ไร้หัวใจจริงๆ” ผมไม่ได้หมายถึงคุณอรหรอกที่ไร้หัวใจ แต่หมายถึงโจมต่างหาก...คุยกับคุณอรได้หน้าตาเฉยขนาดนั้น...ไม่รู้ว่าภายในใจจะยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่หรือเปล่า
 
“ไม่ได้การล่ะ ต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว”
 
“อะไรล่ะครับน้องแจม”
 
“พี่ว่านไปกับหนูเดี๋ยวนี้เลย” พูดจบเธอก็ออกแรงลากผมอีกครั้ง ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ ครับ ขนาดว่าผมตัวใหญ่ว่าแจมยังขัดขืนเธอไม่ได้เลย “พี่โจม!!”
 
คุณอรสะดุ้งก่อนจะหันมาหาผมกับแจม ส่วนโจมก็แค่มองมานิ่งๆ เหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกผมคงต้องโพล่มา
 
คุณอรจะฉีกยิ้ม “อ้าวน้องแจม ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย สวยขึ้นเยอะเลยนะคะ”
 
“ค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่พี่ทิ้งพี่ชายของหนูไปนั่นแหละ”
 
“เอ่อ...น้องแจม” สะกิดน้องสาวที่เกิดอาการหวงพี่ชายขึ้นมา พูดแบบนี้นอกจากจะทำให้คุณอรเสียหน้าแล้ว อาจจะทำให้พี่ชายของน้องเสียใจก็ได้นะ
 
ผมเหลือบตาไปมองโจม ก่อนจะพบว่าผมคงกังวลมากเกินไปว่าโจมจะรู้สึกเสียใจหรืออะไรทำนองนั้น เพราะเจ้าตัวได้แต่นั่งดื่มน้ำด้วยใบหน้าเรียบเฉยแบบที่ชอบทำ เฮ้! น้องครับ พี่ว่าอกหักมันไม่น่าจะหายเร็วขนาดนั้นนะ นี่พี่อกหักจากเพื่อนน้องมาตั้งนานแผลยังไม่สมานกันเลย
 
“แล้วพี่อรคะ...พี่ทิ้งพี่ชายหนูไปแล้วจะมาหาอีกทำไมคะ” แจมยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น
 
“ถึงเราจะเลิกกันแล้วแต่เราสองคนก็ยังเป็นเพื่อน...เป็นอย่างอื่นกันได้นี่...ใช่หรือเปล่าโจม” คุณอรเป็นคนสวย...เพียงเธอยิ้มก็เหมือนกับเรากำลังได้ชิมน้ำหวานจากดอกไม้งาม เพียงแค่มันเคลือบไปด้วยพิษร้ายเท่านั้่นเอง
 
“อย่างอื่นนี่หมายถึงอะไรคะ” เป็นคนน้องที่ถามแทน
 
“ก็...พี่น้องไงจ๊ะ”
 
แจมกำแขนเสื้อผมแน่น บ่งบอกว่าตอนนี้เธอกำลังโกรธแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ “อ๋อ...เหรอคะ แต่หนูว่าคงไม่ดีหรอกค่ะ เพราะพี่อรกำลังทำให้ใครบางคนไม่พอใจเอามากๆ”
 
“พี่รู้จ้ะว่าพี่ทำให้แจมไม่พอใจ…”
 
“ไม่ใช่แค่หนูคนเดียวค่ะ!” เอ๋? ไม่ใช่น้องแจมคนเดียวหรอกเหรอ ก็เห็นว่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นี่นา
 
“เอ...โจมก็โกรธอรเหรอ”
 
“พี่โจมน่ะไม่โกรธพี่อรหรอก...แต่คนที่โกรธนะคือพี่ว่านต่างหาก!”
 
“หะ?!” ละ แล้วกูเกี่ยวอะไรด้วยวะครับ ผมรีบหันไปหาน้องแจม ซึ่งเธอก็ทำเพียงแค่พูดกับคุณอรต่อไปต่อไปไม่สนใจผมเลย
 
“ว่าน?...คุณคนนี้น่ะเหรอคะ”
 
“ใช่ค่ะ คนนี้ล่ะค่ะ...พี่ว่านแฟนใหม่พี่โจม!!”
 
เอาล่ะ...ผมว่าเราคงต้องเคลียร์กัน...ยาว

..
.
“แฟนใหม่พี่...คิดอะไรอยู่ถึงพูดออกไปแบบนั้นกัน”
 
ตอนนี้เรากำลังนั่งสอบปากคำจำเลยคดีโป้ปดมดเท็จ...เริ่มโดยผู้เสียหายคนที่หนึ่งหรือก็คือพี่ชายของจำเลยนั่นเอง
 
“หนูไม่อยากให้พี่อรมายุ่งกับพี่โจมนี่ ผู้หญิงใจดำแบบนั้นน่ะไปไกลๆ เสียได้ก็ดีแล้ว” จำเลยตอบคำถาม ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจแทรกอยู่ “พี่โจมนั่นแหละ มาโกรธหนูแบบนี้ทำไม ไม่ใช่ว่าพี่ยังรักพี่อรอยู่หรอกนะ”
 
ก็ถูกของแจมนะ โจมยังรักคุณอรอยู่ใช่หรือเปล่า
 
“เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้น อยู่ๆ ก็ถูกยัดเยียดแฟนพี่เราไม่ได้ชอบให้...จริงหรือเปล่าพี่ว่าน”
 
“หะ?” อะไรนะเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเลย
 
“พี่โกรธหรือเปล่าครับ” โจมมองผมนิ่งๆ เป็นสายตาที่ไม่ว่ามองใครคนนั้นก็คงต้องรู้สึกหวั่นเกรงกันบ้าง...แต่ไม่ใช่กับผม
 
“พี่เฉยๆ นะ แค่ตกใจนิดหน่อย” ส่งยิ้มแถมกลับไปด้วยเลยเป็นไงล่ะ
 
“เห็นมั้ย พี่ว่านยังไม่โกรธเลย แล้วพี่โจมมาโกรธอะไรหนูล่ะ” แจมยืนขึ้นท้าวเอวต่อหน้าพี่ชายของเธอ...ได้ทีเอาใหญ่เลยนะน้องแจม ที่พี่ไม่โกรธเพราะส่วนหนึ่งแล้วพี่กำลังสนุกกับการได้แกล้งพี่ชายน้องต่างหาก แต่ถ้าเป็นคนอื่น...พี่คงต่อยให้สลบหลังจากจบประโยคเลยล่ะ
 
เก่งจังเลยกู
 
“ไม่รู้ล่ะ ต่อไปนี้แจมขอประกาศให้พี่สองคนเป็นแฟนกัน”
 
“ไม่!” เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าโจมเสียงดัง นั่นทำให้น้องแจมดูหวาดกลัวอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ได้กลัวมากมายขนาดที่จะยอมเลิกล้มความตั้งใจของตัวเอง
 
“งั้น...ไม่ต้องเป็นแฟนกันตลอดก็ได้ แค่ต่อหน้าพี่อรก็พอแล้ว...พี่ว่านตกลงหรือเปล่าคะ”
 
อ้าว มาเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะครับน้อง พี่อยู่ของพี่ดีๆ นะ
 
“เอ...พี่…”
 
“พี่ว่านตกลงหรือเปล่าคะ” เฮ้ๆ อย่าใช้น้ำเสียงและสายตาข่มขู่กันแบบนั้นสิ...ทั้งพี่ทั้งน้องเลย
 
“พี่ว่านไม่ตกลง”
 
“พี่ว่านยังไม่พูดอะไรเลยต่างหาก”
 
“แต่พี่ไม่ตกลง”
 
“ก็เรื่องของพี่โจมสิ แค่พี่ว่านตกลงก็พอแล้ว”
 
“เอ่อ...น้องแจมครับ การเป็นแฟนกันนี่มันต้องสมัครใจทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ” ผมยกมือขึ้นออกความเห็น น้องแจมนี่ดื้อใช่เล่นเลยนะ โจมก็เหมือนกัน...แต่พี่ชายคงจะหนักกว่า เพราะดูท่าทางเป็นจะไม่ยอมใครอยู่แล้ว
 
“นี่เป็นกรณียกเว้น ถ้าพี่ว่านตกลงก็เป็นแฟนกันได้เลย” แบบนี้ก็ได้เหรอครับน้อง
 
“ไร้สาระ!” พูดจบก็หันหลังเตรียมจะออกจากห้องไป
 
“ถ้าพี่โจมก้าวออกจากห้องนี้ไป หนูจะถือว่าพี่สองคนเป็นแฟนกันแล้วนะ”
 
“อยากจะทำอะไรก็เชิญ” และแล้วโจมก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย
 
“ได้! ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้หนูขอประกาศว่าพี่สองคนเป็นแฟนกัน!!” นอกจากน้องแจมจะเป็นนักเรียนม.ปลายแล้วน้องยังมีอาชีพเสริมเป็นบาทหลวงด้วยเหรอครับ
 
แต่เดี๋ยวก่อนนะ...ถามความสมัครใจพี่หรือยังเฮ้ย!!

..
.
เย็นวันนั้น
 
เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมาฝากท้องกับบ้านของโจม เพราะคำคะยั้นคะยอของน้องแจม และในระหว่างที่เรากำลังรับประทานอาหารด้วยความเพลิดเพลินนั้นน้องแจมก็พูดขึ้นมาว่า
 
“แม่คะ พี่ว่านกับพี่โจมเป็นแฟนกันนะคะ”
 
พรวด!!!
 
“แค่กๆ…”
 
ข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากถึงกับพุ่งออกมาด้านนอกเลยดีเดียว และไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น...คนที่ปกติจะนิ่งอยู่ตลอดเวลาอย่างโจมก็เช่นกัน (เป็นภาพที่หาดูยากนะ อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้จัง) ผมเช็ดปากให้เรียบร้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคุณป้าอย่างช้าๆ บอกแล้วใช่หรือเปล่าครับว่าคุณป้าท่านเป็นคุณครู...และท่านค่อนข้างหัวโบราณ เรื่องที่ลูกชายของท่านจะไปรักไปชอบกันผู้ชายนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ
 
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” เหมือนมาก! แม่กับลูกถอดแบบกันมาเลยครับ ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง สายตาที่นิ่งเรียบ
 
“เอ่อ ที่จริงแล้ว…”
 
“พี่ว่านบอกไปเลยค่ะว่าคบกันมาตั้งแต่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว”
 
ยัยน้องแจม!!! เป็นครั้งแรกเลยที่ผมอยากจะใช้เล็บตะกุยหน้าของน้อง น้องแจมช่วยดูหน้าคุณแม่ของน้องนิดหนึ่งนะครับ จะขย้ำหัวพี่อยู่แล้วครับ!
 
“จริงเหรอ ไม่เห็นเราสองคนเคยบอกแม่เลย”
 
“พี่เขาอายอ่ะแม่ นี่หนูก็เพิ่งรู้...พี่ว่านหลุดหึงพี่โจมกับพี่อรด้วย” เป็นเด็กที่แต่งเรื่องเก่งและน่าเชื่อมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย แถมยังพูดได้ลื่นไหลไม่มีสะดุดอีดต่างหาก ผิดกับพี่ชายที่ไม่ค่อยพูดอะไร...เอาแต่ทานข้าวอย่างเดียว
 
เฮ้ๆ น้องครับ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับน้องด้วยนะครับ ทำไมน้องเฉยได้ขนาดนี้ล่ะ ตอนแรกค้านหัวชนฝาเลยไม่ใช่เหรอ
 
“อรมาที่บ้านเหรอโจม”
 
“ครับ” นั่นคือคำแรกที่ผมเพิ่งได้ยืนจากปากโจมตั้งแค่เริ่มทานข้าวมา
 
“ว่าน...ป้าไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าเราจะคบกับลูกชายป้า” คุณแม่โจมมองมาที่ผมด้วยสายตาจริงจัง ว่าแต่ว่าเมื่อครู่คุณป้าพูดว่าอะไรนะครับ
 
“คุณป้าไม่ได้...จะว่าเรื่องที่ผมกับโจมคบกันเหรอ”
 
คุณป้าส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ไม่ต้องกลัว ป้าไม่ได้เป็นคนหัวโบราณขนาดนั้น เรื่องผู้ชายจะรักจะชอบกันที่โรงเรียนป้ามีให้เห็นเยอะ…”
 
“แม่สอนโรงเรียนชายล้วนน่ะ” น้องแจมกระซิบบอก
 
อ๋อออ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
 
“เอาเป็นว่าถ้าเราจะคบกันก็ให้มันอยู่ในลู่ในทางที่ควรแล้วกัน ฝากดูแลลูกชายป้าด้วยนะว่าน… ส่วนโจมก็หัดเชื่อฟังพี่เขาบ้างนะ เรื่องดื้อน่ะให้มันน้อยๆ หน่อย ทำตัวดีๆ กับพี่เขาด้วยเข้าใจหรือเปล่า” ไปกันใหญ่แล้ว นี่มันเหมือนกับอวยพรบ่าวสาวเลยนี่
 
“...”
 
“โจม!”
 
“เข้าใจแล้วครับ”
 
ผมมองโจมด้วยความสงสัย นี่โจมไม่คิดจะท้วงอะไรบ้างเลยหรือไง ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณป้าเข้าใจผิด
 
แต่ว่าถ้าโจมไม่ท้วง ผมก็ไม่ท้วงครับ ไม่รู้สิ ผมคิดว่าหลังจากนี้คงมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้างล่ะ
 
และวันนั้นผมก็ได้แฟนใหม่อย่างงงๆ แถมแฟนคนนี้ยังเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่ผมเคยชอบเสียด้วย
 
♣♣♣♣♣

วันนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญกับครอบครัวของโจม ไม่กี่ครั้งหรอกครับที่ผมได้มาทำอะไรแบบนี้ อย่างว่าแหละ ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยก็มีแค่เรียน เที่ยว เที่ยว สอบ เที่ยว แล้วก็เพื่อน (ทำไมเที่ยวมันเยอะวะ) น้อยมากที่จะได้เข้าวัดเข้าวา ต้องกราบขอบพระคุณคุณป้าอย่างมากที่กรุณาพาคนบาปคนนี้มาทำเรื่องดีๆ กับเขาได้
 
หลังจากทำบุญถวายภัตตาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยญาติโยมทั้งหลายก็ค่อยๆ ถยอยเดินออกมาจากศาลา และในตอนนั้นก็มีหญิงสาวคุ้นหน้าเดินเข้ามาทักทาย
 
“สวัสดีค่ะคุณแม่” คุณอรยกมือไหว้อย่างมีมารยาท ทั้งอ่อนหวานและนอบน้อม วันนี้เธอไม่ได้มาคนเดียวครับ ข้างกายเธอมีสามีเคียงข้างมาด้วย
 
โห...ต้องใจกล้าขนาดไหนถึงพาแฟนใหม่มาทักทายแฟนเก่าได้
 
ผมหันไปหาโจม อยากรู้ว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร ถ้าข้างหน้าเราเปลี่ยนเป็นไอ้เอื้อที่เดินเคียงคู่มากับปูนผมคงไม่สามารถปกปิดความเสียใจของตัวเองเอาไว้ได้ ทว่าโจมกลับตีหน้าเรียบ และนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลยแม้กระทั่งสายตา
 
นี่เขายังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า
 
“เรียกใหม่ดีกว่านะจ๊ะหนูอร แค่คุณป้าก็พอ” คุณป้าบอกพร้อมกับรับไหว้ ผมแอบเห็นแจมกำมือด้วยความสะใจด้วยครับ เด็กคนนี้ร้ายจริงๆ ไม่ควรจะมีเรื่องกับเธออย่างยิ่ง
 
“บังเอิญมากเลยนะคะ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอคุณป้ากับโจมที่นี่เลยค่ะ” คุณอรส่งสายตาให้กับโจม...และผม “อ้าว คุณว่านก็อยู่ด้วยเหรอคะ นี่มาทำบุญกับพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะคะ หรือว่าเป็นการทำบุญต้อนรับว่าที่ลูกเขยหรือเปล่าคะ”
 
“คุณว่านเป็นแฟนกับน้องเขาหรือครับ เหมาะสมกันดีจริงๆ” สามีคุณอรมองมาที่ผมกับแจมสลับกัน บอกตามตรงเลยว่าผมจำชื่อผู้ชายคนนี้ไม่ได้ รู้แค่ว่าเราทำธุรกิจร่วมกันอยู่ เพราะเหตุนี้พ่อเลยส่งผมเป็นตัวแทนมางานแต่งของเขากับคุณอร
 
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณ แต่เป็นคุณว่านกับโจมต่างหาก”
 
“อะไรนะครับ! คุณว่านกับโจมเป็นแฟนกันเหรอ!” ผมขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่เขาตะโกนเสียงดัง มันทำให้พวกเราเป็นจุดสนใจ แต่ทที่ไม่ชอบใจที่สุดก็คุณอรเนี่ยแหละ
 
“ก็ใช่น่ะสิคะ ตอนอรได้ยินก็ตกใจมากๆ เลยค่ะ...เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนเร็วจนเราตามไม่ทันเลย...ใช่หรือเปล่าคะคุณป้า”
 
อ่า...ผมไม่ได้อยากจะใส่ร้ายผู้หญิงหรอกนะ สุภาพบุรุษเขาไม่ทำแบบนั้นกัน แต่ผมเดาว่าที่คุณอรเข้ามาทักเรื่องผมกับโจมคงอยากจะให้คุณป้ารับรู้ และอรคงคิดเหมือนผมในตอนแรกว่าคุณป้าจะรับเรื่องของเราสองคนไม่ได้
 
ซึ่งคุณคิด...ผิดครับ!!
 
“ก็ถูกอย่างที่อรว่านั่นล่ะ แต่คนเราก็ควรปรับตัวให้ทันกับโลก เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ไม่มัวแต่ยึดติดกับเรื่องเก่าๆ เดิมๆ ที่มันพาให้ชีวิตของเราไม่ก้าวไปไหนเสียที”
 
จุกครับ...จุกแทนคุณอรเลยทีเดียว คุรป้าตอบกลับได้ดี เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอกำลังไม่พอใจเอามากๆ แต่ก็ยังต้องฝืนยิ้มต่อไป
 
“นั่นสินะคะ อรก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน...เราก็ต้องเปิดรับอะไรที่มันดีกว่าเดิมอยู่แล้ว แล้วก็ต้องปล่อยมือจากสิ่งเก่าๆ ที่มันไม่ช่วยให้เราก้าวไปไหนเสียที”
 
เหมือนคำพูดจะไม่มีอะไร แต่มันกระทบหัวใจใครบางคนไปเต็มๆ
 
ผมหันไปมองโจมอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ได้พบกับความสั่นไหวในดวงตาคู่สวย ผมรู้สึกแย่กับผู้หญิงคนนี้ คุณอรใจร้ายมากถึงมากที่สุด แต่งงานกับคนอื่นเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ก็ยังมาบอกว่ารักโจม ตอนนี้ก็ยังพาแฟนตัวเองมาหาโจม แล้วพูดให้โจมเสียใจ เป็นครั้งแรกที่ผมอยากจะถามเธอว่าเธอยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วมันก็เป็นเพียงแค่ก้อนเนื้อที่มีไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่เท่านั้น
 
“จ้ะ คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ แล้วหวังว่าอรจะไม่กลับมาหาสิ่งที่อรปล่อยมือแล้วหรอกนะ เพราะถึงแม้มันไม่มีค่าสำหรับอร แต่มันก็มีค่ามากสำหรับคนอื่น...ใครหรือเปล่าจ้ะว่าน”
 
ผมจ้องหน้าคุณอร ก่อนจะตอบกัลบด้วยเสียงที่หนักแน่ และจริงจัง ในหัวผมคิดอะไรไม่รู้ผมถึงได้คว้ามือโจมมาจับ บีบเอาไว้แน่นๆ และได้แต่หวังว่าความรู้สึกของผมจะส่งไปให้คนที่ผมกำลังจับมืออยู่ได้
 
“ครับ ใช่ครับ...มีค่ามาก...มากที่สุดเลยครับ และขอบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าคุณมานั่งเสียใจที่หลังก็คงไม่มีประเยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่ได้มันคืน”
 
สู้เขานะโจม เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันให้ได้
 
“ก็ตามนั้นล่ะอร ป้าก็ขอให้อรโชคดีกับทางที่อรเลือก ป้าขอตัวก่อนนะ ดูสิคุยเพลินจนคนออกไปกันหมดแล้ว” พอคุณป้าพูดจบก็ชวนพวกเราเดินลงมาจากศาลาโดยไม่ให้คุณอรได้ยกมือไหว้ลาแม้แต่นิดเดียว
 
ผมเดินเคียงคู่ไปกับโจมตามหลังคุณป้าและน้องแจม มือที่ผมจับมือของโจมเอาไว้ยังไม่ปล่อยออก ซ้ำยังจับแน่นกว่าเดิม
 
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆ ข้างหู โจมไม่ใช่คนตัวเล็กเลย รูปร่างเราพอๆ กันเพียงแต่ผมมีกล้ามเนื้อมากกว่า และสูงกว่าอีกฝ่าย ทว่าถ้าเอาไปเทียบกับปูนแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นคนร่างบาง
 
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
 
“ก็ที่พูดเมื่อกี้น่ะ...ขอบคุณนะครับที่สงสารผม”
 
ผมส่ายหน้า “พี่ไม่ได้สงสารสักหน่อย คนเข้มแข็งอย่างโจมมีอะไรให้ต้องสงสารล่ะ ที่พูดเมื่อกี้เพราะอยากให้กำลังใจ ไม่อยากให้โจมเอาคำพูดของคุณอรมาคิดมาก ถึงแม้เราจะไม่มีความหมายกับบางคน แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีความหมายกับใครเลย”
 
ผมร่ายยาวกว่าทุกครั้ง หวังว่าจะให้โจมเอาคำพูดของผมไปคิดสักนิดว่าเขาไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่คุณอรบอก และผมเชื่อว่าคนฉลาดอย่างโจมคิดได้แน่นอน
 
“หึ...นี่กำลังหมายถึงตัวเองด้วยหรือเปล่า”
 
“โจมคนเดิมกลับมาแล้วสินะ” ว่าพลางหันไปส่งยิ้มให้อีกคน สีหน้าโจมดูดีกว่าเมื่อครู่มาก
 
“ผมก็เป็นผมออย่างนี้ตั้งนานแล้ว”
 
“นั่นสิ โจมก็เป็นโจม พี่ก็เป็นพี่ ถึงแม้เราจะเจ็บกับความรักที่ไม่สมหวังแต่เราก็ยังเป็นเราเสมอ”
 
โจมพยักหน้าเห็นด้วย “คำพูดเมื่อกี้เหมาะกับตำแหน่งพระรองแสนดีจริงๆ”
 
“นี่จะเลิกแขวะพี่สักวันได้หรือเปล่า” ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ บางครั้งโจมก็พูดให้กำลังใจ แต่บางครั้ง (หรือหลายๆ ครั้ง) คำพูดนั้นก็ทำเอาคนฟังเจ็บแสบไม่น้อย
 
“ปล่อยมือได้แล้วครับ”
 
“อ้อ…” ผมหัวเราะก่อนจะปล่อยมือโจม นึกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วเสียอีก ก็เห็นว่าให้เดินจับมือมาได้ตั้งนาน “ว่าแต่เพราะอะไรถึงไม่บอกคุณป้าไปล่ะว่าความจริงแล้วเราไม่ได้คบกัน”
 
“เรื่องนั้นแม่รู้ตั้งนานแล้ว” ผมหันไปเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย รู้ตั้งนานแล้วทำไมยังทำเหมือนผมกับโจมเป็นแฟนกันเหมือนเดิม “เมื่อกี้พี่ก็เห็นแล้วนี่ว่าแม่ไม่ชอบอร คงอยากให้พี่มาเป็นไม้กันหมาให้ล่ะมั้ง”
 
“เป็นคู่แม่ลูกที่เหมือนกันน่าดูเลยนะ คนลูกก็อยากให้เราเป็นไม้กันหมาเหมือนกัน”
 
“ก็ฉลาดดีนะครับ”
 
วันนี้ผมโดนคนหน้านิ่งแขวะไปกี่รอบแล้วนะครับ นับๆ ดูนี่ก็สามแล้วเห็นจะได้ และเชื่อว่าไม่จบแค่นี้หรอกสำหรับเขา
 
“โจม”
 
“ครับ?”
 
แหมะ!
 
ผมวางมือข้างหนึ่งลงบนศีรษะของอีกฝ่ายทันทีที่เขาหันมามอง ก่อนจะขยี้กลุ่มผมสีเข้มด้วยความหมั่นเขี้ยว โจมแสดงสีหน้าว่าไม่ชอบใจอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้ขัดขืน
 
“จะไม่โวยวายหน่อยเหรอ” มาแปลกนะ เขาไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบให้คนอื่นทำแบบนี้ด้วย
 
“ถือว่าเป็นการขอบคุณเรื่องเมื่อกี้แล้วกัน”
 
อะไรกัน...เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะผมน่ะ...เต็มใจทำให้อยู่แล้ว
 
“โจม”
 
“คราวนี้จะแกล้งอะไรอีกล่ะ”
 
“เปล่าสักหน่อย แค่จะชวนไปเที่ยวน่ะ” ผมหันไปฉีกยิ้มให้กับคนหน้านิ่ง “พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า”
 
เขาหันมามองหน้าผมเหมือนผมช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย “ไม่เห็นต้องถามเลย...ก็รู้อยู่ว่าผมว่างทุกวัน”
 
หึๆ เด็กนี่น่ะถึงจะปากร้าย เดาอารมณ์ยาก แต่ที่จริงแล้วเป็นคนใจดีคนหนึ่งเลยล่ะ
 
“เป็นเด็กดีว่าง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
 
“ถ้าพูดว่าน่ารักอีกคำเดียวตายแน่”
 
ผมไม่นึกโกรธเลย เพราะถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ และใบหน้าเฉยชา แต่หูที่พ้นกลุ่มผมมากลับแดงระเรื่อเสียอย่างนั้น
 
น่ารักจริงๆ ครับ

ต่อด้านล่าง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด