ซักพักอาจารย์ก็เรียกทุกคนไปรับข้าวกล่อง
“อ้าว นายต้นข้าวกับนายทิวไผ่ไปทำอะไรกันมาน่ะ เปียกปอนกันมาเชียว ไม่มีชุดเปลี่ยนด้วยระวังเป็นหวัดล่ะ” อาจารย์นาถวดี ที่ปรึกษาประจำชั้นสอบถามด้วยความเป็นห่วง
“เราไปเล่นน้ำกันมาน่ะครับอาจารย์” ทิวไผ่ตอบอย่างยิ้ม ๆ ขณะที่ต้นข้าวหนาวจนปากสั่น เพราะน้ำในลำธารเย็นมาก เขายิ้มเจื่อน ๆ ให้อาจารย์ก่อนจะหันไปค้อนควับใส่ทิวไผ่อย่างแค้นเคือง
เมนูอาหารวันนี้ คือ กระเพราไข่ดาว ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิว และเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานกันมา หลังจากนั้นอาจารย์ ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนเดินเล่นชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ ก่อนจะกลับอาจารย์เอากล้องมาถ่ายภาพหมู่ไว้เป็นที่ระลึก รถออกเดินทางกลับในเวลาบ่ายโมงเศษ ๆ
ต้นข้าวนั่งกอดอกตัวซีดปากเขียวอย่างหนาวเหน็บเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วทำให้ลมพัดประทะเข้ากับเสื้อผ้าเปียก ๆ ของเขา จนร่างกายบอบบางนั้นสั่นสะท้านจนเห็นได้ชัด แถมซ้ำระหว่างทางฝนดันตกลงมาอีก โชคยังดีอยู่บ้างที่รถยังมีหลังคาผ้าใบช่วยกันฝนได้บ้าง เสื้อผ้าที่เปียกปอนบวกกับไอฝนที่ถาโถมเข้ามาตามแรงปะทะของรถที่กำลังวิ่ง ยิ่งทำให้ต้นข้าวหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ
ทิวไผ่ลอบมองต้นข้าวและนึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ นี่เขาแกล้งหมอนี่รุนแรงไปหรือเปล่านะ สายฟ้าถอดเสื้อแขนยาวให้เพื่อนรักใส่อีกตัวเมื่อเห็นอาการของต้นข้าวไม่สู้ดีนัก ด้วยความหนาวและเมื่อยล้า ต้นข้าวจึงผล็อยหลับไปบนตักของสายฟ้าในที่สุด
สภาพของทุกคนตอนนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากต้นข้าวมากนัก ทุกคนมีอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย นั่งหลับกันโงนเงนไปมาเกือบทั้งคันรถ แม้แต่สายฟ้าเองก็ฟุบหลับไปกับต้นข้าว และเพื่อน ๆ ด้วย
ทิวไผ่นั่งมองสองเพื่อนรักนอนหลับไปด้วยกันอย่างอ่อนเพลีย และนึกเอ็นดูในสภาพเหมือนกับเด็ก นอนหลับยังไงอย่างงั้น ลมพัดน้ำฝนเข้ามาปะทะร่างทิวไผ่จนหนาวสะท้านเช่นกัน แต่สำหรับเขาแค่นี้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นนักกีฬาร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย ๆ อยู่แล้ว
รถกลับมาถึงโรงเรียนประมาณบ่ายสามโมงเย็น ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยอาการเมื่อยล้า บางคนมีผู้ปกครองมารับ หลายคนกลับเองตามปกติ
“ต้น...ต้น...ตื่นได้แล้ว ถึงแล้ว” สายฟ้าปลุกต้นข้าวโดยเขย่าร่างเบา ๆ
“อืม...ถึงแล้วเหรอ ปวดหัวจัง” ต้นข้าวสะลึมสะลือลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นก็เซถลาจนเกือบจะล้ม
“ต้น...ไหวมั้ย ให้เราไปส่งบ้านดีกว่า” สายฟ้าพูดอย่างเป็นห่วง และขันอาสาไปส่งบ้านเมื่อเห็นว่าเพื่อนอาการไม่ดีเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแม่มารับน่ะ” ต้นข้าวตอบมาอย่างเนือย ๆ ใบหน้าซีดเซียว
“เอางั้นเหรอ อืม...เรานั่งรอแม่นายเป็นเพื่อนละกัน อ๊ะ นั่นแม่เกดมาพอดีเลยปะ เราไปส่งขึ้นรถ” สายฟ้ากุลีกุจออย่างห่วงใย
“หวัดดีจ้ะลูกฟ้า ลูกต้น เอ๋...ทำไม่ลูกต้นของหม่ามี้น่าซีดจังล่ะจ๊ะ” เกศสินีสังเกตอาการของลูกชายสุดที่รักของเธอ และพูดอย่างเป็นห่วง
“หวัดดีครับคุณแม่ รู้สึกว่าต้นจะไม่ค่อยสบายน่ะครับ สงสัยทำงานหนักแล้วโดนฝนเข้าไปอีกนะครับ”
สายฟ้าบอกอาการของต้นข้าวให้มารดาเพื่อนรักของตนฟัง
“ตายแล้ว งั้นเดี๋ยวหม่ามี้พาไปหาหมอนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่กลับไปกินยาแล้วนอนพักต้นคงดีขึ้นครับ” ต้นข้าวตอบมารดาด้วยอาการเหนื่อยอ่อน
“ขอบใจลูกฟ้ามากนะจ๊ะ ที่ช่วยดูแลต้นข้าวของแม่น่ะจ้ะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ต้นกับผมเราเป็นเพื่อนกันครับ เพื่อนต้องดูแลเพื่อนอยู่แล้วครับ คุณแม่ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ หวัดดีครับ”
“จ้ะลูก เดินทางดี ๆ นะจ๊ะ” เกศสินีพูดกับเพื่อนรักของลูกชายอย่างเป็นห่วง
...
“หวัดดีไผ่” สายฟ้าทักทายทิวไผ่ เมื่อก้าวเดินเข้ามาในห้องในเช้าวันใหม่
“ดีครับฟ้า ทำไมเสียงฟ้าแปร่ง ๆ ไปอ่ะ ไม่สบายเหรอ” ทิวไผ่ถามเมื่อได้ยินเสียงสายฟ้าที่ทักทายตัวเองผิดปกติไป
“ครับ ก็ทำงานตากแดดทั้งวันแถมมาโดนฝนอีก เลยเป็นหวัดนิดหน่อยน่ะครับ”
“กินยารึยังครับเนี่ย มาเรียนด้วย ไหวเหรอ ทำไมไม่นอนพักอยู่ที่บ้านซักวันก่อนล่ะครับ” ทิวไผ่ถามอย่างห่วงใย
“กินแล้วครับ” สายฟ้าตอบอย่างใจชื้นเป็นพิเศษ ที่ทิวไผ่เป็นห่วงตนเอง
“อืม...นี่สายแล้วยังไม่เห็นต้นข้าวมาโรงเรียนเลย” ทิวไผ่พูดเปรยขึ้นเมื่อไม่เห็นต้นข้าวคู่กัดของเขาโผล่เข้ามาซักที
“สงสัยจะนอนซมอยู่บ้านเพราะพิษไข้มั้งครับ ต้นอาการไม่ค่อยจะสู้ดีตั้งแต่ตอนกลับมาแล้วนะ ฟ้ายังไม่ได้โทรไปถามที่บ้านต้นเลย ว่าเป็นยังไงบ้าง” สายฟ้าสันนิษฐาน
เมื่อได้ยินสิ่งที่สายฟ้าพูด จิตใต้สำนึกของทิวไผ่ก็หวนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ‘จริงเหรอ ถ้าหมอนั่นป่วยถึงขั้นนอนซมอยู่ที่บ้านเราก็มีส่วนผิดด้วยซินะ ที่ไปแกล้งเจ้านั่นหนักไปหน่อย ยิ่งบอบบางอยู่ด้วยสิ เป็นอะไรมากรึเปล่านะ’
“อื้ม...เอ่อ...สายฟ้าครับ เย็นนี้เราไปเยี่ยมต้นข้าวที่บ้านกันดีไหม” ทิวไผ่พูดด้วยสีหน้าที่ดูเรียบเฉย
“…ดีเหมือนกันครับไผ่ ฟ้าก็เป็นห่วงต้นมันเหมือนกัน” สายฟ้าตอบ ‘เดี๋ยวนี้ไผ่เป็นห่วงต้นด้วยเหรอเห็นเกลียดกันจะตายเจอหน้ากันกัดกันตลอดนี่นา’
หลังเลิกเรียน สองหนุ่มพากันขึ้นรถเมล์ไปบ้านของต้นข้าวทันที โดยสายฟ้าเป็นคนนำทาง ระหว่างทางสายฟ้า ลอบมองหน้า ทิวไผ่อย่างสับสน ทำไมทิวไผ่ แปลก ๆ ไป เขาห่วงใยต้นข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่โดยปกติแล้วสองคนนี้ไม่มีทางญาติดีกันได้เลย ยิ่งคิดยิ่งทำให้ความหวาดกลัว และความหวาดระแวงเดิม ๆ ของสายฟ้า ในความสัมพันธ์ของเพื่อนทั้งสองกลับคืนมาอีกครั้ง
“ถึงแล้วครับไผ่...เดี๋ยวฟ้ากดกริ่งเรียกคนในบ้านก่อนนะครับ” สายฟ้าบอกทิวไผ่ เมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางซอย
“ครับ”
‘นี่เหรอบ้านนายหน้าใสนั่น น่าอยู่ดีนะ’ ทิวไผ่มองผ่านรั้วอัลลอยด์เหล็กดัดเข้าไปภายในบ้านทรงยุโรปโมเดิร์นสองชั้นตั้งอยู่ถัดเข้าไปจากสนามหญ้าหน้าบ้าน รอบ ๆ ตัวบ้านมีสวนหย่อมเล็ก ๆ และไม้ยืนต้นให้ร่มเงาช่วยทำให้บ้านร่มรื่นน่าอยู่มากขึ้น ทันใดนั้นมีสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทีฟเวอร์ กับไวท์ลาบาดอร์ สองตัววิ่งออกมาต้อนรับแขกที่หน้าบ้านพร้อมกับส่งเสียงทักทายด้วยการเห่าเสียงดัง จนทำให้แขกผู้มาเยือนครั้งแรกอย่างทิวไผ่สะดุ้งตกใจนิด ๆ
“เฮ้ จอห์นนี่ บ๊อบบี้ จำกันไม่ได้รึ” สายฟ้าส่งเสียงทักทายเจ้าสี่ขาสองตัวนั่น มันกระดิกหางร้องครางหงิง ๆ ทันทีอย่างคนคุ้นเคย แต่กลับจ้องมองทิวไผ่ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าอย่างไม่เป็นมิตรนัก
“นี่ทิวไผ่เพื่อนฉันเอง เพื่อนต้นข้าวเจ้านาย ของแกด้วยนะ” สายฟ้าพูดกับเจ้า สองตัวนั่น ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจ ด้วยการกระดิกหางให้กับทิวไผ่ด้วย
“หวัดดี จอห์นนี่ บ๊อบบี้ ฉันมาเยี่ยมเจ้านายแกน่ะ” ทิวไผ่กล่าวทักทายเจ้าสองตัวนั้นบ้าง มันตอบมาด้วยการเห่าเบา ๆ หนึ่งครั้งและกระดิกหางไม่หยุด
“อ้าว...ลูกฟ้า มาเยี่ยมต้นกันเหรอจ๊ะ” เกศสินีส่งเสียงทักทายผู้มาเยือน
“หวัดดีครับ คุณแม่ ผมกับไผ่มาเยี่ยมต้นกันครับ เห็นไม่ไปโรงเรียนเลยคิดว่าต้องไม่สบายแน่ ๆ”
“หวัดดีครับ เอ่อ...คุณน้า” ทิวไผ่ทักทายมารดาของต้นข้าว อย่างเกรง ๆ
“เรียกแม่เหมือนลูกฟ้าก็ได้จ้ะลูกไผ่” เกศสินีทักทายด้วยความเป็นกันเอง
“ครับ คุณแม่ ผมไม่เห็นต้นเค้าไปเรียนเลยเป็นห่วงน่ะครับ จึงชวนฟ้ามาเยี่ยม”
“อ้าว...ยืนคุยกันตั้งนานเข้าบ้านกันก่อนดีกว่าจ้ะลูก ลูกฟ้าพาเพื่อนเข้ามาในบ้านก่อนนะจ๊ะ” เกศสินีชี้ชวนให้แขกของลูกชายเข้ามาคุยกันในบ้าน
สายฟ้าและทิวไผ่เข้าไปนั่งกันที่ห้องรับแขก ที่ดูโอ่โถง บ้านของต้นข้าวถึงไม่ใหญ่โตนักแต่ก็เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะอยู่พอสมควร เจ้าสี่ขาสองตัวเข้ามาคลอเคลียแขกผู้คุ้นเคยอย่างไม่ห่าง เพราะสายฟ้ามาที่บ้านนี้ทีไรเขาจะต้องพาจอห์นนี่ กับบ๊อบบี้ วิ่งเล่นกันที่สนามหญ้าหน้าบ้านจนหอบแฮ่ก ๆ ไปกันทั้งหมาและคน
“วันนี้ฉันไม่ได้มาเล่นกับแกนะ ไว้วันหลังละกัน” สายฟ้าพูดและลูบหัวมันสองตัวที่มานั่งอยู่ตรงหน้า ท่าทางมันดูเหงา ๆ ลงอย่างเห็นได้ชัด
“จอห์นนี่ บ๊อบบี้ มาหาฉันสิ” ทิวไผ่พูดและทำเสียงเรียกเจ้าสองตัวนั่น มันเดินมาหาและให้ลูบหัวอย่างว่าง่าย
“จอห์นนี่ บ๊อบบี้ ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกกันดีกว่าไป อย่ามากวนแขกสิ” เสียงสาวใหญ่เจ้าของบ้าน ไล่พวกมันออกไปเล่นข้างนอก เจ้าสองตัวนั่น วิ่งคลอเคลียกันออกไปนอกบ้านอย่างว่าง่าย
“ลูก ๆ ดื่มน้ำหวานเย็น ๆ กับกินผลไม้ไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ขึ้นไปตามต้นให้จ้ะ”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่ต้องให้ต้นลงมาก็ได้ครับ ให้ต้นนอนพักผ่อนดีกว่า” สายฟ้าตอบมารดาของเพื่อนรัก
“เอางั้นเหรอจ๊ะ” เกศสินีนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตรงข้ามกับเด็ก ๆ
“ต้นเป็นยังไงมั่งครับ คุณแม่” ทิวไผ่ถามถึงต้นข้าวอย่างเป็นห่วง จนสายฟ้าอดแปลกใจเสียไม่ได้
“เมื่อวานที่แม่ไปรับเค้าที่โรงเรียนน่ะจ้ะ ต้นเค้าบอกว่า กลับบ้านกินยาเดี๋ยวคงหาย แต่พอมาอาบน้ำแล้วกินยา กลับตัวร้อนขึ้นกว่าเดิม แม่จึงพาไปหาหมอที่คลินิก ไปให้หมอตรวจ เพราะแม่กลัวต้นเป็นไข้ป่า หมอฉีดยาลด และบอกว่า แค่ไข้ขึ้นเพราะร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศไม่ทันเลยเป็นหวัดจ้ะ นอนพักซักสองสามวันคงหาย”
“ขอเราขึ้นไปเยี่ยมต้นซักประเดี๋ยวได้มั้ยครับ” สายฟ้าขออนุญาตผู้เป็นเจ้าของบ้าน
“ได้ซิจ๊ะ งั้น ตามแม่มานะ” เกศสินี เดินนำทางเพื่อน ๆ ของลูกชายขึ้นไปบนห้องชั้นสองของบ้าน
“ลูกต้นจ๊ะ หลับอยู่รึเปล่า”
“เปล่าครับแม่” ต้นข้าวตอบมารดา พร้อมกับขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยใช้หมอนรองหลังไว้ เขาอยู่ในชุดนอน มีผ้าห่มคลุมช่วงล่างของลำตัวตั้งแต่เอวลงมา ใบหน้าของหนุ่มหน้าใสค่อนข้างซีดเซียวเพราะยังไม่ฟื้นตัวจากพิษไข้ดีนัก
“สายฟ้าพาเพื่อนมาเยี่ยมลูกแน่ะ”
“ไง ต้น เป็นยังไงบ้างดีขึ้นรึยัง” สายฟ้าส่งเสียงทักทายถามไถ่อาการด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเพื่อน
“ตามสบายนะจ๊ะ” เกศสินีพูดแล้วเดินลงไปข้างล่างให้ลูกชายกับเพื่อน ๆ ได้คุยกันเป็นการส่วนตัว
“อื้ม... ก็ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว พรุ่งนี้คงไปเรียนได้ แล้วเห็นแม่บอกว่า นายพาใครมาเหรอ”
“หวัดดี ว่าไงคุณหนู หายรึยัง” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของต้นข้าวทิวไผ่ก็โผล่เข้าไปทักทายด้วยเสียงยียวน กวนประสาท เช่นเคย
“ใครอนุญาตให้นายเข้ามาในบ้านและห้องของฉัน” ต้นข้าวแหวออกมาอย่างพาล ๆ เมื่อเห็นหน้าคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้านัก
“ก็ แม่นายไง อะไร นี่ คนอุตส่าห์เป็นห่วงมาพูดงี้ได้ไง ป่วยจริงเปล่าเนี่ยปากเก่งไม่หายเลยนะ”
“ใครไปขอร้องให้นายเป็นห่วงฉันไม่ทราบ ถ้าจะมาปากมอมแถวนี้ ออกจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไม กลัวเราปล้ำมากรึไง สายฟ้าก็อยู่ทั้งคนกลัวอะไร” ทิวไผ่เยาะคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
“ไอ้บ้า ถ้าคิดจะมาหาเรื่องกันล่ะก็ออกไปเลย ออกไปเดี๋ยวนี้” ต้นข้าวนึกฉุนคำพูดห้วน ๆ กวน ๆ นั้นอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ เขาขว้างหมอนใส่คนยั่วโมโหอย่างไม่ยั้ง ทิวไผ่ยกมือขึ้นปัดป้องพัลวัน
“ฟ้าครับ ผมลงไปรอข้างล่างนะ อยู่บนนี้เดี๋ยวโดนหมาบ้ากัดตาย” ทิวไผ่กระแทกเสียงใส่ต้นข้าวแล้วเดินลงไปข้างล่างทันที